รักชาติให้ถูกทาง ต้องใช้วิจารณญาณ เช่น กรณี ดาวเทียมไทยคม
ผู้มีการศึกษา วัดกันที่การรู้จักวิเคราะห์ ค้นหา และใช้เหตุผล ไม่ใช่ใช้อารมณ์ความรู้สึก

เปิดข้อเท็จจริงไทยคม ถอดรหัสสมบัติชาติ กับดาวเทียมเชิงพาณิชย์ [26 ก.พ. 50 - 17:34]

//www.thairath.com/news.php?section=economic02&content=38191

ทันที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกาศว่า จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อทวงดาวเทียม ไทยคมซึ่งถือเสมือนเป็นสมบัติของชาติคืนจากอภิมหากองทุนยักษ์แห่งสิงคโปร์

เลือดรักชาติของคนไทยก็พลุ่งพล่านขึ้น พร้อมๆกับส่งเสียงขานรับที่ดังกระหึ่มเมือง

หลายคนโจมตีว่า การขายหุ้นของอดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวที่พ่วงเอาดาวเทียมไทยคม และกิจการในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไทยไปด้วย เป็นเรื่องน่าอดสูใจที่คนเป็นถึง นายกรัฐมนตรีของประเทศจะแอบดอดเอาสมบัติชาติไปขายเพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ตน และคนในครอบครัว

บ้างก็สร้างภาพเสียน่ากลัวว่า ป่านนี้รัฐบาลสิงคโปร์คงจะล้วงตับ ล้วงความลับทางการทหาร และความลับของประเทศไทยไปจนหมดไส้หมดพุงแล้ว จากการจารกรรมข้อมูลผ่านดาวเทียมไทยคมนี่เอง

ในขณะที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และกระทรวงพาณิชย์ พยายามพลิกตำราหาช่องทางกฎหมายเสนอให้รัฐบาลทำการยึดสัมปทานคืนทันที เมื่อได้พิสูจน์แล้วว่า มีการจัดตั้งบริษัทหนึ่งบริษัทใดขึ้นมาทำหน้าที่เป็นนอมินีแทนต่างชาติเพื่อให้สามารถถือหุ้น หรือมีสิทธิออกเสียงในกิจการที่ควรสงวนไว้ให้เป็นของคนไทยได้

แต่ไม่ว่ากระแสการรักชาติหรือความเป็นชาตินิยมจะรุนแรงเพียงใด และนำพาคนไทยไปในทิศทางใดก็ตาม

ทีมเศรษฐกิจ ขอให้คนไทยตั้งสติพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบก่อนจะตีโพยตีพายไปจนเสียการว่า ประเทศไทยได้สูญเสียสมบัติชาติไปให้กลุ่มทุนสิงคโปร์เป็นที่เรียบร้อยไปแล้วจริงหรือไม่

พร้อมกับขอใช้พื้นที่นี้ ส่องกล้องไปดูที่มาที่ไปของดาวเทียมไทยคม ตลอดจนเส้นทางการผ่องถ่ายสัมปทานเจ้าปัญหาสู่กองทุนเทมาเสกที่ว่า ก่อนจะไปถึง คำตอบที่ว่า

เราควรจะทวงคืนดาวเทียมไทยคมกลับมาหรือไม่?!

ปูมหลัง และจุดเริ่มต้นปัญหา

บมจ.ชิน แซทเทลไลท์ หรือ SATTEL ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2534 โดย บริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN เพื่อดำเนินโครงการดาวเทียมสื่อสารแห่งชาติ ภายใต้สัมปทานของกระทรวงคมนาคม ก่อนที่จะมีการแยกอำนาจการกำกับดูแลไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) ในปัจจุบัน โดยมีอายุสัมปทานรวม 30 ปี สิ้นสุดปี พ.ศ.2564

ภายใต้สัญญาสัมปทานนี้ ชินคอร์ปจะต้องถือหุ้นในชินแซทไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เพื่อเป็นหลักประกันแก่คู่สัญญา หากมีการปฏิบัติผิดสัญญาไม่ว่ากรณีใด ผู้ถือหุ้นใหญ่จะต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบในการกระทำนั้นๆ ขณะที่รัฐบาลโดยกระทรวงที่รับ ผิดชอบจะเป็นผู้จัดหาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมให้แก่ผู้รับสัมปทาน ซึ่งก็คือผู้จัดสร้างดาวเทียมและยิงดาวเทียมขึ้น สู่วงโคจรในตำแหน่งที่ประเทศไทยได้รับการจัดสรรจากองค์การโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู)

สำหรับตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ประเทศไทยได้รับการจัดสรรมีทั้งสิ้น 3 ตำแหน่ง คือ 120.0 องศาตะวันออก, 78.5 องศาตะวันออก และ 50.5 องศาตะวันออก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดาวเทียมไทยคมทั้ง 5 ดวง ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน

ชินแซท เริ่มยิงดาวเทียมดวงแรกซึ่งได้รับพระราชทานชื่อ “ไทยคม 1” เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2536 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประเทศไทยมีดาวเทียมเป็นของตนเอง เพื่อให้บริการภายในประเทศ และครอบคลุมถึงประเทศต่างๆในภูมิภาค จาก ที่ต้องเช่าใช้ดาวเทียมประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้บริการแพร่ภาพสถานีโทรทัศน์ ตลอดจนบริการสื่อสารโทรคมนาคมอื่นๆ

หลังจากดำเนินกิจการมาร่วม 16 ปี ชินแซทก็เป็นที่รู้จักของคนไทย รวมถึงบริษัทคู่ค้าผู้ดำเนินธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม และสถานีโทรทัศน์ทั่วโลกในฐานะผู้ให้บริการ ดาวเทียมรายแรกและรายเดียวของประเทศไทย กระทั่งเป็นเจ้าของดาวเทียมไทยคมทั้งสิ้น 5 ดวง ได้แก่ ไทยคม 1, ไทยคม 2, ไทยคม 3, ไทยคม 4 หรือ “ไอพีสตาร์” ซึ่งเป็นดาวเทียมสื่อสารดวงใหญ่ที่สุดในโลก และดวงล่าสุด คือ ไทยคม 5

มีสินทรัพย์ ณ สิ้นปี 2548 คิดเป็นมูลค่า 33,000 ล้านบาท บริษัทยังคงมีแผนขยายการลงทุนต่อเนื่อง จากแผนการยิงดาวเทียมไทยคม 6 ในอีก 2 ปีข้างหน้า และดาวเทียมไทยคม 7 ซึ่งจะเป็นดาวเทียมสื่อสารที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับไอพีสตาร์

ก่อนที่ชินแซทจะตกไปอยู่ในมือของกองทุนเทมาเสกจากสิงคโปร์นั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้เคยประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนของชินแซทต่อนักลงทุนทั่วไปและสถาบันเพื่อระดมทุนกว่า 3,182 ล้านบาทไปใช้ในการสร้าง และยิงดาวเทียมไทยคม 4 หรือไอพีสตาร์มาแล้วในเดือนมิถุนายน ปี 2548

โดยการขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว ชินคอร์ปในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้ขอใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน จึงทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของตนลดลงมาเหลืออยู่เพียง 41.32%

แต่ในอีก 2 ปีให้หลัง ชินแซทได้ถูกขายพ่วงไปกับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AD VANCE (เอไอเอส) และไอทีวี (ITV) เมื่อกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ป อย่าง ชินวัตร และดามาพงศ์ ขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ให้แก่ กลุ่มบริษัท เทมาเสก โฮลดิ้ง จำกัด จากสิงคโปร์ ในสัดส่วน 49.59%

คำถามมากมายผุดขึ้นพร้อมๆกับความไม่พอใจของผู้คนในสังคมที่เริ่มคุกรุ่นขึ้น เมื่อการซื้อขายหุ้นครั้ง ประวัติศาสตร์ระหว่างเทมาเสกกับครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ในมูลค่ารวมกว่า 73,000 ล้านบาท ถูกเปิดเผยขึ้น

และด้วยเหตุผลนี้นี่เอง ที่ทำให้ชีวิตทางการเมืองและธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวต้องขาดสะบั้นลง และท้ายที่สุดก็นำมาซึ่งการประกาศไล่ล่าล้างบางทั้งเทมาเสก นอมินี และคนในครอบครัวชินวัตร และดามาพงศ์

จนกระทั่งถึงการทวงสัมปทานดาวเทียมที่ถือกันว่าเป็นสมบัติของชาติกลับคืนมา

ดาวเทียมพาณิชย์ กับ จารกรรม

สิ่งที่ทุกฝ่ายกังขาก็คือ กิจการดาวเทียมที่เป็นสมบัติชาติถูกขายออกไปให้กลุ่มทุนต่างชาติได้อย่างไร ทั้งที่สัมปทานเป็นกิจการเพื่อความมั่นคง ยิ่งกว่านั้น การปล่อยให้ต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของได้ ก็เท่ากับ “เปิดประตู” ให้ต่างชาติล้วงตับ และความลับทางด้านความมั่นคงของชาติไปเรียบวุธใช่หรือไม่

หากพิจารณาข้อมูลอย่างถ่องแท้ จะเห็นได้ว่า ดาวเทียมไทยคมทุกดวง เป็นดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ ไม่สามารถนำไปใช้งานด้านจารกรรม หรือใช้ติดตามสอดแนมพื้นผิวโลกได้ เพราะไม่มีการติดตั้งกล้อง และยังเป็นดาวเทียมแบบค้างฟ้า ซึ่งลอยอยู่เหนือผิวโลกสูงถึง 36,000 กิโลเมตร ขณะที่ดาวเทียมสายลับ จะอยู่เหนือผิวโลกเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการใช้งานสูงสุด

ในทางเทคนิค ดาวเทียมแต่ละดวง จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน ดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์จึงไม่สามารถนำมาใช้งานด้านจารกรรมสายลับได้

