bloggang.com mainmenu search
ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การฟังเรื่องราวของพระสูตรก็ถือว่า ฟังเรื่องราวของบุคคลผู้ปฏิบัติก่อน การที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาพระสูตรมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง ก็มีความประสงค์อยู่ว่า จะได้ถือเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติ
มีบรรดาพุทธบริษัทหลายท่านว่า เรื่องราวของพระสูตรเป็นเหตุไร้ผล เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์มานาน และมีใครที่ไหนบ้างจะจำเข้าไว้ ดีไม่ดีเขาก็กล่าวว่า พระสูตร เป็นเรื่องราวที่บรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายแต่งขึ้นไว้หลอกเด็ก เรื่องนี้จะเป็นประการใดก็ช่างเถิด
บรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาถือ เอาเหตุ เอาผล กันดีกว่า เรื่องพระสูตรจะจริง หรือไม่จริงก็ช่าง ถ้าเราเป็นคนมีปัญญาสามารถปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์สอน ทำ ทิพยจักขุญาณ ให้เกิด ทำ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ให้เกิด ทำ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ให้เกิด ทำ เจโตปริยญาณ ให้เกิดเพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ก็รู้สึกว่าจะเป็นของไม่ยากนัก จะเห็นว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา มีเหตุผลพอสมควร แล้วก็เป็นความจริงทุกอย่าง
สำหรับพระสูตรที่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังมาในกาลก่อนถึงบุพกรรม รู้สึกว่าเป็นกรรมชั่ว ทำตัวให้ได้รับความทุกข์ ฟังแล้วน่าสลดใจ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรอ้างตัวอย่าง แม้แต่กรรมของพระองค์เองที่เป็นพระมหาชนก ด้วยมีเจตนาความรักในสามเณรตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นเด็กอายุแค่ ๗ ขวบ พายเรือมา สามเณรตัวเล็กๆ นี้ น่ารักมาก แกล้งทำน้ำให้เป็นคลื่น เพื่อเป็นการล้อเณร พอดีสามเณรเรือล่ม อาศัยที่พระองค์ทำให้สามเณรเรือล่ม และก็มีความรักอยู่เป็นทุน จึงได้อุ้มสามเณรนั้นขึ้นบก เปลี่ยนผ้าให้ใหม่ รับเป็นโยมปวารณา ในฐานะที่พระองค์เป็นพระราชา เณร เป็น เณรของหลวง เป็นพระของหลวง มีความสุขเป็นพิเศษ
แต่ถึงกระนั้นก็ดี องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าวว่า กรรมเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ท่านจัดว่าเป็นอกุศลธรรม ความจริงน่าจะคิดถึงเจตนา เจตนาของพระองค์ไม่ได้คิดว่าจะฆ่าหรือจะแกล้งสามเณรให้มีความทุกข์
แต่ว่า กรรมเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ก็ทำให้องค์สมเด็จพระชินศรี ต้องว่ายน้ำมาถึง ๕๐๐ ชาติ แต่ว่าผลของความดีที่สงเคราะห์สามเณร การว่ายน้ำคราวใดก็ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเป็น พระราชา ทุกชาติเหมือนกัน เป็นอันว่าผลของความชั่ว และผลของความดีให้ผลร่วมกัน
แต่ทว่า ต่อแต่นี้ไปจะกล่าวถึงผลความดี ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง เพราะว่าการเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าทรงแนะนำโดยเฉพาะ คือให้บรรดา
ท่านพุทธบริษัทตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันหนึ่ง นั่นก็คือ พระนิพพาน
การจะไปพระนิพพานของบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รู้สึกว่ามันยากเหลือเกิน ทั้งนี้เพราะว่า ก่อนจะไปนิพพานได้ ต้องตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน สำหรับกิเลสนี้ พระโบราณาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า มี กิเลสถึงพันห้า ตัณหาร้อยแปด เป็นอันว่ากิเลส และตัณหานี้ นับกันจริงๆ มันก็ไม่ถ้วน แล้วเราจะนั่งไล่กิเลสให้หมดใจ ไล่ตัณหาให้หมดใจ มันจะเป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องน่าสงสัย
สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อไรเราจะไล่กิเลสหมดเราจะไล่ความรัก ที่เกี่ยวกับกามารมณ์ การอยากมีผัว มีเมีย อยากมีลูก เมื่อไรมันจะหมดไปสักที เราจะไล่กิเลสตัวร้าย คือ ความโกรธ คิดประทุษร้ายชาวบ้านชาวเมืองนี้ เมื่อไรมันจะหมดไป เราจะมาไล่ ความหลง ที่ปรากฏขึ้นในใจ มันก็แสนยาก เพราะมันหลงเสียแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราฟังไปในด้านการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา รู้สึกว่าจะยากเต็มที
แต่ทว่า องค์สมเด็จพระมหามุนี ในฐานะที่เป็นสัพพัญญู เป็นพระพุทธเจ้า มีความฉลาดเป็นพิเศษ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็มีวิธีแนะนำ คือแนะนำแบบความฉลาด ถ้าฉลาดจริงๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง การไปพระนิพพาน ก็ไม่ใช่ของยากเหมือนกัน บางทีท่านฟังแล้ว จะรู้สึกว่าง่ายเกินไปกว่าที่ท่านคิด แต่ว่าสำคัญอยู่ที่จิตเท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เราจะเกิดในอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือจะมาเกิดเป็นมนุษย์ มีความสุข มีความทุกข์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม หรือเกิดที่นิพพาน ความสำคัญอยู่ที่ใจอันเดียว ถ้าใจเราดี จับอยู่ในส่วนดี เราก็มีความสุข สามารถจะเปลื้องความทุกข์เข้าถึงพระนิพพาน ถ้าเรากลายเป็นคนใจร้าย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราก็ไม่พ้นความทุกข์
ทีนี้เรามาดูตัวอย่างกัน สำหรับท่านที่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็น สัตว์เดรัจฉาน สามารถทำจิตใจของตนให้เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่ายๆ เพียงตายจากสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดเป็นเทวดา จุติจากเทวดา มาเกิดเป็นคน ได้พบศาสนาขององค์สมเด็จพระบรม ทศพลบรมศาสดาแล้ว ฟังเทศน์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ความจริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าเทศน์ เป็นพระสงฆ์สาวกเทศน์ เพียงจบเดียว ท่านก็บรรลุพระโสดาปัตติผล พอฟังครั้งที่สอง ก็เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหัตผล
เมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ก็จะรู้สึกว่าง่าย ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร จึงได้ทรงแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้ระวังใจเป็นสำคัญ โดยพระบาลีว่า “เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาเป็นตัวบุญ” และมีพระบาลีกล่าวว่า
“มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ” เราจะดีหรือจะชั่วได้ ก็อาศัยใจเป็นสำคัญ
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรามาดูตัวอย่างกันว่า ใครหนอที่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นคน เข้าถึงซึ่งพระนิพพานง่าย บรรดาท่านพุทธ
