|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทำความเข้าใจ ซ้าย ขวา สามัคคี
ธงชัย วินิจจะกูล
ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายซ้ายได้ย้ายมาเป็นขวา หรือฝ่ายขวากลายไปเป็นซ้าย ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน สหรัฐอเมริกา ได้หยิบเนื้อหาบางตอนจากงานเขียน 6 ตุลาในความทรงจำของฝ่ายขวา มาขยายความเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเหล่าปัญญาชนไทยทั้งซ้ายและขวาให้มากยิ่งขึ้น
0 0 0
โลกาภิวัตน์ กลายเป็นชื่อของแผนการชั่วร้ายที่ทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกใช้ทำร้ายชาติทุนนิยมที่เล็กกว่า ทุนชาตินิยมของไทยซึ่งเคยลิงโลดไปกับกระแสโลกาภิวัตน์ตลอดทศวรรษกว่าๆ ก่อนหน้านั้น กลับวิบัติกันถ้วนหน้า จึงหันมาต่อต้านโลกาภิวัตน์ของฝรั่งตะวันตกเช่นกัน
ความเข้าใจของปัญญาชนฝ่ายซ้ายหลัง 6 ตุลาต่อทุนนิยมโลกาภิวัตน์จากทัศนะแบบกระฎุมพีผู้ทรงศีลธรรมและชาตินิยม คือเห็นทุนนิยมโลกาภิวัตน์ว่าเป็นเรื่องของภัยจากฝรั่งตะวันตกที่กำลังทำลายความดีงามของสังคมไทย
ฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจบไปนานแล้ว ฝ่าย(นึกว่า)ซ้ายหลัง 6 ตุลาคือ ปีกหนึ่งของกระแสทางการเมืองแบบกระฎุมพีผู้ทรงศีลธรรมและชาตินิยม และแบบทุนชาตินิยม
ถ้าการเปลี่ยนแปลงสำคัญของปัญญาชนฝ่ายซ้ายหลัง 6 ตุลา คือ คืนดีกับสถาบันกษัตริย์ การเปลี่ยนแปลงสำคัญของฝ่ายขวาหลัง 6 ตุลา คือ การหย่าร้าง เอาใจออกห่างจาก ฝรั่ง ตะวันตก และไม่ไว้ใจฝรั่งตะวันตกรุนแรงเข้มข้นยิ่งขึ้น
0 0 0
ฝ่ายขวาแทบทุกคนที่สัมภาษณ์เห็นว่า ภัยที่น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยในปัจจุบันคือ ทุนนิยมและสหรัฐอเมริกา แม้แต่ ผ- ซึ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์มาตลอดชีวิต และมองเรื่องความมั่นคงของชาติด้วยแว่นคอมฯ 2 สายมาตลอดก็เห็นว่า ปัจจุบันต้องระวัง CIA แทรกแซง ปั่นหัวกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย จนอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง แน่นอนว่าพวกเขาตระหนักดีว่า ภัยทุนนิยมและสหรัฐอเมริกาเป็นคนละเรื่องคนละลักษณะกับภัยจากคอมมิวนิสต์
วาทกรรมภัยทุนนิยมของบรรดาฝ่ายขวา แตกต่างจากวาทกรรมต่อต้านทุนนิยมของฝ่ายซ้ายเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างเห็นได้ชัดๆ ง่ายๆ (คือไม่ใช่วาทกรรมแบบเหมาอิสต์) แต่ฝ่ายขวาเหล่านี้พูดภาษาใกล้เคียงมากกับวาทกรรมต่อต้านเสรีนิยมใหม่และโลกาภิวัตน์ของบรรดาปัญญาชนและนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนของไทยหลัง 6 ตุลาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ ต่อต้านทุนนิยมของ ฝรั่ง ตะวันตก