ที่สำคัญก่อนที่ดาวเทียมจะถูกนำมาใช้งาน จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติทางเทคโนโลยีก่อน เพื่อให้แน่ใจว่า จะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์เท่านั้น ขั้นตอนการตรวจสอบต้องผ่านข้อกำหนดทางเทคนิคจากกระทรวงไอซีที ว่าจะนำไปใช้งานด้านใด

นอกจากนั้น ยังต้องผ่านการตรวจสอบจากรัฐบาลของประเทศผู้ผลิตดาวเทียมด้วย เช่นกรณีดาวเทียมไทยคม 1 และ 2 ผลิตโดยบริษัทโบอิ้ง และดาวเทียมไทยคม 4 ผลิตโดยบริษัทสเปซ ซิสเต็มส์ ลอเรล แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ (Export License) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติทางเทคโนโลยีเพื่อใช้เชิงพาณิชย์เท่านั้น

เช่นเดียวกับดาวเทียมไทยคม 3 และ 5 ที่ผลิตโดยบริษัทอัลคาเทล อัลลิเนีย สเปซ แห่งประเทศฝรั่งเศส ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลฝรั่งเศสในรูปแบบเดียวกัน

หากจะพิจารณากันในแง่ของการรับส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมนั้น เนื่องจากไทยคมเป็นดาวเทียมระบบเปิด สถานีดาวเทียมภาคพื้นดินใดๆก็สามารถรับส่งข้อมูลได้ ไทยคมจึงเปรียบเสมือนให้บริการท่อรับ-ส่งข้อมูล มีลูกค้าที่เป็นสถานีโทรทัศน์ทั่วโลกกว่า 150 สถานี ใน 40 ประเทศ นอกเหนือจากลูกค้าที่ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม รับส่งข้อมูลและอินเตอร์เน็ตทั้งในและต่างประเทศเกือบ 40 ราย

ตามมาตรฐานของดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ ลูกค้าจะต้องเป็นผู้รักษาข้อมูลที่ส่งขึ้น-ลงผ่านดาวเทียม ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วิธีเข้ารหัส-ถอดรหัส อย่างกรณีของสถานีโทรทัศน์ หากเป็นระบบบอกรับสมาชิก ก็จะเข้ารหัสแพร่ภาพสำหรับลูกค้าเท่านั้น ใครที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ไม่สามารถดูรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องนั้นๆได้ หรืออย่างกรณีที่เป็นข้อมูลด้านการเงิน เช่น ลูกค้าที่ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ การเข้ารหัส-ถอดรหัสข้อมูลที่ส่งผ่านดาวเทียม เป็นส่วนที่ลูกค้าจะต้องดำเนินการเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอ่อนไหวเหล่านั้น

ผู้ให้บริการดาวเทียมเป็นเพียงท่อส่งข้อมูลให้เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปดึงข้อมูลที่มีการเข้ารหัสซับซ้อนเหล่านั้นได้

เช่นเดียวกับหน่วยงานราชการ ทหารสื่อสาร ซึ่งปัจจุบันเป็นลูกค้าไทยคมอยู่หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอวกาศของอินเดีย (DOS) กระทรวงไปรษณีย์ และโทรคมนาคม และกระทรวงดูแลงานโทรทัศน์ของประเทศพม่า หน่วยงานทหารสื่อสารแห่งกองทัพไทย ซึ่งปัจจุบันเช่าใช้ช่องสัญญาณผ่านกระทรวงไอซีที โดยได้รับการจัดสรรให้ที่ 1 ช่องสัญญาณ (ทรานสพอนเดอร์) อันเป็นสัดส่วนที่จัดสรรให้หน่วยงานราชการไปแบ่งกันใช้บริการ

หน่วยงานราชการเหล่านี้ ย่อมต้องมีกลไกรักษาความปลอดภัยสูงสุดต่อข้อมูลที่ส่งผ่านดาวเทียม ขณะเดียวกัน กิจการด้านทหารยังมีย่านความถี่ที่ Xband ซึ่งจัดสรรสำหรับการใช้โดยเฉพาะเพื่อความปลอด ภัยสูงสุดที่หน่วยงานอื่นๆไม่ สามารถใช้งานได้อีกด้วย

“ไทยคม”...สมบัติของไทยอยู่แล้ว

หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาสัญญาสัมปทานไทยคม ซึ่งเป็นสัญญาสัมปทานประเภท สร้าง-โอน-บริหาร หรือ Build Transfer Operation-BTO ที่เมื่อผู้รับสัมปทานได้ดำเนินการจัดสร้างดาวเทียม และยิงขึ้นสู่วงโคจรแล้วเสร็จ จะต้องยกให้เป็นทรัพย์สินของรัฐในทันที พร้อมทั้งสถานีควบคุมดาวเทียม และอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่บริษัทเอกชนจะได้รับก็มีเพียงสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากการนำช่องสัญญาณ (Transponder) ออกไปให้เช่า และเรียกเก็บค่าบริการจากผู้เช่าใช้ แต่จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ที่เกิดขึ้นเหล่านี้กลับมาให้รัฐด้วยตามสัญญา

