ผลการศึกษาพบว่าประมาณ 64.5% ของรถที่มีไฟตัดหมอกจะเปิดไฟตัดหมอกซี้ซั้ว !!!??? จากกระทู้ //www.pantip.com/cafe/ratchada/topic/V5098038/V5098038.html ในบทความ Where Does the Glare Come From? เขียนเอาไว้แบบนี้ ไม่รู้ว่าไปศึกษาที่ไหนมา แต่แน่ๆคงไม่ใช่เมืองไทย เพราะในเมืองไทยอาจจะถึง 99% 1% ที่ไม่เปิดก็มีรถตาถัง 1 คัน แล้วก็ตามท้องถนนอีกไม่กี่คัน ผมตัดเอาหน้า 34-35 มาให้อ่านกัน ส่วนตัวเต็มนั้นอ่านได้ที่นี่ //dsl.torque.net/images/DSL_8885.pdf Fog Lamps in Clear Weather Approximately 64.5% of drivers in cars with fog lamps use their fog lamps at night in clear-weather conditions not warranting fog lamp use. Fewer drivers (60.6%) use their fog lamps in moderate-to-heavy fog conditions warranting fog lamp use. This indicates that drivers tend to use fog lamps to supplement their low beam headlamps, rather than as an aid to poor-weather visibility. (Sivak et al. 1997). Assuming the lamps in question at least approach the general character of a fog beam, providing primarily foreground illumination and lateral spread, the indication is that drivers want more and wider foreground illumination. They get it by using fog lamps. US low beams have traditionally had less and narrower foreground illumination than comparable ECE low beams primarily due to concern that excessive foreground illumination will limit distance vision by drawing the drivers visual attention to the foreground or by reducing the drivers level of dark adaptation. This may not be the case. Olson and Sivak (1983) studied driver eye movements at night as a function of foreground illumination. At high levels of foreground illumination, drivers tended to look further down the road. Olson & Sivaks interpretation is that with high levels of foreground illumination, drivers tend to use peripheral vision for the foreground and foveal vision for distant points. This may be why drivers prefer higher levels of foreground illumination than is traditionally provided by US low beams. Automotive lighting engineers have noted they have been asked to design original-equipment fog lamps explicitly to fill the black hole on the road in front of the car. If, as seems to be the case, more and wider foreground illumination is not harmful and may be beneficial to safety, then it is better to encourage or require more and wider foreground illumination from regulated and controlled low beam headlamps than to leave this function to unregulated and frequently-misused devices with a high capacity to create excessive glare. ทีนี้มาดูดีกว่าว่าไฟตัดหมอกมันแยงตายังไง รูปนี้เป็นไฟ Xenon โรงงาน มีแสงฟุ้งเล็กน้อย พอยอมรับกันได้ พอเปิดไฟตัดหมอกจากโรงงาน จะเห็นแสงฟุ้งจากไฟตัดหมอกกลบแสงฟุ้งของ Xenon จนแทบมองไม่เห็น แล้วยังกระจายเป็นวงกว้าง ต่อมาลองมาดู ไฟตัดหมอกแบบเดี่ยวๆ แล้วเทียบกับ Halogen Overwatt จากคันนี้ดู คันนี้ใส่หลอด 100/90w ข้างนึงอีกข้างเป็น 100/80w รับประกันว่าแยงตาแน่นอน แล้วเทียบกับรถที่ใช้ไฟธรรมดา คันนี้ใช้หลอดไฟต่ำ Halogen 51w ทุกรูปที่ถ่ายไม่การหมกเม็ด เพราะใช้เงื่อนไขการถ่ายเดียวกันทั้งหมด ไฟหน้ารถห่างจากกำแพง 1m ตัวกล้องตั้ง iso ไว้ 50 รูรับแสงที่ F/2.6 ความเร็วชัตเตอร์ 1/10 sec white balance อยู่ที่ auto ถ้าท่านใดอยากเห็นไฟล์รูปต้นฉบับ รบกวนลง mail ทิ้งเอาไว้ ผมจะส่งตัวต้นฉบับไปให้ดูทั้งหมด ผมชอบอะไรที่แฟร์ๆ ไม่ชอบการหมกเม็ด แสงที่แยงตา มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นแสงที่เป็นลำ (Seeing Light) ประเภทที่สองเป็นแสงฟุ้ง (Glare) 1. แสงแยงตาที่เกิดจากแสงที่เป็นลำ อันนี้จะมาจากการปรับตั้ง และการติดตั้งหลอดไฟ ปรับตั้งไฟไม่ได้ระดับ มันก็ส่องเข้าตา หรือติดตั้งหลอดไฟไม่ได้ตำแหน่ง หรือใช่หลอดไฟไม่ตรงชนิด มันก็จะส่องเข้าตาได้เหมือนกัน - การปรับตั้งไฟ ส่วนใหญ่จะเข้าใจตรงกัน โดยปรับตั้งจุดรวมแสงไม่ไม่สูงกว่าแนวระนาบ ก็จะไม่มีปัญหาแสงส่องเข้าตา - การติดตั้งหลอด บางครั้งอาจจะเป็นการผิดพลาดในการใส่หลอดไฟ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเอาหลอดคนละชนิดกับที่โคมได้ออกแบบไว้มาใส่ เช่น เอาหลอด H4 แบบสามขา เอาไปใส่ในโคมที่ใช้กับหลอด H4 แบบฐานกลม หรือ เอาหลอด Xenon ไปใส่ในโคมที่ใช้กับหลอด Halogen 2. แสงแยงตาที่เกิดจากแสงฟุ้ง อันนี้จะเกิดจากการเอาหลอดไฟที่สว่างกว่าหลอดมาตรฐานเดิมมาใส่, ใช้หลอดไฟที่มีแสงฟ้ามากขึ้น หรือใช้ไฟที่มีการออกแบบใส่แสงฟุ้ง - ในการใช้หลอดที่สว่างมากขึ้น เช่นหลอด Overwatt 100/80w หรือ Xenon นำมาติดตั้งในโคมเดิมที่ไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้กับหลอดประเภทนั้นๆ จนทำให้แสงฟุ้งมีปริมาณมากขึ้นจนมีระดับที่ทำให้แยงตาได้ - แสงสียิ่งฟ้ามากขึ้นจะให้แสงฟุ้งมากขึ้น เนื่องจากแสงที่มีความถี่มากขึ้นจะเบี่ยงเบนจากแนวเดิมได้มากที่สุด จึงทำให้เห็นว่ารถที่เปลี่ยนจากหลอด Halogen ธรรมดา เป็น Halogen ชุบสี หรือ จาก Xenon ค่า k ตาม spec โรงงาน เป็น Xenon ที่มีค่า k สูงขึ้น นั้นจะมีแสงฟุ้งที่มากขึ้นจนทำให้แยงตา - ไฟบางประเภทนั้นได้ออกแบบให้มีแสงฟุ้งออกมาในปริมาณมาก ไฟตัดหมอกที่มาจากโรงาน จากตัวอยากที่ผมยกมาใน คคหที่ 3 นี้ ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ามีแสงฟุ้งสว่างและกระจายเป็นวงกว้าง ไฟตัดหมอกจากโรงงานจะมีระยะส่องที่ใกล้กว่าไฟหน้า เรื่องระดับไฟจึงไม่ใช่ตัวการที่ทำให้เกิดแสงแยงตา แสงที่ทำให้แยงตานั้นจะมาจากแสงฟุ้งโดยทั้งหมด คิดว่าเกิน 70 % ด้วยซ้ำ เข้าเมืองแท้ ๆ
ไม่รู้จะเปิดทำไมนักหนา โดย: jeakja วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:28:01 น.
อยู่ในกรุงเทพไม่ต้องเปิดก้อได้นี่นา มันแยงตาอ่ะ
โดย: มดมารน้อย วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:56:41 น.
ไม่เคยเปิดเลย นอกจากวิ่งไปตจว.ที่ถนนมืดมากๆ
โดย: smartman หล่อสุดๆ วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:03:32 น.
แทบไม่ได้เปิดเลย เหมือนกันครับ
แต่เห็นด้วยกับผลที่กล่าวมาครับ ว่าเปิดกันเยอะจริงๆ โดย: KaVe วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:09:32 น.
ไม่รู้จะเปิดทำไมเมืองไทยตอนนี้ไม่มีหมอกเลย
โดย: เสลาสีม่วง (เสลาสีม่วง ) วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:01:16 น.
|
บทความทั้งหมด
|
มันเป็นความจริง....จริงๆ ค่า...