ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
ยกเครื่อง "จิ้งหรีด" โกอินเตอร์ หลังโกยเงินมูลค่ารวมปีละ 900 ล้านบาท

ยกเครื่อง

ยกเครื่อง "จิ้งหรีด" โกอินเตอร์ หลังโกยเงินมูลค่ารวมปีละ 900 ล้านบาท

ประชาชาติธุรกิจ

สนับสนุนเนื้อหา

แมลงนับเป็นแหล่งอาหารโปรตีนชนิดใหม่ที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ (FAO) โดยในการประชุมความมั่นคงอาหารและป่าไม้ ในปี 2556 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ผู้เข้าร่วมประชุมจาก 100 ประเทศ ได้ให้การยอมรับในการใช้แมลงกินได้เป็นเสบียงอาหารโปรตีนสำรองสำหรับประชากรของโลกที่เพิ่มขึ้น

เนื่องจากคาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9,000 ล้านคน ภายในปี 2593 ซึ่งอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนทั้งอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ แมลงจึงเป็นอาหารโปรตีนทางเลือกใหม่ที่มีราคาถูกและสามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น

จิ้งหรีดเป็นหนึ่งในแมลงที่มีการเพาะเลี้ยงกันในประเทศไทย จนกลายเป็นที่สนใจ แม้โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา โดยแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย หรือมีอาชีพเสริม เช่น เลี้ยงจิ้งหรีด

จิ้งหรีดเดิมนั้นเป็นแมลงที่พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ แต่มากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนถึง 12.9% ไขมัน 5.54% และคาร์โบไฮเดรต 5.1%

จิ้งหรีดเป็นแมลงที่เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์เร็ว ให้ผลผลิตสูง แม่พันธุ์ 1 ตัว ให้ลูกถึง 1,000 ตัว รวมถึงใช้พื้นที่และปริมาณน้ำในการเลี้ยงน้อย ทั้งยังไม่ต้องใช้เทคโนโลยีและต้นทุนในการเลี้ยงที่สูง

จิ้งหรีดจึงเหมาะสมกับพื้นที่แห้งแล้งหรือเขตชนบท เกษตรกรจะนำมาเลี้ยงเป็นอาชีพเสริมไว้บริโภคและจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ เพราะใช้เวลาไม่มาก อีกทั้งสามารถใช้เวลาว่างจากการเพาะปลูกมาดูแลจิ้งหรีดได้ โดยภายในเวลา 1 ปี จะเลี้ยงจิ้งหรีดได้ 7-8 รุ่นต่อปี

สำหรับพันธุ์จิ้งหรีดที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์สะดิ้ง ทองดำ และจิ้งหรีดขาว

สำหรับจิ้งหรีดบ้าน หรือแมงสะดิ้ง ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 40-50 วัน ราคาขายส่งกิโลกรัม (กก.) ละ 80-100 บาท

ส่วนจิ้งหรีดทองดำใช้ระยะเวลาเลี้ยงประมาณ 30-45 วัน ราคาขายส่งอยู่ที่ 120-150 บาท/กก.

นอกจากจะมีการซื้อขายภายในชุมชนแล้ว สำหรับตลาดขายส่งจิ้งหรีดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกษตรกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ ตลาดไท จ.ปทุมธานี ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว และตลาดนัดจตุจักร กรุงเทพฯ

จิ้งหรีดสามารถนำมาบริโภคได้หลายรูปแบบ เช่น ทอด คั่ว บรรจุกระป๋อง รวมถึงบดผงเพื่อแปรรูปเป็นคุกกี้ ขณะเดียวกันยังมีการส่งออกจิ้งหรีดไปยังญี่ปุ่น อียู และสหรัฐ เป็นต้น

ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความชำนาญในการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดในเชิงพาณิชย์ โดยมีจิ้งหรีดประมาณ 20,000 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม

ในวันนี้การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดของประเทศไทยมีกำลังการผลิตสูงถึง 7,500 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าจิ้งหรีดสดและแปรรูป รวมกว่า 900 ล้านบาท