ล่าสุด ชินแซทมีลูกค้าที่เข้ามาขอเช่าใช้ช่องสัญญาณแล้วกว่า 40 ประเทศ โดยลูกค้ากว่าร้อยละ 77 เป็นลูกค้าต่างประเทศ และบริษัทได้จ่ายค่าสัมปทานให้แก่รัฐแล้วเป็นจำนวน 3,698.9 ล้านบาท มากกว่าจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ที่ 3,317.9 ล้านบาท

เมื่อสัญญาสัมปทาน BTO กำหนดชัดเจนอยู่แล้ว ทรัพย์สินทุกอย่างสร้างขึ้นต้องยกให้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ดาวเทียมไทยคมก็ต้องถือเป็นสมบัติของชาติในทันที

จึงไม่ต้องย้อนกลับไปพิจารณาอีกว่า ดาวเทียมไทยคมเป็นสมบัติของใคร?

เพราะด้วยสถานะและกฎหมาย ดาวเทียมไทยคมก็เป็นสมบัติของชาติโดยสมบูรณ์ตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว!

ที่สำคัญ “ไทยคม” ยังถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศในฐานะ ผู้ให้บริการดาวเทียมมาตรฐานโลกที่ออกไปแข่งกับผู้ให้บริการดาวเทียมอื่นๆ ของโลกอีกกว่า 40 ประเทศ ครอบคลุมทั้งเอเชีย แปซิฟิก และตะวันออกกลาง ซึ่งแต่ละประเทศล้วนมีดาวเทียมเป็นของตัวเองแล้วทั้งสิ้น

และโดยเฉพาะ ไทยคม 4 หรือไอพีสตาร์ ซึ่งเป็นดาวเทียมที่ชินแซทวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของประเทศไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นดาวเทียมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด และใหญ่ที่สุดของโลก สามารถให้บริการครอบคลุมไปกว่า 3 ทวีป ซ้ำยังเจาะตลาดในประเทศยักษ์ใหญ่ อย่าง จีน อินเดีย ยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ได้หมดในขณะที่ทุกประเทศล้วนมีดาวเทียมเป็นของตัวเองแล้วทั้งสิ้น

เมื่อดาวเทียมไทยคมเป็นสมบัติของชาติอยู่แล้ว จะต้องไปต่อสู้ทวงคืนกันทำไมอีก!!

หากทุกฝ่ายย้อนกลับไปพิจารณาความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดให้ดีตั้งแต่ต้น ก็จะเห็นเองว่าหาได้มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปลงทุนลงแรงตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินนับพันนับหมื่นล้านบาท เพื่อจะเข้าไปซื้อสัมปทานดาวเทียมไทยคม หรือ วงโคจรกลับคืนมาไม่

แม้ผู้ถือหุ้นใหญ่ของชินแซทจะยังต้องพิสูจน์สัญชาติว่า เป็นไทย หรือต่างชาติกับกระทรวงพาณิชย์อยู่ แต่สัดส่วนหุ้นที่เหลืออีกกว่า 58% ในชินแซท ก็ยังคงเป็นหุ้นของคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ทั้งสิ้น

และต่อให้ชินคอร์ปกับกุหลาบแก้วถูกกระชากหน้ากากว่าเป็นร่างทรงของกลุ่มทุนสิงคโปร์จริง แต่สัดส่วนทุนของสิงคโปร์ในชินแซท ปัจจุบันก็ไม่ได้สูงเกินกว่าร้อยละ 49 อันเป็นสัดส่วนหุ้นสูงสุดที่กฎหมายรับรองความเป็นนิติบุคคลของบริษัทไทยอยู่แล้ว

ดังนั้น ความพยายามในการตีฆ้องร้อง ป่าวให้มีการทวงคืนสมบัติชาติในเวลานี้จึงหาใช่การกู้ชาติไม่

หากแต่เป็นความ “เขลา” ไม่เข้าใจ และไม่ได้ศึกษาสัญญาสัมปทานอย่างถ่องแท้ หรือไม่ก็อาจเป็นแค่ความพยายามของกลุ่มบุคคล ที่ประสงค์จะเข้าไปชุบมือเปิบและ ส่งคนของตนเข้าไปกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารกิจการนี้แทน!

ขณะที่การเจรจาทางธุรกิจโดยตรงระหว่าง บริษัทเอกชนด้วยกันสามารถจะเกิดขึ้นได้เมื่อความต้องการจะซื้อจะขายตรงกัน เพราะเป็นช่วงพอดีกับที่เทมาเสกเอง ก็ต้องการจะขายหุ้นในส่วนของชินแซทให้นักลงทุนรายใหม่ ที่มีทุนมากพอจะมารับช่วงต่อเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

เวลาที่เหลือไม่มากแล้วของรัฐบาล ช่วยกันระดมสมองคิดอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์กับประเทศชาติมากกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ.

ทีมเศรษฐกิจ



Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2550 2:57:39 น.
Counter : 772 Pageviews.