บริษัททั้งหลายจะลองฟัง และลองปฏิบัติตาม เราเป็นมนุษย์ มีความสำคัญยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะเรารู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงธรรมหรือไม่ใช่เสียงธรรม ลองฟังเรื่องราวของท่าน ตามพระสูตรมีอยู่ว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป ในสมัยนั้น ปรากฏว่ามีงูเหลือมอยู่หนึ่งตัว เป็นงูเหลือมแก่ อาศัยอยู่ในเขตสถาน คือถ้ำแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับสำนักของพระสงฆ์ ในคราวหนึ่ง องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ คือ ปกรณ์ ๗ ประการ ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า เป็นปิฏกที่ ๓ และเป็นปิฏกที่มีความสำคัญที่สุด ถ้าเทวดา และมนุษย์ ปฏิบัติในด้านอภิธรรมทั้ง ๗ ประการนี้ได้ครบถ้วน ท่านผู้นั้นก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วที่สุด
ในคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาก็ได้เลือกความรู้ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุมา เห็นว่า อภิธรรม มีความสำคัญเท่ากับความดีของพระมารดา ควรแก่ก้อนข้าว และน้ำนมที่พระมารดาเลี้ยง คือให้ชีวิตมา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ทรงนำพระอภิธรรมไปแสดง เทศน์จบเดียวปรากฏว่าพระพุทธมารดาได้พระโสดาปัตติผล และมีเทวดา และพรหมมากท่านได้ถึงซึ่งพระอมตะมหาปรินิพพาน คือเป็น พระอรหันต์
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การฟังอภิธรรมย่อมมีประโยชน์ ถ้าเราฟังด้วยความเคารพ แม้แต่พระที่ท่านสวดเราฟังไม่รู้เรื่องว่า ท่านสวดว่าอย่างไร แต่ถ้าฟังด้วยใจเคารพแล้วท่านก็สามารถจะถึงพระนิพพานได้ อย่างช้าอีกชาติเดียวเท่านั้นสำหรับเรื่องราวของคน อาตมาจะยังไม่พูด จะขอพูดเรื่องของ “งู” ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานก่อน
เมื่อองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนพระอภิธรรมแก่บรรดาพระสาวกแล้ว คณะสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็มีความประสงค์จะท่องจำให้ขึ้นใจ จึงพากันไปซ้อมพระอภิธรรมในถ้ำใหญ่
ในถ้ำนั้น ปรากฏว่า มีค้างคาวห้อยหัวกันอยู่ ๕๐๐ ตัว เพราะว่าเวลากลางวัน ค้างคาวนอนหลับ และนอกจากค้างคาวก็มี งูเหลือมแก่อยู่อีกตัวหนึ่ง งูเหลือมแก่ตัวนี้แก่มาก ไปไหนไม่ค่อยไหว อาศัยอยู่ในถ้ำ เรื่องของค้างคาว อาตมาจะงดไว้ก่อน จะพูดเฉพาะเรื่องของ งูเหลือม
งูเหลือมตัวนี้ เมื่อนอนอยู่ได้ยินเสียงพระซ้อม อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ แต่ทว่าบทอื่นๆ ใดนี้ แกไม่เคยชอบ ความจริงแกไม่รู้ว่า พระท่านสวดอะไร ท่านว่าอะไร จะเป็นธัมมะธัมโมหรือไม่ ท่านไม่เข้าใจ พอใจแต่เฉพาะในเสียง ที่พอใจในเสียง ก็พอใจอยู่บทเดียว คือ บทอายตนะ ในตอนหนึ่งของบทอายตนะที่เราเรียกว่า ปัญจักขันธาใหญ่ ท่านสวดกันว่า “จักขุนทริยัง โสตินทริยัง ฆานินทริยัง ชิวหินทริยัง” เหล่านี้เป็นต้น มันลงท้าย ยังๆ
สำหรับบทนี้ ในสมัยเมื่ออาตมาบวชใหม่ๆ อยู่กับหลวงพ่อปาน พระในสมัยนั้นท่านชอบสวดปัญจักขันธาใหญ่ ในสมัยที่มีคนตาย พระที่บวชใหม่ว่าไม่ได้ อย่างอาตมายังไม่ได้ท่องกับเขา