การสัมภาษณ์ทั้งหมดกระทำหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 หลายปี แต่ความเจ็บปวดจากวิกฤตของทุนนิยมคราวนั้นยังคงชัดเจนในความทรงจำของทุกคน ที่สำคัญคือวาทกรรมเกี่ยวกับมูลเหตุของวิกฤต ออกมาในลักษณะชาตินิยมต่อต้านทุนนิยมของ ฝรั่ง ตะวันตก คือ เป็นเรื่องของชาติทุนนิยมยักษ์ใหญ่ของฝรั่งตะวันตกที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวโจกทำร้ายชาติทุนนิยมที่กำลังเติบโต ชาติใหญ่รังแกชาติเล็ก วาทกรรมที่แพร่หลายเข้าใจง่ายก็คือทำให้เป็นเรื่องของการสมคบคิดกัน (conspiracy) ระหว่างยักษ์ใหญ่ทางการเงินและการเมืองของโลกไม่กี่คน ระบุตัวลงไปที่จอร์จ โซรอสก็บ่อย คำว่าฉันทามติวอชิงตันก็ถูกเข้าใจง่ายๆ ว่าหมายถึงการที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ของทุนนิยมฝรั่งตะวันตก วางแผนทำลายชาติเล็กๆ โลกาภิวัตน์ กลายเป็นชื่อของแผนการชั่วร้ายที่ทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกใช้ทำร้ายชาติทุนนิยมที่เล็กกว่า ทุนชาตินิยมของไทยซึ่งเคยลิงโลดไปกับกระแสโลกาภิวัตน์ตลอดทศวรรษกว่าๆ ก่อนหน้านั้น กลับวิบัติกันถ้วนหน้า จึงหันมาต่อต้านโลกาภิวัตน์ของฝรั่งตะวันตกเช่นกัน วาทกรรมต่อต้านทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกจึงไม่ใช่แบบสังคมนิยม แต่เป็นวาทกรรมที่มีลักษณะชาตินิยมเด่นชัดมาก คือ เป็นการต่อต้านฝรั่งอัปลักษณ์ที่กำลังย่ำยีไทยที่ดีงาม เขา มากระทำย่ำยี เรา
การสัมภาษณ์ส่วนใหญ่กระทำในช่วงรัฐบาลทักษิณ ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกที่เลวร้ายดังเรียกว่า ทุนสามานย์ ในเวลาต่อมา ความไม่พอใจทักษิณกับความไม่พอใจทุนนิยมโลกาภิวัตน์และความไม่พอใจสหรัฐอเมริกาในกระแสโลกป้อนหนุนซึ่งกันและกัน ในบรรดาฝ่ายขวาที่สัมภาษณ์ในช่วงรัฐบาลทักษิณ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชอบรัฐบาลทักษิณ พวกเขาที่เหลือเห็นว่า ทักษิณเดินหน้าหนุนทุนนิยมแบบโลกาภิวัตน์ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นแบบที่สหรัฐอเมริกาชาติยักษ์ใหญ่ที่รังแกชาติเล็กๆ ไปทั่วโลก จึงไม่น่าไว้ใจรัฐบาลทักษิณ
วาทกรรมที่จับหัวใจกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ของฝรั่งได้อย่างทรงอานุภาพในเวลาต่อมาก็คือ ไทย/ เศรษฐกิจพอเพียง/ ถูกคุกคาม VS. ฝรั่งตะวันตก/ ทุนนิยมโลกาภิวัตน์/ ภัยคุกคาม
เศรษฐกิจพอเพียงจึงไม่ใช่ทฤษฎีหรือปรัชญาเศรษฐกิจหรือปรัชญาชีวิต แต่เป็นวาทกรรมทรงพลังที่สร้างความหมายว่า ไทยไม่ใช่ทุนนิยม แถมยังเป็นคู่ตรงข้ามกับทุนนิยมด้วยซ้ำเพราะกำลังโดนคุกคาม ทุนนิยมหมายถึงฝรั่งตะวันตกที่กำลังคุกคามวิถีเศรษฐกิจและชีวิตแบบไทยที่พึงปรารถนา วาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงสร้างเส้นแบ่งทางความคิดในสังคมไทยว่า ทุนนิยมคือภัยคุกคามจากภายนอก เศรษฐกิจพอเพียงคือทางออกที่งดงามอย่างไทยๆ ภารกิจสำคัญที่สุดของวาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ตรงนี้
นักวิชาการหลายคนพยายามชี้ให้เห็นความเหลวไหลไม่รัดกุมของเศรษฐกิจพอเพียงทั้งทางทฤษฎีและการประยุกต์เป็นนโยบายเศรษฐกิจ หรือชี้ว่าเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่อยากถอยหลังลงคลอง ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้ไม่สำคัญเท่าไรนัก ชักแม่น้ำทั้งห้ามาลงแทนคลองก็ยังได้ เพราะไม่ใช่ภารกิจของวาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียง
ทั้งซ้ายและขวาหลัง 6 ตุลาใช้วาทกรรมแทบไม่ต่างกัน คือ ต่อต้านทุนโลกาภิวัตน์เลวร้ายของฝรั่งที่กำลังคุกคามย่ำยีไทยที่ดีงาม ซ้ายเดิมหลายคนจึงพอใจแซ่ซ้องเศรษฐกิจพอเพียงไปด้วย
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงสำคัญของปัญญาชนฝ่ายซ้ายหลัง 6 ตุลา คือการคืนดีกับสถาบันกษัตริย์ หากตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาจึงหันไปคืนดีกับสถาบันกษัตริย์เช่นนั้น? สมศักดิ์มักอธิบายในทำนองว่าคนเหล่านั้นมีความคิดที่ไม่ถูกต้องชัดเจน การเมืองไม่คมชัดพอ ฉวยโอกาส เปลี่ยนสี ฯลฯ ผู้เขียนเห็นว่าการคืนดีกับสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนหนึ่ง (ไม่ใช่เหตุ แต่เป็นผล) ของแนวโน้มทางปัญญาที่ทรงพลังกว่าเรื่องสถาบันกษัตริย์ จนสามารถผลักให้ความเห็นต่อสถาบันกษัตริย์เปลี่ยนไปเพราะเป็นเรื่องรอง ได้แก่ ความเข้าใจของปัญญาชนฝ่ายซ้ายหลัง 6 ตุลาต่อทุนนิยมโลกาภิวัตน์จากทัศนะแบบกระฎุมพีผู้ทรงศีลธรรมและชาตินิยม คือ เห็นทุนนิยมโลกาภิวัตน์ว่าเป็นเรื่องของภัยจากฝรั่งตะวันตกที่กำลังทำลายความดีงามของสังคมไทย การประกาศตนเป็นอริกับทุนนิยมโลกาภิวัตน์เป็นการประกาศต่อสู้กับทุนนิยมของฝรั่งตะวันตก ถือเอาการต่อสู้กับทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกเป็นวาระทางสังคมการเมืองสำคัญที่สุด
ทั้งซ้ายและขวาหลัง 6 ตุลา จึงเกลียดกลัวผู้ที่เขาเห็นว่าเป็น ตัวแทน ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ของ ฝรั่ง ตะวันตกอย่างเข้ากระดูก เรียกว่าเป็น ทุนสามานย์ เป็นภัยร้ายแรงที่สุดของสังคมไทย แต่จุดยืนต่อต้านทุนนิยมโลกาภิวัตน์ของฝรั่งกลับทำให้พวกเขามองไม่เห็นความเลวร้ายของทุนผูกขาดรายใหญ่ที่มีรากลึกกว่ามากในสังคมไทย มีฐานเศรษฐกิจและธุรกิจกว้างขวางมั่นคงกว่าทุนอื่นใดในสังคมไทยเพราะเป็นที่ดิน มีฐานทุนทางสังคมที่ไม่มีใครเทียบได้เพราะผูกกับความศักดิ์สิทธิ์ มีฐานการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่งด้วยพลังราชการและตุลาการ และแท้ที่จริงแล้วก็เป็นทุนแบบโลกาภิวัตน์เช่นกัน แต่พวกเขามองไม่เห็นเพราะเป็นทุนที่ผูกติดสนิทกับความเป็นไทย
ทำไมทุนพวกหลังนี้จึงไม่ถูกมองว่าสามานย์? เป็นเพราะผูกติดสนิทกับความเป็นไทยจึงทำให้ทุนกลุ่มนี้ไม่ถูกมองว่าเป็นสิ่งเลวร้ายคุกคามความเป็นไทยที่ดีงาม ทุนกลุ่มนี้มักไม่ถูกมองว่าเป็นทุนนิยมด้วยซ้ำไป กล่าวคือ ในเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยที่ขาดไม่ได้มาแต่โบราณ ดังนั้นย่อมไม่ใช่ทุนนิยม วาทกรรมเศรษฐกิจพอเพียงยิ่งอำพรางราวกับว่าทุนกลุ่มนี้ไม่ใช่ทุนนิยม ฝ่ายซ้ายหัวเก่าจำนวนมากยังหลงคิดว่าเป็นศักดินาจึงไม่น่ากลัวเท่าทุนโลกาภิวัตน์ของฝรั่งตะวันตก มีบ้างที่ตระหนักว่าเป็นทุนนิยม แต่เห็นว่าทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติมากกว่าเพราะเป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวจากภายนอก ย่อมไม่เห็นว่าทุนที่ผูกติดสนิทกับความเป็นไทยก็โลกาภิวัตน์และสามานย์เช่นกัน