9 comments
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
ไม่ลอดช่องโหว่ ปัญญา Dh
(2 ม.ค. 2567 13:44:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
No. 1259 สาระเกือบมี (ตอนทำงานที่ใหม่ ถูกลองดี) ไวน์กับสายน้ำ
(1 ม.ค. 2567 05:58:05 น.)
  
ขอบคุณข้อมูล จากคุณ Figo
จากกระทู้
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5175500/P5175500.html

อนึ่งนายสนธิ ลิ้มกิมตือจาก M group เคยได้รับสัมปทานทำธุรกิจดาวเทียมลาวสตาร์จากรัฐบาลลาวเมื่อปี พ.ศ. 2539 ในนามบริษัท ABCN (Asia Broadcasting & Communications Network Ltd) โดยนายสนธิขอสัมปทานและร่วมทุนกับรัฐบาลลาวตั้งเป้าขายตลาดไทย ไต้หวัน จีน อินเดีย พยายามที่จะฝ่าฝืนกฎหมายไทยเพื่อขายช่องสัญญาณ และทำโทรทัศน์บอกรับสมาชิกในไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ เล็งที่จะแข่งกับดาวเทียมไทยคมและ UBC
แต่หลังลงทุนไปหลายพันล้านบาทก็ล้มละลายและต้องเลิกไป คงยังเจ็บใจที่ทำแล้วเจ๊ง? ทั้งหมดนี้ นายสนธิได้ช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชาติและการไม่ขายชาติตรงไหน ในการร่วมมือกับต่างชาติเพื่อทำสื่อข้ามประเทศเข้ามาประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ดาวเทียมลาวสตารย์ดวงนี้ในที่สุดก็สร้างไม่สำเร็จ ทุกวันนี้ยังเป็นซากอยู่ที่บริษัท Space System Loral ที่เมือง Palo alto แถบ ๆ silicon valley รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา สาเหตุที่ดาวเทียมดวงนี้สร้างไม่สำเร็จเป็นเพราะว่า บริษัท M Group ของนายสนธิ ถังแตก หลอกรัฐบาลลาวในการให้สัมปทาน แล้วไม่มีเงินในการสร้างดาวเทียม เที่ยวไปกู้หนี้ยืมสินจากแหล่งต่าง ๆ แต่ในที่สุดแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ ก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งยังหาผู้ร่วมลงทุน คือบริษัท Telespace ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในการให้บริการดาวเทียมของประเทศ Canada แต่ในที่สุดบริษัท Telespace ก็ไม่ให้ความช่วยเหลืออีกต่อไป เกิดหนี้สินรุงรัง จนโดนฟ้องล้มละลาย ต้องหลอกขายโครงการ ให้กับนายบุญชัย เบญจรงคกุล แห่ง UCOM แต่จนแล้วจนรอด UCOM ก็ต้องยอมแพ้แก่โครงการนี้ ทำให้ทุกวันนี้ดาวเทียม Laos Star ยังคลุมผ้าอยู่ใน High Bay (โรงงานประกอบ) ที่บริษัท Space System Loral นี่เป็นสาเหตุหนึ่งในหลายสาเหตุของความล้มเหลวที่นายสนธิ ซึ่งมีนิสัยขี้อิจฉา ริษยา จ้องทำลายประเทศไทย นอกจากนี้นายสนธิยังทำโทรทัศน์ดาวเทียมช่อง ASTV แพร่ภาพในไทยโดยใช้ดาวเทียมต่างชาติ (New Sky Network) ผิดกฎหมายไทย สองกรณีคือ การใช้ดาวเทียมต่างชาติที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้บริการได้ในไทยโดยกทช และการออกอากาศแพร่ภาพโทรทัศน์ในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาต อาศัยช่องโหว่ที่ทางราชการยังไม่มีมาตรการจัดการกับช่องโทรทัศน์ไทยผ่านดาวเทียมอย่างผิดกฎหมาย อาศัยอิทธิพลม็อบ อ้างสิทธิสื่อมวลชน และอ้างว่ารัฐปิดกั้นสื่อ ทั้งที่สื่อไทยโจมตีรัฐบาลได้ทุกรูปแบบ