เวลาเขาสวดบทนี้ก็ดำน้ำตามเขาไปด้วย ว่าตัวหน้าไม่ได้ ก็ลงท้าย ทริยังๆ พอจบแล้ว ก็แลกสตางค์ค่าสวดกับเขาได้เหมือนกัน เขาถวายเท่ากัน พระที่สวดได้ทั้งหมดก็ได้สตางค์ อาตมาสวดกับเขาไม่ได้ เขาก็ถวายสตางค์เท่ากัน แต่ทว่าการสวดเพื่อหวังสตางค์นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ท่านบอกว่า ตายแล้วลงนรก
ตอนบวชใหม่ๆ อาตมาสร้างนรกไว้กี่ขุมแล้วก็ไม่ทราบ มาหวาดหวั่นนรกขึ้นมา ตอนที่โตขึ้นมาสักหน่อย หรือบวชนานนิดจิตคิดขึ้นว่า ถ้าขืนเกิดต่อไปจะไม่เป็นเรื่อง ก็จะหาทางไม่เกิด จึงได้ค้นคว้าดูตำราของพระไตรปิฏกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเทศน์ไว้ตรงไหนบ้าง ที่เราจะไปพระนิพพานกันได้ง่ายๆ เมื่อค้นคว้าไปก็พบหลายจุด
ตอนนี้มาพูดกันถึงงูเหลือม เมื่องูเหลือมแก่ฟังบทว่า ทริยังๆ แกชอบตรงนี้ ไม่รู้ว่าพระท่านว่าดีหรือไม่ดี ว่าอะไรก็ไม่ทราบแกชอบตรง ทริยัง มันลงท้ายเหมือนๆ กัน ฟังเพราะดี
เมื่อฟังมาได้ ๒-๓ วัน อายุของท่านงูเหลือมตัวนี้ก็ถึงเวลาตาย เพราะแก่มากแล้ว อาศัยที่ฟังบทของอภิธรรม อย่างประเภทไม่รู้เรื่อง เพียงชอบใจในเสียง ปรากฏว่าแกตายจากงูเหลือมแล้ว แกก็ไปเกิดเป็นเทวดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร จำไม่ได้นัก
เมื่อหมดกาลจากความเป็นเทวดา ก็มาเกิดในเขตของชมพูทวีป เกิดก่อน พระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณ ๓๐ ปี ในระหว่างที่มาเกิด ความจริงมาจากด้านของความดี คือเป็นเทวดาได้เพราะเขตของพระพุทธศาสนา แต่ที่จะมาเกิดเป็นคน มาเกิดในตระกูลที่เคารพใน อเจลก คือ พระแก้ผ้า
ในตอนต่อมา ก็ปรากฏว่า แกบวชเป็นพระในสำนักของอเจลก เดินแก้ผ้าตามสบาย ไม่มีกฎหมายลงโทษ แต่เป็นที่เคารพของตระกูลของพระราชา และอาศัยที่ได้ฟังทริยังๆ มานั่นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นเหตุให้อเจลกท่านนี้ได้ ทิพจักขุญาณ เป็นเรื่องน่าแปลกไหม บรรดาท่านพุทธบริษัท การเข้าถึงศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดา ด้วยกำลังใจที่เคารพเพียงเล็กน้อย มาเกิดเป็นคน บวชเป็นอเจลก ก็ได้ทิพจักขุญาณ สามารถจะรู้อะไรต่ออะไรได้บ้างตามสมควร เพราะเป็นญาณที่มาจากฌานโลกีย์
มาวันหนึ่ง เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชยังเป็นเด็กเล็ก พอเดินได้สะดวกๆ เวลานั้นเป็นยามว่าง ท่านพ่อเอาลูกขึ้นไปอุ้มไว้บนตัก ลูกชายนั่งตักท่านพ่อ นั่งไปนั่งมา ก็ปวดอุจจาระ ถ่ายอุจจาระออกมาเปื้อนตักของท่านพ่อ ท่านพ่อเห็นว่าลูกชายถ่ายอุจจาระออกมาเปื้อนก็จับโยนไปข้างๆ คำว่าโยน ในที่นี้คงไม่โยนแรงคงจะจับไปวางไว้ แต่บาลีท่านกล่าวว่า โยน พ่อมีความรักลูก จะโยนให้เจ็บหนักก็ไม่ได้
เมื่อมารดาเห็นว่า พ่อไม่ชอบใจลูก เพราะลูกขี้รดตัก จึงได้นำลูกชายที่รักไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ แล้วก็พาลูกชายไปเดินเที่ยวนอกวัง พอดีคราวนั้น ก็ไปพบอเจลกคนสำคัญนี้เข้า คือ อเจลก
งูเหลือม
(ชื่อของท่านมี ถ้าจะกล่าวให้ฟัง ก็เป็นการไม่สมควร จำยาก เราเรียกกันว่า อเจลกงูเหลือม ก็แล้วกัน) อเจลกเป็นที่เคารพของตระกูลนี้ เมื่อเห็นเด็กคนนี้เข้าก็ยืนมองดู
พระราชินีสงสัย จึงได้ถามอาจารย์ใหญ่ว่า พระคุณเจ้าดูลูกชายหม่อมฉัน เพื่อประสงค์อะไรพระเจ้าข้า อเจลกคนนั้นจึงกล่าววาจาว่า ภคินิ ดูก่อนน้องหญิง ลูกชายคนนี้เลี้ยงไว้ให้ดีนะ เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้ว จะเป็นกษัตริย์ที่มีความสำคัญมาก จะมีเดชอำนาจมากเหลือเกิน แต่ทว่าจะต้องฆ่าน้องชายต่างพระมารดา ๘๐ พระองค์ ด้วยความจำเป็น เมื่ออเจลกพยากรณ์แล้วก็ผ่านไป นางก็พาลูกชายกลับเข้าไปสู่พระราชวัง