หลังการล่มสลายของกระแสซ้ายสังคมนิยม มรดกตกทอดที่เหลือรอดต่อมามีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือ
1) ความเกลียดชังต่อต้านทุนนิยมแบบไม่ซ้ายไม่สังคมนิยม นานวันเข้าก็กลายเป็นแค่หางเครื่องติดสอยห้อยตามพวกที่เกลียดชังทุนนิยมแบบศีลธรรม อนุรักษ์นิยม และชาตินิยม ซึ่งเป็นจริตของกระฎุมพีแบบหลังอาณานิคม ซึ่งกล่าวอย่างถึงที่สุดก็เป็นกระแสทุนชาตินิยมชนิดหนึ่ง
2) ขบวนการต่อสู้เพื่อ ประชาชน แบบไม่ซ้าย นานวันเข้าก็กลายเป็นขบวนการประชานิยมแบบศีลธรรม อนุรักษ์นิยม และชาตินิยม นี่ก็เป็นขบวนการต่อสู้เพื่อคนรากหญ้าตามจริตของกระฎุมพีแบบหลังอาณานิคมเช่นกัน
หลายปีหลัง 6 ตุลา ฝ่ายซ้ายค่อยๆ แปลงร่างไปแล้ว หายซ้ายไปตั้งนานแล้ว
กระแสต่อต้านทุนนิยมของขบวนการประชาชนหลัง 6 ตุลาเป็นแบบศีลธรรม อนุรักษ์นิยม และชาตินิยม ถ้ายังมีซ้ายหลงเหลืออยู่ก็ตกอยู่ใต้การนำของกระแสเหล่านี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ฝ่าย(นึกว่า)ซ้ายหลัง 6 ตุลาจึงสามารถร่วมมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมและชาตินิยมของกระฎุมพีก็ได้ ร่วมกับทุนชาตินิยมก็ได้ ไม่เห็นว่าทุนที่ผูกติดสนิทกับความเป็นไทยเป็นปัญหาสักเท่าไร ตราบเท่าที่เอาการต่อสู้กับทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกเป็นวาระการเมืองสำคัญที่สุดตรงกัน นักคิดฝ่ายประชาชนบางคนเชื่อว่า ฝ่ายประชาชนกำลัง ใช้ สถาบันฯ เพื่อต่อสู้กับทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ซึ่งเขาเห็นเป็นภัยร้ายสำคัญที่สุดด้วยซ้ำไป พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่า ทุนที่ผูกติดสนิทกับความเป็นไทยและพวกกษัตริย์นิยมเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของการพัฒนาประชาธิปไตยไทย
ฝ่ายซ้ายสังคมนิยมจบไปนานแล้ว ฝ่าย(นึกว่า)ซ้ายหลัง 6 ตุลาคือ ปีกหนึ่งของกระแสทางการเมืองแบบกระฎุมพีผู้ทรงศีลธรรมและชาตินิยม และแบบทุนชาตินิยม
การ คืนดีฯ ไม่ใช่เรื่องของคนนั้นและคนนี้เปลี่ยนสี แต่เป็นผลของแนวโน้มทั่วไปทางปัญญาดังที่กล่าวมา อันที่จริงยังมีข้อน่าคิดอีกว่า ลักษณะกระฎุมพีผู้ทรงศีลธรรมและชาตินิยม และลักษณะทุนชาตินิยมเป็นเชื้อมูลของความคิดซ้ายของพวกเขาตั้งแต่ยุคเดือนตุลาเช่นกัน หมายความว่าพวกฝ่ายซ้ายเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนักอย่างที่คิดกัน ท่าทีต่อสถาบันกษัตริย์อาจหนักหน่วงแต่เอาเข้าจริงอาจไม่เคยเป็นประเด็นมูลฐานของความคิดทางการเมืองของพวกเขาอย่างที่เข้าใจกัน การคืนดีฯ หรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับพวกเขา
ในเวลาเดียวกันฝ่ายขวาแบบเดิมก็จบไปแล้วเช่นกัน
ถ้าการเปลี่ยนแปลงสำคัญของปัญญาชนฝ่ายซ้ายหลัง 6 ตุลา คือ คืนดีกับสถาบันกษัตริย์ การเปลี่ยนแปลงสำคัญของฝ่ายขวาหลัง 6 ตุลา คือ การหย่าร้าง เอาใจออกห่างจาก ฝรั่ง ตะวันตก และไม่ไว้ใจฝรั่งตะวันตกรุนแรงเข้มข้นยิ่งขึ้น หากใช้สายตาประวัติศาสตร์ระยะยาวอาจกล่าวได้ว่า ความไว้ใจฝรั่งตะวันตกในช่วงสงครามเย็นเป็นเพียงประวัติศาสตร์ช่วงสั้นๆ เท่านั้น ครั้นจบสงครามเย็น ชนชั้นนำไทยและสังคมไทยก็กลับไปสู่ภาวะคบกับฝรั่งแต่ไม่ไว้ใจฝรั่งดังที่เคยเป็นมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงก่อนสงครามเย็น
ถ้าหากท่าทีต่อสถาบันกษัตริย์และท่าทีต่อทุนนิยมของฝรั่ง ตะวันตก เป็น 2 แกนที่ก่อให้เกิดเส้นแบ่งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างๆ ในการเมืองยุคเดือนตุลาเป็นซ้ายและขวา การเปลี่ยนแปลงของทั้งฝ่ายซ้ายและขวาหลัง 6 ตุลาที่มีต่อทั้ง 2 แกน ทำให้กลุ่มซ้ายและขวาแต่เดิมที่ตกทอดมาจากการเมืองยุคเดือนตุลาจบลงและเกิดการจัดตัวใหม่มาตั้งนานแล้ว หากถือเอาท่าทีต่อทุนนิยมของฝรั่งตะวันตกเป็นเกณฑ์ เส้นแบ่งระหว่างซ้ายกับขวาที่ตกทอดมาจากการเมืองยุคเดือนตุลาจึงสับสนปนเปกันมาระยะใหญ่ๆ แล้ว อาจกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ประมาณหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นในประเทศและในระดับโลกเป็นต้นมา การจัดตัวใหม่เริ่มมาตั้งแต่คราววิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แล้วเป็นอย่างน้อย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในวิกฤตการเมืองและรัฐประหารเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา แต่วิกฤตการเมืองต่อต้านทักษิณและรัฐประหาร 2549 เป็นปรากฎการณ์รูปธรรมที่ความเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มความคิดแบบใหม่ออกฤทธิ์
อย่างน้อยสิบกว่าปีมาแล้วที่ฝ่ายขวาเดิมและฝ่ายซ้ายหลัง 6 ตุลาถือตรงกันว่า การต่อสู้กับทุนนิยมโลกาภิวัตน์เป็นวาระทางสังคมการเมืองสำคัญที่สุด
ความหมายทางการเมืองของเพลงหนักแผ่นดิน เราสู้ สู้ไม่ถอย แองเตอร์นาซิอองนาล ฯลฯ ที่ผูกพันกับการเมืองยุคเดือนตุลาและตกทอดต่อมาก็ค่อยๆ หมดความหมายในแบบเดิมไปกับเส้นแบ่งซ้ายขวาในแบบเดิมเช่นกัน เปิดโอกาสแก่การช่วงชิงความหมายของเพลงเหล่านี้ในแบบอื่น เราได้ยินเพลงเหล่านี้เคียงคู่กันอย่างอุบาทว์บนเวทีพันธมิตรฯ ในปี 2551 ก็เพราะพันธมิตรฯ เป็นปรากฎการณ์อุบาทว์สุดๆ ของความเปลี่ยนแปลงดังที่กล่าวมา
ที่มา : ประชาไท วันที่ : 27/7/2551
Create Date : 28 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 0:33:50 น. |
|
1 comments
|
Counter : 827 Pageviews. |
|
|
|
โดย: อนาคตของฝ่ายซ้าย IP: 124.121.194.239 วันที่: 2 ตุลาคม 2551 เวลา:22:58:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|