เรื่องดาวเทียม Laos Star ของนายคนนี้ นายพายัพ พนาสุวรรณ Columnist ชื่อดังของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการไม่เคยพูดถึง หรือถ้าพูดถึงก็พยายามบ่ายเบี่ยงพูดอ้อมไปอ้อมมา เมื่อมีผู้อ่านเขียนจดหมายไปถามเกี่ยวกับ project ดาวเทียม Laos Star คนกรุงเทพเป็นคนที่มีการศึกษาต่ำ เหมือนดังที่นิตยสาร the economist ของอังกฤษ เคยวิจารณ์ไว้ว่า คนกรุงเทพเป็นคนที่ ill-educated and gullible พร้อมที่จะเต็มใจเชื่ออะไรก็ได้ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะปฏิเสธความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ในเชิงวิทยาศาสตร์เช่นกัน คำว่ามีการศึกษาไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องจบ PhD มา แต่มันอยู่ที่ว่าคุณสามารถจะวิเคราะห์ สังเคราะห์ปัญหาต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ได้หรือเปล่า พูดไปแล้วก็ไม่ต่างจากบรรดา so-called ทั้งหลายที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยของเมืองไทย บ้านเรามี so –called เต็มไปหมดพยายามทำตัวว่ารู้ทุกเรื่องแต่หน้าที่ของตัวเองไม่มีปัญญาทำให้ได้ดี เพราะมันยาก สู้มานั่งเทียนเขียน article หลอกคนกรุงเทพไปวันๆ ดีกว่า หรือไม่ก็แอบอ้างว่าที่ไม่ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยเพราะเงินน้อย แต่จริง ๆ แล้วไม่มีปัญญาทำมากกว่า สอนหนังสือก็ไม่ได้เรื่อง ทำวิจัยก็ไม่ได้ความ เลยต้องออกไปหาลำไพ่เป็นโสเภณี consultant หลอกเถ้าแก่ตามบริษัทดัง ๆ ดีกว่า นี่เป็นสาเหตุที่อดีตนายกไม่ตอบคำถามปัญญาอ่อนรายวันของพวกคุณ ถ้าพวกคุณอยากจะได้ความรู้เกี่ยวกับดาวเทียม ผมขอแนะนำให้ไปอ่าน “Design of Geosynchronous spacecraft” by Brij N. Agrawal หรือ “Digital Satellite Communications” by Tri T Ha หรือถ้าไม่มีปัญญาอ่าน ก็ไปหาอ่านฉบับแปลโดยรองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ เจริญขวัญ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าแปลผิดหรือแปลถูก

จากคุณ : Figo - [ 27 ก.พ. 50 02:15:23
โดย: ความจริงแท้ (thipch ) วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:2:53:59 น.
  
อนึ่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าของหรือมีสิทธิ์ในตำแหน่งในวงโคจรเพียงชั่วคราว เพราะตำแหน่งดังกล่าวจะ invalid หรือโมฆะทันทีที่รัฐบาลไทยไม่สามารถหาดาวเทียมมา fill up ได้ในระยะเวลาที่กำหนด คุณคงไม่ทราบว่าการที่ดาวเทียมไทยคม 3 ย้ายไปที่ตำแหน่งที่ 50.5 องศาตะวันออกเป็นผลดีต่อรัฐบาลไทยเพราะทำให้รัฐบาลไทยสามารถขยายตลาดไปทางยุโรปและตะวันออกกลาง ตำแหน่งที่ 50.5 องศาตะวันออก นี้เป็นที่ต้องการของชาติมหาอำนาจทางยุโรปหลายประเทศโดยเฉพาะรัสเซีย การที่รัฐบาลย้ายไปที่ตำแหน่งนี้เท่ากับรัฐบาลไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากประเทศดังกล่าว ประเทศต่างๆ เหล่านี้ขอร้องไม่ให้รัฐบาลไทยย้ายดาวเทียมดวงนี้ไป หรือถ้าย้ายไปแล้วก็ขอร้องให้รัฐบาลไทยอย่าขายบริการช่องสัญญาณ โดยประเทศต่างๆ เหล่านี้จะยินดีจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับรัฐบาลไทยโดยมีข้อแม้ดังกล่าวข้างต้น โชคไม่ดีเป็นของรัฐบาลไทยหลังเกิดรัฐประหารได้เพียง 11 วัน ระบบ power supply completely failed ทำให้รัฐบาลไทยต้องทำการ deorbit (ดีดไทยคม 3 หลุดออกจากวงโคจร) หลังจากนั้นเป็นต้นมา สถานะในการมีสิทธิ์ในตำแหน่งในวงโคจรดังกล่าวของรัฐบาลไทยเป็นรองชาติต่าง ๆ ในยุโรปทันที เพราะชาติต่าง ๆ พยายามอ้างสิทธิ์ในการใช้ตำแหน่งในวงโคจรดังกล่าวด้วยเหมือนกันเนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไม่มีไทยคม 3 อีกต่อไป ตอนนี้ตัวแทนของรัฐบาลไทยกำลังต่อรองในการขอใช้ตำแหน่งดังกล่าวอยู่
สิ่งที่กล่าวมาก่อนหน้านั้นผมขอย้ำว่าข้อความข้อที่ 2 เป็นความจริงแท้แน่นอนที่คนทั้งโลกเขายอมรับกันกับความจริงที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่เราทั้งหลายในประเทศโลกที่สามประเทศนี้จะได้ไม่เข้ารกเข้าพงไปมากกว่านี้ คุณอาจจะตะขิดตะขวงใจที่จะเชื่อ ดีแล้วละครับ เพราะถ้าคุณเชื่อเลยก็อาจจะทำให้คุณเสียฟอร์ม เพราะคุณหลงเชื่อหัวปักหัวปำกับเรื่องที่นายสนธิปั้นน้ำเป็นตัวมาเสียตั้งนาน ต้องใช้เวลาในการเย็บหน้าหน่อยครับ ไม่เป็นไรครับ ไม่มีใครรู้ไปซะทุกเรื่องหรอกครับ ยิ่งเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้วละก็ บ้านเราอ่อนนักแล ขอร้องให้คนไทยอ่านเถอะครับ ถึงแม้มันจะยาวไปบ้าง ก็ขอให้อ่านเถอะ เพราะทุกวันนี้คนไทยเราอ่านหนังสือน้อยมาก ทั้งประเทศเฉลี่ย 6 บรรทัดต่อปี ถ้าคุณยังสงสัยก็ขอให้อ่านจาก reference ที่ผมให้ไว้สองเล่มเพราะเป็นตำรา classic ที่ทั่วโลกยอมรับครับ