นับตั้งแต่นั้นมา นางก็จำเรื่องราวไว้ แต่ไม่เคยบอกให้ใครทราบ เมื่อท่านอโศกมหาราชโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม บรรลุนิติภาวะเป็นที่รักของบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารมาก เพราะมีจริยาดี ไม่เหยียดหยามใคร มีจิตเมตตา พระราชบิดาก็ทรงโปรด จึงแต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าเมืองหน้าด่าน เพราะมีความสามารถในการรบ และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยได้
ต่อมา ไม่ช้านานเท่าใด ก็ปรากฏว่าพระราชบิดาสวรรค์บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพาร จึงได้เชิญพระเจ้าอโศกมหาราช มาเถลิงราชสมบัติแทนพระบิดา ท่านมีน้องชายอยู่องค์หนึ่ง เป็นพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกัน นอกจากนั้นเพราะอาศัยพระราชบิดามีพระชายามาก ก็มีน้องชายต่างพระมารดา ๘๐ องค์เศษ
เมื่อท่านขึ้นเถลิงราชสมบัติ น้องชายต่างพระมารดา ก็คิดทรยศ หวังจะกบฏ ยึดราชสมบัติเข้ามาครองเสียเอง จึงได้นำกองทัพภายนอกทั้งหมด เข้ามาล้อมพระราชวัง
ความจริงพระเจ้าอโศกมหาราช กับพระอนุชา สองพระองค์เท่านั้น และมีทหารวังอีกไม่กี่ร้อยคน จึงได้ปรึกษากันว่า เวลานี้เขามาล้อมจะจับเรา เราจะสู้หรือจะยอมให้เขาจับ ยอมให้เขาเนรเทศ ดีไม่ดีบางทีเขาก็ฆ่าเราตาย เขาไม่ยอมเนรเทศ ท่านน้องชายจึงได้กราบทูลว่า ในฐานะที่เราเป็นลูกกษัตริย์ ควรจะทรงความเป็นขัตติยมานะเข้าไว้ เมื่อตาย ยอมตายดีกว่ายอมให้เขาจับ ถึงแม้ว่าเขาจะมีกำลังมากกว่าเราหลายเท่าเต็มที เมื่อพี่กับน้องประกอบไปด้วยความสามัคคี พร้อมเพรียงกันเช่นนั้น จึงได้รวบรวมกำลังของทหารเท่าที่มีอยู่ ออกไปปะทะกับข้าศึกศัตรู ซึ่งมีน้องชายต่างมารดาเป็นผู้นำเข้ามา
แต่ในที่สุด ด้วยอำนาจบุญญาธิการ และความสามัคคี ท่านทั้งสองก็จับน้องชายต่างพระมารดาได้หมด กองทัพทั้งหมดก็พากันยอมแพ้ ท่านจึงสั่งประหารชีวิตน้องชายต่างพระมารดาทั้งหมด
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าความสามัคคีปรากฏถึงแม้ว่าเราจะมีกำลังน้อยด้อยกว่าข้าศึก แต่ถ้าเราผนึกกำลังกันไว้ ด้วยความสามัคคี ข้าศึกก็ไม่สามารถเอาชนะเราได้ ดูตัวอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น พระองค์กับน้องชาย สององค์สามารถปราบข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าหลายเท่าได้
ต่อมา เมื่อเรื่องร้ายอย่างนี้เกิดขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราชจึงถามพระมารดาว่า เรื่องที่มันเกิดขึ้นมานี้ เคยมีใครพยากรณ์ไว้บ้างหรือเปล่า พระมารดาก็เล่าความจริงตามเดิมให้ฟัง พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องการจะเอามาเป็นอาจารย์ประจำสำนัก พระมารดาจึงได้บอกว่า อเจลก องค์นี้ ท่านอยู่ไกลจากพระราชวังประมาณ ๓๐๐ โยชน์
พระเจ้าอโศกมหาราชก็ไม่ย่อท้อ จึงส่งกองเกียรติยศ พร้อมไปด้วยเสลี่ยงประจำพระองค์ ไปรับท่านอเจลกองค์นี้ เข้ามาหวังจะให้เป็นอาจารย์อยู่ใกล้ๆ จะได้เป็นที่ปรึกษา
แต่ทว่า เมื่ออเจลกได้เห็นบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารไปรับก็ดีใจ ขึ้นเสลี่ยงตั้งใจจะมาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่ว่าอาศัยที่ยังมีกิเลสอยู่ในใจ ก็นึกครึ้ม คิดว่าเราจะเป็นพระแก้ผ้า ดีกว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่พระราชาไม่เคารพ เคารพในเรา
เมื่อผ่านวัดของสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาจึงบอกกับคนหามว่า วางคานหามก่อน เราจะไปเยี่ยมสมณะด้วยกัน (นี่ แสดงว่า เบ่ง) เมื่อเขาวางคานหามแล้ว ท่านก็นวยนาดเข้าไปในวัด เดินแก้ผ้าโทงๆ เข้าไป
บังเอิญวัดนั้น มีพระอรหันต์เป็นสมภาร เป็นหัวหน้า เมื่อท่านเห็นอเจลกเดินเข้ามา ท่านจึงถามว่า “ว่าอย่างไร พ่ออายตนะ พ่องูเหลือม ลืมอายตนะเสียแล้วหรือ” เมื่อสะกิดถูก แผลเก่าเข้าสิ่งที่เป็นกุศลประจำใจมันก็ปรากฏ มีความละอาย นั่งพับเพียบ เอาขาปิดหน้าล่างเข้าไว้ พระรู้ว่าท่านอาย จึงได้ส่งผ้าให้นุ่ง ส่งผ้าให้ห่ม ท่านอเจลกเห็นสัตว์ร้ายอยู่เยอะ มีเสือ สิงห์ หมู ละมั่ง กวาง เก้ง เป็นต้น นอนอยู่ ไม่ทำอันตรายกัน จึงถามว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เขาเรียกว่าอะไร” พระก็ตอบตามใจเดิมของท่านที่มีความรู้สึกว่า ท่านบอกเขาว่า เขาเรียกว่า “อายตนะ” ท่าน พูดเรื่องอายตนะพอเบาๆ ปรากฏว่า อเจลกงูเหลือม ได้พระโสดาปัตติผล
เมื่อได้พระโสดาบันแล้ว
ก็มีความรู้สึกตนว่า ความรู้เก่ามันเลวเหลือเกิน ใช้ไม่ได้ ตั้งใจจะยังไม่ไปหากษัตริย์ จึงมาบอกให้อำมาตย์เข้าไปก่อน บอกว่า “กิจที่เราจะพึงทำยังมีอยู่ ไปกราบทูลพระราชาของเธอ ให้ทรงทราบว่า เราเสร็จกิจในพระพุทธศาสนาแล้ว เราจะเข้าไป”
เมื่อกลับเข้ามาใหม่ ปรากฏว่า พระองค์นั้นซึ่งเป็นพระอรหันต์ เทศน์อายตนะซ้ำอีกคราวหนึ่งอย่างละเอียด ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้วจึงได้กลับมาสอนพระเจ้าอโศกมหาราช ให้มีความเคารพในพระพุทธศาสนา
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า ฟังเรื่องราวของงูเหลือว่า มีจิตเคารพในพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่พอใจในเสียง ตายไปเป็นเทวดา กลับมาเกิดเป็นคน เป็นอรหันต์ได้ฉันใด
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งเกิดเป็นคน มีความรู้เรื่องว่า นี่เป็นเสียงของกุศล และอกุ
ศล ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทถูกใจในคำสวดบทใดบทหนึ่ง หรือคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องจับใจ เวลาตายลงไป ใจยังพอใจในเรื่องนั้น หรือเวลาก่อนจะตาย เวลาป่วยไข้ไม่สบาย
หรือยามปกติ เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟัง ชอบธรรมะตอนไหน ฟังตอนนั้นเป็นปกติ เป็นเครื่องจับใจตายแล้วก็ไปสวรรค์ กลับลงมาเกิดอีกที ดีไม่ดีเป็นพระอรหันต์เลย เช่นเดียวกับงูเหลือม
แต่อาตมามั่นใจว่า คนเราดีกว่างูเหลือม เพราะเรารู้เรื่องว่า นี่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และก็รู้ว่าสิ่งทั้งหลายนี้เป็นบุญ เป็นกุศล
เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ขอท่านทั้งหลายที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงมั่นใจว่า ท่านมั่นใจในธรรมบทใดบทหนึ่ง ถ้าไม่ได้อรหัตผลในชาตินี้ ตายก็เป็นเทวดา กลับมาเกิดอีกที ได้เป็นพระอรหันต์ เช่นเดียวกับงูเหลือมแน่นอน
ในที่สุดนี้ อาตมาก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
***********

//board.palungjit.com/f14/%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3-206341.html
Create Date :28 พฤษภาคม 2556 Last Update :28 พฤษภาคม 2556 8:10:53 น. Counter : 1663 Pageviews. Comments :0