ด้วยศักยภาพในการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีด ไม่เพียงทำให้เกษตรกรไทยเท่านั้นที่ดำเนินการเพาะเลี้ยง ปัจจุบันยังมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนผลิตแมลงในไทย โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีด พร้อมตั้งโรงงานแปรรูปจิ้งหรีดส่งออกไปต่างประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป (อียู) จีน สหรัฐ และญี่ปุ่น ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรหลังช่วงทำนาหรือระหว่างฤดูแล้ง

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการผลิตและสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ มีแผนในการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด เพื่อให้เกษตรกรมีแนวทางในการปฏิบัติและสามารถขอการรับรองต่อไป

มาตรฐานสินค้าเกษตรนี้ กำหนดเกณฑ์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด ตั้งแต่องค์ประกอบฟาร์ม อาหารสำหรับแมลง น้ำ การจัดการฟาร์ม สุขภาพสัตว์ สวัสดิภาพสัตว์ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และการบันทึกข้อมูล เพื่อผลิตจิ้งหรีดที่มีคุณภาพดี และได้จิ้งหรีดและผลิตผลอื่นๆ ที่มีคุณภาพเหมาะสมในการนำไปใช้ผลิตเป็นอาหารที่ปลอดภัยต่อการบริโภค

คุณพิศาล พงศาพิชณ์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดแปรรูปมากมาย เช่น Snack Food รสชาติต่างๆ ทั้งรสต้มยำ รสวาซาบิ รวมทั้งจิ้งหรีดชนิดโปรตีนผง เพื่อนำไปแปรรูป เป็นเค้ก คุกกี้ ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว จีน และอียู ซึ่งพบว่าตลาดให้การตอบรับค่อนข้างดี

“ผู้ประกอบการจึงได้ประสานมายัง มกอช.เพื่อให้ออกข้อกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด หรือฟาร์มจิ้งหรีด จีเอพี (GAP) ในรูปแบบเดียวกับมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทั่วไป เนื่องจากลูกค้าในอียูต้องการให้ไทยรับรองระบบการผลิตจิ้งหรีดตามมาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่มีความตื่นตัวในเรื่องความปลอดภัยทางอาหารเพิ่มขึ้น” รองเลขาธิการ มกอช.กล่าว

คุณพิศาลกล่าวอีกว่า ขณะนี้ มกอช.อยู่ระหว่างเร่งเสนอให้คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรพิจารณาการจัดทำมาตรฐานฟาร์มจิ้งหรีด เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยง การแปรรูป และการส่งออกจิ้งหรีดไปต่างประเทศ หากไทยเร่งจัดทำและประกาศใช้มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงแมลงอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะเป็นเครื่องมือการันตีคุณภาพสินค้าแมลงของไทย โดยเฉพาะจิ้งหรีดและผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสทางการตลาดและผลักดันส่งออกไปต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญยังช่วยสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดด้วย

“ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้ประกาศยอมรับกฎระเบียบฉบับใหม่เกี่ยวกับอาหารที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ (Novel Food) เพื่อให้สถานประกอบการสามารถนำเข้า Novel Food มายังอียูได้สะดวกขึ้น โดยยังคงรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารไว้ในระดับสูง ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ประมาณปลายปี 2560 และได้กำหนดให้แมลงเป็น Novel Food ด้วย ถือเป็นการเปิดช่องทางให้กับอุตสาหกรรมอาหารจากวัตถุดิบแมลง คาดว่าจะเป็นโอกาสทองของเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดของไทยที่จะขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น ดังนั้น มกอช.จึงจำเป็นต้องเร่งจัดทำมาตรฐาน GAP ฟาร์มจิ้งหรีด เพื่อเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าแมลงของไทยในตลาดโลก” รองเลขาธิการ มกอช.กล่าว

ดังนั้น มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด ที่ มกอช.กำลังดำเนินการจัดทำขึ้น นับเป็นประโยชน์ทั้งในวันนี้และในวันข้างหน้า โดยเฉพาะการช่วยลดปัญหาข้อกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

แต่ที่สำคัญจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นต้นแบบของโลกในการผลิตหรือทำฟาร์มแมลงกินได้ เช่น จิ้งหรีด แบบครบวงจรของโลก

โดย ธนสิทธิ์ เหล่าประเสิร์ฐ
ที่มา นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน




Create Date : 18 มีนาคม 2559
Last Update : 18 มีนาคม 2559 8:32:01 น. 0 comments
Counter : 2017 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.