อนึ่งประเทศทุกประเทศไม่มีโควต้าเรื่องจำนวนดาวเทียมนะครับ ขึ้นอยู่กับ marketing strategy และเงินทุน นะครับ คุณคงไม่ทราบหรอกว่าทุกวันนี้มีการแข่งขันการยื่นคำร้องขอมีสิทธิ์ในการใช้ตำแหน่งวงโคจรต่อ ITU(international communication union) สูงมาก แต่ละประเทศแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงกับว่าประเทศหลายประเทศยังไม่พร้อมในทุก ๆ ด้านสำหรับการมีดาวเทียม แต่เมื่อยื่นคำร้องไปแล้ว ต้องไปซื้อดาวเทียมที่ใกล้หมดอายุจากบรรดาชาติต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการใช้ดาวเทียมดวงนั้นแล้ว แล้ว move มาจองตำแหน่งโดยไม่มีการใช้งาน เพื่อไม่ให้สิทธิ์ในการใช้ตำแหน่งบนวงโคจรของประเทศเหล่านั้นเป็นโมฆะ(invalid) ซึ่งเป็นการผิดระเบียบ ITU แต่ก็แอบทำกัน ทุกวันนี้ทุกอย่างบนโลกแข่งขันกันอย่างน่ากลัวมากเพราะ resource น้อยลงทุกวัน ถ้าเราไม่ทันเกมส์ เราอยู่ไม่ได้หรอกครับ นอกเสียว่าเราปิดประเทศไปเลย ไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่เราคนไทยออกมาแสดงความรักชาติกันรุนแรงมากถึงขนาดนี้ ดีครับรักชาติ แต่อย่าลืมนะครับว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในชาติเป็นเรื่องปรกติของมนุษยชาติ ถ้าคิดแบบเดียวกันทั้งประเทศซิ น่าแปลก สมควรน่าจะนำไปเข้าห้องทดลองทดสอบได้แล้ว ไอ้การที่คนเราคิดไม่เหมือนกันไม่ได้หมายความว่าเราไม่สมานฉันท์นะครับ คนละเรื่อง ดูเหมือนว่าทุกวันนี้คนไทยเราถูก distorted กับภาพสมานฉันท์ คือต้องมีความคิดเห็นเหมือนชั้นเธอถึงจะเป็นพวกชั้น ไอ้คนคิดไม่เหมือนชั้นกลายเป็นคนไม่ดีไป ครอบครัวแต่ละครอบครัวยังมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าคนในครอบครัวนั้นจะไม่สมานฉันท์ เอาเป็นว่าเราต้องตามความเปลี่ยนแปลงของโลกให้ทันก็แล้วกัน อย่ามัวแต่รักชาติอย่างเดียวโดยตกเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม ไอ้จะพอเพียง นุ่งเจียมห่มเจียม แล้วถูกยกย่องว่าเป็นคนรักชาติ จงรักภักดี หรือว่าพอกันที แล้วถูกตราหน้าว่าเป็นคนขายชาติก็เลือกกันไปครับ

จากคุณ : Figo - [ 27 ก.พ. 50 02:16:25
โดย: thipch วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:2:55:36 น.
  
เข้ามาอ่านแล้วก็ได้รับทราบข้อมูลลึกกว่าที่เคยอ่านมา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือแอบๆเห็นด้วย กลัวพวกที่หลงใหลได้ปลื้มกับ สนธิ ว่าเป็นสัตว์กินหญ้า ทั้งที่ก็จบ และทำงานที่ดีไม่น้อย เฮ้อ! ไม่รู้ว่าจะดำรงเป็นคนส่วนน้อยของประเทศนี้อีกนานเท่าไหร่?
โดย: AAA. IP: 202.139.223.18 วันที่: 25 มีนาคม 2550 เวลา:17:45:14 น.
  
ok
โดย: นักฆ่าเงินเฟ้อ วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:23:27:41 น.
  
ทำลายความเชื่อถือของรัฐบาล และ คมช. ด้วยการทำร้าย ซ้ำเติมปัญหาทุกข์ร้อนของบ้านเมือง ให้วิกฤติ เลวร้ายลงกว่าเดิม (จุดไฟซุกทิ้งไว้เพื่อเผาบ้าน แล้วออกไปอยู่นอกบ้าน กล่าวหาว่า คนในบ้านปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน และ หาว่าดับไฟช้า) เพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า บ้านเมืองก็เลวร้ายลง ไม่ดีไปกว่ายุคที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ
โดย: พญางูใหญ่ วันที่: 24 พฤษภาคม 2550 เวลา:4:01:20 น.
  
ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร ไม่เห็นว่าจะดีไปกว่ายุคเก่า ขายมากขายน้อย เค้าก็เรียกว่าขาย ด่ากันไปด่ากันมา สุดท้าย คนที่เดือนร้อนก็ประชานชนตาดำๆ เพราะข้ออ้างคำโตของนักการเมือง การแก่งแย่งอำนาจของนักการเมือง คนที่ตกที่นั่งลำบากก็คือประชาชน
โดย: เหล้าเก่าในขวดใหม่ IP: 125.25.204.232 วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:15:11:06 น.
  
อ่านแล้ว บทความของคุณ figo มาตกหล่มตรงนี้ ทำให้ที่เขียนมานั้น ชัดเจนได้ว่า ไม่ได้มีข้อมูลจริง และอีกอย่างหนึ่งการที่บอกว่า สนธิ อิจฉาคนไทยที่ทำอะไรแล้วเจ๊ง เป็นความคิดที่ไร้สาระ และโง่เง่า แต่มองว่าคนไทยอื่นๆ นั้น โง่กว่าตัว มีคนเข้าใจและรุ้อะไรมากกว่า นาย figo เยอะ ที่พยายามยกเอาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มาพูด เพื่อหลอกให้คนอื่นเข้าใจว่า ตัวเองนั้นมีความรู้ แต่สุดท้ายก็หลอกได้แค่คนที่ไม่ตามข่าวสาร
V
V

โชคไม่ดีเป็นของรัฐบาลไทยหลังเกิดรัฐประหารได้เพียง 11 วัน ระบบ power supply completely failed ทำให้รัฐบาลไทยต้องทำการ deorbit (ดีดไทยคม 3 หลุดออกจากวงโคจร) หลังจากนั้นเป็นต้นมา สถานะในการมีสิทธิ์ในตำแหน่งในวงโคจรดังกล่าวของรัฐบาลไทยเป็นรองชาติต่าง ๆ ในยุโรปทันที
โดย: เห็นใจพวกโง่ดักดาน IP: 124.121.246.125 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:0:14:55 น.
  
กฎหมายยังไม่มีออกมารองรับ กลับใส่ร้ายเค้าซะแล้วว่า ทำผิดกฎหมาย ความคิดแบบนี้ มันใช้สมองคิดหรือเปล่า
V
V


การออกอากาศแพร่ภาพโทรทัศน์ในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาต อาศัยช่องโหว่ที่ทางราชการยังไม่มีมาตรการจัดการกับช่องโทรทัศน์ไทยผ่านดาวเทียมอย่างผิดกฎหมาย อาศัยอิทธิพลม็อบ อ้างสิทธิสื่อมวลชน และอ้างว่ารัฐปิดกั้นสื่อ ทั้งที่สื่อไทยโจมตีรัฐบาลได้ทุกรูปแบบ
โดย: เห็นใจพวกโง่ดักดาน IP: 124.121.246.125 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:0:18:03 น.
  
มาดูว่า ทำไม ชินคอร์ป ถึงเป็นของต่างชาติ

บริษัท ชิน คอร์ป มีผู้ถือหุ้น
1. บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้ง จำกัด 54.43%
2. บริษัท แอสเพน โฮลดิ้ง จำกัด 41.68%(เป็นของเทมาเซ็ก สิงคโปร์)
ซีดาร์โฮลดิ้งส์ มีผู้ถือหุ้นดังนี้
บริษัท ไซเพรส โฮลดิ้งส์(นิติบุคคลต่างด้าว)48.99%
บริษัท กุหลาบแก้ว(นิติบุคคลสัญชาติไทย)41.1%
ธนาคารไทยพาณิชย์(นิติบุคคลสัญชาติไทย)9.9%

ดูที่ บริษัท กุหลาบแก้ว

บริษัท กุหลาบแก้ว จัดตั้งเมื่อวันที่ 12 ม.ค 2549(ก่อนหน้าการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป 11 วัน)มีผู้ถือหุ้น
นายสมยศ สุธีรพรชัย (สัญชาติไทย,อาชีพทนายความ) 5,094 หุ้น (50.09%)
บริษัท ไซเพรส โฮลดิ้ง (นิติบุคคลต่างด้าว)4,900 หุ้น (49%)
รวมมีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยทั้งหมด 51% และต่างชาติ 49% โดยผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยทั้งหมด เป็นหุ้นบุริมสิทธิ (หุ้นด้อยสิทธิ)และหุ้นของผู้ถือหุ้นต่างชาติทั้งหมด เป็นหุ้นสามัญ
ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยมีสิทธิออกเสียง 510 เสียง และผู้ถือหุ้นต่างชาติ 4,900 เสียง อำนาจตัดสินใจจึงเป็นของคนต่างชาติ

โดย: เห็นใจพวกโง่ดักดาน IP: 124.121.246.125 วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:0:22:28 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vision-focus.BlogGang.com

thipch
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด