คุณค่าของกาลเวลา อจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํ ติฯกาลเวลาเป็นของมิใช่จะให้ประโยชน์แก่โลกทั่วไปเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้มีปัญญาสนใจในธรรมปฏิบัติ รีบเร่งฝึกหัดใจของตนๆ ให้ทันกับกาลเวลาอีกด้วย แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลาทั้งนั้น เช่น ดินฟ้าอากาศ ฤดู ปี เดือน ต้นไม้ ผลไม้ และธุระการงานที่สัตว์โลกทำอยู่ แม้แต่ความเกิด ความแก่ และความตาย ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นอยู่ตามหน้าที่ของเขาก็ตาม แต่ต้องอยู่กับกาลเวลา ถ้าหากกาลเวลาไม่ปรากฏแล้ว สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ก็จะไม่ปรากฏเลย จะมีแต่สูญเรื่อยไปเท่านั้นกาลเวลาได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกนี้มิใช่น้อย ชาวกสิกรก็ต้องอาศัยวัสสานฤดู ปลูกพืชพันธุ์ในไร่นาของตนๆ เมื่อฝนไม่ตกก็พากันเฝ้าบ่นว่าเมื่อไรหนอพระพิรุณจะประทานน้ำฝนมาให้ ใจก็ละห้อย ตาก็จับจ้องดูท้องฟ้า เมื่อฝนตกลงมาให้ต่างก็พากันชื่นใจระเริงด้วยความเบิกบาน แม้ที่สุดแต่ต้นไม้ซึ่งเป็นของหาวิญญาณมิได้ ก็อดที่จะแสดงความดีใจด้วยอาการสดชื่นไม่ได้ ต่างก็พากันผลิดอกออกประชันขันแข่งกัน ชาวกสิกรตื่นดึกลุกเช้าเฝ้าแต่จะประกอบการงานของตนๆ ตากแดด กรำฝน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเย็นร้อนอนาทรชาวพ่อค้าวาณิชนักธุรกิจ ก็คอยหาโอกาสแต่ฤดูแล้ง เพื่อสะดวกแก่การคมนาคมและขนส่ง เมื่อแล้งแล้วต่างก็พากันจัดแจงเตรียมสินค้าไม่ว่าทางน้ำและทางบกฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในบุญกุศล ก็พากันมีจิตจดจ่อเฉพาะเช่นเดียวกันว่า เมื่อไรหนอจะถึงวันมาฆะ-วิสาขะ-อาสาฬหะ เวียนเทียนประทักษิณนอบ น้อมต่อพระรัตนตรัย เมื่อไรหนอจะถึงวันเข้าพรรษา-ออกพรรษา-เทโวโรหนะตักบาตรประจำปีวันทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เนื่องด้วยกาลเวลา ทั้งนั้น และเป็นวันสำคัญของชาวพุทธเสียด้วย เมื่อถึงวันเวลาเช่นนั้นเข้าแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายไม่ว่าหญิงชายน้อยใหญ่ แม้จะฐานะเช่นไร อยู่กินกันเช่นไรก็ตาม จำต้องสละหน้าที่การงานของตน เข้าวัดทำบุญตักบาตร อย่างน้อยวันหนึ่ง หากคนใดไม่ได้เข้าวัดทำบุญสังสรรค์กับมิตรในวันดังกล่าวแล้ว ถือว่าเป็นคนอาภัพส่วนนักภาวนาเจริญสติปัฏฐาน ย่อมพิจารณาเห็นอายุสังขารของตนเป็นของน้อยนิดเดียว เปรียบเหมือนกับน้ำตกอยู่บนใบบัว เมื่อถูกแสงแดดแล้วพลันที่จะเหือด แห้งอย่างไม่ปรากฏ แล้วก็เกิดความสลดสังเวช ปลงปัญญาสู่พระไตรลักษณญาณกาลเวลาจึงว่าเป็นของดีมีประโยชน์แก่คนทุกๆ ชั้นในโลกนี้และโลกหน้า ดังพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั้นว่าอจฺเจนฺติ อโรหรตฺตา ชีวิตํ อุปฺรุชฺชติ กุณฺฑที ทมิโวทกํแปลว่า โอ้ชีวิตเป็นของน้อย ย่อมรุกร่นเข้าไปหาความตายทุกที เหมือนกับน้ำในรอยโค เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์แล้ว ก็มีแต่จะแห้งไปทุกวันฉะนั้นฯโดยอธิบายว่า ชีวิตอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีอายุอยู่ได้ตั้งร้อยปี ก็นับว่าเป็นของน้อยกว่าสัตว์จำพวกอื่นๆ เช่นเต่าและปลาในทะเลเป็นต้น ซึ่งเขาเหล่านั้นมีอายุตัวละมากๆ เป็นร้อยๆ ปี ตั๊กแตน แมลงวัน เขามีอายุเพียง ๗-๑๐ วันเขาก็ถือว่าเขามีอายุโขอยู่แล้ว แต่มนุษย์เราเห็น ว่าเขามีอายุน้อยเดียวผู้มีอัปมาทธรรมเป็นเครื่องอยู่ เมื่อมาเพ่งพิจารณาถึงอายุของน้อย พลันหมดสิ้นไปๆใกล้ต่อความตายเข้ามาทุกที กิจหน้าที่การงานของตนที่ประกอบอยู่จะไม่ทันสำเร็จ ถึงไม่ตายก็ทุพพลภาพเพราะความแก่ แล้วก็ได้ขวนขวายประกอบกิจหน้าที่ของตนเพื่อให้สำเร็จโดยเร็วพลัน กาลเวลาจึงอุปมาเหมือนกับนายผู้ควบคุมกรรมกรให้ทำงานแข่งกับเวลา ฉะนั้นฯทาน การสละวัตถุสิ่งของของตนที่มีอยู่ให้แก่บุคคลอื่น นอกจากผู้ให้จะได้ความอิ่มใจ เพราะความดีของตน แล้ว ผู้รับยังได้บริโภคใช้สอยวัตถุสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนอีกด้วย นับว่าไม่มีเสียผลทั้งสองฝ่าย แต่กาลเวลาที่สละทิ้งชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายแล้วไม่เป็นผลแก่ทั้งสองฝ่าย คือกาลเวลาก็หมดไป ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมสูญไป ยังเหลือแต่ความคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งระทมทุกข์ อันใครๆไม่พึงปรารถนาทั้งนั้น นอกจากบัณฑิตผู้ฉลาดในอุบาย น้อมนำเอาความเสื่อมสิ้นไปแห่งชีวิตนั้นเข้ามาพิจารณา ให้เห็นสภาพสังขารเป็นของไม่เที่ยง จนให้เกิดปัญญาสลดสังเวช อันเป็นเหตุจะให้เบื่อหน่าย คลายเสียจากความยึดมั่นในสังขารทั้งปวงฉะนั้น ทาน การสละให้ปันสิ่งของของตนที่หามาได้ในทางที่ชอบให้แก่ผู้อื่น ในเมื่อกาลเวลากำลังคร่าเอาชีวิตของเราไปอยู่ จึงเป็นของควรทำเพื่อชดใช้ชีวิตที่หมดไปนั้นให้ได้ทุน (คือบุญ)กลับคืนมาการรักษาศีล ก็เป็นทานอันหนึ่ง เรียกว่า อภัยทาน นอกจากจะเป็นการจาคะสละความชั่วของตนแล้ว ยังเป็นการให้อภัยแก่สัตว์ที่เราจะต้องฆ่า และสิ่งของที่เราจะต้องขโมยเขาเป็นต้นอีกด้วย นี้ก็เป็นการทำความดี เพื่อชดใช้ชีวิตของเราที่กาลเวลาคร่าไปอีกด้วยผู้กระทำชั่วพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีหนี้ติดตัว ผู้มีหนี้ติดตัวย่อมได้รับความทุกข์เดือดร้อน ฉะนั้น บาปกรรมชั่วเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ แต่ผู้ใดทำลงไปแล้วแม้คนอื่นทั้งโลกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่ความชั่วที่ตนกระทำลงไป แล้วนั่นแล เป็นเจ้าของมาทวงเอาหนี้ (คือความเดือดร้อน ภายหลัง) อยู่เสมอ ยิ่งซ้ำร้ายกว่าหนี้ที่มีเจ้าของเสียอีกเป็นที่น่าเสียดาย บางคนผู้ประมาทแล้วด้วยยศด้วยลาภก็ตาม ไม่ได้นึกคิดถึงชีวิตอัตภาพของตน กลัวอย่างเดียวแต่กาลเวลาจะผ่านพ้นไป แล้วตัวของเขาเองจะไม่ได้ทำความชั่ว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของดีแล้ว เช่น สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ฯลฯ เป็นต้นนำเอาชีวิตของตนที่ยังเหลืออยู่นั้น ไปทุ่มเทลงในหลุมแห่งอบายมุขหมดบุญกรรมนำส่งมาให้ได้ดิบได้ดี มีสมบัติอัครฐานอย่างมโหฬาร เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขัดสน แต่เห็นความพร้อมมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องความทุกข์ไป สู้ความชั่วอบายมุขไม่ได้กาลเวลาอายุเป็นของที่มีค่ามากเหลือไว้ แทนที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์และความสุข คนผู้ประมาทแล้ว กลับนำไปใช้ในทางที่เกิดโทษทุกข์ จมดิ่งลงสู่อบายมุขอย่างน่าใจหาย สมกับพุทธภาษิตว่าปมาโท มจฺจุโน ปทํ คนผู้ประมาทแล้วเป็นอยู่ก็เหมือนตายแล้วเพราะบุคคลผู้เช่นนั้นถึงมีชีวิตอยู่ นอกจากจะไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นสาระให้แก่ตนแล้ว ยังจะเป็นภัยแก่สังคมเป็นอันมากอีกด้วย คนผู้ตายไปแล้วไม่เคยเป็นภัยแก่ใครเลย คนผู้ประมาทแล้วนี้ซิ เป็นภัยแก่สังคมมากภัยเหล่านี้ย่อมเกิดจากผู้มีชีวิตอยู่แต่ประมาทแล้ว คือความโลภ ทะยานอยากได้ ทำให้หน้ามืด ไม่มีขอบเขต จนเป็นเหตุทำความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอื่นความโกรธ มุทะลุเหี้ยมโหด เพ่งแต่โทษของคนอื่น หาเรื่องทะเลาะด่าว่าฆ่าตีไม่มีดีกับใครๆโมหะ ความหลงมัวเมาเข้าใจผิด คิดในสิ่งที่ดีว่าชั่ว สิ่งที่ชั่วว่าดี สิ่งที่ผิดเห็นเป็นถูก แต่สิ่งที่ถูกกลับเห็นว่าผิด ไม่เข้าใจความเป็นจริง ดันทุรังถือรั้นเอาแต่ใจของตนเหล่านี้ก็ดีย่อมเป็นภัยแก่สังคมคนประเภทดังกล่าวมานี้ เข้าในสังคมใดย่อมก่อความไม่สงบวุ่นวายขึ้นในสังคมนั้น จนเป็นเหตุให้สังคมเขาเอือมระอา แต่ตัวเองเห็นว่าเป็นของเด่นอยู่เสมอ ภัยทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเกิดจากคนประเภทดังกล่าวแล้วทั้งนั้นอนึ่ง ท่านเปรียบกิเลสสามกองนั้นไว้อย่างน่าฟังว่านตฺถิ ตญฺหา สมานที แม่น้ำน้อยใหญ่ที่ไหลไปไม่มีเวลาหยุด เสมอด้วยความโลภทะยานอยากได้ของคน ไม่มีนตฺถิ โทส สมากาลิ ความผิดหวังของบุคคลผู้กระทำผิดอย่างร้ายแรง เสมอด้วยความโกรธ ไม่มีนตฺถิ โมห สมาชาลํ ข่ายทั้งหลายที่ดักสัตว์ทุกๆ ชนิด (ถึงแม้จะวิเศษและทันสมัยอย่างไรก็ตาม) เสมอด้วยความหลง ไม่มี ดังนี้เมฆหมอกที่ปกคลุมแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ ถึงแม้จะมืดมิดสักปานใด ก็ยังมีเวลาฉายแสงจ้าออกมาได้เวลาหนึ่ง แต่กิเลสสามกองนี้ เมื่อได้เข้าจับหัวใจของใครแล้ว ต้องมืดมิดปิดบังอย่างน่ากลัวความโลภ ความทะยานอยากได้ไม่มีขอบเขต เป็นกิเลส เหมือนน้ำฝนตกจากที่สูง ไหลท่วมท้นที่อยู่ของคนแล้วก็ไหลท่วมท้นที่อื่นๆต่อไป จนเป็นอันตรายแก่พืชผลได้ ความโลภไม่รู้จักอิ่มของคนก็เหมือนกัน มีล้นเหลือแล้วไม่รู้จักพอ ยังอยากได้ของคนอื่นร่ำไป ทั้งที่ของตนมีอยู่มากมาย ถึงแม้ความหิวแทบตาย บางทียังไม่ยอมสละ ทรัพย์ออกใช้จ่าย เพราะกลัวจะหมดไป บางทีเห็นคนอื่นใช้จ่ายไปยังเสียดาย เป็นทุกข์แทนเขา จนอดริษยาเขาไม่ได้ก็มีความโกรธ เป็นเหมือนกับไฟ ย่อมไหม้เชื้อไม่เหลือ แม้แต่ของสดๆ ก็ไหม้ ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นที่หัวใจของใครแล้ว ทำให้เหี้ยมโหดกักขฬะกล้าแข็งยิ่งนัก ไม่เลือกว่า หน้าอินทร์หน้าพรหม หรือผู้มีพระคุณอย่างไรก็ตาม มันโกรธได้ไม่เลือกหน้า หากมีศาสตราอาวุธอย่างวิเศษแล้ว ก็สามารถสังหารโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ให้แหลกเป็นจุลไปด้วยแรงฤทธิ์ของมัน ในชั่วพริบตาเดียวความหลง ที่เรียกว่าโมหะ มีลักษณะเหมือนเมฆหมอก ถึงแม้มันจะเป็นของเย็นก็ครอบคลุมได้ทั้งน้ำและไฟแล้วไหลลอยไปตามลม กล่าวคือ เมื่อจิตทะยานอยากจนให้เกิดความโลภขึ้นมาแล้ว หลงก็พลอยสนับสนุน คิดเอาแต่ได้ไม่เลือกหน้า ว่าควรหรือไม่ควร ลักขโมย ปล้นชิง วิ่งราว ฆ่าเจ้าของทำได้ทั้งนั้น ไม่คิดถึงโทษทุกข์ทั้งของตนและคนอื่น ปิดบังสติสัมปชัญญะ มิได้คิดถึงคุณและโทษ ตั้งหน้าแต่จะกอบโกยเอาด้วยหน้าตามึนชาไม่มียางอายอย่างเดียวถึงความหลงจะไม่แสดงพิษร้ายแรงเจ็บแสบ แต่หลงก็ได้เข้าไปแทรกสนับสนุนให้ความโกรธเห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิดไปเข้าข้างตัวส่วนเดียวจนได้ ทำให้ความโกรธ มีกำลังแข็งกล้า ถึงกับหน้าเขียวเสียงสั่น ลบล้างศรัทธา ปัญญาและศีลธรรมอันดีงามที่เคยได้อบรมมาหมดในเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้วจะยังปรากฏอยู่อย่างเดียว นั่นคือตายักษ์หน้ามาร อากัปกิริยาของปีศาจ ความเกรี้ยวกราดของจอมพาล ความกล้าหาญอย่างโง่ๆ ความหลงนี้ย่อมเข้าครอบคลุมได้ในที่ทุกสถาน ไม่ว่าบ้านและวัดรัฐสถาน แม้ราชสำนักมันก็ไม่กลัว ความหลงมันเข้าไป ทรงอำนาจอิทธิพล เที่ยวป้วนเปี้ยนไปหมดกิเลสสามกองนี้ เมื่อเข้าไปหมักหมมดองอยู่ในใจของ คนใดแล้ว ย่อมทำให้ใจของคนนั้นเสื่อมคุณภาพลงทุกที เหมือนสนิมเกิดขึ้นในเหล็ก แล้วกัดเหล็กให้สึกกร่อนไปฉะนั้นด้วยเหตุนี้ ทุกๆคนจึงควรคิดถึงกาลเวลาอันมีค่า ที่เราอยู่ได้ไม่ตายเพราะกาลเวลายังเหลืออยู่ไว้ให้เราใช้ให้เป็นประโยชน์ และอย่าได้เข้าใจว่ามันยังเหลืออยู่มากนักแท้จริง วันคืน เดือน ปี ที่เรานับกันว่าได้เท่านั้นเท่านี้ นั้น มิใช่เรานับของที่ได้ แต่เรานับของที่มันหมดไป เหมือนกับคนเดินทาง ข้างหลังมีแต่จะยาวออกไป ข้างหน้าสั้นเข้าๆ ทุกที อายุที่เรานับอวดอ้างกันนักหนาว่าข้าได้ ๕๐-๖๐-๗๐ ปีนั้น เป็นการนับอายุที่หมดไปแล้ว ไม่ได้กลับคืนมาให้เรานับอีก ส่วนที่ยังเหลืออยู่ไม่มีใครรู้สักคนว่า ยังอีกมากน้อยเท่าไร โจรขึ้นขโมยของบนเรือน เจ้าของไป แจ้งต่อเจ้าหน้าที่แต่เฉพาะของที่หายไปเท่านั้น ส่วนที่ยังอยู่ เจ้าของบ้านไม่เคยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเลย ฉันใด การนับอายุ ก็นับได้แต่ส่วนที่หมดไป ส่วนที่ยังเหลือไม่มีใครรู้เลย ฉันนั้นผู้มาพิจารณาถึงอายุชีวิตของตนว่า เป็นของมีประมาณน้อย และไม่มีเครื่องหมายไม่ทราบว่าจะตายวันไหน ย่อมเสื่อมสิ้นสูญไปกับวัน คืน เดือน ปี แล้ว จึงควรเป็นผู้ไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้นอนึ่ง ผู้มาพิจารณาถึงกาลเวลาอันกลืนกินอายุชีวิตของ ตนให้หมดสิ้นสูญไปอยู่เสมอ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เจริญมรณานุสสติกัมมัฏฐาน หากปัญญาญาณยังไม่แก่กล้า สามารถจะถอนอุปาทานขันธ์ได้อย่างเด็ดขาด ก็ยังจะเป็นเครื่องบรรเทาความมัวเมาประมาทให้ลดหย่อนลงบ้างตามโอกาส อันสมควร แล้วจะได้ปรารภถึงคุณงามความดี มีการทำทาน รักษาศีล ภาวนา เป็นต้นละความชั่ว ความผิดทุจริตต่างๆ ที่เคยทำมาแล้ว และกำลังทำอยู่ก็ดี ไม่สามารถจะทำต่อไปตามวิสัยของผู้ไม่ประมาท ก็จะเป็นประโยชน์โสตถิผลทั้งแก่ตนและส่วนรวม ตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า ถ้าอาศัยอัปมาทธรรม คือ ความไม่ประมาท เจริญไม่ขาดจนให้ชำนาญปานประหนึ่งว่า ยานพาหนะอันจะนำตนไปสู่มัคคาวิถีแล้ว จะมีจิตแกล้วกล้าสามารถต่อสู้มัจจุราชภัย อาจหวังได้ชัยชนะในที่สุด เพราะผู้ยอมสละทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตก็ยอมพลีไม่มีอาลัยเพื่อความบริสุทธิ์ของ ใจแล้ว อารมณ์ทั้งหลายแหล่ก็จะปราศจากไปไม่มีเหลือ ต่อแต่นั้นจิตก็จะตั้งมั่นเข้าถึงขั้นภาวนาสมาธิโดยนัยดังแสดงมาก็ควรแก่เวลา เอวํ ก็มีด้วยประการ ฉะนี้ ฯ(จากการแสดงธรรมณ วัดเจริญสมณกิจ จ.ภูเก็ต วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖)(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 122 มกราคม 2554 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย) Create Date :22 สิงหาคม 2554 Last Update :22 สิงหาคม 2554 8:20:10 น. Counter : Pageviews. Comments :0 twitter google Comment *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก