นายกส้มหล่น เศรษฐา พร้อมลุยการท่องเที่ยวประเทศไทยแล้วจ้า หลังจาก นายเศรษฐา ทวีสิน ครองตำแหน่งนายกคนที่ 30 หลังกระแสดราม่าแบบสุดๆ แต่สุดท้ายก็เอาตำแหน่งมาได้ แบบงงๆ ล่าสุด นายกส้มหล่น ลุยงานแล้วจ้าทุกคน มาปุ๊บทำงานปั๊บ ลุยการท่องเที่ยวหวังดึงเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากไฮซีซันที่จะถึงนี้ โดยที่แรกที่ลงพื้นที่นั่นก็คือ ภูเก็ตนั่นเอง ![]() การมาภูเก็ตในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีของเรา เน้นไปเรื่องการรับฟังปัญหาจากคนพื้นที่ เป็นการทำงานแนวผู้บริหารรุ่นใหม่แหละ ไม่ต้องนั่งโต๊ะ ไม่ต้องประชุม เพราะหลังโควิด19 มานี้ ธุรกิจท่องเที่ยวปิดตัวลงนั้นเยอะมากๆ ทำให้เกิดการชะงักตัว พอเปิดประเทศ ก็ยังกลับมาเที่ยวกันน้อย อาจจะไปเที่ยวประเทศอื่น เพราะแข่งขันกันเยอะแบบสุดๆ ตัวอย่างนักท่องเที่ยวจีนก็กลับมาแค่ 30%แถมท่านนายกหยอดคำหวานอีกว่าจะลงพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวทุกจังหวัดในลำดับต่อไป ไม่ให้จังหวัดอื่นๆน้อยใจกันไปอีก บอกเลยเป็นงาน ! ได้แต่หวังว่า การทำงานของท่านนายก จะกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวได้อีกครั้ง เพราะคนในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวเอง อดยากปากแห้งกันมานานแสนนาน เพราะถึงนักท่องเที่ยวมาก็ใช้เงินแบบประหยัดมาก นับเป็นอีกหนึ่งงานหนักที่นายกคนนี้ต้องทำให้ได้เพราะ ธุรกิจท่องเที่ยว ดึงเงินเข้าประเทศไทยได้เป็นอันดับแรกมาเสมอ เป็นการวัดความเชื่อที่ว่า นักธุรกิจมาเป็นนายกรัฐมนตรีกึ๋นดี ประสบการณ์สูง จะทำให้ปากท้องคนไทยดีขึ้นมั้ย ต้องมาลองติดตาม ที่มา : https://mgronline.com/south/detail/9660000076689 (ทัศนะส่วนตัว).. เมื่อชมรายการคุยตามข่าว,15กย.66)จบแล้ว.. เราเห็นว่า..ควรแก้กฎหมายให้องค์กรตำรวจเป็นองค์กรอิสระไม่อยู่ใต้อาณัติของฝ่ายการเมือง(โดยด่วน)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:06:27 น.
เพราะการที่ยอมให้ผู้นำฝ่ายบริหารคุมตำรวจได้(โดยตำแหน่ง),ก็เท่ากับเป็นการการันตีโดยตรรกะอยู่ในตัวว่า..ผู้นำบริหารทุกท่านจะต้องบริสุทธิ์(?),ไม่มีเรื่องประโยชน์ทับซ้อน?ทุกท่านอย่างแน่นอน?,เหมือนกันหมดทุกท่านเลย?.อย่างนั้นเลย?..ใช่หรือไม่?.. เพราะถ้ามีกรณีการร้องเรียนผู้นำบริหารขึ้นมา.. ตำรวจซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายผู้นำบริหารจะกล้าดำเนินการกับผู้นำบริหารที่ถูกร้องเรียนเรื่องต่างๆ(ในขณะที่มีสิทธิ์โยกย้ายตนเองได้ตลอดเวลา?)หรือไม่?..ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 17 กันยายน 2566 เวลา:6:12:32 น.
(ปรัชญาป้องกันการคอร์รัปชั่นหรือการหลบเลี่ยงภาษี)..
1.คุณจะป้องกันการใช้สายสัมพันธ์และการติดต่อวิ่งเต้นล้มเรื่องร้องเรียนต่างๆ,เมื่อเริ่มต้นมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ,ขององค์กรตรวจสอบใดๆก็ตาม,ในแต่ละคณะขึ้นมาในแต่ละครั้งได้หรือไม่?.. เพราะถ้าเป็นสมัยก่อน.. ถ้าจะติดต่อวิ่งเต้นต้องใช้วิธี"แอบไปพบกันด้วยตัวต่อตัว(โดยไม่ให้มีใครรับรุ้,หรือพบเห็น).. แต่สมัยนี้แค่มีโทรศัพท์ติดต่อก็สามารถติดต่อเคลียร์กันได้แบบทุกที่-ทุกเวลา,อย่างสบาย,แม้ไม่ต้องไปเจอตัวกันเลยก็ตาม.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:1:05:57 น.
2.(ณ โคนัทแลนด์-แดนสมมุติ).. ต่อไปนี้เป็นเรื่องสมมุติเท่านั้น.. เราพบว่า.. ในขณะที่มีการพูดถึงเรื่องน้ำมันแพงมากกันอย่างมากมาย.. แม้ตั้งแต่หลายปีดีดักมาแล้วก็ตาม.. จะสังเกตว่า.. มักไม่คอยมีสื่อสารมวลชนต่างๆแทบทุกแขนงจะหยิบเอาเรื่องความโปร่งใสในการบริหาร?เรื่องปริมาณน้ำมัน(แก๊ส)ที่ผลิตได้จริงๆในแต่ละบ่อ(และยอดรวมที่ผลิตได้ทั้งหมด)และราคาน้ำมัน(แก๊ส)ที่ควรขายปลีกให้กับประชาชนมาพูดกันในวงการสื่อ(อย่างกว้างขวางและเจาะลึก)แต่อย่างใดเลย(?).. ซึ่งมักมีการพุดคุย,ตั้งข้อสังเกตกันเองในร้านกาแฟหรือกลุ่มย่อยต่างๆว่า.. ก็อาจเป็นเพราะว่า.. ก็เพราะบริษัทน้ำมัน(บางบริษัท)ให้สปอนเซ่อร์กับสื่อต่างๆ(บางส่วน)เป็นจำนวนมาก(ในทุกๆปี)ไงล่ะ(?).. ดังนั้น..สื่อบางส่วนเขาก็ต้องเกรงใจ,หลีกเลี่ยงที่จะพูดวิเคราะห์ในเรื่องเหล่านี้ไงล่ะ(?)..(ใช่หรือไม่?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:1:31:42 น.
3.ถ้าจะป้องกันการคอร์รัปชั่น,การหลบเลี่ยงภาษี,การฟอกเงินในแต่ละเรื่อง,แต่ละหน่วยงาน,แต่ละบริษัทธุรกิจ.. ก็จะมีคำถามว่า.. ก็ต้องหาคนดีจริงๆ,ตรงจริงๆมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบสิ!?.. แต่ถามว่า..แล้วจะหาได้มั้ย?.. ในขณะที่เงิน(สิ่งสมมุติ)ยังมีค่า,มีความหมาย(เป็นดุจแก้วสารพัดนึก)ในสายตาและความนึกคิดของมวลหมู่มนุษย์ในโลกนี้..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:1:54:35 น.
4.(สิ่งงงๆสำหรับสังคมไทย).. สมัยหนึ่ง.. คำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติจะถูกต่อต้านอย่างหนัก.. แต่ยุคปัจจุบัน..ทัศนะกลับเปลี่ยนแปลงไป.. บางคนบอกคนดีตายหมดแล้ว?.. อย่างเช่น.. เจ้าหน้าที่ดูแลป่าท่านหนึ่ง หรือคนขับแท็กซี่ท่านหนึ่ง หรือทนายที่หายตัวไปท่านหนึ่งในอดีตที่ผ่านมา.. เป็นต้น..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:2:11:15 น.
5.สมัยพุทธกาล(ตามพระวินัย)บอกว่า..ภิกษุห้ามค้างคืนอยู่ใกล้เขตทหารด้วยซ้ำไป.. แต่สมัยนี้..บางสำนักศาสนากลับบอกว่า..นักบวชยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้,ถึงขนาดสนับสนุนให้ลูกศิษย์คนสำคัญ(ซึ่งคลุกคลีอยู่ในสำนักนั้นๆอยู่เป็นประจำ)ให้ก่อตั้งและเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเลยด้วยซ้ำไป..(จึงเป็นการยากที่จะมองหาว่า.. จะมีใครที่เป็นคนดี,คนตรงที่บริสุทธิ์จริงๆ,เพื่อดึงให้มาช่วยเป็นผู้ตรวจสอบการคอร์รัปชั่นในสังคมไทยได้?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:2:27:32 น.
6.บางที..เราก็มองว่า.. เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยี่สื่อสารพิเศษ,และถ้าป้อนข้อมูลให้ระบบสื่อสารดีๆ.. บางทีระบบสื่อสารอาจทำงานได้ดีกว่า,เร็วกว่า,และถูกต้อง,ตรงไปตรงมา,ไม่มีอคติ(Bias)..กว่าการให้การตัดสินใจอยู่ที่ตัวบุคคลเสียอีก(หรือไม่?).. คือเราคิดแบบเรานะ.. ว่า.. เราน่าจะใช้ระบบสื่อสารมาทำงานแทนประธานที่ประชุมต่างๆ(เฉพาะองค์กรที่สำคัญๆ)..จะดีหรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:3:06:28 น.
7.ก่อนหน้านี้.. เราเคยสงสัยว่า.. แค่ตำแหน่งประธานที่ประชุม(ที่มีหน้าที่แค่ชี้ให้คนไหนลุกขึ้นพูดก่อนหลัง)เท่านั้น.. ทำไมจึงมีกลุ่มการเมืองหลายกลุ่มอยากได้ตำแหน่งนั้นมาเป็นของกลุ่มตนเอง.. แต่เมื่อเวลาผ่านไป.. เราจึงค่อยอ๋อ!.. ว่าเพราะตำแหน่งประธานที่ประชุมจะมีผลในการคัดหางเสือของสภาให้ไปในทิศทางที่กลุ่มการเมืองนั้นพึงประสงค์ได้อยู่พอสมควรเลยทีเดียว?..นั่นเอง..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:3:12:59 น.
8.ประชาธิปไตยที่"เยิ่นเย้อและระเบียบมาก"(ทำให้เสียเศรษฐกิจ,เสียเวลาของประเทศ,และเสียงบประมาณ,และหมดเงินไปกับ"กลไกของรัฐเพื่อการตรวจสอบ"อย่างมากมาย).. ทำให้"พวกฉลาดซิกแซ็กเก่ง"มี"ช่องทุจริตเพื่อพวกพ้อง"( ="ประโยชน์ทับซ้อน,ซับซ้อน").. ควรสร้าง"ระบบใหม่"( ="สภาประชาชน"),โดยให้ประชาชนมีสิทธิ์"ร่วมตัดสินใจ"ใน"ประเด็นที่สำคัญของประเทศ"(อาจใช้"ระบบซูม"ก็ได้).. แต่ต้องมี"ภาพตัวตนจริงที่เข้าร่วมประชุม"(ถ้าจำเป็นต้อง"จำกัดจำนวนคน",ให้ใช้"ระบบสุ่มจับฉลาก"โดยใช้"ระบบอัตโนมัติ"ทาง"โปรแกรมคอมฯ",เพื่อไม่ให้เกิดการ"จับกลุ่ม,หาพวก"มา"ล็อคโหวต"เพื่อ"ประโยชน์"แก่"บางกลุ่ม"ที่มีการ"จัดตั้งขึ้นมา"ด้วย"ระบบทุน"หรือ"ระบบอำนาจปกครองดั้งเดิม"ได้) และให้มีการโหวต"รับ?หรือไม่รับ?"เรื่องใดๆที่เป็น"ปัญหาสำคัญนั้นๆ".. เช่น.. ในเรื่องของ"การบริหาร,ด้านสังคม,ด้านตัดสินถูกผิด,การฮั้วประมูล,การล็อคสเป๊ค,การแต่งตั้งโยกย้าย,การอนุมัติงบต่างๆ,และการออกกฎหมาย,และกฎระเบียบ,กฎกระทรวงต่างๆ"ได้ทุกเรื่อง.. และมีผลทางกฎหมาย(หลังโหวตรับ,หรือโหวตให้ตกไป)ได้ทันที.. เช่นนี้เป็นต้น..(แต่ถ้าเป็นการประชุมสถานที่จริง,ให้จับฉลากผู้เข้าในห้องประชุมใหม่ทุกรอบ,โดยไม่ต้องมี"เบี้ยเลี้ยง"หรือ"เงินเดือนใดๆ",แต่ให้มีอาหารตามมื้อจัดให้ตามสมควร.. เช่นนี้เป็นต้น)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:4:00:20 น.
9.จริงๆถ้าจะบอกว่า..ชาวบ้านคนไทยนั้นไม่ฉลาด( =โง่)ก็คงไม่ใช่.. จริงๆเขาพร้อมที่จะฉลาดรู้เท่าทันคนโกงได้เสมอ.. ถ้าเพียงมีการอธิบายหลักคิดให้เขาฟังเพียงเล็กน้อย.. แต่สื่อมวลชนบ้านเรา(บางส่วนหรือส่วนมาก)ก็มีลักษณะของธุรกิจสื่อ(ที่บางเรื่องก็พูดไม่ได้)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:11:50:23 น.
10.ซึ่งสื่อบางส่วนบางทีก็ไม่ยอมพูดเพื่อเสริมปัญญาให้ชาวบ้านฉลาด.. เช่น.. อาจจะพูดหลักการว่า..ความผิดปกติในสังคมคืออย่างไร?.. เช่น.. 1.ถ้าผู้ซื้อ(หรือผู้ที่ทำโครงการซื้อต่างๆ)ยินดี(หรือไม่ทักท้วง,ไม่สืบราคาท้องตลาดเสียก่อน).. แล้วยินดีซื้อของในราคาที่แพง(เกินจริง)กว่าราคาในท้องตลาดแบบหลายเท่าจากราคาที่แท้จริง.. อย่างนี้(แม้ไม่ต้องรอใบเสร็จ)ก็น่าจะสามารถฟันธงได้ว่า..ต้องมีความไม่ชอบมาพากลแน่ๆ.. เช่นนี้เป็นต้น.. หรือ2.คุณเป็นเอกชน,และคุณยอมซื้ออสังหาริมทรัพย์กับบางบุคคลที่แพงจนผิดสังเกต..นี่ก็ถือเป็นเรื่องแปลกละ?.. หรือ3.คุณขายบางสิ่ง(เช่นขายหุ้น)แบบเงียบๆให้กับเครือญาติ?หรือคนสนิท?แบบราคาถูกๆ?จนผิดสังเกต?.. นี่ก็ต้องอนุมานว่า..น่าจะมีเรื่องที่ไม่ตรงไปตรงมาละ?.. ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:11:58:44 น.
11.ในประเทศไทย.. เรายังไม่เห็นใครที่จะถือว่าเป็นนักต่อสู้แบบจริงๆ.. ไม่ว่าจะเป็นบรรดานักร้อง(เรียน)ท่านต่างๆก็ตาม.. เราว่าบางท่านก็อาจจะกำลังดูทิศทางลม?,ทะเลช่วงนี้มีคลื่นแรง,เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง(?)..ประมาณนั้น(หรือไม่?).. บางท่านเคยเป็นผู้ตรวจสอบความไม่ถูกต้อง,ภายหลังก็ไปมีตอบโต้กับบางด้อม,ทั้งๆที่จริงๆไม่ควรถือสาพวกเด็กๆที่มีแรงบันดาลใจที่จะทำเพื่อสังคม,ช่วงหลังเรตติ้งของท่านก็ดูจะไม่เหมือนเดิม.. ช่วงการต่อสู้ของกลุ่มพธม.,มีหลายท่านที่โดดเด่น.. เช่น.. คุณร.ที่ต่อสู้เรื่องน้ำมันแพงอย่างเผ็ดร้อน.. และดร.จ.ที่มาตะลุยเรื่องรู้ทันบางคน.. ทั้ง2ท่าน,และยังมีท่านอื่นอีกมากที่เป็นนักต่อสู้ในอดีต.. ก็ดูเหมือนจะเงียบๆไปซะมาก..
โดย: สมจิต IP: 124.122.14.134 วันที่: 19 กันยายน 2566 เวลา:12:33:01 น.
วันนี้(26-9-66).. เราได้ดูคลิปของช่องว.ทีวีที่ตัวแทนแอมเนสตี้เรียกร้องสิทธิประกันตัว.. เรามีความในใจดังนี้.. แม้รบ.ชุดนี้จะเข้ามาเป็นรบ.ด้วยการที่มีปชช.ทั้งส่วนที่ยอมรับและส่วนที่ไม่ยอมรับกระจายกันไปในกลุ่มต่างๆ.. แต่เพราะคนไทยทุกคนยังไงเสียก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยอยู่ดี.. ดังนั้น.. อยากขอเสนอต่อรบ.ชุดนี้ว่า.. ควรเปิดมิติใหม่(แนวคิดสร้างสรรค์ใหม่)ของรบ.พลเรือน(เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่อาจจะสามารถนั่งอยู่ในใจของปชช.ในอนาคตต่อไปได้).. โดยมีข้อชี้แนะว่า.. ถ้ารบ.ต้องการให้ปชช.ยอมรับเพิ่มขึ้น.. ก็ควรคิดใหม่..ทำใหม่ให้ต่างจากรบ.ในอดีตต่างๆ.. โดยที่ถ้ามีประชาชน(ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม)ออกมายื่นหนังสือเรียกร้องต่างๆ,ในแต่ละประเด็น.. ก็อยากบอกว่า..ถ้าไม่มีกิจธุระเร่งด่วนที่จำเป็นจริงๆ.. ก็อยากให้มีนโยบายให้หัวหน้าสูงสุดของแต่ละหน่วยงานควรออกมารับหนังสือเรียกร้อง,หรือร้องเรียนจากประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของภาษี)โดยตรง..(โดยท่านไม่ต้องกลัวประชาชน,ไม่ต้องหนีหรือหลบประชาชน).. โดยไม่ต้องให้ตัวแทนออกมารับหนังสือแทน,เพื่อที่ท่านจะได้สัมผัสกับแววตาและความรู้สึกของประชาชนแต่ละกลุ่มโดยตรง..[และประชาชนที่มาชุมนุมเรียกร้องและรวมทั้งประชาชนทางบ้านที่ชมการLiveสด..ก็ยิ่งจะรู้สึกปลาบปลื้มในตัวท่านหัวหน้าหน่วยงาน(ที่ออกมารับหนังสือ)รวมทั้งรบ.ของท่านมากยิ่งขึ้นด้วย].. ซึ่งจะทำให้เกิดพลังแห่งมิตรไมตรีที่จะช่วยทำให้กลุ่มพลังต่างๆมีความรู้สึกในทางบวกต่อรบ.ชุดของท่านมากขึ้น.. และท่านอาจบริหารนโยบายต่างๆได้ง่ายขึ้น,สะดวกขึ้นด้วย.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 171.97.73.196 วันที่: 27 กันยายน 2566 เวลา:1:23:05 น.
คุณวราวิทย์เป็นพิธีกรข่าวที่ซักไซ้,ซักถามได้ค่อนข้างละเอียด,เจาะลึก,และซับซ้อนมากท่านหนึ่ง,เท่าที่เคยติดตามดูรายการของพิธีกรท่านนี้มานาน.. วันนี้เราดูท่านถามผู้ร่วมรายการท่านหนึ่งเกี่ยวกับคดีที่กำลังเข้มข้นในหน้าสื่อ(ขณะนี้).. ซึ่งเรามีเกร็ดข้อแบ่งปันความเห็นดังนี้.. ธรรมชาติหรือแง่จิตวิทยาของมนุษย์.. อาจจะมีคนบางส่วนในสังคมที่อาจไม่ได้สนใจ,สังเกตท่าทีของบุคคลต่างๆเวลาที่ถูกสื่อมวลชนถาม(จึงอาจไม่สามารถอ่านใจบุคคลต่างๆได้).. แต่มีคนจำนวนมาก(เพราะเหตุที่ต้องสัมพันธ์,คลุกคลีกับผู้คนใกล้ชิดในชีวิตประจำวันมาตลอดชีวิต).. จึงมักจะพออ่าน,จำแนกบุคคลต่างๆที่แสดงออกในการพูดคุยหรือให้สัมภาษณ์ได้ไม่ต่างจากเรา..เช่นกัน.. ซึ่งเราเอง,เวลาดูการให้สัมภาษณ์ต่างๆ,เราจะชอบสังเกตท่าทีบุคคล.. และเราประเมินส่วนตัวว่า.. กรณีข้างต้น,ผู้ร่วมรายการท่านนี้ดูค่อนข้างที่จะมีความบริสุทธิ์ใจและตรงไปตรงมาในการตอบคำถามสื่ออย่างมาก(ขออนุญาตวิเคราะห์เพื่อแบ่งปันความรู้กัน..เท่านั้นครับ).. ซึ่งดูว่ามีท่าทีที่นิ่ง,มีสายตาไมตรี,สื่อความจริงใจ,การพูดมีน้ำเสียงที่ราบรื่น,ไม่ติดขัดใดๆเลย.. ซึ่งส่วนตัว,เราจึงเชื่อว่าท่านผู้นี้บริสุทธิ์(หรือค่อนข้างบริสุทธิ์).. แต่อยากเปรียบเทียบกับผู้ที่ถูกผู้สื่อข่าวถามในคดีเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์บางชนิดที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้.. จะเห็นว่าผู้อยู่ในคดีนี้(บางท่าน)แม้จะตอบสื่อได้เร็ว,ได้คล่องมาก(?).. แต่เรามองส่วนตัวว่า..ดูจะค่อนข้างคล่องแคล่ว,ในการใช้สมองเพื่อตอบคำถามอย่างมาก(เหมือนมีความชำนาญเชิงกลเม็ดหรือเทคนิคในการพบปะ,พูดคุย,สัมพันธ์กับบุคคลต่างๆมาก่อน).. ซึ่งเราจะให้คะแนน?ลดลงมาจากที่กล่าวถึงท่านแรกค่อนข้างมาก.. ส่วนอีกคดีที่มีเด็กเล็กถูกทิ้งจนเสียชีวิตที่ต่างจังหวัด,จังหวัดหนึ่งเมื่อราว3ปีก่อน.. ซึ่งเรามองว่าผู้ที่ถูกผู้สื่อข่าวถาม(บางท่าน)ดูจะมีท่าที,สายตา,การตอบผู้สื่อข่าวแบบ(ไม่สนิท),ที่คนดูหลายคน(ที่ช่างสังเกต),ก็จะพอมองออกว่า.. มีอะไรบางอย่างในใจ?,ในสมอง?ที่อาจเป็นคนละอย่างกับสิ่งที่สื่อสารกับผู้สื่อข่าวออกมา(?).. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 171.97.73.196 วันที่: 30 กันยายน 2566 เวลา:6:12:28 น.
วันนี้..ได้ดูรายการลุยชนข่าว,30-9-66ตอนนักมวยกตัญญูช็อกแม่ถูกจับ.. ต้องยอมรับว่า..สังคมนี้สีเทาๆและเหลื่อมล้ำจริงๆ.. บางคนดูยังแข็งแรงมาก,จากภาพที่เคยเห็นทางอินเตอร์เน็ต.. แต่ได้รับการดูแลอย่างดีในรพ.ของรัฐ(ด้วยข้ออ้างทางกฎหมายสารพัด).. แต่ผู้ต้องหาบัญชีม้าบางคนเป็นโรคหัวใจโต(คนที่บ้านเราก็เป็นโรคนี้และเสียชีวิตไปแล้ว,เมื่อ20ปีที่แล้ว,พ.ศ.2546),ซึ่ง"โรคหัวใจโต"นี้,เท่าที่ทราบ,เสี่ยงกับการเสียชีวิตเพราะหัวใจอาจเต้นผิดจังหวะได้ง่ายๆ,ถ้ามีเหตุกระทบกระเทือนจิตใจ,เพราะหัวใจจะทำงานหนักและเต้นถี่รัว,เร็วขึ้น.. แต่มีคำถามว่า.. ทำไมผู้ต้องหารายนี้จึงไม่ได้รับการดูแลให้ได้พักอยู่ในรพ.บ้าง?.. เราอยากให้ทุกคนในสังคมไทย(โดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ๆของบ้านเมืองทั้งหลาย)ได้ตระหนักถึงคำว่า.. สังคมเรานี้,มีประเด็นเรื่องฝนตกไม่ทั่วฟ้านั้น..เป็นเรื่องจริง..จริงๆ.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 171.97.73.196 วันที่: 30 กันยายน 2566 เวลา:20:02:40 น.
วันนี้ได้ดูคลิปสุดยอดตำรวจ! ลุยจับหนุ่มขับมอไซค์ย้อนศร(2-10-66).. เยี่ยมมากๆ..
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.47 วันที่: 2 ตุลาคม 2566 เวลา:15:54:26 น.
ขอกล่าวชื่นชมตำรวจยุคนี้(พร้อมเทคโนโลยี่กล้องจิ๋วติดตามตัว).. ภาพชัดเจนดีมาก,ขับรถมอไซค์ตามติดผู้ขับรถย้อนศรการจราจร.. ใครเห็นภาพคลิปนี้..น่าจะเข็ดกับการขับรถย้อนศรการจราจรกันไปอีกนานครับ..(ควรให้รางวัลยอดตำรวจกับนายตำรวจท่านนี้ด้วยนะครับ.)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.47 วันที่: 2 ตุลาคม 2566 เวลา:16:00:50 น.
เรานึกว่ากำลังชมการถ่ายทำหนังเสียอีก,ภาพต่อเนื่องไม่มีตัดต่อ,ทำให้นึกถึงเรื่องทอมกับเจอร์รี่.. เจ้าเจอร์รี่ก็แสนกล,เจอทอมเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งหลบ,จนทอมหัวหมุน.. แล้วเจอร์รี่ก็มักจะรอดตัวไปได้เสมอ.. แต่หนุ่มเจอร์รี่คนนี้ไปไม่รอดแฮะ!!!..
โดย: สมจิต IP: 124.122.15.47 วันที่: 2 ตุลาคม 2566 เวลา:16:06:15 น.
ได้ดูรายการลุยชนข่าว,5-10-66.. เรามีความเห็นและข้อเสนอแนะส่วนตัว.. 1.พิจารณาปรับปรุงหรือทบทวนการครอบครองอาวุธ,อย่าให้อิสระเกินไป.. 2.พ่อ,แม่,ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบ(ปรับโทษ)มากยิ่งขึ้น,เมื่อเด็กในปกครองมีการครอบครองอาวุธ(แม้ยังไม่ได้ใช้งาน),และใช้งานอาวุธบางชนิด.. 3.ปรับลดอายุผู้เริ่มรู้เดียงสาพอที่จะใช้งานอาวุธเพื่อทำร้ายผู้อื่นได้,โดยน่าจะต้องให้มีโทษตามสมควร,นับตั้งแต่12ปีขึ้นไปได้แล้ว,หรือไม่?(มิเช่นนั้น.. จะมีเหยื่ออีกกี่ราย?ที่อาจต้องประสบเหตุเช่นนี้อีก?ในอนาคต?).. 4.สถานที่ที่มีคนไปร่วมกัน(จำนวนมาก)เพื่อการพาณิชย์และสถานบริการต่างๆ(รวมทั้งสถานที่จัดคอนเสิร์ตและโรงภาพยนตร์)ควรจัดให้มีเครื่องตรวจโลหะในทุกๆช่องทางเข้า-ออก(ไม่มีข้อยกเว้น)..ดีหรือไม่?.. 5.พิจารณาเซ็นเซ่อร์เกมส์ที่มีเนื้อหาที่เน้นสร้างอารมณ์สนุก,ตื่นเต้น,เร้าใจ,รู้สึกเป็นฮีโร่?ในการได้โจมตีศัตรูหรือคู่ต่อสู้(แม้จะเป็นแค่ภาพการ์ตูนที่สร้างขึ้นจากจินตนาการเท่านั้น?..ก็ตาม).. ดีหรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:10:01:29 น.
คติ(ปรัชญา)ชีวิตวันนี้.. หยุดเน้นเรื่องการเพิ่มGDPให้มากๆ.. กลับสู่ทางเกวียนสายเก่า,อยู่ในครรลองของศีลธรรมของแต่ละศาสนา.. ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย,เน้นเศรษฐกิจพอดี,พอเพียง.. เน้นต้อนรับเฉพาะผู้ท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ(แบบคล้ายๆประเทศภูฏาน).. เช่น.. การท่องเที่ยวแบบทัศนะศึกษา,ชื่นชมธรรมชาติ,ป่า,เขา,น้ำตก(งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ขาดสติ,สัมปชัญญะและขาดความยับยั้งชั่งใจ,ที่สนุกจนเกินควร,เกินพอดี).. เป็นต้น.. อย่างนี้ดีหรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:10:27:00 น.
(ปรัชญาป้องกันคอร์รัปชั่นเพิ่มเติม)..(คอมมิชชั่น=คอร์รัปชั่น?..หรือไม่?)..(สิ่งที่ผู้ใหญ่ๆในสังคมไม่ออกมาพูดให้ชัดๆ?).. สังคมเรามักมีการพูดกันว่า..แตะตรงไหน?..ก็มีเรื่องการทุจริตตรงนั้น(?).. เช่น.. การจัดซื้ออุปกรณ์บางอย่าง เป็นต้น.. ซึ่งมีการพูดกันทำนองว่า.. ถูกผู้ขายหลอกลวงมาอีกที?,โดยที่ผู้ลงนามต่างๆในหลายๆกรณีนั้นไม่มีเจตนาร่วมทุจริตด้วย?..ประมาณนั้น?.. โดยที่มีการดำเนินคดี,โดยระบุให้ผู้ขายต้องชดใช้เงินคืนแล้ว(?).. แต่จริงๆก็ยังต้องมีการบังคับคดี,ซึ่งอาจกินระยะเวลายาวนาน.. ซึ่งก็ไม่รู้จะได้เงินคืนมาหรือไม่?.. ที่สุดก็อาจต้องตามไปฟ้องร้องทางแพ่ง?กันอีก(?),ซึ่งเสียเวลามากมาย.. ข้อเสนอแนะ.. คือ.. ทางผู้ตรวจทุจริตขององค์กรใดๆก็ตาม,ควรต้องตามตรวจสอบ,ล้วงลึกไปถึงว่า.. แม้ทางผู้ขายจะสารภาพว่า..เป็นการหลอกลวงในเรื่องคุณสมบัติของสินค้านั้นๆไปแล้วก็ตาม.. แต่การจัดซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาสูงเกินจริงมากๆนั้น.. น่าจะมีผู้ดำเนินการจัดซื้อ(ในบางขั้นตอน)ที่(อาจ)ได้รับค่าคอมมิชชั่นต่างๆ?ด้วยหรือไม่?.. ไม่ควรคิดแค่คร่าวๆว่า..ผู้ขายได้ถูกตัดสินว่าผิดไปแล้ว?เท่านั้น?..ก็คือจบเรื่องนั้นๆ?กันไปเลยเท่านั้น?.. ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:12:29:26 น.
เดี๋ยวนี้เรามีสังคมโซเชี่ยล,โลกโซเชี่ยล.. ในโลกโซเชี่ยล,ใครพูดได้เสียงดังกว่า?(ดูน่าเชื่อถือกว่า?)ก็ดูจะมีอิทธิพลทางความคิด?ต่อคนในโลกโซเชี่ยล,และก็จะสะพัดแนวคิดเหล่านั้นไปสู่สังคมภายนอกไปเรื่อยๆ.. ได้ฟังอินฟลูเอ็นเซ่อร์โซเชี่ยลบางท่านพูดเสียงดัง,บอกอย่าไปโทษเกมส์(ทางออนไลน์)(ซึ่งเราไม่เห็นด้วย).. เกมส์ออนไลน์แม้ว่าไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทั้งหมด.. ซึ่งเกมส์บางอย่างก็ช่วยส่งเสริมทักษะบางอย่าง.. เช่น.. การใช้สมองขบคิดแก้ปัญหา"และการฝึกทักษะขยับนิ้วมือ.. แต่เกมส์หลายอย่างก็ส่งเสริมการใช้อารมณ์?ที่ไปในทางรุนแรง,เอาชนะศัตรู?,ทำให้เกิดความก้าวร้าว,รุนแรง?สะสมในจิตใจและอารมณ์ไปเรื่อยๆ(รอวันปะทุ,ระเบิดออกมาในวันใดวันหนึ่ง).. จะพูดเชิงเทคนิคก็ได้เหมือนกัน.. คือไม่ต้องโทษเกมส์ก็ได้เหมือนกัน.. แต่ควรโทษผู้ที่อนุญาตให้มีเกมส์รุนแรง?แพร่สะพัดกันในโลกโซเชี่ยล?อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน?.. เหมือนกับว่า..อย่าไปโทษเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆว่า..เป็นเหตุแห่งความรุนแรง?และอาชญากรรมในสังคมต่างๆ?นั้นก็พูดได้เช่นกัน.. แต่ก็ควรโทษว่า.. ผู้ผลิต,ผู้จำหน่าย,ผู้นำเข้าในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นว่า.. ควรมีส่วนรับผิดชอบต่อเหยื่อที่ถูกผู้ที่ดื่ม(บางคน)แล้วไปสร้างความเสียหายให้กับสังคม?กันอย่างไรดี?.. จะพูดอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน?.. นั่นต่างหาก?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:13:54:21 น.
(ข้อคิด).. สังคมบางส่วนไม่ควรพูดว่า.. ไม่เกี่ยวกับเกมส์(?)หรืออย่าโทษเกมส์(?).. แต่ควรพูดว่า.. ปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดคิด?นั้น.. เกมส์ที่เกี่ยวกับการต่อสู้,ใช้อาวุธตอบโต้กันนั้นก็มีส่วนด้วย(?).. และคงไม่ใช่แค่เหตุเกี่ยวกับเกมส์?แค่อย่างเดียว(?).. แต่ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆที่ประกอบกันจนก่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว..ก็น่าจะมีส่วนด้วย.. เช่น.. 1.การควบคุมหรืออนุญาตให้มีอาวุธครอบครอง.. 2.วิธีการเลี้ยงดูจากพ่อ,แม่,ผู้ปกครอง(เลี้ยงด้วยจิตวิญญาณ?หรือเลี้ยงด้วยการปรนเปรอทรัพย์สิน,เงินทอง?).. 3.กฎหมายที่ควรต้องปรับปรุง,แก้ไข,กรณีอายุของผู้ก่ออาชญากรรมควรลดลงเหลือ12ปี,ก็ควรต้องให้รับโทษบ้าง,บางส่วน?..ดีหรือไม่?(โดยอาศัยอ้างอิงจากอายุช่วงราว12ปี,ก็สามารถมีฮอร์โมนทางเพศที่สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้แล้ว,ซึ่งชี้ถึงสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ที่เต็มรูปแบบประมาณหนึ่งแล้ว?..หรือไม่?,จึงควรต้องรับผิดชอบกับการกระทำที่รุนแรง?ของตนเองบ้าง?,บางส่วน?..หรือไม่?.. ซี่งจะอ้างว่ายังไร้เดียงสา?ไปเสียทั้งหมด?..คงไม่ได้?)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 6 ตุลาคม 2566 เวลา:15:15:19 น.
(A)ได้ดูคลิปวิเคราะห์ประเด็นการศึกษาไทยของสส.ท่านหนึ่ง(7-10-66)ที่ให้ความเห็นไว้ได้น่าฟัง.. ส่วนตัวเรา,มีความเห็นดังนี้.. 1.การรับน้องนั้นมีได้,แต่ต้องใช้หลักความเมตตาแบบพี่กับน้อง,ไม่ควรใช้ความกดดันเพื่อให้น้องต้องเกรงกลัวรุ่นพี่,เพราะไม่เป็นประโยชน์,และอาจเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดคิด?ได้.. 2.กรณีน้องคนหนึ่ง,วัย15ที่ถูกระบบโรงเรียนกดดัน,ไม่ให้เรียนนั้น(ซึ่งที่จริงเด็กที่รักเรียน,ขวนขวายเพื่อจะเรียนก็ดีอยู่แล้ว,ควรได้รับการส่งเสริมมากกว่าที่จะไปปฏิเสธ,แอนตี้เขา?,เพราะแม้แต่เอดิสัน,นักวิทยาศาสตร์ใหญ่,ตอนเด็กก็คล้ายเคยทดลองบางอย่างจนทำให้ไฟไหม้บ้าน,และคล้ายเคยถูกกดดันจากระบบโรงเรียนมาก่อน..เช่นเดียวกัน)..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:12:41:25 น.
(B)เรามองว่า.. ขณะนี้มีเหตุการณ์2อย่างที่เกี่ยวกับเด็ก,คนหนึ่ง14ขวบ,อีกคน15ขวบ.. กรณีเด็ก14ขวบ,หลายคนพยายามไม่โทษเด็กโดยตรง?,แต่อาจโทษเกมส์?บ้าง,โทษการปล่อยให้มีอาวุธกลาดเกลื่อนในสังคม?บ้าง,หรือโทษการได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไร?บ้าง.. แต่กรณีเด็กอายุ15ขวบซึ่งเป็นเพียงเด็กผู้หญิง,หลายคน,หลายกลุ่ม,หลายองค์กรกลับมุ่งที่จะไปโทษทางตัวเด็ก?โดยตรง,โดยไม่มอง(คิด)ด้วยความเมตตาว่า.. อาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่จูงความคิด?ไป?,และอาจเกิดจากการเลี้ยงดูได้ด้วยเช่นกัน(?)..หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:12:53:39 น.
(C)ทั้งๆที่กม.รธน.บัญญัติอย่างชัดเจนทำนองว่าเด็กทุกคนต้องได้รับการสนับสนุนในเรื่องการศึกษาอย่างเต็มที่.. แต่หลายกลุ่ม,หลายคณะกลับใช้มโนคติส่วนตัวที่จะผลักไส,กดดันให้เด็ก15ให้พ้นไปจากระบบรร.(เพราะเพียงกลัวเด็กจะทำให้รร.เสียชื่อเสียง?..เท่านั้น?),แม้กระทั่งมีผู้ใหญ่บางท่านที่ได้ทำคุณดี,มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างมากมาย.. เช่น..เรื่องการต่อต้านการฉ้อฉล,คอร์รัปชั่นต่างๆจนมีชื่อเสียงโดดเด่น(ที่สังคมยอมรับ),ก็ยังถึงกลับหลุดคำพูดประมาณว่า.. ถ้าเป็น.....จะ.....?ไปนั่นเลย,แต่เราอยากให้มองเด็กหญิง15ขวบคนนี้,อย่างผู้ใหญ่ที่เมตตาต่อเด็กมากกว่า,เพราะเด็กคนนี้อาจเป็นด้วยวัย,และการถูกเลี้ยงดู,เมื่อเขาผ่านวัยไปจนอายุมากขึ้นระดับหนึ่ง,เขาก็น่าจะปรับตัวได้เอง,เราไม่ควรใช้การตอบโต้เด็กคนหนึ่งด้วยแนวคิดแบบตาแทนตา..?แต่อย่างใดเลย?..ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:13:08:24 น.
(D)เพราะไม่ว่าทั้งเด็ก14ขวบและเด็ก15ขวบก็ล้วนมีเหตุผล,ข้ออ้างที่ไม่ต่างกันนัก(?).. คือถูกกดดันด้วยระบบการศึกษา.. ทางเด็ก15ขวบอาจอ้างระบบหยุมหยิมมากมาย,ไม่เอื้อต่อผู้ที่เข้าเรียน?,ส่วนเด็ก14ขวบก็อ้างว่า..ตนรู้สึกเครียด?เพราะถูกกดดันด้วยระบบการต้องทำเกรดให้ดี?เพื่อให้ผ่านการศึกษา?,และ/หรือเพื่อให้ผู้ปกครองพึงพอใจ?..ประมาณนั้น?(หรือไม่?).. จึงมีคำถามว่า..กฎระเบียบบางอย่างของโรงเรียนเป็นเพียงกฎที่ตั้งกันขึ้นมาซึ่งย่อมเล็กกว่ากม.รธน.,เราจึงควรอะลุ่มอล่วย,และประนีประนอมกับเด็กหญิง15ขวบ(ในบางกรณี),เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กปรับตัว,ดีกว่าการตอบโต้,ต่อต้าน,ผลักไสเขา,ประหนึ่งว่า..เขาไม่ใช่สมาชิกคนหนึ่งของสังคม??.. ซึ่งวันหนึ่ง(ไม่แน่ว่า)อาจผลักไสให้เขาไม่มีทางออก?,จนอาจมีการกระทำบางอย่าง?ที่เกิดจากความเครียด?จากการถูกแรงกดดันจากสังคมจนอาจกระทำอะไรที่ไม่คาดคิด?ขึ้นมา(เหมือนกับเด็กบางคน?)อีกก็เป็นได้?,หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความปรารถนาดีและด้วยความเคารพทุกๆฝ่ายครับ...
โดย: สมจิต IP: 124.122.17.116 วันที่: 7 ตุลาคม 2566 เวลา:13:31:36 น.
ขอให้..ให้เกียรติปชช... อย่ามองว่า.. ถ้าแจกเป็นเงินสดแล้ว.. ปชช.จะนำไปใช้จ่ายไม่เป็น?,หรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์?.. เพราะปชช.แต่ละคนย่อมจะมีความจำเป็นในการใช้เงินที่แตกต่างกันไป(?).. ถ้าเขาจะนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์?ก็เป็นสิทธิ์,แล้วแต่ภูมิปัญญาของเขา.. การตั้งระบบนั่นนี่?,ซึ่งมีความซับซ้อนมากมาย?ย่อมเป็นช่องทางให้เสียค่าใช้จ่ายป่วยการ?เพิ่มขึ้น,ในการสร้างระบบพิเศษ?มารองรับ?,เพื่อป้องกันไม่ให้มีข้อผิดพลาดต่างๆ?ที่ไม่พึงประสงค์?เกิดขึ้นได้?.. ซึ่งประเทศเรามีเงินน้อย?อยู่แล้ว(?),อันไหนที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด?..ใช่หรือไม่?.. ใครๆก็ล้วนอยากได้เงินทั้งนั้น?,จึงไม่จำเป็นต้องไปถามว่าใครต้องการเงิน,ก็ขอให้ส่งเสียง?..ประมาณนั้น?.. แต่ต้องถามว่า..คนที่มีฐานะดีอยู่แล้วสมควรได้รับแจกเงินจำนวนนี้?..ด้วยหรือไม่?.. ดังนั้นถ้าจะแจก,ก็ควรแจกเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย?จริงๆ?.. และควรแจกเป็นเงินสดให้ไปเลย.. อย่างนี้คนคัดค้านก็จะน้อยลง..แน่นอน.. และยังจะช่วยลดโอกาส,ลดช่องว่าง?ที่จะทำให้เกิดการคอร์รัปชั่น?ของเอกชนบางส่วน?ที่อาจจะกำลังเตรียมการ,เพื่อจะไปกินส่วนต่าง?จากปชช.ที่เดือดร้อน?และต้องการเงินสด?,เพื่อไปใช้จ่ายในความจำเป็นเฉพาะหน้า?ของเขา(?)..อีกด้วย.. ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 19 ตุลาคม 2566 เวลา:19:20:52 น.
วันนี้..(19-10-66).. เห็นบางรายการของบางช่องสื่อที่คล้ายจะได้รับการอุดหนุนจากอะไรที่ไม่ขอเอ่ยถึง?.. แล้วก็ดูจะมีความลำเอียง,อคติ?(ขออภัย..เป็นความเห็นส่วนตัวนะ),โดยนำเสนอข่าวแบบคล้ายคอยจับจ้อง,โจมตี,พูดแต่มุมลบ?ของบางกลุ่มการเมืองอย่างไร้จรรยา?ของความเป็นสื่อที่เป็นกลาง?..(ในกรณีที่วิเคราะห์ถึงนกม.บางท่านที่ได้ออกมาชี้แจงบางเรื่อง).. ทั้งๆที่เราก็เคยนิยมพิธีกรเล่า,วิเคราะห์,เจาะข่าวชายบางคนสมัยที่ต่อต้านระบอบท.และบางสำนัก?มาก่อน.. แต่วันนี้..อยากบอกว่า(เว้นแต่คุณจะทำงานสื่อแบบอาสาสมัคร100%,ไม่รับค่าจ้างใดๆ?เลย?..เท่านั้น?.. เมื่อนั้น..แล้วถ้าคุณจะพูดโจมตี?โดยเลือกเฉพาะกลุ่มการเมืองใดกลุ่มการเมืองหนึ่ง?นั้น.. จึงจะถือว่า..เป็นทัศนะส่วนตัวของคุณเอง?ที่พอรับได้บ้าง?).. แต่ถ้าคุณยังรับค่าจ้างการเป็นสื่อ?จากเจ้าของสื่อบางท่าน?ที่มีทัศนะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง?,แล้วคุณก็มาเล่า,วิเคราะห์ข่าว,โดยเลือกข้างตามแนวทาง,ทัศนะของเจ้าของสื่อของคุณ?นั้น?.. ใครๆที่เขาพอมองออก,เขาก็ต้องมองว่า.. คุณไม่มีความเป็นกลาง,ที่น่าเชื่อถือ?ในการนำเสนอข่าวนั้นๆ?.. ซึ่งถ้าคุณสังเกตให้ดีๆ.. คุณจะพบว่า.. เรตติ้งของช่องสื่อของคุณ?นั้นจะลดลงไปเรื่อยๆ(?).. นี่คือการลงโทษของปชช.,โดยไม่มีใครเขาอยากไปต่อกรกับสื่อของคุณ?(?).. เพราะคุณควรรู้ว่า.. ไม่ว่ากลุ่มคณะใดๆ?ก็ล้วนไม่ได้มีแต่คนที่ดีเลิศล้วนๆ,ไม่มีข้อติเลย?,แม้แต่ซักกลุ่มเดียว?.. การจะตำหนิกลุ่มใด?ก็ต้องตำหนิกลุ่มอื่น?ไปด้วยให้มีน้ำหนักของจำนวนคอนเท้นต์ของข่าวให้เสมอภาคกันไปทั้งหมด(?).. อย่างนี้จึงจะไม่มีใครว่าคุณได้.. ...ด้วยความปรารถนาดีครับ.. เพื่อหวังว่า.. ในอนาคตถ้าช่องของคุณได้ปรับปรุงท่าที?.. เราเองอาจกลับมารู้สึกนิยมในตัวคุณอีกครั้ง?..ก็เป็นได้?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 19 ตุลาคม 2566 เวลา:21:30:11 น.
วันนี้(19-10-66).. เราได้ดูข่าวกรณีมีผู้ที่สักลายหนุมานที่แผ่นหลัง,แล้วมีอาการคลุ้มคลั่ง?ที่เรียกว่าของขึ้น?,จนสุดท้ายจึงควงดาบคู่เข้าหาตำรวจ,จนที่สุดถูกวิสามัญฯจนเสียชีวิต(?).. เราอยากเสนออุทาหรณ์สำหรับสังคมไทยเมืองพุทธดังนี้ครับ.. สังคมไทยนี้ยาก.. คงใกล้กลียุคแล้วมั้ง?.. จะหวังหาผู้ใหญ่ๆของสังคมที่ให้คำแนะนำดีๆก็หาได้น้อยเต็มที.. ที่ท่านเป็นพระที่น่าเคารพก็ดูจะพูดหรือเทศน์สั่งสอนปชช.น้อยลงทุกที.. นักบวชสีกรักบางสำนักเดิมก็สอนหลักธรรมะที่ดูมีเหตุผล,แต่ตอนหลังมัวไปวุ่นวนกับเรื่องการเมืองเลือกข้าง,จนถึงกับจัดตั้งกลุ่มการเมือง,โดยให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดไปเป็นหัวหน้ากลุ่มการเมือง,คนบางส่วนก็เลยเสื่อมความนับถือไปเยอะ..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 19 ตุลาคม 2566 เวลา:23:39:23 น.
บางสำนักดังกล่าว,เราเคยคลุกคลีใกล้ชิด,หัวหน้าสำนักเคยสอนประมาณว่า.. เรื่องการมีองค์หรือการทรงเจ้านั้น,จริงๆเป็นเรื่องที่เหมือนอุปาทานจิต?ของตัวผู้ที่ทำพิธีเข้าทรง?หรือรับองค์ต่างๆ?มาเอง?,ไม่ใช่เรื่องจริง?..ประมาณนั้น(?).. เพราะอย่าง..การทรงเห้งเจียก็ทรงได้,หรือการมีการครอบครูหนุมานหรือสักหนุมานประมาณนี้,ก็เหมือนมีวิญญาณหนุมานเข้ามาครอบจิตที่เรียกว่าของขึ้น?..ประมาณนั้น?.. ทั้งๆที่หนุมานหรือเห้งเจียก็เป็นแค่นวนิยายที่นักเขียนในอดีตเป็นผู้แต่งบท,แต่งเรื่องราวตามจินตนาการของตนเองให้อ่านสนุกๆ..ขึ้นมาเท่านั้น(?).. จะมีวิญญาณจริงๆ?ได้อย่างไร?.. ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับท่านหัวหน้าสำนักดังกล่าวที่ท่านเคยพูดสอนไว้นะ..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 19 ตุลาคม 2566 เวลา:23:54:27 น.
แต่สังคมไทยอ้างว่าเป็นผู้นับถือพุทธ?.. แต่ทำไม?พระทั้งหลาย(บางส่วน)จึงไม่สอนให้พุทธศาสนิก(บางส่วน)หยุดงมงายในเรื่องครอบหนุมาน?,หรือการสักยันต์?.. เช่น.. สักหนุมานหรือสักอื่นๆ?ต่างๆ,ซึ่งล้วนเป็นการสร้างอุปาทาน?ให้กับจิตของผู้รับการสักเอง(?).. แล้วพอวันดีคืนร้าย,ก็มีการคลุ้มคลั่ง?ที่เรียกว่าของขึ้น?มีให้เห็นเป็นปรากฏการณ์?เกิดขึ้นกับผู้มีภาพสักลาย?(บางคน)หรือผู้รับการครอบครู?(บางส่วน)ในองค์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ?ให้เห็นกันอยู่เสมอ?.. ซึ่งทำให้เกิดการตื่นตระหนก,ตกใจ?,ไม่เกิดผลดีใดๆ?กับสังคมไทย?เลย(?).. ใช่หรือไม่?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 20 ตุลาคม 2566 เวลา:0:07:29 น.
โดยที่แม้แต่พระบางองค์ก็ยังอุตส่าห์สักลายต่างๆให้กับลูกศิษย์อีกด้วย(?),และอาจารย์และพระ(บางส่วน)ที่สักยันต์,สักลาย?(ให้ลูกศิษย์)ก็มักอ้างแบบข้างๆคูๆ?(เชิงใช้หลักจิตวิทยา,เพื่อหวังยับยั้ง,ไม่ให้ลูกศิษย์เกิดอาการของขึ้น?,แล้วไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะควร?).. โดยมักพูดกำกับแก่ลูกศิษย์ประมาณว่า..ถ้าจะให้ศักด์สิทธิ์แก่ตัว?,ก็คือตัวผู้มีลายสักต่างๆ?จะต้องครองตนอยู่ในศีลธรรมด้วย..[เพราะจริงๆ..เมื่อผู้ใด?ได้ประคองตนอยู่ในศีลธรรม,ความดี,ก็น่าจะมีสิ่งคุ้มครอง?อยู่ในตัวเอง,โดยไม่จำเป็นต้องมีภาพสักยันต์ต่างๆ?(ในตัวเอง)ก็ได้,อยู่แล้ว?..ใช่หรือไม่?]..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 20 ตุลาคม 2566 เวลา:0:28:20 น.
แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร?.. ในเมื่อบางครั้ง..บางคนก็เกิดของขึ้น?ขึ้นมาอย่าง"ไม่มีปี่,ไม่มีขลุ่ย",อันเนื่องจากพลังของอุปาทาน?ที่อยู่ในจิตใต้สำนึก?ที่ทุกคนล้วนมีอัตตาฝังแน่น?ที่อยากเป็นคนที่เก่งกาจ?,ที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าคนอื่นๆ?กันแทบทั้งนั้น?.. การสักลาย?หรือการครอบองค์ต่างๆ?ก็จึงน่าจะเท่ากับเป็นการไปหนุน(เพิ่ม)พลังยึดมั่น,ถือมั่น?ในอัตตา,ตัวตน?ให้มีกำลังที่รุนแรง?ยิ่งขึ้นด้วย?..ใช่หรือไม่?.. เราจึงอยากเสนอว่า.. ประเทศไทยเมืองพุทธควรออกกฎหมายห้ามการสักลายตามตัว?(เฉพาะที่มุ่งหมายเพื่อให้รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์?)ทุกชนิด,เพื่อป้องกันอัตตาฟู?ที่อาจเกิดขึ้นได้?กับผู้ที่รับการสักลาย?(บางคน)ไปเลย(?)..จะดีหรือไม่?.. เพราะการสักลาย?หรือการครอบครูต่างๆ?,จริงๆแล้ว..ไม่ใช่สาระของพุทธศาสนาแต่อย่างใดเลย(?).. แต่บรรดาอาจารย์ต่างๆมักอาศัยแอบอิงประหนึ่งว่า.. ต้องการนำเข้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา?ไปด้วย?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 20 ตุลาคม 2566 เวลา:0:48:04 น.
ดูข่าวน้องพ.ที่เป็นเหยื่อแก๊งหลอกลวง?,ซื้อมือถือแล้วไม่ได้ของ.. ทำให้รู้สึกสลดใจมาก..โดยที่แก๊งค์หลอกลวงออนไลน์?อาศัยความอยากได้ตามยุคสมัยของเด็กวัยรุ่น?เป็นช่องทางหารายได้โดยทุจริต?ให้แก่ตนเอง??.. โดยไม่นึกถึงความเสียหาย?และความเจ็บช้ำ?ของเหยื่อและครอบครัวที่จะตามมา(?).. จึงอยากขอเสียงประชาชนว่า.. กรณีเช่นนี้.. อยากขอให้เพิ่มโทษ?สำหรับผู้รับผลประโยชน์คนต้นๆ?.. เช่น.. เจ้าของเพจโปรแกรมล่อลวงเช่นนี้?,รวมทั้งผู้ควบคุมทีม?และผู้ดูแลโปรแกรมเทคนิคหลอกเหยื่อ?(เหล่านี้)ด้วย.. ว่า..ควรให้ต้องรับโทษถึงประหารชีวิต?(และควรออกข่าวในการประหาร?ให้เห็นในที่สาธารณะ?..(เนื่องจากมีคติทางศาสนาของบางศาสนามีข้อกำหนดทำนองว่า..ชีวิตหนึ่งที่ถูกกระทำให้ตาย,ก็ควรต้องชดใช้ด้วยชีวิตของผู้ที่กระทำให้ตายนั้นด้วย?..ประมาณนั้น?,ก็คือควรต้องให้ตายตกไปตามกัน?ตามคติโบราณ?เช่นเดียวกัน?,เพื่อไม่ให้มีใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง?.. จนทำให้สังคมต้องตามแก้ไขปัญหา?กันแบบไม่รู้จักจบ?).. อย่างนี้..เราเชื่อว่าถ้าทำได้(เหมือนกรณียิงเป้าผู้วางเพลิง?ในยุคสมัยหนึ่ง..เป็นต้น)นั้น.. น่าจะทำให้กรณีหลอกลวงคน?แบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ?ด้วยวีธีซับซ้อน?ที่เหยื่อบางส่วนมักตามเทคโนโลยี่สมัยใหม่?ไม่ทัน(?).. ก็จะได้ถูกขจัดให้บรรเทา,เบาบางลง?ในเวลาอันไม่นาน?.. อย่างนี้จะดีหรือไม่?.. ขอปรึกษาสังคมครับ?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.55 วันที่: 20 ตุลาคม 2566 เวลา:11:02:42 น.
(ข้อเสนอแนะอุทาหรณ์น้องพ.).. ขอเสนอแนวคิดดังนี้.. 1.ยกเลิกการขายของระบบออนไลน์ผ่านระบบออนไลน์ดังๆ(ที่รัฐควบคุมกำกับไม่ได้)ทั้งหมด.. 2.จะขายของออนไลน์ได้,จะต้องจดทะเบียนการค้ากับกระทรวงพาณิชย์,ซึ่งต้องมีการตรวจสอบกิจการและทรัพย์สินของบริษัทและปริมาณสินค้าต่างๆเป็นระยะๆ..(คือ..ถ้ายังไม่จดทะเบียนเลิกกิจการอย่างเป็นทางการ,จะต้องห้ามการโอนย้าย,ถ่ายเททรัพย์สินที่เป็นสิ่งการันตีกิจการโดยเด็ดขาด.. และถ้ามีการละเลย,หละหลวม,สะเพร่า?แล้วปล่อยให้มีการโอนย้าย,ถ่ายเททรัพยฺสินต่างๆของกิจการ,ก็ให้เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลส่วนนั้นจะต้องมีส่วนรับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหายแทนหรือร่วมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดกับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายต่างๆนั้น..ร่วมด้วย)..ประมาณนี้ครับ.. 3.และให้มีเงินทุนจดทะเบียนในจำนวนที่น่าเชื่อถือและให้อยู่ในกำกับของทางหน่วยงานของรัฐบาล(เช่น..อย่างระบบของลา....และช็อป.... เป็นต้น.. อย่างนี้..จึงจะอนุญาตให้สามารถขายสินค้าออนไลน์ได้..เท่านั้น).. เพราะเดี๋ยวนี้การขายสินค้าออนไลน์,แบบที่แต่ละคนขายได้โดยอิสระ,และทางรัฐบาลก็ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้อย่างถี่ถ้วนด้วยนั้น,ก็มีสถิติการล่อลวงเหยื่อเป็นจำนวนมากที่อยากได้ของถูก(หรือแม้จะแพงก็ตาม,ที่มีลักษณะให้ผ่อนชำระได้,และมีการวางเงินดาวน์ก่อน,ดังที่เป็นข่าว)..ที่เหยื่อจำนวนมากถูกหลอกจนเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.23 วันที่: 21 ตุลาคม 2566 เวลา:20:10:03 น.
มีสื่อบางช่อง..ซึ่งเรามองว่ายังเป็นสื่อที่ยังไม่แท้?,เป็นลักษณะสื่อเลือกข้าง?.. มีพิธีกรบางคน(สมัยที่วิเคราะห์เรื่องระบอบท.และเรื่องสำนักวัดหนึ่งเราก็เคยนิยมนะ..มองว่าเขาวิเคราะห์ได้ละเอียดดี,แต่เดี๋ยวนี้ไม่นิยมแล้ว,เพราะดันแสดงออกว่าเลือกข้างบางฝ่าย(?)..(เราสังเกตดูพวกสื่อเลือกข้าง?นับวันจะเรตติ้งคนดูตกลงไปเรื่อยๆ.. เพราะประชาชนเขาไม่โง่แล้ว?,เขาดูแต่หัวข้อเรื่องทางออนไลน์เขาก็อึดอัดแล้ว,ไม่อยากเปิดดูเลย,เพราะไม่อยากให้สื่อที่เลือกข้าง?ได้เรตติ้ง?,เพราะเดี๋ยวจะยิ่งหลงตัวเ?ว่ายังมีคนเขาชมรายการของตัวเอง?อีกมาก?..ประมาณนั้น?.. ไม่รู้ว่าจะไปนำเสนออะไร?,ที่อดีตผู้นำสังคมบางท่านไปเที่ยว,และบางกลุ่มการเมืองที่เขาไปเลี้ยงฉลองกัน,แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกันให้เป็นประเด็น?.. จริงๆถ้าว่ากันตามจริง,ผู้นำหรืออดีตผู้นำก็ควรใช้ชีวิตแบบสมถะทุกคน(คล้ายๆคานธีนั่นน่ะ..จึงจะเหมาะ),ควรเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนที่ประเทศยังอยู่ในภาวะยากจน.. ถ้าไม่มีอุดมการณ์สมถะ,แล้วจะอาสามารับใช้ประชาชนได้อย่างไร?.. เราอยากจะท้าทายว่า?.. เชื่อมั้ย?.. ต่อให้คุณออกกฎหมายหรือระเบียบให้ผู้ที่เล่นการเมือง(ที่มีตำแหน่งต่างๆ)โดยไม่ต้องมีเงินเดือนเลย(?)(อาจมีให้เบี้ยเลี้ยงตามสมควร,เฉพาะในวันที่มีการทำงานจริง?เท่านั้น).. เราก็ยังเชื่อว่าจะมีผู้อาสาที่อยากเข้ามารับใช้ประชาชนแบบไม่มีเงินเดือนอยู่อีกอย่างมากมาย..เช่นเดิมนั่นแหละ(?).. เพราะบางคนก็ถือเป็นเกียรติยศ,ชื่อเสียงต่อครอบครัวตนเองในการได้มีตำแหน่งสำคัญๆที่เข้ามารับใช้บ้านเมือง..นั่นไงล่ะ?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.23 วันที่: 27 ตุลาคม 2566 เวลา:11:46:41 น.
พิธีกรชายบางช่องสมัยอดีต.. เคยพูดแฉเรื่องการทุจริตต่างๆ?ในสมัยอดีตระบอบท.?.. เช่น..,การจำนำผลผลิตการเกษตร?,การฉ้อฉลเงินบริจาค?ของสำนักวัดบางวัด?(ซึ่งเป็นวัดดัง?).. เป็นต้น..นั้น..เราก็ว่าทำได้ดี,ทำถูกต้องนะ.. แต่มาภายหลัง.. หลังจากบางอดีตผู้นำ?(บางท่าน)ไปพูดให้คำชื่นชมต่างๆ?..ก็เลยดูเหมิอนชักเพี้ยน?.. มักนำเสนอแต่ข่าวโจมตี?เฉพาะบางกลุ่มการเมือง?ที่เขาเป็นพวกหัวก้าวหน้า,หัวริเริ่มทำเรื่องใหม่ๆ?หน่อย?.. จริงๆตามหลักการนั้น.. ไม่มีกลุ่มการเมิองใด?ที่จะมีแต่คนดีเลิศ,ประเสริฐศรี?ที่ไร้ข้อตำหนิใดๆ?เลยหรอกคุณ?.. แม้แต่อดีตราชาบางองค์ของไทย,ก็ยังเคยมีดำรัสประมาณว่า..สังคมเรามีทั้งคนดีและไม่ดี,ไม่มีใครที่จะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีทั้งหมดได้..ประมาณนี้..นั่นไง(?).. แต่คุณสื่อบางคน?ก็คอยไปจ้องเอาเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ,สัพเพเหระ?(ที่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญใหญ่โต?อะไร?)ของบางกลุ่มการเมือง?ที่เขากำลังได้รับความนิยม?จากคนรุ่นใหม่?(ประมาณว่าคอยเตะสกัดขา?ว่างั้นเถอะ?..หรือไม่?)มามุ่งโจมตีอย่างเอาจริงเอาจัง?เหลือเกิน(?).. ทั้งๆที่กลุ่มการเมืองดังว่านี้?เขายังไม่เคยได้บริหารงานสังคม?ในฐานะเป็นผู้ดูแลสังคมตัวเต็ม?สักครั้งเดียวเลย(?)..(มันแฟร์มั้ยครับ?).. แบบการพูดเชิงกระแนะฯ?,ค่อนขอด?,แสร้งว่ามุมนั้น,มุมนี้?กับอดีตหัวหน้ากลุ่มการเมืองบางกลุ่ม?..(เช่น..ในเรื่องภาษา?บ้าง?,เรื่องเล็กๆน้อยๆอื่นๆ?บ้าง?.. เป็นต้น).. ดูไปแล้วเหมือนบุคลิกของบางเพศภาวะ?ก็ไม่ปาน(?)?.. ทำให้เรารู้สึกว่า..พิธีกรชายบางช่องนี้?เสื่อมความน่านิยมไปเยอะนะ(?).. เราอยากแนะว่า.. พิธีกรบางท่านนี้?ไต่เต้ามาจากงานในส่วนภูมิภาค?,เรามองว่า..ต่อให้คุณพยายามที่จะโดดเด่น?อย่างไร?..ก็คงโด่งดังให้เท่ากับคนที่มีพื้นเพในส่วนกลาง?เขาไม่ได้หรอกครับ?.. ...ด้วยความปรารถนาดีครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.23 วันที่: 27 ตุลาคม 2566 เวลา:13:20:48 น.
เราแก้ปัญหากันไม่ถูกจุด?(หรือไม่?)แบบที่ไม่กล้าพูดความจริงกัน(?).. เหมือนอย่างคุณเคยซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในราคาซองละ6บาท,แล้วต่อมาก็มาเพิ่มเป็นซองละ7บาท,ทั้งๆที่ปริมาณและคุณภาพเท่าเดิม,อย่างนี้แหละก็จะเรียกว่าเงินเฟ้อขึ้นมา1บาททั้งๆที่ได้สินค้าเท่าเดิม,แต่ต้องจ่ายเงินมากขึ้น..อย่างนี้เป็นต้น.. แต่แทนที่คุณจะไปเพิ่มค่าแรงให้เป็นไปตามที่คุณได้หาเสียงไว้..(เมื่อบริษัทที่จ้างแรงงานสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว,เขาก็จะทยอยปิดโรงงานไป,คนงานก็จะทยอยตกงาน,ก็จะเป็นภาระต่อรัฐบาลอีกเช่นเดิม),ซึ่งเรียกว่าเป็นระบบงูกินหางไปเรื่อยๆ.. คือเมื่อมีข่าวว่าจะมีการเพิ่มค่าแรง,พวกราคาสินค้าก็จะรู้สัญญาณ,และก็จะทยอยพากันขึ้นราคากันไปล่วงหน้าก่อนด้วยซ้ำไป(ตามสัญชาตญาณของพ่อค้า,แม่ค้าทุกๆระดับ),ดังเช่นที่เป็นๆมา..จริงหรือไม่?..ใช่หรือไม่?..(และชาวบ้าน,เกษตรกร,อาชีพอิสระต่างๆ?ที่ไม่ได้อยู่ในภาคผู้ใช้แรงงานก็จะพลอยแบกรับความเดือดร้อน?จากภาวะเงินเฟ้อ,ข้าวของขึ้นราคาตามไปด้วยแบบองค์รวมทั้งประเทศไปด้วย?..ใช่หรือไม่?).. อย่างนี้ก็จะต้องแก้ปัญหากันแบบไม่รู้จบสิ้น??.. แต่ทำไมไม่ลองคิดกลับทางกัน(คิดแบบย้อนศร?).. โดยขอความร่วมมือจากบริษัทผู้ผลิตสินค้าต่างๆที่จำเป็นให้ช่วยลดค่าครองชีพของปชช.,โดยการพยายามค่อยๆลดราคาสินค้าลง(จะด้วยกลไกวีธีการผลิตใดๆที่จะทำให้ลดต้นทุนลงได้บ้าง..ก็ตาม).. ดังนั้น..เมื่อสินค้าที่สำคัญต่อการครองชีพทยอยลดราคาลง.. ก็จะทำให้เงินเดือน,หรือเงินรายวันที่แรงงานได้รับก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ(?)..ใช่หรือไม่?.. ซึ่งก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือประชาชนได้เช่นเดียวกัน.. ใช่หรือไม่?.. และเมื่อราคาสินค้าถูกลง,ชาวต่างประเทศเมื่อเขาทราบข่าว,เขาก็จะพากันหลั่งไหลมาเที่ยว,มาใช้จ่ายเงินในประเทศ(เพราะมองว่า..เมื่อข้าวของในไทยมีราคาถูกลง,ทำให้มูลค่าเงินต่างประเทศของพวกเขาก็มีราคามากขึ้นอีก).. ซึ่งก็จะพลอยทำให้บรรดาแม่ค้าต่างๆและประชากรตามภูมิภาคต่างๆโดยทั่วไป(โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ)ก็จะพลอยมีรายได้เพิ่มเติมขึ้นมาเป็นลูกโซ่เป็นทอดๆ..เช่นเดียวกัน..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.23 วันที่: 27 ตุลาคม 2566 เวลา:21:40:28 น.
วันนี้(27-10-66)ได้ชมข่าวป้าดีเจถูกเทปปิดปาก,จมูกจนเสียชีวิตและนำศพทิ้งข้างทาง.. แต่พิธีกรเล่าข่าว(บางช่อง)ไม่ได้เจาะข่าวถามตามต่อว่า..รถของคุณป้า(ที่ถอดทะเบียนออก),แล้วถูกนำไปขายให้เต็นท์รถนั้น,เต็นท์รถจะมีความผิดฐานรับซื้อของโจร?ด้วยหรือไม่?.. เพราะผู้ชมก็อยากทราบเรื่องให้ถึงที่สุด,ว่าเป็นเต็นท์รถชื่ออะไร?,รับซื้อมาได้อย่างไรทั้งๆที่ไม่มีสมุดคู่มือทะเบียนรถและป้ายทะเบียนรถ(มีพิรุธหรือไม่?..ในฐานะเป็นผู้รับซื้อรถในกรณีเช่นนี้).. ทำไมจึงยังรับซื้อรถที่ไม่มีหลักฐานใดๆ?ได้?,และซื้อมาราคาเท่าไหร่?,อันควรรู้ว่า..น่าจะเป็นรถที่ไม่ชอบมาพากล?หรือไม่?,เมื่อไม่มีทะเบียนรถจะต้องนำมาจัดการอย่างไรต่อ?,เพื่อขายต่อให้ลูกค้าต่อไป,และควรมีการตรวจสอบ(ทำความสะอาด,ปรับปรุงระเบียบการรับซื้อรถ)ในการรับซื้อรถแบบมีพิรุธ?ของเต๊นท์รถต่างๆ?"ครั้งใหญ่?..หรือไม่?.. เพราะคนที่อยู่ใกล้บ้านเรา,ก็เป็นพนักงานเต็นท์รถ,บางครั้งก็เคยเห็นขับรถบางคันมาจอดที่หน้าบ้านเราทิ้งไว้ระยะหนึ่ง,โดยไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนด้วยเช่นกัน(?).. จึงคิดว่า..น่าจะไม่ได้มีแค่เต็นท์ในข่าวนี้เท่านั้น,ที่มีพฤติกรรมที่แปลกๆ?ดังกล่าว....?.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.113.23 วันที่: 28 ตุลาคม 2566 เวลา:5:45:21 น.
วันสองวันนี้..จะมีการสรุปถูก-ผิดของเรื่องดังบางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ2-3ปีก่อน..แล้วนะ.. เรามีความเห็นส่วนตัวดังนี้.. "สังคมเรา"มีตำนานของหลวงศรีขี้จุ๊หรือบักเซียงเหมี่ยง(ของตำนานลาว),จึงทำให้สังคมไทยมักมีคติส่วนบุคคล(บางคน)กัน..ประมาณว่า..รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดเดี่ยว(?)ประมาณนั้น.. ทั้งๆที่บอกว่าเราเป็นสังคมเมืองพุทธ(?).. แล้วแทนที่จะนำเอาหลักพุทธศาสนามาอยู่ในใจ,ถ้ารู้ว่าตนทำผิด(?),สังคม(หรือผู้ใหญ่ๆในสังคม)ก็ควรส่งเสริมให้มีการรับสารภาพ(?)กันให้มากๆ,และควรยกย่อง,เชิดชู,ให้เกียรติ?ว่า.. คนที่ทำผิด(?)แล้วกล้ารับสารภาพ(?)คือคนที่ยังมีเชื้อแห่งความดี,เป็นลูกผู้ชายจริง(?)หรือเป็นลูกผู้หญิงแท้(?)อะไรก็ว่ากันไป.. อย่างนี้จึงจะทำให้สังคมเกิดการพัฒนา,ไม่ซับซ้อน,ไม่ซ่อนเงื่อน,ไม่สิ้นเปลืองเวลา,และค่าใช้จ่ายต่างๆจากการต้องไปวิ่งเต้น?ในเรื่องที่เป็นความกัน?..ใช่หรือไม่?.. ซึ่งอาจทำให้บางอาชีพ?ที่เกี่ยวกับการเป็นเรื่องเป็นราวกัน?มีเงินทองไหลมาเทมา?เป็นจำนวนมาก?,ซึ่งเป็นการไปส่งเสริมให้บางอาชีพ?ร่ำรวยโดยใช่เหตุ?.. ใช่หรือไม่?.. ถ้าอย่างดูตำนานท่านป.?(ของจีน),จะเห็นว่า..จะพยายามทำทุกวิธี(?)เพื่อจะตะล่อม,จูงใจ?ให้ผู้ต้องหายอมรับสารภาพให้จงได้(คือแค่สัมผัส,สบสายตา?,ระดับท่านป.ก็พอจะรู้แล้วว่าใครผิด?-ใครถูก?).. นั้นจึงจะทำให้คลายสงสัยสำหรับประชาชนได้.. แต่สังคมเรามักมีคำพูดจากนักกม.?(บางคน,บางท่าน)บอกกับผู้มาปรึกษาว่า..ทุกอย่าง?ขึ้นกับหลักฐาน?,ถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจน?ก็มีโอกาสรอด?จากการต้องเป็นผู้ผิด?(?).. อย่างนี้..จึงทำให้สังคมถูกกล่อม?ด้วยตำนานหลวงศรีฯประมาณว่า.. แม้ผิด(?),แต่ถ้าเราไม่ยอมรับสารภาพ?,และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน?.ก็มีสิทธิ์รอดได้?..ประมาณนั้น.. ซึ่งน่าจะมิใช่วิถีของคนเมืองพุทธ?เลยนะ?(สู้วัฒนธรรมของชาวเกาหลีและญี่ปุ่นที่ทำผิดแล้วกล้ายอมรับผิดโดยดีของเขาไม่ได้?..นะจ๊ะ)..เราว่า.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 29 ตุลาคม 2566 เวลา:14:52:42 น.
กรณีเด็ก3ขวบ-น้องช.ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง.. เรามีความเห็นส่วนตัวดังนี้.. ควรให้มีคล้ายๆคณะลูกขุนร่วมกันพิจารณาประเด็นแรกก่อนเป็นเบื้องต้น.. โดยให้ชัดเจนว่าน้องช.สามารถเดินขึ้นเขาไปเอง?ได้หรือไม่?,แล้วอาจเสียชีวิตเอง?โดยไม่มีใครทำร้าย?ได้หรือไม่?.. ซึ่งถ้ามองว่า..อาจเดินขึ้นไปเองก็ได้.. แต่เหตุผลอื่นล่ะ.. เช่น.. การที่เด็กจะถอดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยตัวเองจะเป็นไปได้หรือไม่?.. แล้วกรณีที่มีการตัดเส้นผมล่ะ,เด็กจะมีกรรไกรไปด้วยหรือ?,และเด็กจะสามารถตัดเส้นผมตัวเองได้หรือ?.. และอาจมีเหตุผลประกอบอื่นๆอีก.. แต่ถ้าชัดเจนว่า..เด็กไม่สามารถทำหลายอย่างเองได้ตามภาพที่ปรากฏ(เมื่อพบศพ).. ก็แสดงว่า..ต้องมีผู้นำเด็กขึ้นไปวางไว้แน่ๆ(?).. ก็น่าจะสรุปว่า..ผู้ที่นำตัวน้องช.ขึ้นไปวางไว้บนภูเขา?นั่นล่ะ,ที่จะต้องเป็นผู้มีส่วนต้องรับผิด?แน่ๆ(?)..ใช่หรือไม่?.. ถ้าเป็นเรา..เราจะขอสรุปเบื้องต้นแบบนี้นะ.. และน่าจะใช้หลักจิตวิทยา,หลักเมตตาธรรมในการขอร้องให้ผู้ที่มีส่วนในการตาย(จะโดยตั้งใจ?หรือไม่ตั้งใจ?ก็ตาม)ขอให้ช่วยสารภาพเถอะ,เพื่อไม่ให้เรื่องนี้(ซี่งอาจต้องต่อสู้กันถึง3ศาล??)ยุ่งยาก,งุนงงต่อสังคม?กันอีกต่อไป.. เพราะถ้าสารภาพแล้ว,โทษต่างๆก็คงจะต้องลดหย่อนลงมาอย่างน้อยกึ่งหนึ่งอยู่แล้ว.. และขอให้ผู้ที่ทำผิดได้โปรดเล่ารายละเอียด,เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย,แรงจูงใจ(วิธีคิด),และขั้นตอนต่างๆจนกระทั่งมีการพบน้องช.(ก็จะขอขอบคุณต่อผู้ทำผิดที่กรุณาช่วยเปิดเผยเพื่อให้เป็นข้อคิดต่อสังคมด้วย).. แล้วให้มีข้อตกลงว่า..จะให้มีการสร้างเป็นหนังคล้ายหนังนักสืบดังต่างๆ(ที่เป็นของต่างประเทศ.. เช่นนักสืบเชอร์...?,หรือนักสืบโค...?.. เป็นต้น).. เพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับความยุ่งยากในการสืบสวน,สอบสวนในเหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้น,เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่สังคมด้วย.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 29 ตุลาคม 2566 เวลา:21:53:57 น.
(ข้อคิด).. สังคมพุทธสมควรสังคายนากันยกใหญ่(?)..หรือไม่?.. จริงๆ..สังคมไทยเป็นสังคมที่มีบริบทที่นับถือผี?กึ่งลัทธิพราหมณ์?ที่มีการบูชารูปเคารพต่างๆกันมาแต่ครั้งโบร่ำโบราณ.. แต่พอพุทธเข้ามาในไทย,ก็พยายามที่จะประนีประนอม(?)กับแนวทางนับถือผี?และ/หรือลัทธิพราหมณ์?,เพื่อให้พอที่จะเปิดใจรับศาสนาพุทธกันได้บ้าง(?).. แต่จริงๆ,ศาสนาพุทธนั้นสอนเรื่องเหตุและผล( =เหตุปัจจัย-อิทัปปัจจยตา)เป็นหลักใหญ่.. ดังนั้น..พุทธที่แท้นั้น,พระที่วางตัวดีหลายๆท่านมักจะบอกสอนประชาชนว่า..การทำดีกับการทำผิด,ทำบาปนั้นมันเป็นคนละส่วนกัน,ลบล้างกันไม่ได้( =ทำผิดก็ส่วนทำผิด,ทำดีก็ส่วนทำดี),ไม่สามารถจะสร้างกุศลความดีในภายหลัง,เพื่อหวังผลให้ลบล้างจากความผิดต่างๆ?ที่ทำมาในอดีตก่อนหน้านั้น?ได้เลย(?).. แต่สังคมไทยมักไม่ยอมรับคำสั่งสอน(จากพระที่ทรงคุณธรรม)ที่ให้ล้างกิเลสเป็นหลัก.. คนพุทธไทย(บางส่วนหรือส่วนมาก)มักติดอยู่ในเรื่องบุญ,กุศล,โดยหวังผลทางโภคทรัพย์ที่อุดมสมบูรณ์(อันยังเป็นเรื่องของการสะสมกิเลส)ในชาติหน้า..เท่านั้น.. แต่มักไม่นิยมคำสอนจากบางสำนักที่สอนให้ละกิเลสกันสักเท่าไหร่(?).. จึงมักมองว่า..แม้เราจะไปทำความผิดใดๆมาก่อน.. แต่เมื่อเรามาหาทางแก้กรรม?,โดยการแสดงออก?(หรือสร้างภาพ?ที่ดูดี,เพื่อให้สังคมเห็นว่า.. เราเป็นผู้ฝักใฝ่ในเรื่องกุศล,บุญ,ทาน?และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ?นะ(?).. ก็จะเชื่อว่า..กรรมที่ผิด(ที่ได้กระทำมา)ก็อาจจะเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี?ได้(?)..(ซึ่งถ้าจะมองอีกมุม.. ก็เหมือนการเสแสร้งทำสิ่งที่ดูว่าดีต่างๆ?,ที่อาจไม่ได้มาจากความจริงใจในความดีที่กระทำนั้นๆ.. แต่เพียงทำเพื่อลบล้างกรรมที่ผิดบางอย่างของตน?เฉพาะหน้าไปเท่านั้น?).. ซึ่งแนวคิดเช่นนี้น่าจะไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องของพุทธศาสนาเลย.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 30 ตุลาคม 2566 เวลา:16:22:38 น.
(หลักคิด).. ปัญหาของคดีสำคัญ(บางคดี)ที่สังคมกำลังจับจ้อง,ก็เหมือนกับการเมืองยุคหนึ่งที่พยายามจะยกยอดคดีการเมือง(แบบสุดซอย?),โดยอ้างว่า..ออกกฎหมายยกโทษให้ทุกฝ่าย?ทั้งหมดไปเลย(?).. ซึ่งที่สุดหลายฝ่ายก็ยอมรับไม่ได้.. โดยเขาบอกว่า..ถ้าฝ่ายเขาเป็นฝ่ายผิด?,พวกเขาก็ยินดีที่จะรับโทษ.. แต่จะให้ยกโทษ?ไปเสียหมด(?),โดยไม่ทำให้ชัดเสียก่อนว่าใครผิด?-ใครถูก?,โดยอ้างว่า..มาปรองดองกัน,กระทั่งคดีคอร์รัปชั่น?(ซึ่งศีลข้อ2เป็นสาเหตุหลักที่เป็นต้นทางของความบาปของมนุษย์ที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้,โดยเฉพาะเป็นทรัพย์ของส่วนรวม),ก็จะพลอยยกโทษให้ไปด้วย(?).. เช่นนี้..บางฝ่ายเขาก็ยืนกรานว่าพวกเขารับไม่ได้(?)..[เพราะอย่างน้อย..พวกเขาก็ต้องการให้ผู้ทำผิดได้ออกมายอมรับกับสังคมก่อนว่าตนได้ทำความผิดต่างๆนั้นจริง(หรือไม่?),และควรต้องให้ขอโทษต่อสังคม?ด้วย(?)..เสียก่อน(?)],จนมีเหตุการณ์ที่บางฝ่ายต้องย้ายที่อยู่อาศัยไปพำนักที่ต่างประเทศนั่นไง?.. คดีสำคัญของเด็ก3ขวบ-น้องช.ก็เช่นเดียวกัน.. 1.ต้องทำให้ชัดเจนให้ได้ก่อนว่า..น้องช.เดินขึ้นไปเอง,แล้วหลงทางไม่สามารถกลับลงมาได้,จนถึงกับเสียชีวิตด้วยตนเองนั้น,เป็นไปได้เช่นนั้นหรือไม่?.. 2.ถ้าโดยสภาพศพยืนยันว่า..จะต้องมีผู้นำพาขึ้นไป,ก็แสดงว่าต้องมีผู้รับผิดก็คือผู้ที่พาขึ้นไปนั่นเอง.. 3.ญาติบางท่านจะมายกอ้างว่า..ต้องการให้พี่น้องอโหสิไม่ถือโทษกัน?,กลับมาเป็นเหมือนเดิม?นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้(?),เพราะทางคดีนั้น,เป็นคดีที่ไม่สามารถยอมความกันได้(?)( =ไม่สามารถตกลงกันเองได้?).. ดังนั้น..เขาต้องทำให้ชัดเจนก่อนว่า..ใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องช.ต้องถึงกับเสียชีวิต?.. ส่วนเมื่อมีการสรุปไปแล้ว,และมีการรับโทษไปแล้ว.. แล้วจะมายกโทษ,อโหสิให้กันทีหลัง(ในหมู่เครือญาติกันเอง)นั้น,ก็เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้,ถ้าทั้ง2ฝ่ายตกลงเลิกแล้วต่อกัน,ไม่ผูกพยาบาทกันอีกต่อไป..ดังนี้ครับ.. ...ด้วยความเคารพครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 30 ตุลาคม 2566 เวลา:20:45:19 น.
(ข้อสังเกต).. 1.ไม่ว่าเส้นผมจะถูกตัดด้วยมีด,หรือกรรไกร?(ยิ่งถ้ากรรไกรหรือมีด?ไม่คม?,เด็ก3ขวบย่อมจะตัดได้ยากขึ้นด้วย?),ด้วยตนเอง?หรือมีผู้อื่นเป็นผู้ตัด?,ที่สุดคือต้องมีมีดหรือกรรไกร?ขึ้นไปด้วย(?)(มีคำถามว่า.. เด็ก3ขวบจะพกมีดหรือกรรไกร?เพื่อเดินขึ้นเขาไปด้วย?ได้หรือไม่?,แค่รู้สึกว่าพลัดหลงจากผู้ใหญ่,ก็น่าจะต้องร้องไห้จ้า?แล้ว?,มีอะไรที่ติดตัวไป,ก็น่าจะทิ้งตามทางไปจนหมด,ก่อนขึ้นถึงภูเขาแล้ว?..ใช่หรือไม่?).. ถ้าเด็กตัดผมเอง?,ลักษณะของเส้นผม?ย่อมจะไม่เรียบร้อย?หรือไม่มีระเบียบ?,แต่ที่สำคัญคือ.. เด็ก3ขวบจะมี(ถือ)มีดหรือกรรไกร?,แล้วเดินหลงขึ้นทางชันไปยอดเขา?,เพื่อไปตัดผมด้วยตนเอง?(ยังมีใจสงบ,ตัดผมด้วยตนเอง?)ได้อย่างไร?.. 2.เด็กไม่ได้กินอาหารเช้ามากมาย?,กำลังของกล้ามเนื้อร่างกาย?ที่จะเดินทางที่ชันขึ้น?แม้พลัดหลงก็ตาม?..(ก็ต้องที่จะรู้สึกเหนื่อยมากๆ?).. ซึ่งโดยธรรมชาติของเด็ก3ขวบเมื่อกำลังตก,หรือเริ่มอ่อนเพลีย,ซึ่งอย่าว่าแต่เด็กเลย,แม้แต่ผู้ใหญ่ที่เริ่มเหนื่อย,ก็ย่อมอยากหยุดนั่งพัก,ไม่อยากที่จะเดินในเส้นทางที่มีความชันขึ้นไปเรื่อยๆ?,แม้จะเป็นถนนที่เรียบๆ?ก็ตาม,ซึ่งต้องใช้แรงมาก.. เมื่อยิ่งเป็นเด็ก?,ยิ่งเป็นแนวโน้มที่เขาจะต้องเดินในทิศทางที่ต่ำลงมาเรื่อยๆ?อย่างแน่นอน(?).. 3.ธรรมชาติของเด็ก3ขวบ,เมื่อเริ่มรู้สึกพลัดหลง,ไม่คุ้นกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว,และไม่เห็นใครเลย?(กรณีที่มองว่าเด็กอาจเดินขึ้นภูเขาไปเอง),ย่อมที่จะเกิดความตกใจกลัว?และต้องร้องให้เสียงดังๆ?ออกมา?..อย่างแน่นอน(?)..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 31 ตุลาคม 2566 เวลา:14:06:50 น.
4.ธรรมดา..เมื่อเริ่มพากันรู้ว่า..มีเด็ก3ขวบบางคน?หายไปจากบ้าน.. ก็แน่นอน,ย่อมมีการตื่นตระหนก,และพากันระดมกำลังของชาวบ้านออกช่วยกันตามค้นหากันอย่างขะมักเขม้นกัน,ในชั่วเวลาอันไม่นาน.. ซึ่งแน่นอนถ้าเด็ก3ขวบเดินขึ้นภูเขาไปเอง?,ก็คงจะเดินไปยังไม่ได้ไกล?,และคงยังไม่ถึงกับเสียชีวิต?..แน่นอน?.. และธรรมชาติของเด็ก3ขวบก็จะต้องเดินๆหยุดๆ?,และร้องไห้เสียงดังบ้าง,เสียงเบาบ้าง?,สลับกันไปเรื่อยๆ(?).. ก็เพียงเวลาไม่นาน,เมื่อชาวบ้านเริ่มรู้ว่ามีเด็กหาย,ก็พากันออกระดมติดตามกันแล้ว.. แต่แปลกมั้ย?.. ทำไมจึงไม่มีใครได้ยินเสียงเด็กร้อง?,หรือมีเสียงฮือๆ?ใดๆเลย(?).. หรืออย่างน้อย..เวลาออกตามหาเด็ก,ก็จะต้องส่งเสียงร้องเรียกเด็กด้วยชื่อของเด็ก?อย่างดัง(?).. เมื่อเด็กกำลังพลัดหลงอยู่ในระยะใกล้เคียง,เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง?และเสียงแซวๆ?ของผู้ออกค้นหา,ก็ยิ่งจะต้องร้องไห้ออกมาดังๆ?,จนผู้ออกค้นหาต้องพากันได้ยินเสียงร้องไห้บ้าง(?),แม้เสียงร้องไห้จากที่ไกลๆ?บ้างสักเล็กสักน้อย?..ก็เป็นได้?..ใช่หรือไม่?.. แต่นี่ไม่มีใคร?ที่ได้ยินเสียงเด็กร้อง?และไม่มีใคร?ที่ได้พบเด็ก?,ในช่วงที่เด็กยังมีชีวิต?อยู่แม้แต่สักคนเดียวเลย(?).. จึงน่าพิจารณาว่า.. เด็ก3ขวบอาจเสียชีวิตก่อนแล้ว,แต่ถูกซ่อนไว้ก่อน?ในช่วงที่มีการค้นหา,จนเมื่อเวลาล่วงเลยไปวันสองวัน(?),จึงอาจมีผู้นำศพเด็ก?ขึ้นไปวางบนภูเขา?อีกที?(จนมีผู้พบเห็นศพเด็ก?ในภายหลัง?)..หรือไม่?..(อาจเป็นเช่นว่านี้?..ได้หรือไม่?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 31 ตุลาคม 2566 เวลา:14:49:56 น.
5.เราไม่ได้สรุปว่า..มีใครเป็นผู้ทำให้เด็ก3ขวบเสียชีวิต?หรือไม่?นะ..(เด็กอาจจะเดินขึ้นภู,ไปเสียชีวิตเอง?ก็ได้นะ?).. แต่ก็อยากฝากเป็นข้อคิดว่า.. ต้องยอมรับว่ามีบางคน?ที่ตามข่าวบอกว่าไม่ได้เป็นผู้ทำ,เพราะรักเด็กมาก?.. แต่ก็แปลก.. เราสมมุตินะ.. สมมุติว่า.. ถ้าเป็นเราที่เป็นผู้ที่เอ่ยคำพูดประมาณว่า..รักเด็กมาก?เช่นนั้น,และถ้าเป็นความจริงเช่นนั้นด้วย(?) .. เราอยากบอกว่า..ถ้าเป็นตัวเราเอง..แม้ซึ่งเรามีกิจธุระ?ที่ได้นัดกับบางท่านว่าจะขับรถไปส่ง ณ สถานที่หนึ่งไว้แล้ว?(ปกติผิดนัดไม่ได้?)ก็ตาม(?).. แต่หลานที่รักมากคนหนึ่ง?(ของเรา)หายไปจากบ้าน?,เราก็คงเลือกยอมเสียนัด?,และรีบออกช่วยตามเด็ก3ขวบนี้โดยไวทันที?.. เพราะเดี๋ยวนี้..โทรศัพท์มือถือไม่ยากที่เราจะต้องโทรไปCancel(?),หรือติดต่อหาผู้รับจ้างขับรถคนอื่น?ให้ไปส่งท่านที่เรานัดไว้แทน?..(หรือไม่?).. แต่แปลก..ที่..สมมุตินะ.. สมมุติว่า..เราเมื่อทราบข่าวว่ามีหลาน3ขวบ(ที่รักมาก)หายไป.. แต่ตัวเรากลับเฉยมาก,ดูไม่ตื่นเต้นเลย,กลับบอกใครต่อใครว่า..เดี๋ยวไปส่งบางท่านนั้นเสียก่อนนะ(?),แล้วจึงจะค่อยกลับมาช่วยค้นหาอีกที(?)(ซึ่งดูใจเย็นมากๆ?).. อย่างนี้..ท่านทั้งหลายจะมองว่าเราเป็นบุคลิกเช่นไร?.. แต่ถ้าเป็นเรา(ตัวจริง).. เราจะต้องติดต่อให้คนอื่นไปส่งบางท่านนั้นแทน(?),และรีบออกตามหาเด็ก3ขวบนั้นในทันที(?),ที่รับรู้ข่าวนั้นเลย(?)..และสีหน้า,ท่าทางของเรา?ก็จะต้องมีอาการตื่นเต้น,ตื่นตระหนก,กังวล?อย่างมาก(?)กับกรณีที่มีเด็ก3ขวบ?ที่เป็นดุจญาติสนิท?ที่หายไปนั้น?..ด้วย(?).. คงไม่อาจที่จะวางเฉยได้?อย่างแน่นอนครับ?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 31 ตุลาคม 2566 เวลา:15:32:56 น.
(a)มีนักบวชสีกรัก(บางสำนัก)เคยพูดได้น่าคิดประมาณว่า.. ระบบการปกครองที่ต่างกันนั้น,อาจมีส่วนที่ดี-ไม่ดี?ต่างกันบ้างก็ตาม(?),นั่นเป็นเรื่องธรรมดา,แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่การอบรมจิตสำนึกของประชาชนในแต่ละระบบ(ซึ่งมีคำถามว่า..การศึกษาไทย?,รวมทั้ง
ศาสนาทั้งหลายในไทย?ถือว่าล้มเหลว?หรือไม่?.. ที่ไม่สามารถอบรมให้ประชากรไทยมีจิตสำนึกทางหลักศีลธรรมของศาสนาต่างๆที่ดีได้?).. คือสรุปว่า.. ต่อให้ระบบ?จะดีเท่าไหร่?,แต่ถ้าประชาชนในประเทศ?มีจิตสำนึกที่ไม่ดี?.. เขาก็มีช่องที่จะกระทำสิ่งที่เรียกว่าการทุจริตต่างๆสารพัด?ได้อยู่ดี..ทั้งนั้นแหละ?.. และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศนั้นๆ?ไม่เจริญเท่าที่ควร(?)(หรือจะมองว่าทำให้ประเทศนั้นๆ?มีหนี้สินล้นพ้นตัว?ก็ได้ด้วย?).. ถ้าเราดูตัวอย่าง.. เช่น.. ประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น.. เท่าที่ทราบ..ประชากรของเขาจะมีวินัยที่เคร่งครัด,มีลักษณะเด่นคือ..ถ้าประชากรของเขาทำผิดและถูกจับได้,จะมีจิตสำนึกละอายที่มากกว่าประเทศอื่นๆ,และมักจะมีการกล่าวขอโทษ(โค้งคำนับ)ต่อประชาชน,และตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำประจำด้วยตนเอง,โดยไม่ต้องรอให้กระบวนการมีการตัดสินถึงที่สุดเสียก่อน..(จึงไม่แปลกที่เขามีเรื่องของกามิกาเซ่?ที่ยอมตายเพื่อประเทศ?ได้).. ซึ่งเราคิดว่า..นี่เป็นเหตุที่ทำให้2ประเทศนี้เจริญรุดหน้ากว่าหลายๆประเทศ(ในภูมิภาคเดียวกัน).. อยากบอกความเห็นส่วนตัวว่า.. เช่น.. ถ้ามีอาชญากรรมจากคนดื่มแอลกอฮอล์,ก็ไม่ใช่เฉพาะผู้ดื่มแล้วขาดสติ,แล้วไปก่ออาชญากรรม?เท่านั้นที่ผิด?,แต่ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายแอลกอฮอล์สำหรับดื่ม(ทั้งหลาย)ก็ควรมีส่วนต้องร่วมรับผิด?ด้วย?,ไม่ใช่คุณจะมุ่งเอาแต่หวังได้กำไรทางการธุรกิจ?แต่เพียงอย่างเดียว(?),โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ต่างๆ?ที่เกิดขึ้นตามมา(?).. เช่นนี้เป็นต้น.. โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 31 ตุลาคม 2566 เวลา:19:03:45 น.
(b)(เห็นด้วยกับอดีตผู้การต.และคุณช.,กรณีคัดค้านออกกฎระเบียบใหม่ให้ครอบครองยาเกิน10เม็ดจึงถือเป็นผู้ค้า).. สังคมเรามีเรื่องที่ดูแล้วตลกๆ.. ต่อไปนี้เป็นเรื่องสมมุติๆนะ.. เช่น.. 1.คุณไปบอกให้พระสอนว่า..หวยไม่ดี,เป็นการพนัน,เป็นการหวังรวยทางลัด(?),ไม่ใช่คำสอนพุทธ.. แต่คุณไม่ควบคุมเรื่องการออกสลากต่างๆ?,อ้างว่านำรายได้เข้ารัฐ?.. ประมาณว่า..ส่วนศาสนาหรือผู้สอนก็สอนไปตามหน้าที่.. ส่วนหารายได้เข้ารัฐ?ก็หาไปตามนโยบาย?..ประมาณนั้นหรือไม่?.. คือมองตัดขาดเป็นคนละส่วน,ไม่มองว่า..เท่ากับส่งเสริมให้ประชาชนงมงาย?กับเรื่องลาภลอยหรือไม่?,เมื่อรัฐส่งเสริม,ออกสลากเสียเอง?,แล้วเมื่อเวลาพระบางสำนักสอนไม่ให้ลูกศิษย์เล่นหวย,แล้วเขาจะฟังไหม?,เขาก็จะพูดเถียงพระว่า..แต่รบ.เขาก็ยังไม่ได้ห้ามไปโน่นเลยไง?.. ผลคือ..ประชาชนเกิดความเคยชินที่จะงมงาย?กับเรื่องลาภลอย?,หรืออะไรที่ได้มาง่ายๆ?,โดยไม่ได้คิดหน้า-คิดหลังให้รอบคอบ?.. ทีนี้,ก็มีผลไปถึงเรื่องของพวกแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์?ก็จะหาวิธีมาหลอกลวงคนไทยได้แบบง่ายๆ.. เพราะเขาก็รู้จิตวิทยาว่า..คนไทยเป็นสังคมงมงาย,เชื่อง่าย?,เพราะรัฐก็ยังส่งเสริมให้คนเมา?ในเรื่องลาภลอย?,จนเกิดนิสัยเคยชินที่จะเชื่ออะไรง่ายๆ?นั่นไง?.. แล้วที่สุดเกิดผลเสีย?ต่อประชากรของสังคม?ในระยะยาวไกล?หรือไม่?.. เช่นนี้เป็นต้น.. แล้วรายได้จากสลากแต่ละงวด?จะคุ้มกับการเพาะเชื้อDNA?ของความเป็นคนงมงาย?(เห็นแก่อะไร?,ที่จะได้มาจากการเสี่ยงโชคง่ายๆ?(แบบลาภลอย?),โดยไม่คิดถึงหลักคณิตศาสตร์?เรื่องโอกาสความน่าจะเป็น?(Probability)(ที่จะถูกรางวัลที่1?)ที่เคยร่ำเรียนกันมาเลย(?)( =การศึกษาไทยเรื่องหลักคณิตศาสตร์?พลอยล้มเหลว?ไปด้วยไงล่ะ?)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.120.125 วันที่: 31 ตุลาคม 2566 เวลา:20:46:46 น.
วันนี้ได้ชมรายการลุยชนข่าว,ช่อง8,27-12-66ช่วงกรรชัยไม่ทน...แล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ...
สังคมไทยควรแก้กฎหมายบางเรื่องมั้ย?.. หลายกรณีที่เป็นข่าวในสังคมไทย(พุทธ95%)คือมาจากเริ่มต้นโดยมีการดื่มสุรา(ผิดศีลข้อ5)เป็นเหตุ(?).. บางครั้งเหมือนจะอ้างว่า..ทำไปเพราะเมา,คล้ายหวังว่า..สังคมหรือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจะไม่อยากเอาเรื่องเอาราว(?).. แต่การเมาสุราแล้วก่อเหตุเดือดร้อนไม่ได้แปลว่า..การกระทำนั้นจะไม่ผิดกฎหมาย,หรือเอาผิดอะไรไม่ได้นะครับ?.. ใช่ไหมครับ?.. ที่สำคัญคือ.. เราปชช.(รวมทั้งผู้ใหญ่ๆและผู้ทรงคุณวุฒิ,สส.,สว.)ควรเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสุราต่างๆว่า.. ถ้าสุรายี่ห้อใดๆที่ผู้ดื่มสุรานั้นแล้วไปก่อเหตุต่างๆในสังคม,ควรให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสุรายี่ห้อนั้นๆ?ต้องร่วมชดใช้,เยียวยาต่อผู้ที่รับความเดือดร้อน,เสียหายในกรณีต่างๆนั้นด้วย?..ดีมั้ยครับ?.. ไม่ใช่คุณมีหน้าที่แค่ค้ากำไรจากการผลิตและจำหน่าย?เท่านั้น(?),โดยที่ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบจากผลิตภัณฑ์ที่คุณมีส่วนผลิตขึ้นมา?นั้นแต่อย่างใดเลย?.. ประมาณว่า..ก็ลื้อไปซื้อกินเอง,ไปเมาอาละวาดก่อเหตุเอง,อั๊วไม่ได้ร่วมรับรู้อะไรด้วย?..ประมาณนั้น?.. อย่างนี้มันใช่มั้ย?.. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.255 วันที่: 28 ธันวาคม 2566 เวลา:12:08:07 น.
(A)วันนี้ได้ชมรายการสด-อมรินทร์ลุยชนข่าว,15-12-66ช่วงกลุ่มศรัทธาเด็กรวมพลังปกป้อง...แล้ว.. มีข้อคิดเห็นดังนี้ครับ...
ธรรมดานั้น..ผู้ใหญ่ๆควรเป็นผู้ออกมาให้ปัญญากับสังคมโดยรวม(?).. ถ้าสังคมใด..ที่ผู้ใหญ่ๆพากันเงียบเฉย, อาจถูกมองจากสายตาของสังคมได้ว่า.. ทำไมท่านเหล่านั้น?จึงไม่แสดงความเดือดร้อน?ใดๆ?,หรืออาจเป็นเพราะท่านพากันอยู่อย่างสุขสบายแล้ว?,ธุระไม่ใช่?,เรื่องอะไรจะหาเรื่อง?,หาเหามาใส่หัว?,ให้เปลืองตัว?กับโลกโซเชี่ยล?ไปเปล่าๆ?ไปทำไม?..ประมาณนั้น?..หรือไม่?.. หรืออาจมีผู้ใหญ่บางท่าน?อาจมองว่า..การที่สังคมไทยมักมีเรื่องให้สังคมพากันไปสนใจ(ตามอุปนิสัยคนไทย)ในเรื่องสัพเพเหระ,จิปาถะ,เป็นเรื่องๆ,เป็นระยะๆ?นั้นก็ดีแล้ว?.. จะได้ไม่มานั่งเพ่งเล็งจับผิดในเรื่องที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น?,ทุจริต?,ฉ้อฉล?,กินตามน้ำ?,กินทวนน้ำ?ที่อาจมีผู้ใหญ่บางท่าน?(ในยุคอดีต)ได้เคยกระทำไว้(?),และสามารถประคองตัว,หลบเลี่ยงข้อกฎหมาย,จนสามารถนั่งเสวยสุข?,แบบไม่ต้องเดือดร้อนกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม?ใดๆเลยก็ได้?,มาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นได้?..เช่นนั้นหรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. อย่างสำนักพุทธต่างๆ(ซึ่งไทยเป็นพุทธ95%)นั้นก็ควรออกมาแอ๊คชั่น?ชี้แนะว่า,อะไรถูกต้องหรือผิดตามหลักพุทธศาสนา?หรือไม่?..ใช่หรือไม่?..[ซึ่งไม่สมควรให้สังคมไทยอยู่กับความงมงาย?ที่ไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ,โดยเฉพาะที่มักอ้างอิงกับบริบทคำสอนหรือรูปสัญลักษณ์ต่างๆ?ที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธ?,เพื่อใช้เป็นประโยชน์?หรือใบเบิกทาง?ให้กับลัทธิสัทธรรมปฏิรูป?ตามแนวคิด?,ความเชื่อ?(ของตน,ส่วนตัว?),ซึ่งแปลกปลอมขึ้นมาภายหลัง,แตกต่างจากยุคพุทธกาล?เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่?ให้กับลัทธิศาสนาแนวใหม่(ของตน,ของตน?)..ใช่หรือไม่?].. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.255 วันที่: 28 ธันวาคม 2566 เวลา:21:07:11 น.
(B)สื่อบางส่วนก็เช่นเดียวกัน,ไม่ใช่มีแต่ทำคอนเท้นต์?,หาเรตติ้ง?ให้กับช่อง,แล้วใช้แค่คาถากำกับ?แค่ว่า..โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม?เท่านั้น(?)..(แต่ควรบอกกับผู้ชมด้วยว่า..อะไรคือพุทธ?,อะไรที่ไม่ใช่พุทธ?)..
แม้จะอ้างหลักกฎหมายว่า..ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในลัทธิต่างๆสารพัด?และปฏิบัติตามความเชื่อ?อย่างไรก็ได้?,ตราบใดที่ไม่ทำผิดกฎหมายหลักๆ?เท่านั้นก็พอ(?).. แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว?..เช่นนั้นหรือ?.. แล้วเช่นนี้จะสามารถสร้าง,พัฒนาเชิงปัญญา?( ="ปัญญา"แบบ"พุทธแท้")ให้กับสังคมไทยเพื่อก้าวไปสู่สังคมศิวิไลซ์?ได้ล่ะหรือ?.. ซึ่งบางคนอาจใช้การบวชเพื่อหลบหนีสังคม?,หรือหลบสื่อ?,หรือเสดาะเคราะห์บางสิ่งบางอย่าง?นั้นก็ยังพอทำเนาอยู่บ้าง?.. แต่บางคนเพื่อจะสร้างภาพลักษณ์?เพื่อจะหลบเรื่องราวบางเรื่องที่เกี่ยวกับตน?(ความจริง..ถ้าแน่ใจว่าตนเองไม่ผิดใดๆ?,ก็น่าจะนอนเล่น,แช่แป้ง?,ไม่น่าจะต้องเดือดร้อน,ทำนั่น,ทำนี่,อะไรมากมาย?..ใช่มั้ย?).. เช่น.. ก็พยายามไปสร้างรูปเคารพ?มาเป็นรูปสำหรับบูชา?(ซึ่งไม่ใช่หลักศาสนาพุทธ?เลย?),ซึ่งเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์?(ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานว่า..มีอยู่จริงในโลกมนุษย์มาก่อน?..หรือไม่?).. แล้วนำมาเป็นสรณะ?เพื่ออาจหวังให้ปกป้องตน?ให้พ้นจากสิ่งร้ายต่างๆ?.. ทั้งๆที่ปากก็พร่ำบอกว่า..ตนเป็นชาวพุทธ?,นับถือพุทธศาสนา?.. แต่สิ่งที่กระทำต่างๆ?นั้น,มันไม่ใช่วิธีคิด?หรือหลักการของพุทธศาสนา?แต่อย่างใดเลย?..(ฝ่ายสำนักพุทธต่างๆ?ก็มักอ้างว่าไม่ใช่หน้าที่ของสำนักพุทธ?ซะอย่างงั้น?..เสียอีก?).. หรือที่มีน้องอายุ8-9ขวบที่สามารถทำให้ผู้ใหญ่คราวพ่อ,คราวแม่?ก็มาก้มกราบไหว้?(โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน?)ก็ยังเป็นได้สำหรับสังคมไทยเมืองพุทธ?อีกเช่นเดียวกัน(?).. แล้วเช่นนี้เราจะคาดหวังให้ใคร?เป็นผู้รับผิดชอบ?กับเรื่องมิติแห่งความงมงาย,ไร้เหตุผล?ในบริบทเรื่องลี้ลับ?,เรื่องอดีตชาติ?,เรื่องอวตาร?(อันเป็น'ลัทธิพราหมณ์'),หรือเรื่องแม้กระทั่งสัตว์ในตำนานต่างๆ?ที่นำมาเป็นสิ่งบูชา?,กราบไหว้?,เคารพ?,สักการะ?ที่นับวันแต่จะยิ่งกลายเป็นบริบท?ของธุรกิจความเชื่อที่งมงาย?(อันไม่ใช่หลักพุทธ?)ที่ไม่สามารถพิสูจน์ใดๆได้?เหล่านี้?..อย่างไรกันดีครับ?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.255 วันที่: 28 ธันวาคม 2566 เวลา:21:59:47 น.
(a)เราเคยแสดงความเห็นไว้บางตอน.. ประมาณว่า..ชื่อ(เล่น)นั้นสำคัญไฉน?.. เช่น..ชื่อเล่นบางชื่อที่สื่อถึงความหมาย?ของคำว่าคบซ้อน?มีเนื้อหาดังนี้..
________________ เรามักสังเกตว่า.. ผู้ที่มีอาชีพร้อง,เต้น?ที่มีร้อง?และเต้น?ไปในเนื้อหาที่ไม่ส่งเสริมจริยธรรมทางเพศ?สักเท่าไหร่?,และ/หรือรวมทั้งผู้ที่มีชื่อเล่นที่ทำให้ผู้ได้ยินเขาแว็บไปนึกถึงเรื่องการมีคู่ซ้อน?หรือการคบซ้อน?ดังกล่าวไปแล้วข้างต้น.. หลายคู่,หลายคน?มักจบลงด้วยการที่มีการแยกทางกับคู่ของตน?ให้เห็นอยู่เสมอ(?).. ดังนี้เป็นต้น.. ________ ซึ่งเราใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการสังเกตข่าวสารในสังคม....เราเห็นว่า.. ชื่อเล่น?ที่มีนัยยะ?ของการผิดศีล?ในบริบทของพุทธ,มักนำพาผู้ที่มีชื่อดังกล่าวนั้น..ไปในทางที่ไม่ค่อยโสภา?หรืออาจถึงขั้นเกิดเรื่องเสื่อมเสีย?ในบางกรณี?เลยก็เป็นได้(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 5 มกราคม 2567 เวลา:21:04:21 น.
(b)สมมุติว่า.. ถ้าตั้งชื่อเล่นว่าโบว์หรือแนนนี่,หรือคริสตี้,หรือหมิว,หรือมายด์,อย่างนี้ไม่ค่อยมีนัยยะที่จะไปชวนให้เกิดภาวะล่อแหลม?หรือคล้ายเชิญชวนในเรื่องทางเพศ?อะไรมากมาย(?)..
แต่ถ้าเริ่มเป็นชื่อของสิ่งที่ดื่มได้?,ทานได้?นี่จะเริ่มเข้าข่ายเป็นชื่อที่อาจเชิญชวนปัญหา?ในเรื่องคนคู่?(ที่ไม่เข้าท่า?หรืออาจไม่ถูกครรลองประเพณี?)ให้เข้ามาหาตัวได้ล่ะ(?).. โดยเฉพาะหญิงสาวที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น?,ดรุณี?,แรกแย้ม?ในการคบหา,สังสรรค์?ที่มีเรื่องของแอลกอฮอล์?แทรกเข้ามาด้วยแล้ว(?),ซึ่งอาจถึงขั้นเกิดการลวนลามทางวาจา?,อันเป็นจุดเริ่มต้น?เข้ามาละ(?).. เช่น.. ถ้าใครไปตั้งชื่อเล่นว่าแอ๊ปเปิ้ล,ก็อาจถูกแซว?หรือกึ่งลวนลามเล็กๆ?ว่า.. วันนี้รู้สึกว่า..อยากทานแอ๊ปเปิ้ลจัง?..อย่างนี้เป็นต้น..(ซึ่งอาจรู้สึกว่านี่กำลังเริ่มจีบ?แล้วหรือไม่?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 5 มกราคม 2567 เวลา:21:26:49 น.
(c)โดยเฉพาะผู้หญิง?มักเป็นเพศที่จิตใจอ่อนไหวง่าย?กว่าผู้ชาย?.. เมื่อมีการแทะโลม?หรือมีลักษณะคล้ายจีบทางคำพูด?ผ่านชื่อเล่นของตน?ก็มักมีลักษณะหวั่นไหว?,ใจเต้น?,เริ่มฟุ้งซ่าน?,คิดวนเวียน?ขึ้นมาละ(?)..
ซึ่งถ้าเจอเรื่องอย่างนี้บ่อยๆ?ก็เท่ากับทำให้เหมือนรู้สึกว่าตนเองมีตัวเลือก?.. ประมาณว่า..คนนั้นก็จีบเรา?,คนนี้ก็จีบเรา?,เราจะเลือกใครดีนะ?(จิตใจฟูฟ่อง?,เกิดภาวะขี้โลภทางใจ?)..อะไรประมาณนี้?.. ทำไปทำมาอาจทำให้เป็นหญิงใจแตก?,จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว?,เกิดอาการรักเผื่อเลือก?หรือคบซ้อนหลายคน?ได้(?).. โดยอาจหลงผิด?,หรือหลงถูก(ใจ)?ว่า..เพราะตนเองมีเสน่ห์?เสียอีก(?),ผู้ชายจึงต่างพากันมารุมจีบ?..อะไรประมาณนั้น?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 5 มกราคม 2567 เวลา:21:43:17 น.
(d)วันนี้(5-1-67).. ได้ดูบางรายการยอดฮิตก็เริ่มมีนำเสนอเรื่องทำนองนี้อีกเรื่องหนึ่ง.. ที่มีชื่อเล่น?ของเซเล่บบางคน?ที่ชื่อเล่นของเธอ?สื่อถึงความหมาย?ของเครื่องดื่มบางชนิด?ที่ดื่มแล้ว,อาจทำให้ขาดสติ?ได้(?)..
นี่ถ้ามองในแง่ของพุทธ?,ก็อาจถูกมองได้ว่า..เป็นบริบทของเรื่องวิบากกรรม?ของการตั้งชื่อ?,ที่สื่อไปถึงเครื่องดื่มบางชนิด?ที่มีฤทธิ์?ทำให้สูญเสียสติ,สัมปชัญญะ?,ซึ่งเป็นบริบทของการชักชวน?ให้ละเมิดศีลข้อ5ก็เป็นได้?..ด้วยหรือไม่?.. จึงอาจทำให้เกิดการพลาดพลั้ง?(หลงเคลิ้ม?,ไม่ระวังตัว?,จนอาจเผลอ(?)ทำในสิ่งที่สังคมไทยมักไม่ยอมรับ?กับการไปใกล้ชิด?กับคู่ของผู้อื่น?จนดูเป็นภาพที่ชวนให้สังคมครหา?ว่าไม่เหมาะสม?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 5 มกราคม 2567 เวลา:22:02:32 น.
(e)ดังนั้น..ผู้ปกครอง?หรือบุพการี?,เมื่อจะตั้งชื่อเล่น?ให้บุตรหลาน?,ก็ควรคิดการให้รอบคอบ?,ว่าจะเป็นเชื้อ?,เป็นสื่อ?,ซึ่งอาจนำพาบริบทของการผิดศีล5?,มาสู่ลูกหลานของตน?ได้หรือไม่?..ด้วย(?)..
ซึ่งเราคอยสังเกตเสมอมา,หรือแม้แต่กรณีชื่อเล่น?ที่สื่อถึงผู้ยิ่งใหญ่?.. เช่น..สรรพนาม?ที่ใช้ขานแทนกษัตริย์ของจีน?(ฮ่......),ซึ่งอาจเป็นการไปเสริมอัตตา?ของเจ้าของชื่อเล่น?โดยใช่เหตุ(?).. ซึ่งอาจนำพาวิบากกรรม?(บางอย่าง)เข้าหาเจ้าของชื่อเล่น?นั้น?..ก็เป็นได้(?).. หรือเช่น..ชื่อเล่นว่าหมู.....?(ซึ่งสื่อถึงอาหารฝรั่งชนิดหนึ่ง),ซึ่งเรามองว่า..หมู?เป็นสัตว์ที่น่าสงสาร?,แต่กลับถูกนำมาเป็นอาหารบำเรอลิ้น?ให้กับมนุษย์(?).. ซึ่งทางธรรมะของพุทธ?อาจมองว่า..สื่อถึงวิบากกรรมจากการตั้งชื่อ?ที่ไม่มีนัยยะเป็นคำพร?( ="อาภัพ?")ต่อตัวผู้ที่มีชื่อเล่นดังกล่าว?ก็เป็นได้(?)..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 5 มกราคม 2567 เวลา:23:59:31 น.
(f)หรือแม้แต่ชื่อเล่น?ที่สื่อถึงผืนผ้าชนิดหนึ่ง?ซึ่งไม่มีนัยยะอะไรพิเศษ?(ซึ่งอาจไม่ชวนให้ผู้ที่มีชื่อดังกล่าวตั้งสติ?ในการดำเนินชีวิต?ก็เป็นได้?),ซึ่งประกอบกับไปพ่วงกับนามสกุลที่มีชื่อเสียงในอดีต?ด้วย(?),จึงอาจทำให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ระวังระไว?เท่าที่ควร?..ก็เป็นได้(?)..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?..
หรืออีกชื่อเล่นหนึ่ง?(คำฝรั่ง)ที่มีนัยยะแห่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่?(เหนือบริวาร?)ว่าเจ้านาย?,หรือนายจ้าง?,หรือหัวหน้าใหญ่?,ซึ่งอาจทำให้เจ้าของชื่อเล่น?รู้สึกหลงเคลิ้ม?ในอัตตาตัวตน?ของชื่อเล่นของตนเอง?อยู่เป็นเนืองนิตย์(?)..ก็เป็นได้?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. ประกอบกับอาจมีวิบากกรรม?ร่วมกับเครื่องดื่มบางชนิด?ที่ให้(กระตุ้น)พลังงาน?(ในระดับแอ๊คถีฟ?)(ที่ครอบครัวเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย?),ที่แม้ไม่ใช่ฤทธิ์แบบแอลกอฮอล์?,แต่ก็อาจมีส่วนกระตุ้น?ให้เกิดพลังงานที่มากล้น?,จนเกินกำลังของสมอง?ที่จะควบคุมตนเอง?,ให้อยู่ในความพอดีในการใช้ชีวิต?ได้(?).. จึงอาจส่งผล?ให้เกิดวิบากกรรม?ที่มาดลให้เกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด?ให้กับเจ้าของชื่อเล่น?นั้น?..ด้วย?..ก็เป็นได้(?)..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. ทั้งหลายเหล่านี้?ที่ยกตัวอย่างมา,เรามองด้วยทัศนะส่วนตัว?,และประสบการณ์การสังเกตส่วนตัว?เท่านั้นนะครับ(?).. ...ด้วยความปรารถนาดีและด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 6 มกราคม 2567 เวลา:0:40:53 น.
(A)ศาสนาพุทธหรือแค่หลักปรัชญา?,และความเป็นจริงของโลก?,และธรรมชาติของสังคมไทย?ที่อยู่ในวังวนแห่งความซิกแซ็ก?,ที่ไม่ตรงไปตรงมา?.. เช่น..
1.พระถ้าพูดเรื่องเซ็กส์?หรือเรื่องในมุ้ง?หรือเรื่องคนคู่?,ชู้สาว?,กิ๊กกั๊ก?นั้นไม่เหมาะสม(?).. ดังนั้น..หนุ่มสาวในสังคมพุทธ95%(แม้จะมีศาสนาอื่นผสมโรงอยู่บ้าง)จึงต้องไปสุ่มเสี่ยง?แบบปิดตา..หารัก?,หรือจริงๆอาจแค่ปิดตา..หาเซ็กส์?(ที่ถูกใจ?,เฉพาะหน้า?,เป็นครั้งคราว?)เพื่อลองวิชารัก?(เซ็กส์?)กันเอาเอง?..เท่านั้น?..หรือไม่?.. เพราะมักอ้างว่า..พระพูดเรื่องต้องห้ามเหล่านี้?นั้นไม่เหมาะสม(?),สังคมไทยจึงถูกปิดตา?กันอยู่มานมนาน,กาเล?.. ดังนั้น..ปัญญาการขบคิด?,วิเคราะห์?,แยกแยะ?เรื่องศีลข้อ3ในมุมมองของพระ,นักบวช?จึงไม่เกิดขึ้น,เพื่อช่วยเหลือให้กับหนุ่ม-สาว?ของสังคมของคนไทย?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 6 มกราคม 2567 เวลา:17:02:03 น.
(B)2.หรือจริงๆ.. พระควรให้ปัญญากับคนหนุ่มสาว(ในวัยแสวงหาความรัก?,หรือแสวงหาฟงแฟน?หรือคู่ครอง?)ว่า.. ความรักที่บริสุทธิ์?(โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้?)แบบที่ไม่เกี่ยวกับความพึงพอใจในจุดเป้าหมายเรื่องเซ็กส์?(ที่สังคมกำลังพูดกันฮือฮา?)นั้นไม่มีจริงหรอกนะ(?)(อาจมีแค่ในละครหลังข่าวช่วงหลัง2ทุ่ม?ที่ชวนให้หนุ่มสาวหลงใหลได้ปลื้ม?กับความรักแบบอุดมคติ?ที่ไม่มีจริง?เท่านั้นจ้ะ?).. เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนไว้อย่างชัดเจนว่า..นัตถิ อัตตสมัง เปมัง( =ความรักอื่นเสมอด้วย*รักตนเอง*นั้นไม่มี)ไม่ใช่หรือ?..
หรือพระควรสั่งสอนประชาชนว่า.. แค่ไปมีใจ?ให้กับคู่ครองของผู้อื่น?ทั้งๆที่รู้อยู่?(จะโดยนิตินัย?หรือแค่พฤตินัย?ก็ตาม?..ที่สังคมรับรู้ได้ว่า..เขาเป็นคู่ครองกันอยู่?เป็นที่ประจักษ์?),นั้นก็คือผิดหลักธรรม?ตามบริบทของศีลข้อ3แล้ว?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. หรือเรื่องเซ็กส์?นั้น.. ควรให้ความจริง?ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของสัตว์โลก?โดยทั่วไป(?).. และมนุษย์?ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง?ที่เทียบเท่ากับสัตว์โลกทั่วไป?แค่สปีชี่หนึ่ง?เท่านั้นเอง?..หรือไม่?.. และศาสนา(โดยเฉพาะพุทธ?)เป็นเพียงหลักปรัชญา?ที่พยายามฝืนความจริงของโลก?ที่ว่า..เซ็กส์เป็นความพึงพอใจสูงสุด?ของสัตว์โลก?ที่ไม่อาจห้ามได้?..เช่นนั้นมากกว่า?..หรือไม่? ..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:4:10:00 น.
(C)แต่พุทธบางสำนัก?(โดยเฉพาะสำนักสีกรักบางสำนัก?)มักพยายามอยากบอกสังคมชาวพุทธ?ว่า..กามารมณ์หรือเซ็กส์?นั้นสามารถละขาดได้จริง?..
กระทั่งยอมพูดอวด?(ต่อสังคม)เพื่อพิสูจน์กลุ่มตนเอง?ว่า..สำนักของตน?นั้น..มีผู้สำเร็จถึงขั้นอรหันต์?,และสามารถละกามารมณ์?จนหมดสิ้นได้จริง?..เสียอีกด้วย(?).. [ซึ่งจริงๆอาจเป็นเพียงการแค่ฝึกฝืนกดข่มทางอารมณ์?ไว้ได้อย่างเนิ่นนาน?,จนดูน่าศรัทธา?,แล้วประเมินกัน(ในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา?)เอาเองว่า..ท่านผู้นั้น,ผู้นี้?น่าจะละกามารมณ์?ได้หมดสิ้นจริง(?)..เท่านั้นเอง?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?].. ซึ่งส่วนตัว,เรายังไม่ยอมรับว่า..พุทธ?จะสามารถละกาม?จนเป็นอรหันต์?ที่สามารถสลายธาตุวิญญาณจิต?จนไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป?ได้ด้วย(?)..แต่อย่างใด?.. (ซึ่งเรามองว่า..อาจเป็นเพียงแค่หลักปรัชญาความคิด?,เพื่อไต่เต้าแสวงหาความหลุดพ้น?,ซึ่งก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์?ใดๆ?ว่า.. จะมีอรหันต์?ที่สามารถตัดภพ?,จบชาติ?และละกามารมณ์ในจิตส่วนลึก?ที่ฝังใจมาเนิ่นนานข้ามชาติ?ได้จริงๆ?..แต่อย่างใด?..อีกด้วย?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:4:39:51 น.
(D)3.ไม่เช่นนั้นเราจะพบว่า.. ในอดีตไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาในสังคมพุทธไทย?ก็ยังมี.. เช่น.. ท่านนิกะระโณ,ยันตโร,ภาวโนพุทธา,เณรค.,ฯลฯ,ที่ยังต้องพ่ายแพ้ต่อบริบทของศีลข้อ3แม้อยู่ในผ้าเหลือง?โดยมักอ้างว่า..เพราะเกิดจากแผนนารีพิฆาต?ได้อย่างไร?..
รวมทั้งเร็วๆนี้..คือ..ท่านมิ......?(พระชาวต่างชาติบางท่าน)ที่ยังต้องยอมสึกออกไปจากผ้าเหลือง?,เพื่อไปใช้ชีวิตครองเรือน?กับหญิงบางคน?ที่เคยเข้ามาพัวพันเป็นลูกศิษย์?อีกด้วย?..ได้อย่างไร?.. ทั้งๆที่แทบทุกท่าน?ก็ได้กล่าวหลักธรรมของพุทธ?,สั่งสอน,อบรมลูกศิษย์ชาวพุทธ?ในเรื่องศีลข้อ3กันมาอย่างเพรียบพร้อมมาแล้วกันทั้งนั้น(?).. แต่ก็ยังไม่อาจสามารถเอาชนะความท้าทายของกามารมณ์?ซึ่งธรรมชาติ?ได้ปูทาง,สร้างไว้อย่างประณีต?,ลึกล้ำ?,ซับซ้อน?,จนมนุษย์(ผู้ชาย)ทั้งหลาย?(แม้แต่ระดับนักบวช?)ก็ยังยากที่จะปฏิเสธความต้องการทางกามารมณ์?(ซึ่งผนวกกับการสนองอัตตาตัวตน?หรือความสะใจ,ภูมิใจในจิต?ที่ได้เอาชนะอิสตรี?,ที่ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าสังคม?มักต้องแสดงความหวงเนื้อหวงตัว?)(หรือกรณีที่สตรีบางคน?มุ่งหวังเอาชนะต่อบุรุษ?ในเรื่องทางเพศ?ก็ตาม?),ตามการเร่งเร้าตามธรรมชาติ?ที่มักถูกยั่วยวน?โดยสตรีเพศ?ได้โดยง่าย(?).. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:5:16:24 น.
(E)4.ถ้ามองในมุมมองฝรั่ง?.. โดยทั่วไป..คนฝรั่ง?จะไม่ปฏิเสธเรื่องกามารมณ์?,เพราะพื้นฐานของชนชาติเขา?มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา,ธรรมชาติ?,ที่ไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาด,ใหญ่หลวง?อะไร?..
เช่น.. เวลาลูกออกจากบ้าน,พ่อ-แม่ฝรั่ง?(บางส่วน),เราเคยได้ยินว่า.. มักจะคอยเตือนลูกว่า..ลืมถุงยางอนามัย?และมียาคุมกำเนิด?ไว้พร้อมหรือเปล่า?..ประมาณนั้น(?).. เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์?,เพราะยังไม่พร้อม?ที่จะมีครอบครัว?,หรือเลี้ยงดูบุตร?ที่อาจเกิดจากความบังเอิญ?หรือยังไม่พร้อม?ได้?(แต่ก็กลับมีความพร้อมแล้ว?ที่จะเรียนรู้การสนองความสุข?ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์กัน?ได้แล้ว?.. หรือนี่คือบริบทความพิกลของธรรมชาติ?ที่ไม่สมดุลกับความเป็นจริงของชีวิต?..หรือไม่?..).. แต่เขามักไม่ปฏิเสธว่า..เด็กเป็นหนุ่ม?,หรือเป็นสาวเริ่มมีประจำเดือน?(เมน)ก็ย่อมมีความต้องการทางเพศ?,เมื่อมีสิ่งแวดล้อม?ที่ส่งเสริม,เป็นใจให้?..ได้เสมอ(?).. และเขาไม่ใช้วิธีการกดดัน?ต่อความรู้สึกทางเพศ?ที่มักเกิดขึ้นกับเด็กทุกคน?ตามธรรมชาติที่เร่งเร้า?(เพื่อไปสู่การก่อกำเนิดพืชพันธุ์?)โดยใช้บริบทคำสอนให้ละกิเลสด้านกามารมณ์?ในหลักการของศาสนาพุทธ?(ที่มุ่งหวังให้คนมีความบริสุทธิ์ในจิต?ที่เหนือกว่าความเป็นไปตามธรรมชาติ?ของสัตว์โลกทุกชนิด?)..ในแบบของพุทธ?แต่อย่างใด?.. [ที่อาจทำให้พุทธบางสำนัก?ใช้ประโยชน์ในการโฆษณาสรรพคุณ?ว่า..หลักพุทธ?นั้นเหนือกว่าศาสนาใดๆในโลก?,ที่สามารถละกิเลสกามารมณ์?จนถึงก้นบึ้งของจิตได้?..ประมาณนั้น(?).. ซึ่งเราส่วนตัว,ยังไม่เชื่อว่าจะทำได้?,หรือเป็นได้จริง?..แต่อย่างใด?..].. สังคมฝรั่ง?จึงไม่ค่อยมีความเครียด?ในเรื่องทางเพศ?ที่ต้องปกปิด?,หรือไม่กล้าแสดงออกให้ใครรับรู้?แบบในบริบทของสังคมไทย?..อย่างนั้นหรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:6:08:22 น.
(F)5.ถามว่า.. ทำไมธรรมชาติ?จึงวางกับดัก?ให้มนุษย์หลงใหล?และเพลิดเพลิน?,ตื่นเต้น?,ถวิลหา?กับการมีเพศสัมพันธ์ต่อกัน?..
นั่นอาจเป็นเพราะ..ธรรมชาติ?ไม่ต้องการให้มนุษย์หรือสัตว์โลกทั้งหลาย,สูญสิ้นเผ่าพันธุ์?..นั่นเอง(?).. ในวัยเด็ก.. เราจะเริ่มเรียนรู้สัมผัสทางเพศพื้นฐาน?จากการเล่นปูไต่?ตามแขน,ขา?(ด้วยตนเอง),ที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน?คล้ายอาการคันเล็กๆ?.. พอโตมาหน่อย.. ถ้าไปให้ช่างตัดผม(ในสมัยก่อน)ตัดผมให้,ก็มักจะมีการแคะหู?,ปั่นหู?(เล็กน้อย)บริการแถมให้กับลูกค้าด้วย,เราก็จะเริ่มเรียนรู้จากอาการที่คันแบบสะดุ้งๆ,หวาดๆ,หวิวๆ,กึ่งท้าทาย?,บางครั้งว่างๆ..ก็เลยหาซื้อที่แคะหู?,ปั่นหู?มาใช้งานเองซะเลย(?)..ประมาณนั้น.. ซึ่งนั่นแหละ.. อาการความสุขทางเพศ?ก็มีลักษณะที่คล้ายสัมผัสที่ตื่นเต้น?ในการแคะหู?หรือปั่นหู?นั่นเอง?,แต่สัมผัสทางเพศ?นั้นจะมีชั้นเชิงที่ซับซ้อน,ลึกล้ำในรายละเอียด??มากกว่ากันมาก(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:6:28:52 น.
(G)6.คือทางพระ?จะสอนให้เห็นโทษของกาม?,ให้พยายามควบคุมหรือกดข่มอารมณ์ความต้องการทางเพศ?เอาไว้?..
แต่จริงๆ..มนุษย์?มีอัตตายึดถือตัวตน?,หรือต้องการสนองรสเสพ?แห่งอัตตาตัวตน?และมานะทิฐิ?ที่เป็นความใคร่เอาชนะ(ใจ)?ต่อเพศตรงข้าม?,และรวมทั้งความยึดถือ?ที่ต้องการสัมผัส?ที่เป็นรสสุขทางกามารมณ์?มาเพื่อตนได้เสพ?(ซึ่งมีลักษณะของบทบาท?ของการผสม,คลุกเคล้า,รวมกัน?เป็นอารมณ์?ที่เรียกว่าอารมณ์ทางกาม?เป็นปกติ,ธรรมดา,ธรรมชาติ?อยู่แล้ว?).. ซึ่งเราก็ยังไม่เชื่อเลยว่า..จะมีผู้ละรสแห่งกาม?ในบริบทคำสอนของพุทธ?ได้แบบจริงๆ?แต่อย่างใดเลย(?).. และจริงๆเท่าที่ศึกษาส่วนตัว,เราเรียนรู้ว่า.. ที่ชาย-หญิง?ต่างติดใจในรสกามซึ่งกันและกัน?,เพราะไม่ใช่มีเพียงรสสัมผัสต่อกันทางผิวหนัง,สรีระ?เพียงบริบทเดียว?เท่านั้น?,ที่เป็นเหตุจูงใจให้มนุษย์ติดหลง?.. แต่มิหนำซ้ำ,ยังได้ความรู้สึกทางจิต?ที่ได้สนองอัตตา,ความรู้สึกยิ่งใหญ่?,ได้เอาชนะทางใจ?และทางสรีระ?ของเพศตรงข้าม?ไปด้วยพร้อมๆกัน?(ประหนึ่งได้ครองโลกทั้งโลก?,หรือได้ควบคุมจักรวาลทั้งจักรวาล?ไปนั่นเลยเทียว?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:7:06:55 น.
(H)7.โดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย?,คือเมื่อผู้หญิง?ยอมให้เรามีสิทธิ์ในตัวเธอทุกอย่าง?,ก็จะรู้สึกเป็นความได้รับเกียรติ?,ความอิ่มใจ?,ปลาบปลื้มใจ?,(อาจถึงขั้นสะใจ,สะอารมณ์?)ในอัตตาของตัวเอง?(ที่ปกติทางจิตวิทยามักจะเรียกร้องการยอมรับจากเพศตรงข้าม?,ซึ่งถ้าเป็นเพศเดียวกัน?ที่มาให้การยอมรับ?,ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น?หรือภูมิใจ?อะไรมากมาย?..อยู่แล้ว?),พร้อมๆกับการสัมผัสความสุขในทางกาม?มาพร้อมๆกันด้วย(?)..
ดังนั้น.. คล้ายธรรมชาติวางกับดักไว้?,ซึ่งถ้าจะลองทำให้ใจนั้นนิ่งๆ?(เช่น.. การสะกดใจไว้?,แบบคล้ายวิธีฝึกสมาธิแบบพุทธ?,หรือแบบกึ่งสมาธิสายฤาษี?ก็ตาม)ในขณะปฏิบัติกิจ?,โดยที่จะพยายามควบคุม?,แยกแยะ?,ไม่ให้จิตใจ+สมอง?รู้สึกเป็นอัตตาความภาคภูมิใจ?,ความกระหยิ่มใจ?ที่ได้ชัยชนะต่อตัวเธอ?ที่ทำให้เธอยอมเราได้?ผสมเข้ามาในความรู้สึก?ด้วย?.. เมื่อนั้น,ความสุขในการมีเพศสัมพันธ์?นั้น,ก็อาจไม่สามารถสุขถึงที่สุด?ตามความประสงค์,มุ่งหมาย?,หรือเท่ากับล้มเหลว?ไปด้วย?..ได้เช่นกัน?.. เช่นนี้เป็นต้น.. [[ซึ่งจริงๆ..อัตตา?กับกาม?(หรือกามารมณ์?)นั้นแยกจากกันไม่ขาด,ซึ่งบางครั้ง..คนติดกิเลสอัตตา?ที่ใคร่ในการเอาชนะต่อสรรพสิ่ง?นั้น,อาจติดมากกว่าเรื่องติดรสแห่งกาม?ล้วนๆ?..เสียด้วยซ้ำไป(?).. เพราะจะสังเกตว่า.. ผู้สูงวัยแล้ว?หลายคน,หลายท่าน,แม้เรื่องกามารมณ์?อาจจะเจือจางไปมากแล้ว(?),แต่ก็ยังไม่อาจลดละความอยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่?ในทางสังคม?ก็มีให้เห็นอยู่ไม่ใช่น้อย?..ใช่ไหมล่ะ?..]].. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:8:01:57 น.
(I)8.ส่วนหญิง?นั้น,ก็มักจะได้ความสุขทางเพศ?พร้อมๆไปกับความรู้สึกอบอุ่นใจ?หรือรู้สึกมั่นคง?ที่มีคู่ครอง?,หรือผู้คุ้มครองใกล้ชิด?,ซึ่งหญิงทุกคน?พึงปรารถนาอย่างยิ่ง(?)..
และรวมทั้งการได้เปิดเผยตัวตน?หรือสรีระร่างกาย?ในที่ส่วนตัว?(รโหฐาน)กับคู่ครอง?,โดยไม่ต้องคอยปกปิด?ให้ดูเรียบร้อย?,มิดชิด?,สุภาพ?ในบริบท?ของมารยาทของสังคม?,ซึ่งอยู่ต่อหน้าสายตาผู้คน?(อันน่าอึดอัด?,เกะกะ?,รุงรัง?,มากพิธี?,มากมารยาท?อีกต่อไป?),ซึ่งทำให้ผู้หญิง?(บางส่วน)รู้สึกมีความปลอดโปร่ง?,โล่งใจ?,อิ่มเอิบ?อย่างบอกไม่ถูก(?)..(ที่ได้เปิดเผยสรีระ?ที่ไม่ต้องคอยปกปิดที่เหมือนใส่หน้ากากต่อกัน?ต่อหน้าคู่ครองของตน?)ประมาณนั้น(?).. ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้?จะเกิดขึ้นในเวลาที่มีเพศสัมพันธ์กัน?อย่างพร้อมมูล(?),ทางความรู้สึกในจิตใจ?ซึ่งยากที่จะให้สมอง?พิจารณากำหนดรู้?(แบบคล้ายการวิปัสสนา?)ว่า..เราไปยึดมั่น,ติดในอารมณ์สุข?จากการมีเพศสัมพันธ์?ในขั้นตอนไหนหนอ?เพื่อจะหาทางเลิกละการติดยึดในเรื่องกามารมณ์?ได้โดยง่าย?..ได้เลย?.. ประมาณนั้น(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:9:08:32 น.
(J)9.ดังนั้น..เราจึงมองว่า..ธรรมชาติ?นั้นยังคงมีอำนาจแข็งแกร่ง?เหนือกว่าคำสอนที่เป็นปรัชญาเชิงพุทธ?[ในเรื่องที่มองว่า..หลักการการตัดกิเลส?(โดยเฉพาะกิเลสเรื่องกามารมณ์?)ของพุทธศาสนา?นั้น,เป็นเรื่องที่ทำได้จริง?,หรือเป็นไปได้?นั้น?].. ที่อยากขอสรุปว่า"ธรรมชาติ?"น่าจะมี"ความเป็นจริง?"และ"ยืนหยัดได้อย่างต่อเนื่อง?"ได้มากกว่า์,หรือเป็นจริงกว่า"อุดมการณ์การตัดกิเลสกามให้สูญสิ้นแบบพุทธ?"?..หรือไม่?..
ดังที่พระพุทธเจ้าก็ยังทรงตรัสบอกว่า..สิ่งที่ไม่มีวันอิ่ม,วันเต็ม?คือ..การเสพการนอน1,การเสพการเมา1,และการเสพกามารมณ์?(หรือเมถุนธรรม?)อีก1,ที่จะไม่มีการอิ่มการเต็ม?แห่งความพึงพอใจ?ได้เลย?.. ใช่หรือไม่?.. ดังนั้น.. พระพุทธองค์จึงทรงบอกย้ำว่า..ในเรื่องเมถุน?หรือกามารมณ์?นั้น,ต้องให้ชักสะพานเสีย?หรือไม่ต้องไปข้องแวะ?,พัวพัน?ไปเลยสถานเดียว?เท่านั้น(?).. ใช่หรือไม่?.. เพราะถ้ายังขืนเสพกามารมณ์อยู่?,แล้วจะให้ใช้สมองวิปัสสนา?หรือธัมมวิจัย?ไปพร้อมๆกันด้วย?.. ประมาณว่า.. ถ้าจะพิจารณาว่า..รสแห่งกามารมณ์?(ที่กำลังเสพอยู่นั้น?)ให้เป็นเรื่องของทุกขัง?,อนิจจัง?,อนัตตา?( =กฎไตรลักษณ์?)ไปด้วยในเวลาเดียวกัน?,เพื่อจะหาทางละการติดยึดในการเสพกาม?นั้น,ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย(?),หรือพูดง่ายๆก็คือ..ต้องให้กดข่มไปเลย?,หรือไม่ต้องไปยุ่งกับการเสพกามารมณ์?ไปเลย?..ว่างั้นเถอะ?..นั่นเอง?..ไงล่ะ?.. นี่แหละ..จึงเป็นเหตุให้เราสรุปว่า.. มนุษย์อาจจะ(หรือน่าจะ)ไม่สามารถละเรื่องความรู้สึก?ในเรื่องความต้องการทางเพศ?ในส่วนลึกๆของจิตใจ?(ในสัญชาตญาณ?ของความเป็นสัตว์โลก?,ที่มีความติดอกติดใจ?ในเรื่องการเสพกาม?,ผสมพันธุ์กัน?มาแบบนานับชาติ?แบบนับไม่ถ้วน?,กว่าจะพัฒนาการมาเป็นมนุษย์?นั้น)ให้(พิจารณา)กลายเป็นเรื่องสุญญตา?,ในบริบทคำสอนของศาสนาพุทธ?ได้จริง?.. นั่นเอง?.. (เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าเอง?ในชาติสุดท้าย,ก็ยังต้องไปมีบุตร?กับนางพิมพา?ก่อน?.. ก่อนจะค่อยมาตรัสรู้?เป็นพระพุทธเจ้า?ในภายหลัง?..นั่นอยู่เลย?.. ใช่หรือไม่?..).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:10:12:00 น.
(K)10.เรื่องที่กำลังเป็นข่าวฮือฮา?,เรามองในมุมมองส่วนตัว?,ก็คือเราพิจารณาว่า.. กรณีการตั้งชื่อเล่น?ที่อาจมีส่วนวนจิต?,วนสมอง?ของเจ้าของชื่อเล่น?ให้ไปสู่การตอกย้ำ?,หมกมุ่น?ให้เกิดการขาดสติ?ในการขบคิด?ในวังวนเรื่องเพศตรงข้าม?ตามมา?(เช่นชื่อเล่นบางคำ?ที่ไปตรงกับชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิด?,หรือชื่อเล่นที่มีความหมาย?ว่าคบซ้อน?หรือการเป็นชู้?..เป็นต้น?)..
และยังคล้ายกับเป็นบัตรเชิญ?ที่เรียกหาการผิดประเวณีทางเพศ?ให้เข้ามาสู่ตนเอง?ได้โดยง่าย?..อีกด้วย?.. ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ตนเอง?ผู้เป็นเจ้าของชื่อเล่นต่างๆ?(บางชื่อ?)เหล่านี้?,อาจต้องเจอวิบากกรรม?ที่ทำให้ตนเอง?ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงในเรื่องทางเพศ,ชู้สาว?ได้ในภายหลังอีกด้วย(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:10:39:51 น.
(L)11.และอีกอนึ่งของความซิกแซ็กของสังคมไทย?.. เช่น.. กฎหมาย?อาจมีข้อกำหนด?ที่ไม่ได้ครอบคลุมหลักศีลธรรม,จรรยา,มารยาท?ของบุคคลในสังคม?ไปเสียทั้งหมดก็ตาม?..
โดยอาจกำหนดว่า..ภาพที่สื่อสารทางสาธารณะ?จะต้องห้ามโชว์ให้เห็นหน้าอก?ของหญิง?,ก็หญิงบางส่วน?ก็อาจเป็นเพราะธรรมชาติ?ของการอยากหาคู่ครอง?พาไป(?)(ซึ่งบุพการีบางส่วน?ก็มักไม่สอน?,หรือไม่กล้าสอน?ในเรื่องการวางตัว?,หรือการแต่งตัวที่ยั่วยวนชาย?,เพราะ..ก็เพราะอาจกลัวว่า..ถ้าไปบอกให้แต่งตัวมิดชิด?,ปกปิด?,เรียบร้อย?,ก็อาจคิดไปไกลถึงว่า..ลูกจะหาคู่ครองไม่ได้?..ประมาณนั้น?..ก็เป็นได้?..หรือไม่?).. ก็เลยหญิงสาว?(บางส่วน)มักจะนึกคิดตามสัญชาตญาณ?ที่ไม่เคยถูกสั่งสอนอบรมใดๆ?,ก็เลยมักต้องอยากโชว์ส่วนสัด?หรืออวัยวะพึงสงวนบางส่วน?ที่สื่อสารถึงบริบททางเพศบางอย่าง?เพื่อหวังให้เกิดนัยยะที่ยั่วยวนชาย?ให้อยากมาข้องแวะ?,คบหา?,สัมพันธ์ด้วย?.. ก็จึงมักกลายเป็นปกปิดสรีระ?หรืออวัยวะ?เพียงเล็กน้อย?เฉพาะในจุด,แค่ที่มีข้อห้ามทางกฎหมายจังๆ?เท่านั้น(?),แต่นอกนั้นก็พยายามเปิดเผยสัดส่วน?,อวัยวะบางอย่าง?ให้มาก?ถึงมากที่สุด?,ให้ดูชะเวิบชะวาบ?,หวือหวา?,ชวนให้ชายหนุ่มทั้งหลาย?พลอยรู้สึกหวาดเสียว?ไปด้วย?.. (รวมทั้งสื่อบางส่วน?ก็ยังเป็นใจ?,เพื่อสนองเรตติ้ง?ของรายการของตน?,ก็ยิ่งช่วยนำเสนอภาพต่างๆ?เหล่านั้น?..อีกด้วย?).. จนแทบจะเรียกได้ว่า..สามารถช่วยสร้างจินตนาการ?ให้กับชายหนุ่มบางส่วน?จนเหมือนเห็นสรีระที่ไม่มีสิ่งปกปิดใดๆ?ไปแล้ว?..ก็เป็นได้?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:11:16:56 น.
(M)12.และเมื่อพระ?ยิ่งไม่สอน?หรือไม่กล้าสอน?ว่า.. คนชาวพุทธ?โดยเฉพาะหญิงชาวพุทธ?ควรแต่งกายอย่างไร?,ให้เหมาะสม?,ไม่ดูอุจาด?,อนาจาร?,จนอาจดูไม่เหมาะสม?กับบริบทของศีลข้อ3?ไปแล้วก็เป็นได้?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?..
หรือเหมือนเท่ากับเป็นการเชิญชวน?ให้ผู้ชาย?(บางส่วน)เกิดความต้องการมีอะไรๆ?กับตนเอง?..ประมาณนั้น(?).. ดังที่มีดร.พิธีกรดัง?(บางท่าน)ของรายการทีวีบางช่อง?เคยพูดโดยใช้สำนวนว่า..หญิงไม่ควรแต่งตัวคล้ายกำลังส่งบัตรเชิญ?ประมาณนั้น(?).. ซึ่งเราก็เห็นด้วยมากๆ.. ซึ่งจริงๆเราไม่อยากให้สังคมไทย?เป็นสังคมซิกแซ็ก?,ไม่ตรงไปตรงมา?,ก็คือควรพิจารณาออกกฎหมาย?ให้ตรงไปตรงมาตามบริบทของศาสนา?(หรือเอื้อต่อหลักศาสนา?).. คือหญิง?ไม่ควรแต่งกายโชว์ส่วนสัดวับๆแวมๆ?ซึ่งอาจมีส่วนเป็นเหตุผลเริ่มต้น?ที่ทำให้สังคม?เกิดอาชญากรรมทางเพศ?,และการล่วงละเมิดทางเพศ?ในหญิง-ชาย?ที่มีการคลุกคลี?,ใกล้ชิดกัน?อย่างไม่สมควรได้(?).. หลักศาสนา?ที่ป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศ?ที่ดี.. ก็คือการคลุมฮิย้าบ?ของมุสลิม?,ซึ่งเราเห็นว่าน่าจะนำมาประยุกต์?ในการออกข้อกฎหมาย?(ที่เอื้อต่อหลักศีลธรรม,จรรยา?)ให้กับสังคมไทย?.. ซึ่งน่าจะช่วยให้เรื่องการประพฤติผิดหลักศีลธรรมทางเพศ?คล้ายเช่นที่กำลังเป็นข่าวพูดกันมากมาย?อยู่ในทุกวันนี้?..ลดลงได้มากนะ?..เราว่า?.. ...ด้วยความปรารถนาดีและด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 7 มกราคม 2567 เวลา:12:32:56 น.
มหากาพย์คดีเมล่อน.. งานนี้อัจฉริยะปะทะเดชา?.. เข้ากั๊น..เข้ากัน.. เข้าตำนานเสือพบสิงห์?.. เรื่องจริงไม่ใช่อิงนิยาย..ครับผม..
โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 8 มกราคม 2567 เวลา:19:56:30 น.
(a)(ความคิดเห็นส่วนตัว..เพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคมโดยรวมครับ)..
ข่าวด่วนร้อนๆ.. มีความข้องใจมาเป็นสิบๆปีแล้ว.. ดังนี้.. 1.กรณีผัว-เมีย.. โดยมีผ่ายหนึ่งยิงอีกฝ่ายตาย,และยิงตัวเองตายตาม,สรุปคือตายทั้งคู่,แล้วจะต้องมีการตัดสินคดีทางระบบศาลว่า..ฝ่ายใดผิดหรือไม่?.. เพราะถ้าสมมุติว่าไม่มีการตัดสินว่าฝ่ายใดผิด?,ดังนั้น..ผู้เสียหายโดยตรงก็จะเรียกร้องการชดใช้จากมรดกของฝ่ายผิด(แม้จะตายไปด้วยกันได้อย่างไร?),เพื่อชดใช้ให้กับฝ่ายที่เสียหายโดยตรง,หรือฝ่ายที่ถูกกระทำ(ด้านเดียว?)ได้อย่างไร?.. ใช่หรือไม่?.. ซึ่งเคยได้ยินคำว่าฟ้องผี?นั้นคืออย่างไร?.. คือฟ้องทางอาญา?หรือทางแพ่ง?ครับ?.. ดังนั้น.. สื่อควรจะนำรายละเอียดเหล่านี้ออกมาขยายให้ประชาชนได้เรียนรู้,เพื่อเป็นประโยชน์,เผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดกับญาติพี่น้องของตัวเอง..ด้วยนะครับ(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:0:57:30 น.
(b)2.อยากให้มีการไขข้อสงสัยในระบบการฝากเงินไว้กับองค์กรการเงินของรัฐหรือเอกชนก็ตาม..ว่า.. กรณีที่มีบัญชีการเงินของผู้เสียชีวิตใดๆที่ฝากไว้กับองค์กรการเงินต่างๆ,แต่ญาติของผู้เสียชีวิตอาจไม่ได้รับรู้หรือรู้เรื่องบัญชีเหล่านั้นจากผู้ตายมาก่อน(ซึ่งคาดว่าอาจมีอยู่จำนวนหนึ่ง,หรือไม่?),หรือสมุดบัญชีของผู้ตายใดๆอาจเก็บซุกซ่อนไว้จนที่สุด,อาจสูญหายหรือถูกทำลายไปโดยไม่ตั้งใจ..
แล้วเงินในองค์กรการเงินต่างๆที่ผ่านมา,เคยมีการจัดการกันอย่างไร?,หรือควรจะมีการจัดการเงินเหล่านี้,หรือบัญชีล่องลอยเหล่านี้?กันอย่างไร?.. และควรมีระบบธรรมาภิบาลในการจัดการเงินที่ไม่มีญาติของผู้ตายมาเรียกร้อง,หรือบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว,และไม่มีผู้มาถอนออกเป็นเวลานานๆ(เช่น.. นับเป็นเวลา5ปี,10ปีขึ้นไป)อย่างไร?.. แต่เราเห็นว่า..ไม่ควรให้เงินของผู้ตายนั้นๆ?ถูกดูแลรักษาไว้ในองค์กรการเงินต่างๆ(โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ทางรัฐมาช่วยตรวจสอบดูแลเพื่อนำจ่ายให้กับญาติของผู้ตาย)..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:1:28:26 น.
(c)3.และน่าจะมีการออกกฎหมายที่ชัดเจนประมาณว่า.. ให้องค์การการเงินต่างๆต้องไม่เงียบเฉย?,แต่ต้องมีส่วนงานที่ต้องเผยแพร่ข้อมูลสำหรับบัญชีเงินฝากที่นิ่งๆที่คล้ายถูกแขวนไว้?..
รวมทั้งทุกองค์กรการเงินต่างๆ,เมื่อมีข่าวสารสาธารณะว่าผู้ตาย(ด้วยเหตุต่างๆ)มีชื่อเป็นลูกค้าหรือมีชื่อในรายนามบัญชีเงินฝาก?ที่อยู่ในอาณัติขององค์กรแต่ละองค์กร,ก็ควรมีแผนกหรือเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ,เพื่อติดตาม,เพื่อแจ้งให้ญาติผู้ตายทราบหรือนำเงินฝากนั้นๆไปให้กับผู้รับมรดกของผู้ตายโดยเร็ว,ให้เรียบร้อยถูกต้อง.. อย่างนี้น่าจะถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลของการเป็นองค์กรทางการเงินใดๆต่างๆอย่างดีที่สุด..ใช่หรือไม่?.. และควรออกกฎหมายให้ต้องรีบเปิดเผยโดยไม่ชักช้า,ประมาณว่า..มีเงินที่ลอยๆ?อยู่ในบัญชีเงินฝากของผู้ตายใดๆหรือ"ผู้สูญหายใดๆไปนานๆ,โดยที่องค์กรทางการเงินต่างๆเป็นผู้ดูแลเก็บรักษาเงินนั้นไว้,ตั้งแต่จัดตั้งองค์กรทางการเงินนั้นๆขึ้นมานั้น,มีอยู่เป็นจำนวนเงินรวมกันเท่าไหร่?,และมีรายชื่อเป็นของผู้ใดบ้าง?..ดีหรือไม่?..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความปรารถนาดีและด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:1:41:44 น.
(A)(1)เราได้ดูข่าวช่วงนี้,ทำไปทำมา,ดูท่าเสือใต้ก็คงฉลาดรู้ทางปืนว่า..ถ้าขืนสู้หรือยุ่งกับเรื่องผลไม้บางชนิด,ก็อาจต้องพลอยติดร่างแหในสถานะผู้สมคิด,ร่วมรับรู้?ไปด้วยกระมัง(?),จึงอาจชิงถอยฉากเสียก่อน..
ส่วนฝ่ายสิงห์เหนือหรือก็ฉลาดไม่ต่างกันทำท่าเปรยๆออกมาว่า..ก็ไม่ค่อยอยากยุ่ง(กับเรื่องชวนให้ปวดสมองเท่าไหร่?),เพราะคงอาจจะมองว่าท่านแม่(ย่า)นางเธอก็ดูน่าจะไม่ใช่ธรรมดา?(เหมือนเพลงไชยาร้อง)อยู่เหมือนกันนะ(?)..ประมาณนั้นเลย(?).. เพราะสังคมเรา,มนุษย์ฉลาดขึ้น,และเทคโนโลยี่สื่อสารและอินเตอร์เน็ตก็ยังมาช่วยส่งเสริมให้ความฉลาดของมนุษย์ยิ่งมีพลังมากขึ้นอีกด้วย.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:3:39:42 น.
(B)(2)ดังนั้น.. เริ่มตั้งแต่นักการเมืองทั้งหลายเป็นต้นมาเลย.. ที่ถ้าคิดว่าจะเล่นการเมือง,จึงจะต้องสร้างประวัติส่วนตัว(โปรไฟล์),หรือต้องทำประวัติของตนให้เป็นคนที่ดีงาม,มีศีลธรรมตามหลักศาสนาต่างๆมาตั้งแต่เริ่มเป็นเด็กที่เริ่มรู้เดียงสามาเลยนั่นแหละ.. จะใช้ชีวิตแบบมั่วๆซั่วๆ,หรือทำตัวแบบเสเพลบอย,เสเพลเกิร์ลไปวันๆคงไม่ได้..
(ดังนั้น..ใครที่รู้ตัวว่าเคยมีประวัติเทาๆจึงไม่ควรลงเล่นการเมืองในยุคนี้เป็นอย่างยิ่ง.. ถ้าไม่ประสงค์ที่จะต้องมานั่งสางโจทย์(หมือนลิงแก้แห),ที่อาจทำให้คุณดิ้นไม่หลุด,หรืออาจต้องเสี่อมเสียชื่อเสียงไปตลอดทั้งชาติ.. ไม่งั้น..คุณก็อาจจะต้องเผชิญกับการสืบค้นประวัติชีวิต,พฤติกรรมของคุณตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก,โดยสืบค้นมาจากอุปกรณ์การสื่อสารและคอมพิวเตอร์ทั้งหลายมาเลยนั่นเทียว.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:3:54:21 น.
(C)(3.)ต่อมาก็มีบรรดาทเนอะ,ทโนะ,ทเนะด้วยก็ตาม,คุณก็จะต้องเปลี่ยนทัศนะ,ละความโลภ,ที่แต่เดิม..ประมาณว่า..เมื่อเพิ่มเรื่องราว,ก็เท่ากับได้เพิ่มค่าใช้จ่าย,หรือจากหลัก10ล.ก็ทำให้กลายเป็นหลัก100ล.ขึ้นไปนั่นเลย..ประมาณนั้น..
แต่ทัศนะแบบใหม่,จะต้องขายความซื่อสัตย์เป็นหลัก,ต้องพูดหรือทำอะไรแบบตรงไปตรงมาได้อย่างเดียวเท่านั้น.. คือจะต้องยึดถือการทำอะไรให้ตรงไปตรงมาเป็นหลักการที่ยิ่งใหญ่(?)..(คือคล้ายสังคมฝรั่ง,ที่มีความซิกแซ้ก,คดเคี้ยว?น้อยกว่าสังคมของโลกตะวันออก..นั่นแหละ).. การพูดใดๆต้องยืนอยู่บนหลักความจริงเท่านั้น,ที่ตนเองต้องมั่นใจว่าจะพูดกี่ครั้ง?,หรือจะมีผู้สื่อข่าวถามกี่ครั้ง?ก็จะต้องตอบ(ให้)ได้ตรงกันทุกครั้ง(เพราะความจริงย่อมมีหนึ่งเดียว..เท่านั้น).. ซึ่งไม่ควรคิดใช้ชั้นเชิง,ความแววไว,หรือไหวพริบ,ปฏิภาณ,ความฉลาด,หรือถึงขั้นใช้เท็คนิคสารพัด,หรือหนักกว่านั้นอาจถึงขั้นใช้เชิงแท็คติก( =แผนหรือเล่ห์กล,เหลี่ยมมุม)ในวงการพิจารณาถูก-ผิด?ที่คุณได้ร่ำเรียนมา,โดยมองเห็นเรื่องระบบถกเถียงถูก-ผิด?เสมือนว่า..เป็นการละเล่นในสนามบางอย่างของเกมส์ต่างๆที่อาจใช้แท็คติกต่างๆได้.. (ซึ่งคุณต้องตระหนักรู้ว่า.."ประชาชน"รวมทั้ง"สื่อมวลชนต่างๆ"ด้วย,ในยุคที่"เทคโนโลยี่สื่อสารเฟื่องฟูนี้",เขาสามารถตามทัน"ความคิดที่คดเคี้ยว?,มากเล่ห์กล?"ของ"บางคน"ได้ออกแทบทั้งหมดนั่นแหละ,อยู่ที่เขาจะ"กล้าพูด,กล้าแสดงออก?"ออกมาหรือไม่?..เท่านั้นเอง).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:7:24:22 น.
(D)(4)ซึ่งที่สุดแม้จะเป็นแค่การแข่งขันการละเล่นหลายชนิด,บางชนิดก็จะมีถึงขั้นการใช้ระบบเทคโนโลยี่เชิงกล้องถ่ายภาพและเทคโนโลยี่อื่นๆที่เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อมาช่วยระบุความถูก-ผิดของผู้แข่งขัน,เมื่อกรรมการกำกับสนามหรือเวทีเกิดมีข้อสงสัย,ซึ่งอาจทำให้บางคนถึงกับต้องเสียคน,เสียชื่อเสียงไปตลอดชีวิตเลย,ก็เป็นได้ด้วย(?)..
ดังนั้น..วิทยาการการสื่อสารและการเทคโนโลยี่ที่ล้ำยุค,ทันสมัยก็จะช่วยขัดเกลาสังคม,ผู้คนให้เรียนรู้ว่า..โลกยุคหน้าอันไม่ไกลนัก,คุณทุกคนจะต้องยึดกรอบแห่งความซื่อสัตย์,ซื่อตรง,ตรงไปตรงมาเท่านั้น,จะพูดอะไรกี่ครั้ง?,ก็ต้องพูดให้เหมือนกันทุกครั้ง,และเคร่งในหลักศีลธรรมตามมาด้วย.. เพราะชีวิตและ/หรืออาชีพของคุณ(บางคน,บางท่าน)อาจมีสิทธิ์ล้มคะมำ?ได้เสมอ(?),ถ้าเผอิญมีใครดึงเอาดิจิต้อลฟุตปริ๊นซ์ของคุณ?ออกมาโชว์ให้สังคมได้รับรู้?ผ่านช่องทางของสื่อสาธารณะ?และ/หรือสื่อโซเชี่ยล?ซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลายในทุกมิติ?..นั่นเอง?..ไงล่ะ?.. ใช่หรือไม่?.. และถ้าถึงวันนั้น,แม้บางคน?จะร้องไห้จนน้ำท่วมจอทีวี?,หรือจอมอนิเตอร์?เพื่อ"ขอโทษต่อสังคม,ประชาชน?"อย่างไร?,ก็คงจะสายเกินไปเสียแล้วล่ะ?.. ...ด้วยความปรารถนาดีและด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:7:48:22 น.
(เสริมข้อความที่ตกหล่นครับ)..
(C.1)(ต่อจากCครับ).. เช่น.. ในการแข่งขันของการละเล่นบางอย่าง.. อาจมีการอ้างว่า.. เป็นหัตถ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง(?),หรือเวลาถูกชนล้มเจ็บเล็กน้อย,ก็จะทำเหมือนว่าเจ็บมากมาย?,เพื่อจะให้ฝ่ายตนเองได้รับประโยชน์ในเชิงกติกา?ในการแข่งขันของการละเล่นบางอย่างนั้น,ที่กำลังเป็นที่นิยมกันมาก,ในสังคมโลกเราในขณะนี้นั้น.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.117 วันที่: 10 มกราคม 2567 เวลา:8:10:11 น.
(a)(ข้อคิดเห็น)..ดูข่าวบางข่าว-พวกขมังเวทย์?ช่วงนี้แล้ว..รู้สึกเป็นห่วงสังคมชาวพุทธไทยมากๆ..
สังคมไทย?มันเป็นยังไงนะ?.. ทำไมผู้ใหญ่ๆ(บางส่วน)โดยเฉพาะผู้ใหญ่ๆ(บางส่วน)ที่ป็นคนพุทธ?(ซึ่งชาวพุทธไทยมีถึง95%)พากันเอาตัวรอด?(เฉพาะตัว?)กันแทบทั้งนั้น(?).. ทำไมจึงทำเฉยๆกัน,คล้ายนอนหลับไม่รู้?,นอนคู้ไม่เห็น?..ประมาณนั้น.. แล้วปล่อยให้สังคมพุทธ?มีบรรดาผู้บางคน?ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์สารพัด?,ที่สร้างความงมงาย?ให้แก่สังคม?,ให้มัวเมา?ในเรื่องกิเลส,ตัณหา?,โดยเฉพาะกิเลสกามารมณ์?(ที่ไม่ถูกตามครรลองประเพณีที่ถูกศีลถูกธรรม?แต่อย่างใด?).. โดย: สมจิต IP: 124.122.63.39 วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:21:15:41 น.
(b)โดยที่สุดตนเอง?( =อาจารย์จอมขลัง?,ขมังเวทย์บางคน?)ก็จะได้ค่าครู?,ค่าบูชา?,ค่าทำพิธีกรรม?(จิปาถะ?)ก่อนเป็นอย่างแรก[และมากกว่านั้น..ก็คืออย่างที่มักเห็นกันตามข่าว.. เช่น.. ที่อ้างชื่อเป็นสรรพนามของนักบวชพุทธระดับเณร?,แต่ตัวเอง?(บางราย?)กลับมีบทบาทเป็นแค่ฆราวาส-ปุถุชน?(ที่หนา?,และมัวเมาในกิเลส?).. เป็นต้น]..
ซึ่ง ตัวอาจารย์ขมังเวทย์เหล่านั้นบางคน?ก็ต่างก็พอรู้เรื่องหลักจิตวิทยามนุษย์?อยู่แล้วว่า..โดยเฉพาะสตรีเพศ?(บางส่วน,บางคน)มักมีแนวโน้มที่จะหูไม่หนักแน่น?( =หูเบา?),มักเชื่อในพิธีกรรม?ที่เป็นเรื่องของศาสตร์ของขลัง?,คาถาภาษาบาลี?กันง่ายๆ(?).. ซึ่งเห็นกันอยู่เสมอ(?)(เผลอๆอาจารย์ขมังเวทย์บางคน?ก็มีสวดคาถาบางอย่าง?ที่มีคำในทางพุทธศาสนา?มาผสมโรง?ด้วยซ้ำไป(?).. อย่างนี้ผู้ใหญ่ๆชาวพุทธ?ของสังคมไทย?ก็ยังทำเฉยๆอยู่ได้เนาะ(?),ไม่มีใครออกมาท้วงติงอะไรๆ?,ต่อเรื่องที่กำลังเป็นข่าวดัง?,เรื่องอาจารย์ขมังเวทย์สายเทาๆ?ใดๆเลย(?)..(ฟังเพลงมันแปลกดีนะ?ประกอบด้วยครับ).. โดย: สมจิต IP: 124.122.63.39 วันที่: 14 มกราคม 2567 เวลา:21:39:03 น.
(ก)(ข่าวใหญ่-ข่าวด่วน)..
ขอให้สังคมไทยช่วยกันกระชากหน้ากากคนดีย์?ออกมาให้ถึงต้นทาง?(ขอบคุณครับ).. เพราะบางคน,ประชาชนหรือนักข่าว,ที่มีเซ้นซ์การอ่านคน,หรือคนที่เคยปฏิบัติธรรมด้านอ่านจิตมาก่อน,ก็จะพอดูหน้าตา,ท่าทาง,แววตา,ก็พอจะอ่านรู้ได้ไม่ยากอยู่แล้ว,ว่าคนบางคน?เป็นคนที่ตรงหรือคด?อยู่แล้วได้ไม่ยาก(?).. [ซึ่งเราอ่านดูส่วนตัว,จะมี1คน,ส่วนอีก1คนจะเป็นคนที่อ่านยาก,เพราะเท่าที่ผ่านมา,ได้สร้างเครดิตให้กับตัวเอง?ว่า..เป็นคนที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ?มาโดยตลอด(?),เป็นคนที่(แนบ)เนียน(?),ซึ่งยอมรับว่าอ่านยากมาก?,ซึ่งส่วนตัว,เราเคยคิดสับสนมาตลอดว่า..คนคนนี้?เป็นคนดีแท้?หรือเป็นเพียงคนดีย์?กันแน่(?)].. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:20:32:01 น.
(ข)และอยากขอให้มีการแก้กฎหมายให้ผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือความคิดเห็นเพื่อการตรวจสอบบุคคลทางการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรง?และโดยอ้อม?กับการคอร์รัปชั่น?,หรือแม้จะเป็นส่วนของภาคเอกชน?โดยตรง(?)ด้วยก็ตาม(?)(เช่น..เบาะแสการหลีกเลี่ยง?,หลีกหลบ?ในการจ่ายภาษีให้ภาครัฐ?..เป็นต้น)ต่อหน่วยงานที่ป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชั่น(ในกรณีที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อผู้แจ้ง)ให้ไม่ต้องรับผิด?หรือรับโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญาใดๆ?ทั้งสิ้น(?)(เช่น..คดีหมิ่นประมาทใดๆ?..เป็นต้น)..
แม้ภายหลังจะมีหลักฐานออกมาว่า..เป็นความผิดพลาด?หรือเข้าใจผิดใดๆ?ก็ตาม.. เพราะถ้าอนุญาตให้มีการฟ้องกลับ?ได้.. ประชาชน,คนธรรมดาที่ไม่มีเศรษฐฐานะที่ดี?ก็จะไม่กล้าที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ?เพื่อจะแจ้งเบาะแสการคอร์รัปชั่นใดๆ?ได้เลย(เพราะเนื่องด้วยกลัวการถูกฟ้องกลับ?..นั่นเอง).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:20:44:11 น.
(a)ทฤษฎีหัวไม่กระส่าย,หางย่อมไม่ดิก?..
1.ธรรมดาว่าจิตวิทยามนุษย์?.. ถ้าตัวเราเป็นคนที่มีอุปนิสัยทำงานตรงไปตรงมา,เราย่อมไม่เพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้องใดๆ(?).. เช่น.. เมื่ออั๊วไม่รับเงิน,อั๊วก็ย่อมรับแต่ทรัพย์ที่ควรได้ตามกติกาเท่านั้น,อั้วก็ย่อมมีฐานะที่สมถะ,พอเป็นไป,ไม่ร่ำรวยผิดหูผิดตา,อันเนื่องมาจากการทุจริต,หรือรับเงินสีเทาโดยมิชอบใดๆ.. แล้วเมื่ออั๊วยอมเสียสละ,ไม่หวังรวยทางลัด(ทั้งตามน้ำ,ทวนน้ำใดๆ),อั๊วก็ย่อมจะไม่ยอมให้ใครมาทำทุจริต,แล้วมีทรัพย์สินมากมายเกินหน้าเกินตาอั๊ว,จนสังคมอาจดูว่า..ทำไมอั๊วจึงไม่ฉลาด(shipเป๋ง?)ที่ไม่จัดการกับ*ผู้ทุจริต*(ต่อหน้า,ต่อตา)ที่มีหลักฐานเห็นตำตาหรอก?..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:21:47:42 น.
(b)2.บรรดาผู้กระทำทุจริต,คอร์รัปชั่น?กรณีใดๆก็ตาม(บางคน).. ท่านต้องพึงสำเหนียกว่า..ไม่ว่าท่านจะเก่งแค่ไหน?,ฉลาดซิกแซ็กได้แนบเนียนปานใด?.. แต่อย่าลืมว่า..จะต้องมีอย่างน้อย1คน?ที่ท่าน(อาจ)รับทรัพย์จากเขา?(หรือบางกรณีอาจให้ทรัพย์กับเขา?ด้วยก็ตาม?)โดยมิชอบ(?)(แม้จะสมประโยชน์กัน?ก็ตาม)..
[หรือบางกรณี.. เช่น.. ลักทรัพย์ของทางราชการ?หรือลักทรัพย์ของนายจ้าง?แบบเนียนๆ,โดยไม่มีใครรู้เลย(?),แต่อย่างน้อย,ต้องมีคนที่ใกล้ชิดท่านที่สุด1คน?,คือคนที่อยู่ในครอบครัวของท่านเอง?ที่ต้องรู้สึกผิดสังเกตว่าท่านเอาเงินมาจากไหนมากมาย?,และรู้ว่าท่านน่าจะได้เงินมาโดยไม่สุจริต?เป็นแน่(?)].. แต่เมื่อวาระใด?..ที่ท่านจะต้องพูดบางสิ่งบางอย่าง?(เช่น..การแสดงวิสัยทัศน์?)ต่อสังคม,เพื่อแสดงตัวตน?ว่า..ท่านเป็นคนดี?,คนบริสุทธิ์,ไม่มีเรื่องทุจริตใดๆ?ในกาละใดๆก็ตาม(?).. ย่อมจะมีผู้หนึ่ง?(อย่างน้อย1คน?)ที่เขาเคยให้หรือรับเงินสีเทาๆ?ต่อท่าน?นั้น?,จะต้องรู้ว่า..ท่านกำลังพูดโกหก?กับสังคม?อยู่(?)..ณ ขณะนั้น(?).. และโดยจิตสำนึก?(ตามธรรมชาติ?)ที่ท่านย่อมรู้แก่จิตสำนึกตัวเอง?ว่า.. กำลังมีอย่างน้อย1คน?ที่รู้ว่า..เรา(กำลัง)พูดโกหก?.. ซึ่งนั่นแหละ..จะทำให้คำพูดที่ท่านพูดออกมา?นั้นไม่หนักแน่น?,และสายตา,และสีหน้า,ท่าทีของท่าน?ก็จะมีลักษณะหลบๆ?,ไม่กล้าสบตา?อย่างสนิทสนม?,เต็มที่?กับสังคม?หรือนักข่าว?อย่างเต็มตา?ได้(?)(เพราะท่านกำลังรู้สึกฟ้องผิด?ภายในจิตใจของท่าน?..นั่นเอง?)..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:22:22:40 น.
(c)3.มีคำสอนที่สำคัญของพุทธในระดับอบายมุข6(ในข้อที่5)บอกอย่างชัดเจนว่า..อย่าคบมิตรชั่ว(?),เพราะธรรมชาติคนดีแท้จะไม่อยากคบคนชั่วเป็นมิตร?,หรือให้มาทำงานอยู่ใกล้ชิดตนเอง?อยู่แล้ว(?)..
เพราะจะตระหนักว่า..บุคคล?(บางคน)นั้น(?),อาจนำภัย?,หรือความเสื่อมเสียชื่อเสียง?มาสู่ตัวท่าน?ด้วยก็เป็นได้(?).. เช่น..อาจในฐานะรู้เห็นเป็นใจ?,สมรู้ร่วมคิด?,ทฤษฎีสมคบคิด?,หรือหลับตา1ข้าง?..ประมาณนั้น(?).. เว้นแต่ท่านไม่รู้จริงๆ(?),หรือไม่มีข้อมูล?เกี่ยวกับบุคคลใกล้ชิด?นั้นๆเลย(?).. แต่ถ้าท่านมารู้ภายหลังเมื่อไหร่?,ท่านต้องรีบขจัดคนใกล้ชิด?ที่มีชื่อเสียงไม่ดีในเรื่องทุจริต?,ไปให้พ้นจากตัวท่าน?ในทันที(?).. แต่ถ้าท่านยังทำเฉยๆ?,ปล่อยให้สังคมเพ่งเล็ง?และวิจารณ์คนที่ใกล้ชิดท่าน?(ที่ทำงานร่วมกับท่าน?)รวมทั้งตัวท่าน?,โดยไม่นำพา(?).. สังคมย่อมจะคิดได้ในทันทีว่า.. ที่ท่านมักโฆษณาตัวเอง?ว่า..ตัวท่านดี,ตัวท่านบริสุทธิ์?ต่างๆนั้น(?),น่าจะไม่ใช่ความจริง?เสียแล้ว(?)..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 26 มกราคม 2567 เวลา:22:43:18 น.
(A)ฟังช่อง8รายการไล้ฟ์สดเรื่องเด็กม.5ถูกล่วงละเมิด(31-1-67).. มีความคิดเห็นดังนี้..
1.สังคมไทย,การเมืองไทยมักห่วงแต่เรื่องด้านเศรษฐกิจการหาอยู่หากิน,แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่องของหลักศีลธรรม,โดยเฉพาะหลักศีล5ในบริบทของพุทธ.. การบอกว่า..ใครทำผิด,ทำให้เสียชื่อเสียงองค์กรต่างๆ,ก็จะต้องจัดการเอาผิดอย่างเด็ดขาดนั้นก็ดีอยู่แล้วในส่วนหนึ่ง,แต่ไม่ค่อยมีการพิจารณากันถึงว่า..เวลาจะมีการ(สอบ)สัมภาษณ์ในตอนที่จะรับคนให้มาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆนั้น..ว่าควรสกรีนให้ชัดเจนว่า..เขามีอุดมการณ์,ทัศนะความคิดในด้านการทำงานและเรื่องการปฏิบัติตามหลักศีลธรรม(ศีล5)อย่างไรบ้าง?.. ดังนั้น.. การแก้ปัญหาของสังคมที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ(บางส่วน)จึงมักเกิดขึ้นเหมือนโรคระบาด,ที่เป็นมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น.. และดูเหมือนว่า..นับวัน,จะมีเค้สที่หนักข้อมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 31 มกราคม 2567 เวลา:13:45:59 น.
(B)2.เราเห็นว่า.. ฝ่ายการเมืองไม่ควรเน้นเรื่องเศรษฐกิจหรือGDPให้มากเกินไป(?).. เพราะจะทำให้มองข้ามวัฒนธรรมของการเป็นเมืองพุทธที่ต้องคำนึงถึงประเพณีที่ดีงามที่อิงหรือสอดคล้องกับหลักศีลธรรมของพุทธศาสนาไปเสียหมด,ทำให้สังคมไทยติดตามมาด้วยปัญหาทางศีลธรรมที่หลากหลายตามมา..
แม้เราเองจะเป็นคนพุทธ,แต่เราชอบแนวทางของมุสลิมอยู่อย่างหนึ่งคือการคลุมฮิย้าบ,ที่ทำให้ลดปัญหาที่หญิงจะถูกล่วงละเมิดทางเพศได้.. ซึ่งทุกครั้งที่เราเห็นหญิงมุสลิมที่คลุมฮิย้าบ,เรามักจะรู้สึกส่วนตัวว่า.. รู้สึกเกรงใจและเคารพมาก,เพราะคล้ายว่าสัมผัสได้ว่า..พวกเธอกำลังได้รับการปกป้องจากพระเจ้าผ่านการคลุมฮิย้าบ..นั่นเอง.. ซึ่งถ้าสามารถนำหลักมุสลิมในเรื่องสตรีของมุสลิมมาประยุกต์กับสังคมพุทธ(ซึ่งทุกวันนี้ปล่อยอิสระจนเกินไป)ได้.. เราว่าถ้าสามารถทำได้,น่าจะให้ผลตอบรับทางสังคมที่ดีนะครับ.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 31 มกราคม 2567 เวลา:14:29:54 น.
(C)3.อย่างกรณีเด็กม.5ถูกล่วงละเมิดนี้.. เราเป็นคนที่ดูข่าวแบบมองละเอียด,เรามีความเห็นส่วนตัวว่า.. อย่างกรณีน้องเฟื่องฟ้า(นามสมมุติตามข่าว)อ้างว่าถูกแช็ตจีบ?จากชายคนนั้น?ตั้งแต่อยู่ป.3,ซึ่งคล้ายในข่าวบางช่วง,จะมีคำหนึ่งว่าเพราะน้องดูเป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารัก..
ดังนั้น.. เรามองกระทั่งว่า.. การที่พ่อ,แม่(บางส่วน)พยายามเน้นอยากให้ลูกสาวดูน่ารักตั้งแต่เป็นเด็กมาเลยนั้น,น่าจะเป็นดาบ2คม(?)มากกว่าหรือไม่?,เพราะแม้ความน่ารัก(ที่พ่อแม่บางส่วนอาจมุ่งเพื่อหวังผลประโยชน์ต่างๆจากความน่ารักของลูกก็อาจเป็นไปได้ด้วยก็ตาม?)นั้น.. แต่อีกมุมหนึ่ง..ก็คือการเรียกร้องหาภัยทางเพศ?มาสู่ตัวเด็กหรือลูกของตนเองด้วย..นั่นเอง.. ดังนั้น..หลักการมุสลิมเขาจึงคิดถูกแล้วที่วางหลักให้สตรีต้องคลุมฮิย้าบเพื่อป้องกันภัย,เพื่อลดการยั่วยวนทางเพศ?ให้กับลูกหลานของพวกเขา..นั่นเอง(?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.43 วันที่: 31 มกราคม 2567 เวลา:14:55:56 น.
(แทรก).1.เราดูข่าวน้องP.มีอุทาหรณ์ส่วนตัวเตือนสังคม(โดยเฉพาะสตรีเพศ)ว่า..อย่าปล่อยตัวตามอารมณ์คนคู่พาไป.. รวมทั้งเตือนบุรุษเพศด้วยว่า..อย่าใจง่าย..คิดว่าเป็นของฟรี?มานำเสนอ,เชิญชวน?.. เพราะเธอจะนำพาปัญหาสารพัด?ตามมาจนทำให้คุณเพศชายแทบจะต้องมุดดินหนี?หรือแทบไม่มีที่ยืนในสังคม?ไปเลย(?),เพราะจะเจอข้อครหา(จากสังคมรอบข้าง)ว่าลักขโมยของชาวบ้านกิน?..นั่นเอง..
ทางพุทธศาสนาบางสำนักสีกรัก,เราเคยเรียนมา,เขามองวิเคราะห์ว่า..ผู้หญิงที่เกิดมาได้สรีระเป็นหญิง?ก็เพราะประมาณว่า..เคยทำผิดศีลข้อ3ในชาติก่อน?มาก่อน(?).. สรุปว่า..สำนักสีกรักดังกล่าวเขาจะมองสรุปว่า..อิตถีเพศคือเพศที่มีกิเลสกามารมณ์หนา,ยากต่อการที่จะตรัสรู้ธรรมะได้โดยง่าย?..ประมาณนั้น(?)..(ซึ่งก็อาจมีส่วนจริงอยู่ไม่ใช่น้อย?).. โดย: สมจิต IP: 124.122.63.246 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:6:02:31 น.
2.เราเองส่วนตัวก็เคยทำงานในร้านขายมอไซค์ร้านหนึ่งในอดีต.. ก็เคยเจอหญิงประเภทนี้(บางคน),คือเวลาที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้าน,ก็จะมีลักษณะพูดจาล้อเล่น?(เชิงหยิก-หยอก?,ชู้สาว?)กับช่างหนุ่มๆที่ทำงานซ่อมรถมอไซค์อยู่หน้าร้าน,ซึ่งพวกช่างก็มักจะเดินไปมาที่โต๊ะเสมียนหญิง,เพื่อเบิกอะไหล่ต่างๆกับเธออยู่เสมอ..
ซึ่งหญิงประเภทนี้(บางคน)(ซึ่งคนที่เรากล่าวถึง,สามีเธออยู่ไกล,ไปทำงานที่กทม.),มักจะมีอัธยาศัยกันเอง?กับผู้ชายที่ร่วมงาน,บางทีพูดไปก็มักจะชอบใช้มือไปแตะตัวผู้ชาย?.. ซึ่งเราเคยเห็นกระทั่งเอามือไปตบที่พุงของผู้ชาย?(ซึ่งน่าจะสื่อสารบางอย่าง?,ซึ่งผู้ชายน่าจะพอรับรู้ได้ว่า..เธอส่งสัญญาณอะไร?),ประมาณว่าฉันสนใจนะ?..ประมาณนั้น).. ซึ่งตอนหลัง..หญิงผู้นี้?(ทำนองนี้)ก็เลยมีอันต้องออกจากงาน,เพราะมีพฤติกรรมเจ้าชู้?,กล้าผู้ชาย?,ชอบอ่อยผู้ชาย?(เจ้านายจึงอาจระแวงว่า..เธออาจสมคบกับช่าง?,แล้วลักขโมยอะไหล่ของร้านไปขาย(?)..ก็เป็นได้(?)..ประมาณนั้น?).. ซึ่งหลังจากที่หญิง?(บางคน)ทำอาการเช่นนั้น?,ทุกคนก็น่าจะคำนวณได้ว่า..เธอ(น่า)จะนัดแนะไปมีสัมพันธ์ขั้นลึกซึ้ง?กันต่อในภายหลัง?หรือไม่?.. [ปล.วัฒนธรรมสังคมมุสลิม,จึงไม่นิยมให้สตรีของเขาไปทำงานนอกบ้าน?,แล้วต้องพบปะ?,ข้องแวะ?,สัมพันธ์?,พูดจา?กับผู้ชายหลากหลายอุปนิสัย?ในที่ทำงาน,ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาว?,ผิดประเวณี?,ลักกิน?,ขโมยกิน?,ทรยศต่อสามีที่บ้าน?,อาจเพราะด้วยเหตุทำนองนี้?..หรือไม่?..(ดังนั้น..สังคมนี้จะดี..ไม่ควรเน้นจีดีพี?.. แต่ควรเน้นศีลธรรมดี?เป็นหลักมากกว่าหรือไม่?..ใช่หรือไม่?)..] ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.246 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:6:23:32 น.
3.อยากขอติงสังคม(โดยเฉพาะสื่อบางท่าน).. คือ..มีสื่อบางท่านพูดถึงข่าวกรณีน้องP.ประมาณว่า..ผู้ชายทั้งหมดของน้องP.อาจจะเป็นความรัก?(พูดแบบเกรงใจคนทำผิดศีลธรรม?มากไป?..หรือไม่?),แล้วพูดต่ออีกว่า..อันนี้เราไม่ขอก้าวล่วง?ก็แล้วกัน(?)..ประมาณนี้(?)..
เราขอแนะนำว่า..สื่อบางท่านนี้,น่าจะต้องไปเรียนเรื่องศีลข้อ3(การประพฤติผิดในกาม)มาใหม่(?).. ซึ่งการผิดศีลธรรมทางเพศ?(ศีลข้อ3)หรือการเล่นชู้?,มีกิ๊ก?,คบซ้อน?(สารพัดศัพท์ที่สื่อบางส่วนและสังคมบางส่วนพยายามจะช่วยพูดหลบเลี่ยง?จากความหมายที่แท้จริง?,ในบริบทคล้ายศรีธนญชัย?.. ซึ่งแท้ที่จริงก็คือ..การคบชู้?หรือการเล่นชู้?ซึ่งเป็นคำที่ให้ความหมายที่ตรงไปตรงมา?มากกว่า?..นั่นเอง).. ซึ่งสังคมต้องช่วยกันมอง,ช่วยกันพิจารณาว่า.. จะถือว่าเป็นแค่เรื่องส่วนตัว?,ไม่ขอก้าวก่าย?,ไม่ขอก้าวล่วง?,โดยมองว่าเป็นอัธยาศัย,อุปนิสัยส่วนตัวของเขา?นั้น?..คิดอย่างนี้ถูกไหม?..(ข้อมูลในสมัยพระคัมภีร์เดิมของคริสต์,ยังมีข้อกำหนดถึงขนาดว่า..ถ้าพบหญิงใดเล่นชู้,ให้เอาก้อนหินขว้างหญิงนั้นจนตาย?ด้วยซ้ำไป?).. โดย: สมจิต IP: 124.122.63.246 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:21:41:02 น.
4.เพราะเรื่องเหล่านี้แหละ,ที่เป็นต้นเหตุ?ของการสร้างสังคม?ที่ไร้หลักการทางศีลธรรม?,ซึ่งจะส่งผลเชื่อมโยง(โดยเฉพาะถ้าหญิงนั้นมีบุตรสาว?),ซึ่งบุตรสาวก็จะได้รับตัวอย่าง?ผ่านภาพพฤติกรรมของแม่?ประมาณว่า.. ก็แม่ยังทำได้?,ทำไมหนูจะทำเหมือนแม่บ้างไม่ได้?..ประมาณนี้?,และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ครอบครัวไทยล้มเหลว?,ล่มสลาย?..
ซึ่งไม่ว่าจะมีลูกเป็น"หญิง?"หรือ"ชาย?"ก็ตาม, ทั้งบุตร?,บุตรี?ก็จะไม่เกิดศรัทธา?ในตัวบุพการี?,ซึ่งอาจก่อให้เกิดครอบครัวแตกแยก?(มีสถิติตามหน้าข่าวว่า..อาชญากรรมในวัยรุ่น?,มักเริ่มต้นมาจากครอบครัวที่แตกแยก?อยู่ไม่ใช่น้อย?),บาดหมาง?,ไร้ความอบอุ่น?,ไร้ความมั่นคงในชีวิต?.. ลูกก็จะเริ่มไม่เกรงใจพ่อแม่?,ไม่เชื่อฟังพ่อแม่?,เพราะพ่อ?หรือแม่?ไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่น่าเคารพ?(?).. ทำให้เกิดภาวะสังคมไทยเหลวแหลก?,ไม่มีหลักยึด?.. ซึ่งเด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่แตกแยก?(บางส่วน)มักหันไปคบเพื่อน?(ที่มีพื้นฐานครอบครัว?ที่คล้ายๆกัน?)ที่ชวนไปในทางเสียหาย(อาจเพื่อประชดชีวิต?,ประชดสังคม?,ต่อต้านสังคม?,หรือเพราะไม่มีทางออกใดๆ?).. ซึ่งที่สุดมักไม่พ้นจากวงจรอุบาทว์?ของกระบวนการดื่มเหล้า?,เมายา?,เสพยาเสพติด?,ร่วมกันก่ออาชญากรรมต่างๆ?,รวมถึงการมั่วสุมทางเพศ?,เกิดการสำส่อนทางเพศ?,สวิงกิ้ง?,อย่างไม่รู้ว่าคู่ใคร?เป็นคู่ใคร?..ตามมา?..นั่นไง?.. แล้วอย่างนี้จะบอกว่า..เป็นเรื่องส่วนตัว?,ไม่ขอก้าวก่าย?,ไม่ขอก้าวล่วง?..ได้อย่างไร?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.246 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:22:03:28 น.
5.ยอดสุดประดับดาวสื่อนักสืบโคแนน?.. วันนี้ดูคลิปลุยชนข่าวกรณีมนต์รักรถตู้ทึบ?,ดูยอดการเข้าชมจำนวน3คลิป1.6ล้าน,1.4ล้าน,1.2ล้านตามลำดับ,สุดยอดจริงๆ,คนติดตามดูข่าวนี้กันจริงๆ.. ไม่ว่าวันนี้..การเมืองไทยจะหมดหวังอย่างไร?.. แต่ก็ยังพอมีหวังกับสังคมไทยอยู่บ้าง(?)..ที่สังคมไทย(ทั้งหญิงและชายจำนวนมาก)ไม่นิยมสตรีเพศบางคน?ที่มีพฤติกรรมคบชู้สู่ชาย?หรือคบซ้อน?หรือแย่งสามีชาวบ้าน?,ไม่ว่าเธอจะออกมายอมรับผิดต่อสังคม?อย่างไรก็ตาม?.. เพราะเธอบางคน?ได้ขึ้นชื่อ(เป็นตำนานต่อๆไป)ว่า.. เป็นผู้ที่มีส่วน?(เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรเอาเยี่ยง?)ที่ทำให้สถาบันครอบครัวไทย?ถึงกาล*ล่มสลาย?*อย่างชัดเจน(?),เพราะเพียงเธอไม่ยับยั้งความต้องการ?,ไม่รักดี?ในหลักการของศีลข้อ3(ที่ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวสามีชาวบ้าน?,ไม่นอกใจ?,ไม่นอกกาย?ต่อสามีตนเอง?)..นั่นเอง(?)..
คำกลอนของปราชญ์บางท่าน(ในอดีต)จึงบอกว่า..อย่าไว้(วาง)ใจ?.. คือ... ...หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา...(เช่น..มรสุมในทะเลหรือซือนามิ..เป็นต้น) ...สองสัตว์เขี้ยวเล็บงาอย่าวางใจ...(เช่น..ช้างขวิดคน,สุนัขพันธุ์ดุ,สิงโตท้ายรถปิ๊คอัพ?..เป็นต้น) ...สามผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย...(เช่น..พวกเมายา,คลั่งตามเกมส์,ฆ่าฟันไม่เลือกหน้า?..เป็นต้น) ...สี่*ผู้หญิง*ทั้งหลาย..อย่ากรายใกล้...(โดยเฉพาะหญิงอัธยาศัยดีบางคน?ที่มักทำให้ผู้ชายตายใจ?จนเหลือเพียงวิญญาณล่องลอย?..หรือกกน.ติดตัวเพียงตัวเดียว?..เป็นต้น) ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.246 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:0:42:23 น.
6.เมื่อกี๊ได้ดูรายการทุบโต๊ะข่าว(ตอนหนึ่ง).. ฟังว่าหญิงบางคนติดต่อทางลับ,หวังจะให้ชายบางคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับกิ๊กเก่าในที่ทำงาน,ให้มาเป็นพยานให้,ทำให้รู้สึกเหนื่อยใจแทน(?)..
เพราะเท่าที่เราเรียนรู้จักหญิงบางส่วน?มาในชีวิต,เราก็พอรู้ว่า..ถ้าผู้หญิงใด?ที่ฝักใฝ่ในกามารมณ์?มากเกินไป(?), กามารมณ์นั้น?ก็จะกลายเป็นเหมือนยาเสพติด?ดีๆนี่เอง.. เพราะภาษาไทยอีสานพื้นบ้าน?จะมีคำหนึ่งเรียกอักษรย่อว่าง.ประมาณว่า..เป็นอารมณ์ที่คล้ายเสี้ยน(อยากเสพ)ยาเสพติด?..นั่นแหละ(?).. พอเสี้ยนยา?ขึ้นมาแต่ละครั้งก็ต้องหายาเสพติด?มาเสพให้ได้(?),จึงคล้ายว่า..ต้องหาผู้ชายที่มีพลัง?มาคอยสับเปลี่ยน(ยามต้องการ),เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ(?),เพราะผู้ชายคนเดียว?,อาจไม่มีพลังที่มากพอ?ที่จะสามารถบริการตอบสนองให้เธอ?ในทุกๆเวลาที่เธอมีความต้องการ?ได้(?)..ประมาณนั้น(?).. ถ้าคิดอยากประณาม,บางทีก็คิดอีกด้านก็เหมือนว่า..น่าสงสาร?,เวทนา?,แกมสมเพท?ต่อเพศหญิง(บางจำพวก?)อยู่เหมือนกัน(?).. แต่มันไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี?ในบริบทวัฒนธรรม,ประเพณี?,ทางศีลธรรม?ของสังคมไทย?.. เช่น..ตำนาน,วรรณคดีที่มีการประณามต่อหญิงที่สำส่อนทางเพศ?,มากชู้หลายสามี?(ที่ทุกคนคงเคยได้เรียนผ่านระบบโรงเรียนมาแล้ว).. เช่น.. เรื่องโมรา,กากี,วันทองสองใจ,ฯลฯ..เป็นต้น..(แต่ถ้าเป็นสังคมฝรั่งบางชาติ?,เขาอาจไม่ถือสาในเรื่องราวทางเพศ?เหล่านี้?..ก็เป็นได้(?),เท่าที่เคยได้ยินเขาเล่าว่ามานะ?).. โดย: สมจิต IP: 171.96.156.229 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา:5:02:12 น.
(A)(แทรกพิเศษ)..คุณอ.(เชอร์ล็อคไทย)พูดตอบคำถามผู้สื่อข่าวบางช่อง?ได้อย่างฉลาด(เป็นนักรู้จิตวิทยาการแสดงออก?ของจนท.รัฐบางคน).. เช่น.. การที่จนท.รัฐบางคน?ออกมาพูดชี้แจงอะไรซ้ำๆ?ในบางประเด็น?นั้น.. ย่อมแสดงว่า.. น่า(อาจ)จะมีวาระที่ไม่ปกติ?(hidden a.)หรือไม่?ว่า..อาจเอื้อให้กับบางประเด็น?อย่างผิดสังเกต?หรือไม่?..
และดูเหมือนว่าคุณอ.น่าจะชอบ(หรือเคย)นั่งสมาธิ?จึงมีโอกาสศึกษาเรื่องทางจิต?(โดยไม่รู้ตัว,โดยอัตโนมัติ?).. จึงมักจับรู้อากัปกิริยา?ของจนท.รัฐบางส่วน?ว่ามีอะไรที่ผิดสังเกต?และสรุปตรรกะ?ว่าสอดคล้อง?หรือไม่สอดคล้อง?,ในการประเมินพฤติกรรมของบางบุคคล?ได้เสมอ(?)..[เพราะมนุษย์มักปกปิดตัวเองไม่ได้?จากลีลา,ท่าทาง,สีหน้า,สายตา?ที่แสดงออกผ่านสื่อ?.. จึงมักพบว่าสื่อรุ่นเก๋าบางท่าน?,เมื่อจะพูดประเด็นที่เปราะบาง?,ล่อแหลม?,จึงมักจะสวมแว่นตาดำสนิทอันใหญ่?,เพื่อปกปิดสีหน้าและแววตา?"ไว้อยู่เสมอ?,ลองสังเกตดูสิ?.. ส่วนพิธีกรดังบางคน?ที่มักเปิดเผยประเด็นเจาะลึก?แบบตรงๆก็มักถูกกดดัน?(ผ่านระบบการ(งด)ให้โฆษณาสินค้า?)ให้ออกจากการจัดรายการ?(ที่มีผู้ติดตามมากมาย)ไปตามที่คาด(ตามข่าว)?..หรือไม่?].. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 7 มีนาคม 2567 เวลา:12:56:22 น.
(B)แต่มีบางเรื่องที่คุณอ.(เชอร์ล็อคไทย)ยังไม่เล่น(?),เพราะอาจมองว่ายังต้องอาศัยสื่อบางส่วน?ในการนำเสนอข่าว?, เพราะเราเองก็สังเกตว่ามีข่าวของบางรายการดังบางรายการ?มักมีลักษณะไบแอด?พูดข่าวของการเมืองบางฟาก?ที่ดูล้นเกิน?,คล้ายช่วยเชียร์แบบลับๆ?,แต่ก็มีเชิงฉลาด?ที่มักปิดท้าย?ด้วยการนำข่าวการเมืองของอีกฟาก?เพื่อกลบเกลื่อนว่าตนเองเป็นกลางนะ?อยู่เสมอ(?),เพื่อจะไม่ให้ผู้ชมจับความผิดปกติได้?(หรือไม่?)..
แต่คนช่างสังเกตในการฟัง(ชม)ข่าวก็มักจะจับภาวะผิดปกติ?นี้ได้,ในแง่ของการนำเสนอข่าวของฟากไหน?ว่าใช้เวลามากกว่ากัน?,และมีลีลา,น้ำเสียง,เนื้อหา,การเน้นเสียงหนัก?ที่ช่วยอวย,โฆษณาผลงาน?ให้กับบางฝ่าย?ที่อาจมาสนับสนุนการโฆษณา?ให้กับรายการข่าวของตน?หรือไม่?..ประมาณนั้น(?)..(เพราะเรื่องเงิน?มักเป็นประเด็นหลัก?สำหรับสังคมบ้านเรา?เสมอ?..ใช่หรือไม่?).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 7 มีนาคม 2567 เวลา:13:05:14 น.
(พิเศษ)วันนี้(7-3-67)ได้ดูรายการคมชัดลึกกับอ.มุนินทร์.. เรามีความเห็นส่วนตัวสั้นๆว่า.. สส.(หรือสภาผู้แทนราษฎร)ถือเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ(โดยชอบธรรม),ย่อมมีอำนาจที่จะตรวจสอบได้ทุกๆองค์กร(ไม่ว่าจะเป็นองค์กรตัดสินถูกผิดต่างๆ,หรือองค์กรบริหาร,หรือองค์กรอื่นๆใดๆที่อยู่ในขอบเขตประเทศไทยก็ตาม)ในประเทศไทย.. ซึ่งจึงไม่ควรถือว่าเป็นการก้าวก่าย?ใดๆทั้งสิ้น(?).. เพราะถือเป็นอำนาจสูงสุด?ที่ได้รับการมอบหมายอำนาจมาจากประชาชนทั้งประเทศนั่นเอง(?)..
(ปล.).. อยากฝากสื่อภาคสนามและสื่อเล่าข่าวบางคนที่ชอบตั้งคำถามต่อผู้ให้สัมภาษณ์ต่างๆ,หรือผู้ร้องเรียน(เช่นคุณอัจ),หรือผู้ร่วมรายการ(เช่นท่านชัยวัฒน์)ในทำนองที่กระตุ้นด้วยคำถามที่ทำให้เขาอาจเกิดความหวาดหวั่น(กลัว)?(ในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม?)ต่อผลที่จะกระทบถึงบริบทของตัวเอง?หรือไม่?(อาจเพราะสื่อบางส่วนไม่รู้จะหาคำถามใดมาถามหรือเปล่า?..ก็ไม่ทราบได้?,ซึ่งเราพบเห็นการถามคำถามทำนองนี้?อยู่บ่อยมาก),ซึ่งเรามองว่า..สื่อไม่ควรถามด้วยคำถามที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์กลัวใดๆ(เพราะคำถามทำนองนี้จากสื่อมวลชนบางส่วน?นี่แหละ,จึงทำให้สังคมไทย?มีแต่คนขี้กลัว?เต็มไปหมด?..ไงล่ะ?,แล้วเช่นนี้จะเกิดคนอย่างชาวบ้านบางระจันได้อย่างไร?).. นี่แหละจึงทำให้แทนที่จะเสริมปลุกเร้าให้เกิดกำลังใจ?ที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรม.. ก็เลยกลายเป็นไปถามให้เกิดการกลัวนั่น,กลัวนี่?กันไปหมด?.. แล้วเช่นนี้..สังคมเราจะพัฒนาเป็นสังคมศิวิไลซ์ได้อย่างไร?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 7 มีนาคม 2567 เวลา:19:35:25 น.
(พิเศษ)อยากให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบสื่อมวลชนต่างๆ(บางส่วน)ว่า.. ถูกกดดันโดยเงินที่สนับสนุนการโฆษณาสินค้า?ในช่องของตน?หรือไม่?.. เราจึงไม่พบคลิปการขึ้นเวทีกลุ่มคปท.และกทธ.ของหมอวรงค์ลงในโซเชี่ยลฯในช่องทางของสื่อช่องต่างๆ(บางส่วน)เลย(?)(มีพบในนามบุคคลธรรมดาเพียงช่องเดียว,ซึ่งมีผู้เข้าชมแค่หลัก20000ครั้งในช่วง4วันที่ผ่านมานี้เท่านั้นครับ)..
...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 8 มีนาคม 2567 เวลา:10:31:37 น.
(พิเศษ)ได้ดูข่าวช่อง8(8-3-67)กรณีสัมภาษณ์ผู้เสียหายในคลิปฉาว..
อยากบอกสตรีบางส่วนเนื่องในวันสตรีสากลว่า.. 1.อย่าไว้ใจผู้ชายทุกคนที่สามารถทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้,ไม่ว่าจะเป็นระดับญาติสนิท?แค่ไหนก็ตาม(?).. 2."สตรีบางส่วน?"อย่าบอกว่า..ศักดิ์ศรีกินไม่ได้,จำเป็นต้องทำนั่น,นี่(?),เพราะในยุคดิจิตอลฟุตปริ๊นซ์นี้,ศักดิ์ศรีนั้นกินได้,เพราะถ้าคุณ(บางคน)ขืนคิดปล่อยตัว,ขายศักดิ์ศรี?เพื่อแลกเงินตรา?,หรือทรัพย์ศฤงคารนานา?,ในวันหนึ่งในอนาคต,คุณอาจถึงกับไม่มีที่ยืนในสังคม?,ต้องอยู่(แต่)ในบ้าน?,ถ้าจะออกไปไหน?,อาจต้องปิดแม้ซ?,ใส่หมวก?,สวมแว่นตาดำสนิท?อยู่เป็นประจำก็เป็นได้(?).. 3.อย่าบอกว่ากลัวอดมากกว่ากลัวเอดส์?,ถ้าคุณยังไม่เคยไปลองถามว่า..ผู้ป่วยภูมิฯบกพร่อง?นั้นต้องทนทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ?ขนาดไหน?(โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นหญิง?).. 4.อย่าบอกว่าฉันมีสิทธิ์ในอวัยวะและสรีระของฉัน?,เพราะนั่นคือ..คุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังร่วมทำลายค่านิยมวัฒนธรรมที่ดีงามของหญิงไทย?,อันเป็นสาเหตุเริ่มต้น?ของการทำให้สถาบันครอบครัวไทยล่มสลาย?[และลูกหลานไทยในอนาคต?เต็มไปด้วยเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่เลิกร้าง?,จนอาจกลายเป็นnewอาชญากร?ในอนาคตได้(?)]..นั่นเอง(?).. 5.อย่าอ้างการเลิกล้างจากสามีคนไทย?(อาจเฉพาะสตรีบางคนเท่านั้น),แล้วหลงคะนองว่า.. การมีสามีเป็นคนต่างชาติ?ที่แตกต่างจากวัฒนธรรมของเราแบบสุดกู่?นั้น,จะเป็นสิ่งที่น่าดีอกดีใจเสมอ(?),และคิดว่าเป็นคำตอบสุดท้ายของการมีชีวิตครอบครัว?,เพราะเมื่อคุณมีบุตรที่เกิดจากสายพันธุ์ตรงข้ามกันมากๆ?,เมื่อเขาโตเป็นหนุ่ม,เป็นสาว,คุณจะพบว่าคุณจะควบคุมค่านิยมในเรื่องทางเพศ?และทัศนะต่อวัฒนธรรมที่เรียบร้อยแบบหญิงสาว(หนุ่ม)ไทย?ได้ยากมาก(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 8 มีนาคม 2567 เวลา:21:58:08 น.
(พิเศษ)กรณีบุกรุกที่ดินสาธารณะ?ทั้งชายหาดและพื้นที่ป่าต่างๆ?,รวมทั้งที่ดินที่งอกเพิ่ม?จากเนื้อที่จริงกว้างออกไปเรื่อยๆ?นั้น.. มีคำถามว่า..
1. ถ้าจนท.ที่เกี่ยวข้อง?ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ,ไม่ยักคิ้วหลิ่วตา(?),หรือหลับตาข้างหนึ่ง(?),หรือมีเรื่องของกล้วยหอม,กล้วยไข่?เข้ามาปะปน(?).. ถามว่าจะมีเรื่องเหล่านี้?เกิดขึ้นเป็นข่าวประจำวัน?(ตามข่าว)ได้หรือไม่?..(สื่อต่างๆจึงควรพยายามตั้งคำถามเหล่านี้?กับผู้เกี่ยวข้องให้มากๆ,ในฐานะสื่อเป็นตัวแทนปชช.,โดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจผู้เกี่ยวข้อง?มากเกินไป?..ใช่หรือไม่?).. 2.ควรออกระเบียบว่า.. ผู้ที่จะเข้ามาดูแลงานส่วนใด?,ก็ต้องให้มีคณะกรรมการที่เชี่ยวชาญ,ทันเกมส์,และซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์มาเป็นผู้สัมภาษณ์(และร่วมพิจารณา,สังเกตท่าที)ด้วยคำถามเชิงตรวจสอบอุดมการณ์?.. เช่น.. ถ้ามีผู้หยิบยื่นผลประโยชน์?.. เช่นกล้วย?.. เช่นถุงขนมขบเคี้ยว?ให้คุณ(ในที่ลับสายตาคน?,หรือใต้โต๊ะ?,บนโต๊ะ?ก็ตาม)เพื่อแลกกับบางสิ่ง?.. คุณจะมีวิธีจัดการ?กับเหตุการณ์เหล่านี้?(ซึ่งเชื่อว่า..อาจต้องได้พบเจอกันแทบทุกคน),ด้วยเทคนิค,วิธีการ,ไหวพริบ?แบบใด?..ประมาณนี้.. เป็นต้น.. (ซึ่งอาจต้องลองหาตั้งคำถามที่เช็คไหวพริบ?และคุณธรรม?,จรรยาบรรณ?ของผู้ที่จะเข้ามาทำงานในส่วนที่ใกล้ชิดกับผปย.?อันเนื่องจากตำแหน่ง?มาใช้สัมภาษณ์สัก10คำถาม,ก่อนที่จะดูว่า..น่าจะสอบผ่านเข้ามาทำงานดังกล่าว?ได้หรือไม่?.. ประมาณนี้ครับ).. (อย่างกรณีท่านสืบฯหรือท่านชัยวัฒน์,นับถึง ณ วันนี้,ก็ดูว่าเข้าท่าและผ่านเกณฑ์ในสายตาปชช...เป็นต้น..นะครับ?).. [อีกอนึ่งก็คือ.. คณะกรรมการที่เป็นผู้สัมภาษณ์ควรใช้ทฤษฎีBlindnessคือต้องไม่เปิดเผยชื่อจริง,หน้าตาต่อผู้ถูกสัมภาษณ์(เพื่อป้องกันการวิ่งเต้น,ติดสินบนกรรมการ?ก่อนเวลาการสัมภาษณ์ด้วย),ทั้งก่อนเริ่มกระบวนการตั้งแต่เริ่มมีการแต่งตั้ง,และรวมทั้งในเวลาที่กำลังสัมภาษณ์ด้วย.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 9 มีนาคม 2567 เวลา:14:20:53 น.
(พิเศษ1).. อยากตั้งคำถามสำหรับสังคมบ้านเรา,ซึ่งเป็นสังคมซิกแซ็ก,สังคมศรีธนญชัย,สังคมเจ้าเหลี่ยม,สังคมไม่ตรงไปตรงมา,สังคมที่หลับตาข้างหนึ่งเมื่อกระเป๋าตุงด้วยเงินที่มิชอบ,สังคมที่เต็มไปด้วยผู้ที่ชอบหาช่องว่างทางกฎหมาย?เต็มไปหมด?.. ว่า..เราจะหาทางแก้ไขคนแบบศรีธนญชัย?กันอย่างไร?..
สมมุตินะ..(เพราะสมองที่ไม่ได้กินหญ้าของเรา..มันพาเราคิดแบบสมมุติๆน่ะ).. สมมุติว่า..เผอิญเราเป็นคนมีเงินจากเงินทองที่หามาได้โดยชอบหรือมิชอบก็ตาม(แต่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากกฎหมาย?มาได้), และอยากต่อยอด?หรือฟอกเงิน?,หรือให้เงินทำงาน?,ก็ไปติดต่อผู้แก่ผู้เฒ่าตามชนบท?ที่เขาเคยครอบครองที่มาเนิ่นนาน,จนมีใบอนุญาตนั่น,นี่,นู่น?.. เช่น..สิทธิครอบครอง(สค.),หรือสิทธิทำกิน(สทก.),หรือใบเสียภาษีบำรุงท้องที่(ภบท.5),หรือใบสิทธิอื่นๆใดๆอีกก็ตาม(?).. ซึ่งมีวันหนึ่ง(ในอดีตอันนานมาแล้ว,แต่ก็ไม่นานนัก),มีกลุ่มกม.(บางกลุ่ม)ก็อาจต้องการหาเสียงกับชาวบ้าน?ก็พยายามจะทำให้เอกสารสิทธิ์ที่ดินต่างๆ?มีศักดิ์มากขึ้น(?)(เช่น.. อาจสามารถเข้าธนาคาร,เปลี่ยนเป็นเงิน?,หรือซื้อ,ขาย,ถ่าย,โอน?ได้โดยสะดวก),ก็ไปเขียนนโยบายนั่น,นี่,นู่น?ออกมาเสียเลิศหรูสแมนแตน?(แต่ลืมสกัดพวกนกรู้?ที่เป็นคนมีเงินเหลือเฟือ?สมมุติเช่นเรา).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 9 มีนาคม 2567 เวลา:18:03:45 น.
(พิเศษ2).. ดังนั้น..พวกคนที่พอมีเงินบ้าง?(สมมุติเช่นเรา)ก็จึงไปปรึกษาทเนอะ,ทเนะ?ว่า..อยากได้ที่ดินนั้นตามนโยบายหาเสียง?บ้าง(?),แต่เราก็ไม่ใช่เกษตรกรที่ยากจน?แต่อย่างใด?,ก็จึงไปติดต่ออยากซื้อที่ดิน?ต่อผู้เฒ่าบ้านนอก?..
แต่ก็พอรู้ว่าในทางกฎหมาย,เอกสารการครอบครองบางอย่าง?อนุญาตให้เฉพาะลูกหลานสายตรงที่รับถ่ายทอดสิทธิ์นั้นได้เท่านั้น(?).. เราก็เลยหาช่องไปเจรจาต๊าอ่วย?กับผู้เฒ่าบ้านนอก?ว่า..ผมขอจดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรม-พ่อบุญธรรม?กันกับพ่อเฒ่า?(ด้วยความสิเนหา?สิได้บ่?)ได้ไหม?,แล้วอาจเสนอจำนวนเงินค่าตอบแทน?ที่ผู้เฒ่าบ้านนอกพอใจ?จนต้องยอมให้เราเป็นบุตรบุญธรรมโดยกฎหมาย?,เพราะไม่มีแรงที่จะปฏิเสธได้(?) เมื่อตกลงกันได้,เราก็เริ่มมีสิทธิ์เป็นลูกหลาน?โดยช่องลอดของกฎหมาย?(ที่ไม่รัดกุมนั้น?),จนทำให้เราเป็นผู้ได้สิทธิ์?ในที่ดินผืนใหญ่โต?มาเป็นของตนเองโดยง่าย,โดยฐานะเป็นนอมินีในนามลูกบุญธรรมของพ่อบุญธรรมที่ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนนั้น,โดยวิธีซิกแซ็ก?ตามข้อกฎหมายต่างๆ?นั้นก็ย่อมทำได้?(หรือก็อาจเป็นไปได้?)..ใช่หรือไม่?.. ผู้รู้ทั้งหลาย?,ผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย?,ทำไมไม่ช่วยดูว่า..เราจะช่วยกันจัดการวาระประเทศไทย?กันอย่างไร?..กันดี?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 9 มีนาคม 2567 เวลา:18:07:50 น.
(พิเศษ).. ดูข่าวที่..ลูกเอาเหล็กแหลมที่ใช้แทงจมูกวัว,ควายมาแทงพ่อตัวเองเสียชีวิต,พอถามไปก็ไม่ได้สาเหตุอะไร,แต่ดูคล้ายหลอนบางอย่าง(?).. ซึ่งเรามีจุดวิเคราะห์ว่า.. สังคมไทยน่าห่วง.. เพราะเป็นสังคมที่อ้างว่านับถือพุทธ?,แต่สื่อมวลชน,สื่อสาร,หนังสือในสมัยก่อนก็ยังมีการพูด,เขียนเรื่องกฎแห่งกรรม?กันอยู่บ้าง..
แต่ยุคสมัยนี้..สื่อมวลชนต่างๆแทบจะไม่มีเอ่ยถึง,หรือให้ความคิดเชิงอุทาหรณ์,เพื่อเตือนสติสังคมในปรัชญาของศาสนาพุทธเรื่องกรรม(สนอง)กันเลย..(หรือสื่อทั้งหลายอาจมองว่าถึงพูดไปก็แก้อะไรไม่ได้,เพราะไปขัดกับวิถีอาชีพของชาวบ้าน,จึงปล่อยให้เป็นวัฏจักรแห่งกรรม?ไปอย่างนั้นแหละ?..เช่นนั้นหรือ?.. แต่เราอยากถามว่า..ทีเวลาเรื่องใบ้เลข,เพื่อให้ไปซื้อหวย,ซื้อเบอร์?,ทำไมสื่อบางส่วนคล้ายร่วมส่งเสริมกันจั๊ง?).. แต่ความรู้สึกตามsenseส่วนตัวของเรา,เรามองว่าธรรมดาวัวควายเป็นสัตว์มีบุญคุณต่อคน,ช่วยทำไร่,ไถนามาชั่วนาตาปี,แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้เงิน,สังคมไทยก็มักจะนำวัวควายไปขายให้เขานำไปฆ่าอีกที,อันเป็นมุมที่ดูโหดร้าย,คล้ายเท่ากับฆ่าบุตรตัวเอง?ปานฉะนั้น,ทั้งๆที่เลี้ยงดูมากับมือราวกับเป็นลูกแท้ๆ.. แต่ถึงเวลาก็นำเขาไปขายให้เขาไปฆ่า,มันก็เหมือนไร้ความเมตตาและกตัญญู,แต่เมื่อภาครัฐไม่มีหลักการที่เอื้อต่อความเชื่อทางพุทธศาสนา,ก็เลยปล่อยให้สังคมไทยทำตามๆกันมา.. นานเข้า..คนที่เคยมีสำนึกเมตตาต่อสัตว์อยู่บ้าง,ก็เลยพลอยชินชากับวิถีอาชีพของสังคมไทย?,ซึ่งสร้างบาปกรรมต่อสัตว์?,โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สร้างพลวัตแห่งเวรกรรม?ที่อาจตามสนองกันไปไม่รู้จักจบสิ้น(?).. ซึ่งเราวิเคราะห์ว่า..อาจเป็นไปได้ไหม?..ที่วิญญาณอาฆาต?ของสัตว์ที่เราเลี้ยงเขาจนโต?แล้ว,ก็นำเขาไปฆ่าอย่างไร้ปรานี(?),เขาก็อาจมีจิตใต้สำนึก?ที่อาฆาตแค้น?จนมาเกิดเป็นลูกหลานหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา,แล้ววันหนึ่ง,เมื่อกรรมเวรประจวบเหมาะ?,ก็อาจปะทุขึ้นมาเป็นการทำปิตุฆาต,มาตุฆาต?,ในลักษณะคล้ายวิญญาณอาฆาต,พยาบาท?มาดลจิตใจให้กระทำไปแบบงงๆงวยๆ?โดยไม่รู้ที่มาที่ไป(?)..(ตามข่าว)..หรือไม่?.. ดังที่ยังมักมีการมองกันว่าโรคบางอย่าง?ที่รักษาไม่รู้หาย?,และไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจน?.. นั่นก็คือโรคแห่งกรรมบาป?ที่เคยสะสมทำมาแต่ชาติปางก่อน?..นั่นเอง?.. หรือแม้แต่จะแค่สะสมมาในชาติปัจจุบันนี้?แบบทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ?ก็ตาม?..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 10 มีนาคม 2567 เวลา:0:25:48 น.
(พิเศษ).. ยาบ้า..ดูเหมือนสังคมไทยจะเห็นเป็นเรื่องคุ้นชิน?จนไม่เห็นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอะไรไปเสียแล้ว(?)..หรือไม่?..
วันนี้..เราได้ดูการจับผู้ค้ายาบ้ารายหนึ่งในรายการเรื่องเล่าฯ,10-3-67.. แล้วจึงมีคำถามว่า.. 1.การศึกษาในระบบโรงเรียนของไทยจะเรียกว่า..ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แล้ว?..ได้หรือไม่?.. เพราะทำไมผู้ที่จบจากระบบโรงเรียน(บางส่วน,จำนวนไม่ใช่น้อย)จึงไม่ตระหนักถึงพิษภัยของยาบ้า?และพิษภัยของยาเสพติดชนิดอื่นๆ?ด้วย?.. ทำไมจึงยังพากันคึกคะนองในการเสพยาบ้า?กันอย่างไม่นึกห่วงต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ?(รวมทั้งเครดิตทางสังคม?)ของตนเอง,ที่จะเสื่อมโทรมลง?ในอนาคตอันไม่นาน?.. จนกระทั่งพบว่า..มีการขายยาบ้าในเขตชุมชนต่างๆ?ในสังคมไทย?ไม่ว่าจะเป็นในเขตชนบท,ภูมิภาค?หรือในเขตชุมชนเมือง?,หรือในส่วนกลางของประเทศ?ก็ตาม(?),กันจนเกร่อเต็มไปหมด(?).. และยังมีผู้ติดตามคอยซื้อหามาเสพ?,เป็นลูกค้าขาประจำ?,โดยเฉพาะระดับเยาวชน?(ผู้เคยผ่านระบบการศึกษาในระบบโรงเรียน?กันมาแล้วทั้งนั้น)อย่างมากมายกันอยู่เลย(?).. 2.ควรทำการศึกษา,สำรวจ,วิจัยว่า.. ระหว่างDNAหรือยีนส์?ของคนพื้นถิ่นในสังคมไทย?,และDNAหรือยีนส์?ของคนไทยที่มีเชื้อสายจีน?นั้น,มีผลวิจัยออกมาที่แตกต่างกันอย่างไร?.. มิเช่นนั้น.. เราอาจจะหลงทางในการแก้ปัญหา?เรื่องการหลงใหลในยาบ้า?(และยาเสพติดอื่นๆ?),ที่ไม่สามารถสาวไปถึงรากเหง้า?ของปัญหาที่แท้จริง?ว่า.. ทำไมคนพื้นถิ่นของสังคมไทย?จึงพากันติดหลงใหลในการเสพยาบ้า?อะไรกันนักหนา?.. ซึ่งต่างจากคนไทยเชื้อสายจีน?(อาจรวมถึงคนเชื้อสายแขกขายผ้า?ที่อยู่ในเมืองไทยมาเนิ่นนาน)ซึ่งน่าจะมีสถิติของผู้เสพหลงใหลในยาบ้า?มีจำนวนน้อยกว่าคนไทยพื้นถิ่น?กันมากต่อมากนัก?..หรือไม่?..(ใช่หรือไม่?).. (มีคำถามว่าคนไทยพื้นถิ่นบางส่วน?ไม่รักในสุขภาพ?และอนาคตทางการงาน?และสังคม?ของตนเอง?กันหรอกหรือ?).. ...ด้วยความเคารพในทุกภาคส่วนครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 10 มีนาคม 2567 เวลา:16:42:29 น.
(พิเศษA).. ได้ดูข่าวเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่ภาค1มาจนถึงภาค2.. มีความเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ..
เราเคยได้ยินเรื่องกฎหมายครอบครองปรปักษ์(รวมทั้งที่ดินมือเปล่า)มานานแล้ว.. ตั้งแต่ได้ยินรับรู้มา.. ก็มีความรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยเลย.. เพราะเราเคยเรียนรู้ทางพุทธมาบ้าง.. พุทธจะสอนเน้นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต,ไม่โลภ,ไม่แย่งชิงสิ่งอันไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา.. แต่"กฎหมายบางอย่าง?"ตั้งแต่อดีต,ดูเหมือนจะไม่เอื้อต่อหลักศีลธรรมของพุทธสักเท่าไหร่เลย(?).. ทำไมจึงมีผู้ไปออกกฎหมายการครอบครองปรปักษ์?ว่าสามารถทำได้(?)(ถึงแม้ถ้าจะอ้างว่า..เพื่อไม่ต้องการให้มีการทอดทิ้งให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า?,ไร้ประโยชน์ใดๆ?ก็ตาม).. แต่เมื่อที่ดินนั้นได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีเจ้าของเป็นที่ชัดเจนแล้ว.. โดยหลักการทางศีลธรรมของพุทธก็ไม่ควรถือโอกาสไปแย่งชิงเอามาเป็นของตน?อยู่แล้ว(?).. ใช่หรือไม่?.. อย่างกรณีของวัดสวนแก้ว(กรณีถุงกล้วยแขก?)นั่นก็ครั้งหนึ่งแล้ว,นี่ก็โผล่มาอีก2เหตุการณ์อีกแล้ว.. เราเห็นว่า..สังคมไทยควรจัดการกับนิยายเชิงตำนานเรื่องศรีธนญชัย(?)[รวมถึงวรรณคดีหลายเรื่อง?ที่ชี้นำให้ตัวเอกที่เป็นผู้ประพฤติผิดศีลข้อ3,กลายเป็นฮีโร่ของวรรณคดีหลายๆเรื่อง(?),ซึ่งทำให้คนในสังคมไทยมองภาพผิด,เห็นผิดเป็นชอบ,เห็นกงจักรเป็นดอกบัว?กันไปหมด,และเกิดการเลียนแบบ,ทำตาม(?)..นั่นด้วย]..ด้วยวีธีใดวิธีหนึ่ง(?).. เช่น.. คือต้องประณามหรือไม่สนับสนุนพฤติกรรมเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยม?ด้วยวีธีใดวิธีหนึ่ง(?).. เหมือนกับที่ประเทศจีนเขาเอารูปตุ๊กตา?ที่สื่อถึงคนคดโกง?หรือคนไม่ดี?,แล้วให้คนเข้ามาแสดงออกในการประณามต่างๆ?..ประมาณนั้น(?)..เป็นต้น..(น่าจะดีมั้ย?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 11 มีนาคม 2567 เวลา:20:33:27 น.
(พิเศษB).. เพราะเรามองว่า.. การที่มีกฎหมายบางอย่าง?ที่ไม่เอื้อต่อหลักศีลธรรม?.. ในระยะยาวจะทำให้สะสมอุปนิสัยของความเป็นคนที่คดโกง?,บิดเบี้ยว?,เอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง?.. จนมองว่า..การชิงของผู้อื่นมาเป็นของตน?เป็นสิ่งที่ยอมรับได้(?).. โดยอ้างว่ากฎหมายบางอย่าง?เปิดช่องให้ทำได้(?).. ซึ่งนานไปย่อมจะสร้างเผ่าพันธุ์?(หรือDNA)ที่ผิดเพี้ยน,บิดเบี้ยว?ต่อหลักศีลธรรม?ให้กับสังคมคนไทยนะ(?)..เราว่า(?)..
แม้เรื่องที่ดินมือเปล่า?ก็มีนัยยะที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว?เช่นเดียวกัน(?)..หรือไม่?.. คือใครมีกำลัง,อำนาจ,พรรคพวก,บริวาร?ที่จะไปถือครองมากเท่าไหร่ได้?,ก็ทำได้เต็มที่(?)(อย่างนี้ก็ไม่เป็นธรรม?.. ใช่หรือไม่?).. ที่จริงที่ดินไม่ว่าเล็กน้อยเท่าไหร่(?)ก็ถือว่าเป็นสมบัติรวมของประเทศไทย,จะให้ใครทำประโยชน์?ก็ต้องออกนโยบายอย่างเสมอภาค,เท่าเทียมด้วยระเบียบวิธีการของภาครัฐ?,ที่มีความชัดเจน,ไม่ให้เกิดข้อครหา?ว่า..เลือกที่รัก?,มักที่ชัง?,ฝนตกไม่ทั่วฟ้า?.. และที่สำคัญคือ..ต้องไม่ให้มีภาพของการไปบุกรุกที่อนุรักษ์,ป่าไม้,ภูเขา,ลำธาร,แม่น้ำ?หรือชิงเอามาจากเจ้าของเดิม?,ซึ่งผิดหลักศีลธรรมโต้งๆ?โดยเด็ดขาด(?).. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.197 วันที่: 11 มีนาคม 2567 เวลา:20:37:33 น.
(พิเศษสุดพิเศษ,แทรก)(A).. ธรรมดา..วัฒนธรรมไทยมักสอนให้ว่า..ผู้ดีต้องไม่อวดโอ้เรื่องฐานะความร่ำรวยของตัวเอง?กันมาแต่โบราณ?..ใช่หรือไม่?.. แต่มีเรื่องแปลกๆ,ที่สื่อมักไม่ค่อยพูดหรือวิเคราะห์ถึง.. เช่น..
1.มีดาวอังคารสภา?(บางท่าน),เมื่อราว40-50ปีก่อน,เคยอยู่ไม่อยู่,เจอผู้สื่อข่าว,ก็ออกมาพูดประมาณว่าผมนี่รวยนะ?,เราดูตามข่าวนสพ.ก็ให้รู้สึกงง?เป็นอันมาก(?)ว่า..จะบอกผู้สื่อข่าวทำไม?.. 2.เร็วๆนี้..ก็มีนักร้อง(เรียน)?(บางท่าน,มากกว่า1ท่าน)(ที่เป็นคนดังติดอันดับหน้าสื่อ?)ก็ออกมาพูดประมาณว่ายอมรับว่าคู่เลิฟ?หรือตนเอง?เป็นคนมีเงิน?นะ(?).. 3.ไม่นานมานี้ก็มีทเนอะ,ทเนะ?(บางท่าน)(ที่ก่อนหน้านี้,เป็นคนดังในหน้าข่าว?มาก(?),แต่ตอนหลังดูเงียบๆไป)ก็ออกมาพูดเปรยๆกับผู้สื่อข่าวประมาณว่า..ยอมรับว่าตนเองอยู่ในฐานะที่มีเงินมากอยู่พอสมควรนะ(?)(ประมาณทำนองนี้)..(คือใช้เครื่องอุปโภคส่วนตัว?ในระดับหรูมาก?..ประมาณนั้น..จนสื่อจับตาและนำไปทำข่าว?..ประมาณนี้..) 4.ล่าสุดก็มีข่าวว่า.. พนง.รัฐบางสี?(บางท่าน)ก็ออกมาพูดทำนองเดียวกันว่า..ผมเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินอยู่นะ(?)(ประมาณนี้).. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:11:19:38 น.
(B)5.เราเคยมีเพื่อนรู้จักผิวเผินที่เคยมากระซิบบอกเราว่า.. เขาเคยไปบ้านเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่มีชื่อคล้ายม่อฮ่อมบางท่าน?(ที่มีชื่อเสียงว่าซื่อสัตย์ที่สุด,ที่เคยเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองในอดีต)(แต่เป็นคนละนามสกุล?),แล้วมีการเปิดตู้?(ไม่แน่ใจว่าเป็นตู้เซฟ?หรือตู้เสื้อผ้า?),และปรากฏว่ามีเงินสดวางเป็นพับๆ,อัดแน่นอยู่เต็มตู้?(ประมาณว่า..อยากโชว์ให้เพื่อนได้เห็นความร่ำรวยของตนเอง?..ว่างั้นเถอะ?..หรือไม่?),ซึ่งคนที่มีเงินอัดอยู่เต็มตู้ภายในบ้าน?คืออดีตตัวแทนปชช.ภาคการเมือง?(บางท่าน)..นั่นเอง(?)..
(ข้อสังเกต).. สังคมเรา?ก็เป็นสังคมศรีธนญชัย?ประมาณนี้(?)..นี่เอง?.. ใครใคร่จะนำข้อมูลบางอย่าง?ไปตรวจสอบต่อ?,เราก็ยินดีนะ?.. อยากกระซิบบอกดังๆว่า.. อย่างน้อย..ก็จะมีคนใกล้ชิด?หรือคนที่ให้เงินสีเทาๆแก่บางท่าน?(อย่างน้อยที่สุด1คน)นั่นแหละที่เขาจะรู้ว่า.. คำพูดของท่าน?ที่พูดหรือแสดงออกต่อสื่อ,ต่อสังคม?นั้นว่า.. จริงๆนั้น,ท่านร่ำรวยมาแต่เดิม?,หรือท่านมีเงินมากมายมาจากอะไรเทาๆ?ที่เกี่ยวเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่การงานของท่าน?มากกว่า(?)หรือไม่?..[เพราะวันใดที่คนใกล้ชิด?หรือคนที่ให้เงินสีเทาๆแก่ท่าน?เขาอาจเผลอหลุดพูด?ออกมา(?),จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา?ก็ตาม(?),ท่านจะต้องมีปัญหาแน่ๆ(?).. และนี่คือกฎแห่งกรรม?ที่อาจทำให้ท่าน,เมื่อจะพูดอะไรกับสื่อ?,ก็ดูจะไม่ค่อยหนักแน่น(?),ดูหน้าตาท่านเวลาออกสื่อ?มักจะดูหมองค้ำ,โนออร่า?(ตามความเชื่อ?,ความสังเกต?ของคนโบราณ?),เพราะท่านอาจระแวงว่า..คงมีคนล่วงรู้ความทุจริตส่วนตัวของท่าน(บางคน)?ไปแล้ว(?),จากคนใกล้ชิดบางท่าน?ที่อาจทรยศท่านไปแล้ว?..หรือไม่?.. ประมาณนี้ครับ?].. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:11:24:48 น.
(บทวิเคราะห์พิเศษ,แทรก)(1)..ได้ดูคลิปรายการเรื่องเล่าฯ16-3-67เรื่องเหยื่อเพียบ..รวบครูหื่น.. มีข้อคิดเห็นดังนี้..
น่าวิตก.. โดยเฉพาะหญิงไทย,โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงและเยาวชนหญิงไทย.. อย่ามัวแต่มองเห็นเทคโนโลยี่สื่อสารโดยเฉพาะการใช้มือถือหรือสม้าร์ทโฟนเป็นความสะดวก,ดูทันสมัยตามยุค(?)(โดยเฉพาะอย่างไม่ระมัดระวังด้วย?)..เท่านั้น(?).. เพราะเทคโนโลยี่มือถือ?หรือสม้าร์ทโฟน?นี่แหละ,เป็นแหล่งที่จะนำคุณไปสู่วงจรอุบาทว์?ของอาชญากรรม,อาชญากรสมัยใหม่?ได้อย่างง่ายดาย(?),ด้วยเช่นเดียวกัน(?) และพ่อ,แม่ต้องอย่าลืมสั่งสอน,อบรมลูกหลานแบบค้อร์ซพิเศษ,ลับเฉพาะด้วย..(ซึ่งถ้าไม่พร้อมทางด้านครอบครัวจริงๆ,ยุคนี้เรายังเห็นว่าไม่ควรมีลูก,เพราะคุณอาจต้องชอกช้ำในอนาคต,เมื่อลูกโตขึ้น,โดยเฉพาะถ้ามีลูกสาว?).. อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุผิด,พลั้งพลาดไปแล้ว.. เช่น.. มีคนแอบถ่ายคลิปมีเพศสัมพันธ์กัน?(ของลูกสาวของคุณ),หรือเขามักมีข้ออ้างสารพัด?ของผู้ชายที่คบกันเป็นแฟน?..ที่จะขอถ่ายคลิปลับต่างๆ?นั้น(?)..(เช่น..บอกว่าไว้ดูส่วนตัว?บ้าง?..เป็นต้น).. และหญิงบางส่วน?(อยากบอกว่าอาจส่วนมาก?ด้วยนะ?)มักจะยินยอมได้ทุกอย่าง(?)ต่อผู้ชายที่ตนมีเพศสัมพันธ์ด้วย?,คล้ายประหนึ่งติดเซ็กซ์?หรือติดใจในการมีเพศสัมพันธ์?กับคู่ของตน?เหมือนดั่งติดยาเสพติด?จนต้องยินยอมตามแฟน?(ซึ่งคบกันโดยไม่ถูกครรลองประเพณี?,ประมาณตามสำนวนที่ว่าลักกิน,ขโมยกิน,มันอร่อย?..ประมาณนั้น?..นั่นแหละ?).. จึงมักมีการขอถ่ายคลิปลับ?กันโดยหญิง?(บางส่วน)มักไม่ยอมขัดขืนใดๆ?กันเป็นส่วนมาก(?).. แล้วสังคมเรา?จะแก้ไขกันอย่างไร?.. ซึ่งถ้าลูกหญิง?ที่ไม่มีพ่อแม่เป็นที่ปรึกษา,ให้กำลังใจที่ดีพอ?,ก็อาจถึงขั้นคิดสั้น,ทำอัตตวินิบาตต่อตัวเอง?(เพราะเหตุอับอาย,เมื่อภาพลับถูกเผยแพร่โซเชี่ยลแล้ว?)ตามมาก็เป็นได้ด้วยนะ(?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:15:59:16 น.
(2)จริงๆ.. การดึงสังคมไทย?ให้กลับสู่ทางเกวียนสายเก่า?ยังจะสามารถทำได้อยู่ไหม?.. คือ.. เช่น..ออกนโยบายให้มีหน่วยงานสั่งสอนกันอย่างมีระบบ(เช่น.. เกณฑ์ให้ทุกคน,ทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่เริ่มรับรู้เรื่องทางเพศ?ทั้งหมด,ให้ต้องมาเข้ารับการอบรมจริยธรรมทางเพศ?กันเลย..เป็นต้น)..
อย่าให้มีเรื่องละเมิดเรื่องทางเพศกัน(ทั้งชายและหญิง)ก่อนวัยอันควร(?).. และกำหนดให้พ่อ,แม่และครูอาจารย์ควรสั่งสอนลูกหลาน,ลูกศิษย์(และโดยเฉพาะตัวบุพการีและครูอาจารย์บางส่วน?ต้องอย่าเป็นผู้ชี้นำ,ชักชวน,ค้ามนุษย์กับลูกหลาน,ลูกศิษย์?,หรืออย่าเป็นผู้ทำผิดเสียเอง?โดยเด็ดขาด)ว่า.. รสชาติของการมีเพศสัมพันธ์?นั้น,จะมีสารบางอย่าง?(ซึ่งควรเรียนรู้และฝึกใจแข็งไม่ตกเป็นทาส,อาจใช้การนั่งสมาธิทดแทน,หรือที่สุดถ้าจะต้องปลดปล่อยเพราะเครียดมาก,ก็แนะนำให้ใช้การบำบัดตัวเอง?,ซึ่งปลอดภัยและต้องไม่ถือว่าผิดศีลธรรมทางเพศ?แต่อย่างใด?..เป็นหลัก?..หรือไม่?).. เช่น..สารเอ็นโดรฟิน?(และสารสุขอื่นๆ?)ที่หลั่งออกมาขณะและหลังจากมีเพศสัมพันธ์กันเสร็จสิ้นแล้ว?,และทำให้เกิดมีอารมณ์ติดใจในความปลอดโปร่ง?,โล่งไปทั้งกายและอารมณ์?เหมือนดั่งการเสพยาเสพติดบางชนิด?ไม่ต่างกัน(?)..นั่นหละ(?).. ว่า.. ควรต้องให้บุตรหลาน,ลูกศิษย์,ต้องรู้เท่าทันกลไกทางเพศ?,โดยต้องระวังจิตใจ,อารมณ์ให้ดีๆ?,โดยเฉพาะไม่ควรตกเข้าไปในวงจรของการสังสรรค์,ดื่มสุรา?,อันเป็นเหตุเบื้องต้น?,บ่วงล่อ?ให้ขาดสติ,สัมปชัญญะ?,จนทำให้ไม่สามารถตัดสิน,ควบคุมอารมณ์?ในการยับยั้งตน?ในทางผิดศีลข้อ3ในเรื่องเพศ?ได้?..(ประมาณนี้หรือไม่?)..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:16:28:53 น.
(3)และควรสอนลูกสาว?(รวมทั้งลูกชาย?ด้วย)ให้ชัดเจนด้วยว่า.. ความรักแบบหนุ่มสาว?(แบบเชิงสร้างจินตนาการ?ในละครหลังข่าว2ทุ่ม?)นั้น?..ไม่มีจริงหรอก(?)..
เพราะทุกคน?โดยเฉพาะชาย?มักต้องการการตอบสนองอารมณ์ทางเพศตามวัย?,ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนทางเพศชาย?ที่เร่งเร้าตามธรรมชาติกระตุ้น,บงการ?เท่านั้นแหละ(?).. และโดยเฉพาะหญิง?(โดยมาก)มักต้องการทั้งเกียรติ?,ศักดิ์ศรี?,ฐานะทางการงาน?,การเงิน?,ความมีหน้ามีตาในสังคม?(หลังจากที่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับชาย?แล้ว),ที่มากกว่า..แค่การต้องการมีเพศสัมพันธ์ด้วย?จากชายที่เป็นแฟน?เพียงอย่างเดียวเท่านั้น?..เสมอ(?).. และโดยมากชาย?มักจะละเมิดทางเพศกับหญิง?,โดยอารมณ์ชั่ววูบที่รีบกระทำ?(โดยไม่หาสิ่งป้องกัน?..เช่น..ถุงยางอนามัย?..เป็นต้น..เสียก่อน?),เพราะกลัวหญิงจะเปลี่ยนใจเสียก่อน?,เพราะกลัวว่า..อารมณ์หญิงมักเปลี่ยนง่าย?,จึงไม่ทันคิดไตร่ตรอง,รอบคอบว่า,เมื่อถ้าหญิงเกิดต้องการเรียกร้อง?,หลังยอมมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว?,เขา(ตัวผู้ชาย)จะให้ตามคำเรียกร้องต้องการของหญิง?ที่ตนไปมีอะไรด้วย?(หลังจากเสร็จกิจกันแล้ว?)ได้หรือไม่?.. จนมักที่สุด,ทำให้เกิดการแตกร้าว?,ทะเลาะเบาะแว้ง?,และเลิกจากกัน?ตามมา(?)..(ซึ่งเป็นต้นเหตุเบื้องต้น?ของภาวะสถาบันครอบครัวล่มสลายตามมาอีก(?)..นั่นเอง)... ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้?เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ,ทำให้หญิงไทย?(บางส่วน,หรืออาจส่วนมากด้วย?)เกิดค่านิยม?ที่ไม่เห็นความสำคัญในการรักนวลสงวนตัว?,ทำให้กล้าผู้ชาย?,กลับมองเห็นเป็นเรื่องการแสวงหาความสุขส่วนตัว?เท่านั้น?(หรือไม่?).. ซึ่งบางครั้งกับหญิงบางคน?อาจเกิดทัศนะผิดๆ?ว่า..เสียให้กับผู้ชายคนแรกฟรีๆ?ยังยอมได้?,ถ้าจะยอมเสียตัวอีกครั้ง?,แล้วได้ทรัพย์ตอบแทนด้วย?,ทำไมจะยอมไม่ได้?.. [นี่แหละ.. จึงเป็นความคิดเชิงจิตวิทยา?,ที่นักฉวยโอกาส?,ใช้เป็นจุดเริ่มต้น?ของกระบวนการค้ามนุษย์?,โดยมองเห็นหญิงเป็นสินค้าทางเพศ?ไปในที่สุด(?),โดยไม่เคารพ?,คำนึงถึงศักดิ์ศรี?ของความเป็นหญิง?ซึ่งเป็นเพศแม่ของตนเอง?เอาเสียเลย(?)..ไงล่ะ?].. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:17:04:14 น.
(4)จนที่สุด..สังคมไทย?กลายเป็นสังคมที่ส่งสัญญาณผิดๆ?ว่า.. แม้สังคมจะรับรู้ว่า.. เขา(ทั้งหญิงและชาย?)ได้ประพฤติผิดทางเพศ?หรือมากผัวมากเมีย?,คบซ้อน?,มีกิ๊ก?,ไม่ว่าจะเป็นทั้งกับเพศหญิง?หรือเพศชาย?,ไม่ว่าจะมีฐานะทางการเงิน?และการงานที่ดี?ในสังคม?อย่างไรก็ตาม(?),เขาก็ยังสามารถยืนผงาดในสังคม?ได้อย่างไม่ต้องหลบหน้า?,โดยลืมคำว่ายาง....?ไปเสียแล้ว(?)..ประมาณนี้หรือไม่?)..
แต่จริงๆ.. ไม่ว่าทั้งบุพการี?,ครูอาจารย์?และผู้ใหญ่ทรงคุณวุฒิ?,วัยวุฒิ?ทั้งหลาย?ควรช่วยบอกสอนกันว่า.. จะมีเพศสัมพันธ์กันได้?ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมทั้งร่างกาย?,การงาน?,และควรให้ถูกต้องตามหลักประเพณีไทย?ก่อนการมีเพศสัมพันธ์กัน?นั้น,จึงจะเป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด?.. และควรต้องถามภาครัฐ?ด้วยว่า.. การที่พยายามส่งเสริมให้คนมีบุตร?,เพราะกลัวว่าคนเกิดน้อย?,ประชากรจะลด?นั้น(?).. ท่านนักรู้?,นักนโยบาย,นักวิชาการทั้งหลาย?(บางส่วน)ได้สำรวจดูความปลอดภัยของเด็กวัยรุ่นที่เกิดมา?(โดยเฉพาะเด็กหญิง?และเยาวชนหญิง?)ว่า.. เมื่อเขาเริ่มโตขึ้นมา(?),เขามีความปลอดภัยทางเพศ?อย่างเพียงพอแล้วหรือยัง?.. และได้มีกระบวนการสอนความปลอดภัย?ในการคบหาผู้ชาย?เมื่อไม่พร้อม?,และผิดประเวณี?ว่า..จะเกิดผลร้ายอย่างไร?หรือไม่?.. และเมื่อเกิดผิดพลั้งพลาด?โดยการถูกยั่วยวน?,ครอบงำ?จากสังคม,สิ่งแวดล้อม?ที่มีแต่สถานที่อโคจร?ในความหมาย(บริบท)ของพุทธ?,เพื่อให้หลงใหล?,เมามัว?ในเรื่องทางเพศ?ในหมู่สังคมเพื่อนฝูง?(หรือเพื่อนเลว?)ไปแล้ว(?),ว่าจะหาทางออก?ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้?ให้กับลูกหลานของพวกเขา?อย่างไรกันดี?..แล้วหรือยัง?..หรือไม่?..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:17:30:26 น.
1.ควรแยกเป็นโรงเรียนหญิงล้วน,และโรงเรียนชายล้วน,เพื่อไม่ให้ชาย,หญิง,วัยเจริญพันธุ์มาใกล้ชิดกันก่อนวัยอันควร,อันเป็นการเพาะเชื้อไฟ?แห่งการผิดศีลข้อ3โดยใช่เหตุ?..
โรงเรียนหญิงให้มีแต่ครูหญิง.. ส่วนโรงเรียนชายก็ให้มีแต่ครูชาย.. และเด็กนักเรียนหญิง,ชายไม่ควรซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์(รถ4ล้อส่วนตัวใดๆ,จักรยานด้วย)ไปด้วยกัน,ไม่ว่าในกรณีใดๆ,หรือแม้แต่กับญาติชายก็ตาม.. 2.โรงแรมให้แยกเป็นโรงแรมหญิง,และโรงแรมชาย.. โดย..โรงแรมหญิง,ชายห้ามเข้า,โรงแรมชาย,หญิงห้ามเข้า.. ยกเลิกโรงแรมรูดม่าน,ยกเลิกอาบอบนวด,และนวดทุกแผนซึ่งมักมีการค้าประเวณีร่วมด้วย?,และมักมีช่องเล็ดลอด?ที่ส่งเสริมการค้าประเวณี?และผิดประเวณี?(ศีลข้อ3)ในหญิง,ชายที่ไม่ใช่สามีภรรยากัน.. ส่วนโรงแรมแบบครอบครัวต้องแสดงทะเบียนสมรสตัวจริง,ซึ่งสามารถสกรีนดับเบิ้ลเช็ค(เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร),ตามระบบทะเบียนออนไลน์ของรัฐได้.. 3.สำหรับนวดเพื่อสุขภาพยกให้รพ.ของรัฐ(เท่านั้น)เป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น,และให้หญิงนวดได้เฉพาะหญิง,ชายนวดเฉพาะชาย,และให้จัดสถานที่นวดเป็นที่เปิดโปร่ง,คนผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้,เพื่อป้องกันการมีภาพที่ดูอนาจารแฝงเร้นอยู่.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:18:45:45 น.
(ข้อความที่ตกหล่นในโพ้สต์ข้างบนครับ)..
(5)(เพิ่มเติม).. เราเคยนำเสนอความคิดเห็นในที่ต่างๆประมาณว่า.. น่าจะถึงเวลาแล้วหรือยังว่าควรจะพิจารณาว่า.. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 16 มีนาคม 2567 เวลา:18:50:46 น.
(ข้อสังเกต).. กรณีข่าวคุณบ.ที่ให้ผู้ติดยาพาไปดูว่า..ซื้อยาบ้าจากใคร?.. เราอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันวิเคราะห์.. เพราะเรามองว่า..น่าจะเป็นการช่วยราชการ?เพื่อจับกุมผู้ขายยาบ้าให้กับผู้ป่วย?มากกว่า?..หรือไม่?.. ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องนอก-ใน?ใดๆในพื้นที่?.. เรามองว่า.. ถ้ามีผู้ป่วย100รายในพื้นที่?,ก็น่าจะต้องสืบถามกับผู้ป่วย?,จนได้ชื่อของผู้ขายยารายย่อย?อย่างน้อย100ราย?หรือ100เค้ส?ของผู้ต้องหาขายยาบ้า?มาเพิ่มเติมอีกด้วย?..หรือไม่?..ใช่หรือไม่?.. ดังนั้น..จนท.ส่วนกลาง?ควรต้องไปตรวจสอบว่า.. กรณีของคุณบ.นี้..น่าจะมีซัมธิ่งวรอง?หรือไม่?..
...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 17 มีนาคม 2567 เวลา:2:39:24 น.
(เพิ่มเติม).. กรณีข่าวคุณบ.ที่ช่วยชี้เบาะแสผู้ขายยาบ้ารายย่อยในบางพื้นที่?.. ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ?,ที่สังคมไทย?(บางจุด?)กลับทำให้กลายเป็นเรื่องที่ดูซับซ้อน,ยุ่งยาก?.. นั่นเพราะอะไร?..
...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 17 มีนาคม 2567 เวลา:2:49:56 น.
(พิเศษ)..(A)(ถามว่า..ประเทศไทยเป็นของใคร?).. กีฬาสี?ของคนหลายกลุ่ม?ที่เคยเป็นนักต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรม,มาตรฐานเดียว?.. มาวันนี้คล้ายจะมีการพูด(หรือเคยได้ยินจากสื่อบางส่วน)ถึงคำพูดหนึ่งตรงกันในทุกกลุ่ม?ว่า..สู้ไปแล้วได้อะไร?,สุดท้ายก็ต้องติดคุก?,ถูกฟ้องล้มละลาย?,ถูกยึดทรัพย์?,สู้เป็นคนดูการแย่งชิงผลปย.ของคนแต่ละกลุ่ม?ตามคำพังเพยว่านั่งบนภู..ดู...?ดีกว่า?,ไม่เปลืองตัวดี?..เช่นนั้นหรือไม่?..
อีกประการหนึ่ง.. คือสังเกตว่า..คนไทยส่วนมาก?(ยุคนี้)จะเป็นคนมีทัศนะขี้กลัวขึ้นสมอง?(จนอาจเข้าใกล้อาการที่เรียกว่าPhobia?กันไปแล้ว?)หรือไม่?.. เช่น.. กลัวคนที่มีเงินมากๆ?(ที่มาเล่นการเมือง?).. แม้จะเห็นอยู่ว่า..สังคมไทยมีหลายอย่าง?,หลายเรื่อง?ที่ชี้บ่งถึงความไม่ชอบธรรม?,หลายมาตรฐาน?,ดีลนั่น?,ดีลนี่?,แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะออกมาพูด,ออกมากล้าชนกับปัญหาสังคมในขณะนี้?อย่างตรงไปตรงมา(?).. เพราะอาจคิดว่า..ตนหรือกลุ่มตน?มีเงินไม่ถึง?,หรือมีไม่มากเท่าบางกลุ่มการเมือง?,ถ้าขืนมาพูดโต้งๆ,ตรงๆ,ไม่อ้อมค้อม?ก็กลัวฝ่ายกลุ่มคนที่มีเงินมาก?เขาจะให้นักกม.ฝ่ายเขา?ไปแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท?เอา?.. ประมาณนั้น(?)..หรือไม่?.. แม้แต่สื่อ?(จำนวนไม่น้อย?)ก็ไม่กล้าพูดแบบชี้ประเด็น?และชี้ตัวบุคคล?แบบตรงๆ(?),เพราะน่าจะเกรงอำนาจบารมี?,และเกรงอำนาจทรัพย์?ของคนบางกลุ่ม?,บางคน?ด้วยเช่นกัน?..หรือไม่?..(ใช่หรือไม่?).. [เช่นอย่าง..สื่อน้ำดีบางท่าน?.. เช่น.. สื่อสุนัขเฒ่า?..คนก็มองกันว่า.. เพราะเหตุพูดตรงเกินไป?นั่นเอง?,จึงถูกเขี่ยออกนอกกระดาน?ไปแล้ว(?)..ประมาณนั้น?..นั่นเลยเทียว(?)..หรือไม่?..เป็นต้น].. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 17 มีนาคม 2567 เวลา:23:49:28 น.
(B)และวันนี้(17-3-67).. เราได้ดูรายการหนึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว,ของพิธีกรเน็ตไอด้อลท่านหนึ่งที่คุยกับดร.ก.(ชายหนุ่มดีกรีด็อกเต้อร์)ที่มีทัศนะ,มุมมอง,การพิเคราะห์การเมืองที่น่าสนใจและแยบยลมาก.. (เราเชื่อว่า..ยุคถัดไปจะมีคนหนุ่มที่มีแนวคิด,มุมมองเช่นนี้มากยิ่งขึ้น)..
ฟังดูเขาสรุปปิดท้ายแบบตบลูกเข้าโกลได้ยอดเยี่ยมมาก..ที่พูดด้วยประโยคที่ว่า..คือคุณท.แกไม่ใช่ซุปเป้อร์ฮีโร่,แกบินไม่ได้,แกไม่ได้เป็นไอร้อลแมน?.. ซึ่งทำให้เราฉุกคิดถึงคำพูดของลุงหมักในอดีตหลายสิบปีก่อนที่บอกว่า..ความกลัวทำให้เสื่อมนี่เอง(?).. เราจึงอยากมโนเอาเองนะว่า.. ถ้าวันหนึ่ง..เราตื่นขึ้นมา,แล้วสังคมไทยราว50-60ล้านคนออกมาส่งเสียงตรงกันว่า..การยุบพรรคนั้นไม่เกิดประโยชน์.. เราว่า..สังคมไทยน่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นกว่านี้?..หรือไม่?..(คุณว่ามั้ย?).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 18 มีนาคม 2567 เวลา:0:00:19 น.
(ข้อคิดพิเศษ).. (1)เราเผอิญได้เปิดดูคลิปยูทู้ปของสื่อบางสื่อที่ผู้ก่อตั้งเคยเป็นคอลัมนิสต์ของสื่อหัวสี?มาก่อน..
การเมืองช่วงนี้ทำให้เรานึกถึงมิติของคำว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร?(แม้แต่จะแค่เป็นมิตรเพียงชั่วคราวก็ตาม).. ซึ่งอาจกำลังมีทัศนะเช่นนี้อยู่ในหลายกลุ่มก้อนทางการเมือง?เหลือเกิน?(แม้แต่สื่อบางฉบับ?หรือบางช่องในโซเชี่ยล?ก็มีด้วย?).. ก่อนหน้านี้จะเห็นนสพ.เลือกข้างบางฉบับ?(ที่มาทำคลิปในช่องโซเชี่ยล?)จะมีจุดยืนที่เอาเรื่องเอาราวอย่างจริงจัง?กับกลุ่มที่มีทัศนะเชิงต่อต้านจุดเปราะบางของสังคมไทย?อย่างชัดเจน(?),แม้แต่กับเด็กเยาวชนบางคน,บางกลุ่ม?ก็ยังมีเนื้อหาที่ต่อว่าพวกเขาอย่างจริงจัง(?).. แต่มาช่วงหลังๆ(เร็วๆนี้).. นสพ.บางฉบับ?(ที่นำทัพโดยสื่ออาวุโสบางท่าน?)กลับเหมือนตาสว่างชั่วคราว,เฉพาะกิจ?หรือไม่?.. ที่กลับเริ่มนำเอาคำพูดของนักการเมืองดัง?และนักต่อสู้ฟากปชต.?บางคน,บางกลุ่ม(?)(ซึ่งก่อนหน้านี้,สื่อของตนเอง?ก็เคยต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตาย?มาก่อนอย่างหนักหนาสาหัส?..เช่นเดียวกัน?)เข้ามาเป็นข้ออ้างอิง,พูดถึงแบบคัดมาเต็มๆเพื่อมาลงในเนื้อหาของสื่อของตน,เพื่อชี้ให้เห็นจุดอัปยศ?,ไร้เกียรติ?,ไร้สัจจ์?,ไร้จุดยืน?ของศัตรูความคิดทางการเมืองกลุ่มเก่า?..คล้ายว่า.. จะยืมมือ(คำพูด)ของศัตรู(รุ่นใหม่?)เพื่อฆ่าศัตรู(รุ่นดั้งเดิม?)ประมาณนั้น(?)..หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 19 มีนาคม 2567 เวลา:10:36:31 น.
(2)ยังมีอีก.. ที่มีช่องโซเชี่ยล(ใต้ดิน)(บางช่อง),แต่กลับปรากฏหราในโลกโซเชี่ยล?เต็มไปหมด(?),ที่ใช้ยุทธวิธีโจมตีจุดอ่อนไหวของสังคมไทย?(อย่างรุนแรง?)มาเป็นเวลามากกว่า3ปี(?)..
แต่ดูเหมือนผู้เป็นจนท.ที่เกี่ยวข้อง?(บางส่วน)จะวางตัวเงียบกริ๊บ(?),หรืออาจจะรอให้มีกระแส?,ให้สื่อทำเป็นข่าวออกมาเสียก่อน?,จึงจะค่อยเคลื่อนไหวตาม?..หรือไม่?.. (ทำให้รู้สึกว่า..คล้ายรู้เห็นเป็นใจ?,ยอมให้กลุ่มโซเชี่ยลบางกลุ่ม?กระทำเช่นนั้น?,ที่มีการสื่อสาร,ปลุกปั่นมวลชนในโลกโซเชี่ยล?,เพื่อหวังหาพวกที่คิดเหมือนกัน?ไปเรื่อยๆ?..หรือไม่?.. หรืออีกที,ก็อาจกลัวอิทธิพลจากกลุ่มอำนาจดั้งเดิม?ในบางมุม?,บางบริบท?ซึ่งซ่อนเงื่อน?,ซ่อนปม?บางอย่างไว้?,ที่คล้ายรอจังหวะฉกฉวยอำนาจกลับมาคืน?เหมือนตาอยู่?หรือเปล่า?..ก็ไม่ทราบได้?).. เพราะเหมือนไม่(อยาก)รับรู้,รับเห็นใดๆทั้งสิ้น?,แม้มีคนหวังดีแจ้งเบาะแสไป?,ก็เหมือนจะใส่ลิ้นชักไว้?,ไร้แอ๊คชั่นตอบสนอง?,ซึ่งกลับไม่แอ๊คถีฟ?เหมือนในกรณีของกลุ่มการเมืองกุ๊กไก่?.,และกรณีของน้องตว.?แต่อย่างใดเลย?(เพราะนั่นคือมีข่าวออกเป็นสื่อ?แล้ว?).. ซึ่งคล้ายยอมปล่อยให้ช่องใต้ดิน?(บางช่องดังกล่าว?),ได้สื่อสาร?,ปลุกระดม?เพื่อล้มล้างระบอบเดิม?กระนั้นแหละ?..หรือไม่?.. โดยช่องใต้ดิน?(บางช่องดังกล่าว?)ก็มักแอบอ้างว่า.. มีอดีตผู้บริหารสังคมบางท่าน?(2-3ท่าน?)ที่สนับสนุนให้เปิดช่องสื่อใต้ดิน?)ของกลุ่มของตน?.. ซึ่งผู้ที่ถูกแอบอ้าง?ก็ไม่เคยออกมาแก้ข่าว?หรือแก้ตัว?แต่ประการใดเลย?.. เราซึ่งติดตามฟัง,ก็เลยทำให้รู้สึกว่า..จะเข้าบริบทของคำว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตร?เช่นเดียวกันอีก?..หรือไม่?.. คล้ายประมาณว่า.. ขอยืมใช้ปาก?ของกลุ่มคนที่มีทัศนะต่างจุดยืนกับของตน?ในบางเรื่อง?(คือในเรื่องโจมตีจุดอ่อนไหวของสังคมไทย?),แต่กลับต้องการใช้ประโยชน์?เพื่อให้เป็นเครื่องมือ?ในอีกบางเรื่อง?,เพื่อให้เป็นกระบอกเสียง?เพื่อโจมตีศัตรูทางการเมือง?,ที่เผอิญดันเป็นศัตรูทางการเมืองคนเดียวกัน?กับทัศนะของตน?ไปก่อน?..ประมาณนั้น?..หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 19 มีนาคม 2567 เวลา:11:09:13 น.
(3)เพราะสิ่งนี้ทำให้สังคมไทย?เกิดความสับสน?,ไม่มั่นคงในการใช้ชีวิตในสังคมไทย?.. และเกิดความรู้สึกว่ากลุ่มใด?เป็นพวกเดียวกันกับกลุ่มใด?กันแน่?..(ที่มีคนที่ต่างกัน?ในจุดยืนที่สำคัญ?กลับคล้ายมาสนับสนุนข้อมูลลึกๆบางอย่าง?ให้แก่กันแบบลับๆ?อย่างดูผิดสังเกต?)..
ซึ่งในระยะยาวจะทำให้หน่วยย่อยๆของสังคมไทย?จะไม่สามารถจริงใจต่อกันได้เลย(?),หรือไม่เชื่อมั่นต่อกลุ่มใดๆ?ได้เลย(?)(เพราะเกิดความระแวงซึ่งกันและกัน?ไปหมด?).. และยังคล้ายมีผู้แอบแฝงตัวในมุมมืดแบบลับๆ?เพื่อส่งข้อมูล?แบบอินไซ้ต์ในวงราชการ?และการเมือง?ให้กับกลุ่มที่มีจุดยืนพิเศษ?เพื่อโจมตีจุดอ่อนไหวของสังคมไทย?ดังกล่าว(ซึ่งเป็นจุดยืนที่ตรงข้ามกัน?กับจุดยืนของสื่ออาวุโสของอีกบางช่อง?,ซึ่งเป็นช่องที่มีอิทธิพลทางความคิด?ต่อสังคมไทย?อย่างมาก?).. แต่บุคคลที่แอบแฝง?นั้น,กลับคล้ายคอยสนับสนุน?,เสี้ยมสอน?,ให้กำลังใจ?,ช่วยวิเคราะห์นั่นนี่?ให้กับช่องโซเชี่ยลใต้ดิน?ดังกล่าว?,อยู่ข้างหลัง?.. และคล้ายคอยส่งข้อมูล,เนื้อหาข่าว?จากช่องข่าวที่มีมุมขุดคุ้ยเบื้องลึกของนักการเมืองและวงราชการไทย?ให้กับช่องใต้ดินดังกล่าว?,เพื่อให้เขานำมาพูดวิเคราะห์,ใส่สี,ตีไข่?ผสมเพิ่มขึ้น?(ทั้งๆที่ช่องสื่ออาวุโสดังกล่าว?นั้นก็มีจุดยืนสำคัญบางจุด?ที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง?).. ซึ่งเลือกคัดเอาแต่เฉพาะที่มีเนื้อหาที่มีประสงค์ตรงกันในบางเรื่อง?มาให้เท่านั้น?(แต่โดยไม่ยอมอ้างถึงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ?ว่ามาจากสื่อมวลชนช่องใด?(เพื่อคล้ายหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ในเรื่องของจุดยืนจุดสำคัญ?ที่ย้อนแย้งกันอย่างสิ้นเชิง?)..อีกด้วย(?).. ปล.ถ้ามีบ่อนการพนัน?ใกล้บ้านคุณ,แล้วคุณก็ทำเฉยๆ?,ไม่เดือดร้อน?,มัวคิดว่าไม่กล้าแจ้งเจ้าหน้าที่?.. วันหนึ่ง..ถ้าบ่อนนั้น?เขาเกิดเรื่องขึ้นในบ่อน?,อาจมีเหตุมารุกราน,ลุกลาม?,ทำให้ทรัพย์สินหรือชีวิตของคนในบ้านคุณพลอยเดือดร้อนเสียหายไปด้วย?..ก็เป็นได้?..ใช่หรือไม่?.. ...ฝากข้อมูลพิเศษนี้?กับทุกๆท่านด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.112.126 วันที่: 19 มีนาคม 2567 เวลา:11:40:34 น.
วิบากกรรมใดของสังคมไทย?.. (เราได้ดูคลิปคำหลวงตาของคอลัมนิสต์อาวุโสบางท่าน.. แล้วได้ข้อคิดส่วนตัวดังนี้ครับ..
1.หลวงตาบ.บอกคนร่ำรวยผู้หนึ่ง?คือลูกศิษย์?,แต่กลับทำให้อาจารย์เสียชื่อ?(?).. 2.หลวงตาบ.บอกประมาณว่า..ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย,จะไม่เกิดอีก.. ชาวบ้านฟังตีความว่า..ท่านบรรลุแล้ว.. 3.คนร่ำรวยผู้หนึ่ง?(เดียวกันนี้)เคยไปกราบนักบวชสีกรัก?(แถวๆอุบล),ด้วยวิถีจริตเพื่อหาเสียงสนับสนุน?แบบนักการเมือง?.. 4.นักบวชสีกรัก?ประกาศว่า..ตนบรรลุธรรมแล้ว..เช่นเดียวกัน.. 5.สังคมไทยแปลก?,เพราะมีคนฉลาดแบบเหลี่ยมๆบางคน?(ที่เชี่ยวชาญชั้นเชิงธุรกิจ,กระสันเข้าสู่การเมือง),ที่ดูเผินๆเหมือนคนที่ฝักใฝ่,คลุกคลี,วนเวียน,อยู่กับศาสนา,พระ,นักบวช?,เพื่อสร้างภาพลักษณ์?ว่า..ตนเองเป็นคนดี?(รวยแล้วไม่โกง?),ที่ควรให้การสนับสนุนนะ(?)..ประมาณนั้น(?).. 6.ขนาด2พระ,นักบวช?(ผู้บรรลุธรรมแล้ว)ยังหลงคารม?ของคนร่ำรวยบางคนนี้..ทั้ง2ท่านจนได้(?).. 7.ที่สุด..พระและนักบวช2ท่านนี้?ก็ภายหลังมีการต่อว่ามุมมองทางธรรมะ?ของอีกฝ่าย,โต้กันไปมาผ่านลูกศิษย์ของแต่ละท่าน(?).. 8.แปลกมากที่ทั้ง2ท่านต่างบรรลุธรรม?,แต่ต่างก็ตกหลุมล่อ?ของผู้ร่ำรวยบางคนดังกล่าว?พร้อมๆกันจนได้(?).. 9.เทวทัต?ด้วยแรงริษยา?และใคร่เป็นใหญ่?,จึงแอบแฝงมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า?,และภายหลังก็กลับทรยศ?,หวังแย่งความเป็นใหญ่?จากพระพุทธเจ้าอีกที(?).. 10.ผู้ร่ำรวยบางคนนี้ก็อาศัยตีซี้,เข้ามาสนิทกับพระและนักบวช2ท่าน?เพื่อหวังให้ทั้ง2ท่าน?เป็นแบ๊ค,สนับสนุนทางการเมือง,เพื่อให้สมความโลภในทรัพย์?และความยิ่งใหญ่ทางการเมือง?ของตน(?).. 11.เราท่านทั้งหลาย?มองเห็นบางสิ่ง,บางอย่าง?ที่มีอะไร?ที่ดูละม้ายคล้ายกัน?..หรือไม่?.. 12.หรือนี่คือวิบากกรรม?ของดินแดน?ที่มีนิยายตำนานเรื่องศรีธนญชัย?..หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.114.150 วันที่: 20 มีนาคม 2567 เวลา:3:46:36 น.
(พิเศษ)..(A)ทำไมเราจึงมองว่าพุทธอาจเป็นแค่ปรัชญาความคิดที่ไม่ครอบคลุมทุกบริบทในการแก้ปัญหาชีวิต?,โดยเฉพาะนำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมืองได้ยากมาก(?)..
พุทธและคริสต์สอนคล้ายกันเรื่องให้อภัยคนที่เคยทำผิด(และขอให้เขาอย่าทำผิดอีก,หรือถ้าเป็นการทำผิดครั้งแรก..ประมาณนั้น).. แต่ศาสนายิวสอนว่าตาแทนตา,ฟันแทนฟัน.. ซึ่งส่วนตัวเรามองว่า.. บางกรณีของชีวิต(จริง)อาจจำเป็นต้องใช้หลักปรัชญาของศาสนายิวข้อนี้ก็เป็นได้(?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.98 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:12:40:38 น.
(B)กรณีของสังคมไทย.. บางองค์กรมีคำพูดต่อๆกันมาวาอย่าฆ่าน้อง อย่า...,หรือมักอ้างเรื่องความกตัญญู.. เช่น.. เมื่อสมัยไม่นานก็มีคติของบางท่านบอกว่าได้ดีเพราะ......ให้..ประมาณนั้น..(ซึ่งก็น่าจะมีนัยยะเรื่องความกตัญญู,ทำนองว่า..เมื่อได้ดีเพราะใคร?..ก็ต้องตอบแทนคนคนนั้น..ประมาณนั้น)..
ดังนั้น.. พอถูกกล่อมเกลาด้วยคำคติส่วนตัวเหล่านี้บ่อยๆ.. ก็เลยกลายเป็นว่า.. แม้น้อง,แม้นาย,แม้เพื่อนจะทำความผิดต่อสังคมบ้านเมืองอย่างไร?,ก็จะต้องคอยปกป้อง(ปกปิด)ไว้,ทั้งๆที่น่าจะสามารถออกมาคัดค้าน,ตู่ท้วง,ชี้แนะ,แซงชั่น,บอยคอตได้ดีกว่าบุคคลอื่นที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับพี่,กับน้อง,กับเจ้านาย,กับเพื่อนสนิทของตน?ได้มากเท่ากับตน(?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.112.224 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:13:02:30 น.
(C)เราเคยฟังนักการเมืองดัง(บางท่าน)ที่จบจากม.ดังที่อังกฤษเคยพูดในสภาเมื่อหลายสิบปีก่อน(แล้วมีคนคัดค้านมากมาย)ประมาณทำนองว่า.. บางทีการอกตัญญู(?)หรือทรยศ(?)ต่อบางบุคคล?(ที่กระทำความผิดต่อบ้านเมือง)ที่เคยมีสัมพันธ์เชิงบวก?กับตน,น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าการเข้าข้างเพื่อทดแทนบุญคุณ?หรือไม่?..
ซึ่งทำให้เรานำมาฉุกคิดมาจนถึงทุกวันนี้ว่า.. ที่สังคมไทยไม่พัฒนาในเชิงการเมือง,คุณธรรม,ยุติธรรมก็เพราะมัวพากันอ้างปรัชญาบางอย่างของพุทธ?หรือปรัชญาของนิยายบู๊ลิ้มที่ว่าบุญคุณต้องทดแทน?,ที่อาจไม่เวิ้ร์ค?ต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น?สำหรับสังคมมะกอก3ตะกร้า?,ปลาไหลใส่สะเก็ตวิ่งบนลานน้ำแข็ง?,รวมทั้งการที่ยังเห็นนิยายตำนานศรีธนญชัย?เป็นเรื่องมุมบวก?(ที่น่าชื่นชม,น่าเอ็นดู),ที่อาจมีบางคนยกย่องว่า..เป็นบุคคลที่ฉลาดมาก(?)จนนำไปเป็นต้นแบบ(ไอด้อล)เพื่อเจริญรอยตาม?ได้อีกด้วย(?).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.112 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:13:47:26 น.
(ทัศนะของหญิงและชายที่มักไม่ลงตัว).. (1)เราได้ดูข่าวชาย-หญิงบางคู่ที่คบหากันผ่านเฟซบุ๊ค(ชายอายุมากกว่าหญิงราว8-9ปี)..
[ซึ่งโดยทั่วไป..จากการสังเกต,จะหาผู้หญิงอายุน้อย,หน้าตาดีที่จะรักอย่างจริงใจกับผู้ชายที่อายุมากกว่ากันมากๆได้ยากยิ่งนัก.. เพราะหญิงนั้นเปรียบเหมือนนางแมว?,ที่ผู้ชายจะหวังควบคุมให้จิตใจเธออยู่แต่กับเรา?ได้ยากนัก(?).. โดยเฉพาะสมัยนี้,ยิ่งมียาคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์,ยิ่งทำให้หญิงบางคน?อาจคิดว่า..อย่างน้อยก็ได้ค่าสินสอดก้อนโต?เพื่อทดแทนพระคุณให้กับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา(?).. และมักคิดต่ออีกว่า..ถ้าอยู่กันไม่ได้จริงๆ,ก็ค่อยขอเลิกทีหลัง(?).. เพราะสรีระร่างกายก็ไม่ได้บอบช้ำ,สึกหรอ?อะไรมากมาย(?)..ประมาณนั้น?].. แต่พอแต่งงานกันได้เพียงไม่กี่วัน?(ราว4-5วัน)ก็กลับต้องมีเหตุชวนกันเลิก?,ท้ากันเลิก?,จนถึงขั้นฟ้องร้องกันเป็นคดีความ?ซะอย่างงั้น(?).. [เพราะผู้ชายดี,มีระเบียบมักจะอยู่กับผู้หญิงยุคนี้?ได้ยาก(?).. ดังที่เคยได้ยินเขาพูดกันมาว่า..ผู้หญิงมักชอบผู้ชายเลว,เพราะมันเร้าใจและท้าทาย?,ส่วนผู้ชายที่ดี,มีศีลธรรมนั้นมันจืดชืด?,ทำให้ชีวิตคู่ไม่สนุก?(เพราะผู้หญิงบางส่วน?หรือส่วนมาก?มักติดสนุก?..นั่นเอง?)..อย่างที่มักได้ยินเธอมักหาข้ออ้าง?ว่า..เพราะผู้ชายนั้นดีเกินไป?,เธอจึงต้องเลิก?..นั่นแหละ?].. โดย: สมจิต IP: 27.145.114.194 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:18:34:38 น.
(2)เพราะผู้ชายสู้อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ,เพื่อจะจัดงานแต่งงานให้เป็นเกียรติแก่ฝ่ายหญิง.. ซึ่งเกียรติจากการได้จัดงานแต่งงานที่หญิงทุกคนต้องการมักเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ชายต้องสาละวน,ลำบากยาวนานไปอีกหลายปี(?)..,
แต่เรามองว่า..ถ้ารักกันจริงแค่จดทะเบียนสมรสหรือผูกข้อต่อแขนเล็กๆน้อยๆพอเป็นที่รับรู้ทั้งญาติฝ่ายชายและญาติฝ่ายหญิงก็น่าจะเพียงพอแล้ว.. การจัดงานใหญ่โตเพื่อให้มีหน้ามีตา,แล้วมีหนี้สินตามมาพะรุงพะรัง,ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าจะทำให้อยู่กันยืด?,แต่หลายครั้ง,หลายคู่,การจัดงานแต่งงานใหญ่โต,และมีค่าใช้จ่ายสูง?กับเป็นสาเหตุเบื้องต้นแห่งการชวนทะเลาะเบาะแว้ง?,และที่สุดต้องเลิกร้างกันไป?เสียมากกว่า(?)..นั่นต่างหาก(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.114.226 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:19:02:56 น.
(3)หญิงหลายคนมักชอบทดสอบความใจถึงพึ่งได้ของชายคนรักด้วยการแสร้งงอนนั่น,นี่(ซึ่งบางครั้งกลายเป็นงอนเป็นพิษ?,หรือการลองใจเล่นๆกลายเป็นพิษ?ก็มีอยู่บ่อยๆ)..
หลายครั้ง..ผู้ชายที่อยากได้ผู้หญิงมากๆก็อาจจะทำแสร้งโง่,ไม่รู้ทัน,ยอมๆไปเท่านั้น,แต่ไม่ใช่เขาจะไม่รู้ทันความคิดของเธอ,และไม่นึกหวาดระแวงเธอหรอกนะ(?).. ส่วนผู้หญิงบางคน?ก็มักมีระบบคิดลวกๆ(ตัดสินผู้ชายแบบง่ายๆ)ว่า.. ถ้าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้?เธอ(ผู้ชาย)ก็ยังไม่ผ่านๆไป(เช่นเรื่องเงิน,ทองนั่น,นี่),แล้วเธอจะดูแลฉันไปตลอดชีวิตได้อย่างไร?(และหญิงเหล่านี้?มักประสบชะตากรรม?,ที่อาจต้องไปเจอผู้ชายเลวสมใจ?ในที่สุด?).. ซึ่งทัศนะอย่างนี้เป็นทัศนะที่ผิด?,เป็นทัศนะที่เอาเปรียบ?,เห็นแก่ตัว?,หวังได้แต่ประโยชน์แก่ตัวถ่ายเดียว?,เพราะให้ราคาตัวเองสูง?อย่างที่เขาพูดกันประมาณว่า.. ผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่รวย,ไม่ฉลาด,และใจป้ำ,ชอบเปย์เรี่ยราด?..นั่นแหละ(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.114.226 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:21:16:29 น.
(4)นี่แหละ..คือเรื่องทัศนะระหว่างหญิงและชายที่มักคิดกันคนละอย่าง.. ส่วนทัศนะของเรา,เรามองว่า.. ผู้ชายที่เขามีระเบียบสูง,ตรงไปตรงมานั้น.. ถ้าเราเป็นหญิงเราจะเลือกผู้ชายเช่นนั้น,เพราะเขาเป็นคนรอบคอบ,พึ่งพาได้ในยามคับขัน,และในชีวิตภายภาคหน้า(ซึ่งเขามักชอบ"เคลียร์เรื่องการเงิน"ไม่ให้สับสน,แม้จะดูจุกจิก,วุ่นวายบ้าง)..
แต่ตามประสบการณ์ของเรา.. เราพบว่าหญิงโดยมาก?มักไม่ชอบผู้ชายที่มีหลักวิธีการครองชีวิตที่ดี?(แต่กลับมักชอบผู้ชายNgoๆ?ที่ยอมเสียเปรียบให้กับเธอเสมอ,เหมือนคำพังเพยที่ว่าพ่อแม่รังแกฉัน?นั่นแหละ?).. ซึ่งหญิงบางส่วนมักจะชอบผู้ชายลวกๆ,สะเพร่า,หละหลวม?,เพราะเธอไม่ต้องการถูกตรวจสอบเรื่องเงินๆทองๆ..เพราะหญิงมักมีเรื่องที่เป็นเรื่องหยุมหยิม?,เยอะแยะ?อยู่มาก,ที่มักไม่ต้องการให้ผู้ชายมาร่วมรับรู้.. เพราะหญิงก็รู้นัยๆว่า.. ค่าใช้จ่ายของหญิงบางเรื่องเป็นเรื่องที่ผู้ชายมักไม่ค่อยเข้าใจ,และบางเรื่องผู้ชายอาจรับไม่ได้เลย,เพราะมองว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย.. เช่น..จะแต่งให้เลิศหรูไปทำไมกันนัก?,ก็นี่มีสามีแล้วนี่?,จะต้องสิ้นเปลืองค่าแต่งตัว,ค่าเสริมสวยนั่น,นี่?เพื่อจะไปยั่วยวนชายใด?อีก?..ประมาณนั้น(?)..แต่ควรเก็บเงินไว้เผื่ออนาคตดีกว่ามั้ย(?)..ประมาณนั้น(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.114.226 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:21:45:04 น.
(5)เพราะหญิงยุคนี้(บางส่วน)เธอมักนิยมมีแฟนแค่คบกันไปก่อน?,แต่ไม่ต้องการมีสามี?(ผัว)แบบเป็นตัวเป็นตน?ที่ต้องผูกมัด,ควบคุมกัน?อยู่ตลอดเวลา(?)..
เพราะเธอจะรู้สึกว่า.. เธอไม่มีอิสระ(?),จะคุยกับผู้ชายอื่น?ในฐานะเพื่อน?เพื่อให้รู้สึกมีชีวิตชีวา?,และได้บริหารเสน่ห์?(เพื่อความกระหยิ่ม,ครึ้มใจ?)บ้าง?,ก็กลัวผู้ชายที่ผูกมัดกัน?นั้นจะคอยตามหึงหวง?,ดูน่ารำคาญ?..ประมาณนั้น(?).. แต่ถ้าวันใด..ที่เธออาจเผลอไม่ได้ควบคุม?,และรู้ว่าเมนไม่มา?,และกำลังตั้งครรภ์?,เมื่อนั้นแหละ(?)..ที่เธอจึงจะเริ่มคิดอยากแต่งงาน?จริงๆจังๆ?,และต้องการมีคู่สามีเป็นกิจจะลักษณะ?ขึ้นมาละ?,เพื่อจะได้แสดงออกต่อสังคม?ในยามเธอตั้งครรภ์?..นั่นเอง(?).. และอีกกรณี.. คือเมื่อเธอเริ่มส่องกระจก?,แล้วเห็นริ้วรอยที่หางตา?,หรือเริ่มมีสีเทาๆแซมอยู่ที่ผมของเธอ?(เหมือนรู้ว่าดอกกุหลาบเริ่มหมดอายุ?),เธอจึงจะเริ่มได้คิดว่า..คงจะต้องหยุดอยู่ที่ใครสักคน?(เพื่อให้มารองรับตัวเธอ?เมื่อถึงวัยยามอาทิตย์อัสดง?)แล้วล่ะ(?)..ประมาณนั้น(?).. สรุปว่า..หญิง?(บางส่วน)มักฉลาดที่จะไขว่คว้าหาประโยชน์ต่างๆ?มาสู่ตน(?)..(ตามวาระแห่งวัย?ที่เคลื่อนไป?).. ส่วนผู้ชาย?(บางส่วน)ก็มักไม่ค่อยฉลาด?(Ngo?)ที่มักคาดหวังความจริงใจ?จากเพศหญิง?(เหมือนเรื่องจินตนาการเพ้อฝัน?ในนิยายหรือละครหลังข่าว?),ที่ต้องการได้เธอมาครอบครองเป็นภรรยา?แบบรักเดียว,ใจเดียว?,ภักดีต่อสามีเดียวตลอดไป?.. ดังนั้น..อยากบอกผู้ชายไทยทั้งหลาย?ว่า.. ถ้ายังคิดหวังที่จะได้หญิงอายุน้อย,ที่หน้าตาดี?ที่มีใจเที่ยงแท้ที่จะอยู่กับคุณไปตลอด?.. นั่นคือ..คุณกำลังคิดผิด(เสีย)แล้ว?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.114.226 วันที่: 25 มีนาคม 2567 เวลา:23:50:37 น.
(พิเศษด่วน).. ไล้ฟ์สด(11.00น.)ขณะนี้.. คุณ....เปิดเผยเส้นเงิน?ของบุคคลสำคัญบางคน,และบอกว่า..ตนเองไม่ใช่คนดีที่ไม่มีจุดเสียเลย..
ในทัศนะของเรา.. เราก็ว่าคุณ....เป็นคนกล้ามากคนหนึ่ง,ที่กล้าพูดว่าตนไม่ใช่คนดีเยี่ยมอะไร(?).. ซึ่งประชาชนคงพอรับได้ในระดับหนึ่ง(แม้รู้ว่าจะไม่ถึงกับเป็นคนที่ขาวบริสุทธิ์ก็ตาม).. แต่น่าชื่นชมตรงที่กล้าตอบคำถามผู้สื่อข่าว(ตัวตึง)แบบตรงๆ,โดยไม่มีการกั๊กข้อมูล?เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัวบางอย่าง?ใดๆเลย(?).. ซึ่งหายากมาก..สำหรับคนที่กล้าพูดอะไรตรงๆ,ทั้งๆที่รู้ว่าอาจมีผลกระทบมาถึงตนเองและครอบครัว.. เราขอสดุดีวีรกรรมของคุณ....(เฉพาะ)ในครั้งนี้(?),และหวังว่าจะมีโอกาสได้ชื่นชมความกล้าหาญของคุณ....ในครั้งต่อๆไปด้วย.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.106 วันที่: 26 มีนาคม 2567 เวลา:12:38:27 น.
(พิเศษจากข่าวพธม.ถูกยกฟ้อง).. เคยได้ยินตัวแทนบางฝ่าย(บางท่าน)ซึ่งดูเป็นผู้กระทำการเมืองแบบรูปทรงเรขาคณิต(มักพูดแบบมีHidden),ชอบพูดประมาณว่า..ถ้าไม่หนุนแดง(คนสำคัญ),แล้วจะให้ใครมาสู้กับกุ๊กไก่(?)[ซึ่งเป็นการปลุกกระแสที่อาจทำให้สับสนว่าท่านยึดหลักการอะไร?.. เพราะโดยธรรมชาติ..ดีกับไม่ดีจะมาสนับสนุนอีกฝ่ายได้อย่างไร?.. เพราะน้ำยอมไม่อาจรวมตัวกับน้ำมัน?ได้อย่างสนิทเนียนเป็นแน่แท้?..ใช่หรือไม่?]..ประมาณนั้น(?).. ซึ่งทำให้ส้มอาจรอดและเฟื่องฟูได้(?)..
และยังเคยมีกระแสในโซเชี่ยล,บางคนพูดประมาณว่า.. อาจต้องใช้แดง+เหลืองเพื่อปิดทางส้ม?.. แต่เรากลับคิดใหม่(แบบเรา)ว่า..ในเมื่อพธม.(ตัวแทนเหลือง,ซึ่งวันนี้ถูกยกฟ้องคดีปิดสนามบิน)และกุ๊กไก่(ตัวแทนส้ม)ก็ถูกคดีต่างๆมากมายไม่ต่างกัน(?)(ซึ่งทั้ง2ฝ่ายต่างเห็นว่าฝ่ายตนต้องคดีที่ไม่เป็นธรรม?,ก็เท่ากับเป็นผู้ถูกกระทำ?จากกระบวนยธ.(บางช่วงน้ำ)ไม่ต่างกัน(?).. ก็อย่ากระนั้นเลย,ทำไมไม่มาร่วมกันปรับปรุงประเทศไทย(เหมือนเช่นที่จตุพรจับมือกับนกเขาเพื่อหลอมรวมประชาชนนั่นไง?)..นั่นเล่า?.. ทำไมไม่พลิกความคิดเสียใหม่(เปิดรับฟังคนรุ่นใหม่แบบส้ม)ประสานไมตรีกัน,เปลี่ยนเป็นเหลือง+ส้มช่วยกันขย่มแดง(ซึ่งบางกลุ่ม?เคยมีเรื่องฟ้องร้องกรณีคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย?,และประโยชน์ทับซ้อน?มาโดยตลอดในอดีต(?).. ซึ่งไม่ว่าทั้งเหลืองและส้มก็ไม่อาจยอมรับได้..ตรงกัน?).. อย่างนี้น่าจะดีกว่ามั้ย?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.106 วันที่: 29 มีนาคม 2567 เวลา:19:18:05 น.
(พิเศษสุด.. ได้ดูรายการโชว์ข่าวเช้านี้PPTV,31-3-67)..
ขอชื่นชมความกล้าหาญของคุณ.....ที่นำคลิปการสั่งการเก็บส่วยออกมาเปิดเผย..(เพราะขยะควรเก็บกวาด,และสิ่งหมักหมมควรนำออกมาผึ่งให้แห้ง,เพื่อให้ปราศจากเชื้อโรค).. สมัยก่อนจะมีคำว่า..หน้าต่างมีหู,ประตูมีตา(เป็นการเตือนให้ผู้กระทำการในที่ลับ?พึงระวังให้มาก,แม้บางเรื่องที่เป็นเรื่องชอบธรรมระหว่างคู่ผัวเมียในเรื่องทางเพศก็ยังต้องระวังเช่นเดียวกัน..ประมาณนั้น).. แต่เดี๋ยวนี้คือ..หน้าต่างมีกล้อง,ท้องฟ้ามีโดรน,ในเน็ตมีดิจิตั้ลฟุตปริ๊นซ์(+กูเกิ้ลแม็ป,หรือแผนที่ดาวเทียม)ที่คอยจับความเป็นไปในโลกแทบทุกตารางนิ้วก็ว่าได้.. นึกขอบคุณเทคโนโลยี่สื่อสารที่มีทั้งคุณและโทษในเวลาเดียวกัน..(แต่มองดูแล้วก็น่าจะมีส่วนที่เป็นคุณต่อการกำกับ,ควบคุมสังคมให้อยู่ในครรลองที่ดีงามตามหลักศีลธรรมอยู่มิใช่น้อย).. ดังนั้น..คนที่คิดเป็นน่าจะต้องกลับสู่ทางเกวียนสายเก่า..คือ..เรื่องใดเป็นเรื่องลับส่วนตัว(ที่ไม่ต้องการให้สาธารณะรับรู้)ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้ระบบมือถือหรือออนไลน์ต่างๆ,แต่ควรต้องไปพบหาคุยกันเป็นส่วนตัวน่าจะดีกว่า(?)..หรือไม่?.. และถ้าจะให้ดี,ก็ต้องมีเครื่องตัดสัญญาณการอัดเสียงผ่านระบบโทรศัพท์มือถือที่บางฝ่ายอาจแอบอัดเอาไว้ด้วย(เช่น..กรณีนักร้อง?อย่างคุณศ.ก็เคยโดนมาแล้ว.. เป็นต้น).. แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด.. อยากบอกเป็นกลางๆว่า.. ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม.. ก็ขอว่าให้ยุติเถอะ,เลิกเถอะ..ในการทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมใดๆทั้งปวง(?)(เช่น..การพบปะพูดคุยในเรื่องดีลต่างๆ?,เพราะอย่างน้อยคนที่ตกลงดีลกับคุณ?นั่นแหละ..ที่เขาจะรู้ว่า..คุณที่เขาตกลงด้วย?นั้น..ที่แท้เป็นคนเช่นไร?).. เพราะคุณจะได้ไม่ต้องกลัวว่า..แม้จะมีใครแอบอัดเสียงคุณไว้?,ก็จะมีแต่คำพูดของคุณที่บริสุทธิ์อยู่ในครรลองที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมที่ดีทั้งนั้น..เท่านั้น,ซึ่งไม่มีใครจะนำเอาไปเป็นแง่เงื่อนเพื่อฟ้องร้อง,จับผิด?ต่อคุณๆทั้งหลายได้.. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.4 วันที่: 31 มีนาคม 2567 เวลา:10:32:58 น.
(ข้อคิดพิเศษเร่งด่วน)..
เมืองไทยคือเมืองพุทธ.. ควรให้เกียรติและเอื้อต่อหลักศาสนาพุทธที่ถือว่า.. อบายมุขการพนันคือทางแห่งความเสื่อม(โจรปล้น10ครั้งไม่เสียหายเท่ากับไฟไหม้1ครั้ง,ไฟไหม้10ครั้งไม่ฉิบหายเท่ากับการเข้าบ่อนพนันเพียง1ครั้ง).. ฉะนั้น.. ทุกภาคส่วนของสังคมต้องอย่าส่งสัญญาณผิด?เรื่องการพยายามจะมีการพนันที่ถูกกฎหมาย?,ไม่ว่าจะอ้างเรื่องเศรษฐกิจใดๆ?ก็ตาม(?).. (นี่เป็นเหตุที่เราอยากให้มีการออกกฎหมายห้ามนักธุรกิจใหญ่ๆมาเล่นการเมือง,เพราะโดยมากนักธุรกิจก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเรื่องธุรกิจที่ตนมีส่วนสัมพันธ์ร่วมด้วย?ไม่ว่าทางตรง?หรือทางอ้อม?อยู่แล้ว,โดยไม่นึกถึงภาพใหญ่ของสังคม?ที่อาจถูกทำลายถึงก้นบึ้งของDNA?,เพียงเพราะข้ออ้างเรื่องเงินๆทองๆ?หรือเรื่องทางเศรษฐกิจ?เท่านั้น).. หรือถ้าจะใช้ตรรกะว่า.. การพนันห้ามไม่ได้สำหรับสังคมไทย,หรือจริงๆเพราะคุณไม่ตั้งใจรณรงค์ให้ประชากรยึดในหลักการของศาสนา?(มากกว่า?)หรือไม่?,จึงต้องปล่อยไปตามกระแสโลก?ที่มักอ้างว่า..ประเทศใดๆก็มีเรื่องการพนันที่ถูกกฎหมาย?กันทั้งนั้น(?)..ไม่ต่างกัน(?).. ถ้างั้น..ก็ต้องตั้งคำถามว่า.. ถ้าเช่นนั้น.. ก็ยกเลิกกฎหมายเรื่องการเสพยาเสพติด?และการขายยาเสพติด?(ทุกๆชนิด?)เลยดีหรือไม่?.. เพราะยาเสพติดก็ห้ามไม่ได้สำหรับสังคมไทย?..เช่นเดียวกัน(?).. หรือแม้การโกง,คอร์รัปชั่น?ก็ห้ามไม่ได้สำหรับสังคมไทย?,ถ้างั้นก็ควรปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่น?กันโดยอิสระไปเลย(?)..อย่างนั้นหรือไม่?.. ถามว่า..ตรรกะความคิดเช่นนี้?..ถูกต้องหรือไม่?.. เพราะตามหลักการของพุทธ.. การเล่นพนันคืออบายมุขตัวร้าย?ที่ไม่เคยทำให้ใครมีความเจริญทั้งทางด้านวัตถุ,และทางด้านจิตใจ,จิตวิญญาณอย่างแท้จริง(?).. เท่ากับเป็นการส่งเสริมความคิดแบบมักง่าย,ที่ต้องการได้เงินมาแบบง่ายๆ(โดยใช้เงินต่อเงิน,อยู่แบบสบายๆในที่ร่ม,ไม่ต้องออกแดด),ซึ่งถ้าเกิดกับเพศหญิง(บางส่วน)ก็อาจนำไปสู่การค้าประเวณี?,เพราะต้องการทรัพย์มาเพื่อใช้เล่นการพนันในที่สุด(?).. และยังทำให้ผลระยะยาวคือ..สถาบันครอบครัวไทยล่มสลาย?อีกด้วย(?)..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.73.190 วันที่: 1 เมษายน 2567 เวลา:1:03:42 น.
(หลักการสำคัญของศาสนาพุทธ)..
อบายมุข 6 ได้แก่ 1. ติดสุราและของมึนเมา 2. ชอบเที่ยวกลางคืน 3. ชอบเที่ยวดูการละเล่น 4. ติดการพนัน 5. คบคนชั่วเป็นมิตร 6. เกียจคร้านการงาน โดย: สมจิต IP: 27.145.113.137 วันที่: 5 เมษายน 2567 เวลา:14:58:14 น.
(ข้อคิด).. สังคมไทยต้องการคนกล้าหาญ.. เช่น แบบชาวบ้านบางระจัน พันท้ายนรสิงห์ พระยาพิชัยดาบหัก คุณหญิงโม ท้าวศรีสุริโยทัย และศรีปราชญ์ ฯลฯ..
ดังนั้น.. สื่อมวลชนบางส่วนไม่ควรถามผู้ที่ให้ข่าวและเป็นข่าวด้วยคำถามทำนองว่า..กลัวมั้ยว่าจะเกิดอันตรายนั่นนี่กับตัวเอง?(ซึ่งเข้าใจว่า..อาจเป็นเพราะสื่อมวลชนบางส่วน,บางคนอาจหาประเด็นถามไม่ได้?..หรืออย่างไร?).. และถ้าเกิดเขาคิดตามคำถามของคุณและเกิดความกลัวนั่นนี่ขึ้นมาและงดให้ข่าวกับคุณ.. แล้วคุณจะได้ข่าวที่เป็นสาระสำคัญ?ที่ต้องการรู้?มั้ย?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.137 วันที่: 5 เมษายน 2567 เวลา:15:13:34 น.
ชมรายการของคุณจตุพร(5-4-67).. ตอนควันหลง.. สรุปส่วนตัวได้ว่า..
จตุพร..คำพูดอันทรงพลังที่คนที่เคยสนิทไม่กล้าฟ้องร้อง?.. สมัยหนึ่ง.. เคยมีคำพูดที่ว่า..ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ.. มาอีกช่วงหนึ่ง.. มีคำพูดที่ว่า..จะอดน้ำและอาหาร,จนกว่าจะชนะหรือจนตาย?.. แต่เราอยากจะสรุปซ้ำเพิ่มเติมอีกว่า.. ไม่ว่าจะกรณีใด(?).. รวมทั้งในการศึกสงครามต่อศัตรูของประเทศก็ตาม.. ความชัดเจนมีอยู่กรณีเดียว.. คือ.. เสียคำพูด?..คือเสียคน?..เท่านั้น(?).. เท่านั้นจริงๆ(?).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.137 วันที่: 5 เมษายน 2567 เวลา:21:32:38 น.
(A)ดูรายการโหนฯ(5-4-67)เรื่องสาวตัวปลอม.. เราวิเคราะห์ดังนี้..
1.สุรา,ยาเสพติดถ้าไม่พยายามระงับยับยั้งให้ลดน้อย, อาจทำให้สังคมไทยสับสนไปจนถึงระดับการถ่ายทอดสู่ระบบDNAของเผ่าพันธุ์คนไทยได้เลยทีเดียวนะ..เราว่า(?).. 2.จะสังเกตว่า.. ทุกวันนี้มีคนเป็นโรคจิตสับสน?ในสังคมไทยเพิ่มขึ้นมาก.. เช่น.. ตัดศีรษะมารดาหิ้วติดมือ(ตามข่าว).. เป็นต้น.. 3.เทคโนโลยี่ความเจริญสมัยใหม่ทำให้คนดิ้นรนเพื่อแสวงหาความถูกต้องเป็นธรรมสำหรับตัวเองมากเป็นพิเศษ,อันเกิดขึ้นเนื่องจากการสวมรอยเป็นคนอื่นทำได้ง่ายเกินไป?.. หรือไม่?.. 4.เป็นเรื่องที่มีจริงที่อาจมีคนบางคนที่นิยมตัดความยุ่งยาก,โดยการยอมรับว่าตนผิดเอง?(เพราะไม่อดทนที่จะคุยกับอีกฝ่าย,จนกว่าจะกระจ่าง),เพราะบางเรื่องอาจมีความซับซ้อนแบบซ้อนไปซ้อนมา?,จนอาจถูกมองแบบเหมารวมว่า..เป็นเรื่องแผนการที่ไม่ดีของบางฝ่าย?,ซึ่งบางจุดเรามองว่า..อาจเป็นเรื่องของความไม่เจตนาหรือเจตนาดีที่จะช่วยทำบางเรื่องให้จบๆไปก็เป็นได้?..หรือไม่?.. 5.เท่าที่สังเกตการพูด,เสียงที่ต่อเนื่อง,ไม่ตะกุกตะกัก.. เราก็มองไม่เห็นจริตที่ไม่ปกติ?ของบางฝ่ายนะ,แต่ดูจะอธิบายถึงเหตุผลที่ไปทำบางอย่างได้ไม่คล่องนัก..(หรืออีกที.. มนุษย์อาจมีความสับสนบางอย่างในตัวเอง,จนต้องทำเรื่องที่ซับซ้อนไปมาจนน่าเวียนหัวเช่นนั้น,ดังที่วิเคราะห์ในข้อ1ก็เป็นได้?..หรือไม่?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.112.203 วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:2:21:41 น.
(B)6.ต้องยอมรับนะว่า..อาจมีบางคนที่เคยชินคิดลวกๆเพื่อความสะดวกในการทำนิติกรรมบางอย่าง(เพราะเหตุอยู่กันคนละพื้นที่),โดยการเซ็นชื่อในเอกสารแทนคนในครอบครัว(เช่นลูกหรือพี่ๆน้องๆ),เพราะคิดว่า..เขาคงไม่มาฟ้องร้องกันในภายหลังหรอก(?)..
7.เรื่องเช่นนี้คงต้องใช้เวลาคุยกันให้กระจ่าง.. เวลาเพียงชั่วโมงในรายการ,อาจทำให้เรื่องบางเรื่องยังไม่สามารถทำความกระจ่างได้.. และอาจต้องมีนักจิตวิทยาสาขาการสื่อสารมาร่วมในการพูดจาสื่อสารกันด้วย.. เพราะฟังดูคล้ายมีบางฝ่ายพยายามบอกว่า..ที่ตนต้องไปลงชื่อเพื่อทำนิติกรรมบางอย่างแทน,เพราะมาจากการคิดว่า..อยากจะทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น(เนื่องจากมีการเปลี่ยนชื่อของทุกฝ่าย,หลายรอบและยังมีการแฮ็กเฟ้ซอีกด้วย),หรือต้องการช่วยเคลียร์ให้กับอีกฝ่ายที่เป็นญาติห่างๆกันด้วย(ซึ่งอาจยังต้องซักถามบางจุด?เพิ่มขึ้น,แต่ก็ต้องให้เวลาในการตอบคำถาม?มากขึ้นด้วย).. 8.ควรต้องมีการสืบค้นความจริงอย่างละเอียด,เพราะไม่เช่นนั้น..อาจมีการคิดตัดบท?ของบางฝ่ายแบบยอมรับผิดเสียเอง,เพื่อตัดความยุ่งยากอีกครั้งหรืออีกหลายครั้งก็เป็นได้(?).. 9.แพล็ตฟอร์มในเน็ตมักมีลักษณะที่สามารถแฮ็กเพื่อไปสวมรอยเป็นคนนั้น,คนนี้ได้โดยไม่ยากนัก.. จึงต้องระวังและทางการต้องช่วยเข้ามาจัดการในช่องว่าง,ช่องทาง?ในการทำข้อมูลเท็จ?,หรือโพรไฟล์ที่บิดเบี้ยว?ที่มีลักษณะสวมรอยเป็นบุคคลอื่น?เหล่านี้ด้วย.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.112.203 วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:2:27:35 น.
ชมรายการมีเรื่องมาเคลียร์,6-4-67,ตอนหมอวาโย+ทนายแจม.. เราเองมีความเห็นดังนี้..
พรรคการเมืองเป็นเรื่องของนามธรรมและอุดมการณ์.. เราจึงเห็นว่า..ไม่ควรมีกฎหมายยุบพรรค(หรืออาจขอให้งดใช้กฎหมายมาตรานี้ไปก่อน).. ใครทำผิดก็ให้ลงโทษเป็นรายบุคคล.. เพราะพรรคการเมืองทุกพรรค.. เจ้าของคือประชาชน.. ถ้าพรรคการเมืองใด?ที่ทำไม่ดี,นโยบายใช้ไม่ได้.. อยากบอกว่า..ประชาชนทุกวันนี้เขาฉลาดมากแล้ว.. ให้เขาตัดสินชะตากรรมของพรรคของพวกเขา,และ/หรือให้พวกเขาเป็นผู้ตกลงยุบพรรคของพวกเขาด้วยตัวพวกเขากันเอง.. อย่างนี้น่าจะดีกว่ามั้ย?.. สำหรับบริบทประเทศไทย..(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.112.203 วันที่: 6 เมษายน 2567 เวลา:22:09:20 น.
ดูรายการเรื่องเล่าฯ7-4-67ช่วงข่าวต่างประเทศ..มีความเห็นดังนี้ครับ..
(ข้อคิดจากการดูข่าว..เป็นแค่การคาดเดา.. แต่เราไม่ได้ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงนะ?).. 1.นาฬิกายี่ห้อล้อเหล็ก?(ชื่อแฝง).. อาจเป็นข้อสังเกตต้นทางของการทุจริตคอร์รัปชั่น,ติด(ให้)สินบนของนักการเมือง(บางส่วน)ทั่วโลก(?).. 2.พระเครื่องไทย(บางรุ่น).. อาจเป็นข้อสังเกตต้นทางของเทคนิคการคอร์รัปชั่น,ติด(ให้)สินบน(แบบแฝงเร้น)ในสังคมไทย?..(หรือไม่?).. 3.รถหรูบางรุ่น?อาจถูกใช้เพื่อบอกว่าจะให้พูด?หรือไม่ให้พูดบางเรื่อง?ในสังคมไทย?..ก็เป็นได้?..(หรือไม่?) 4.การขายทรัพย์สินบางอย่างที่ได้ราคาแพงเกินจริง?.. อาจเป็นข้อสังเกตต้นทางของการคอร์รัปชั่นที่แยบยลที่สุด?ก็เป็นได้?..(หรือไม่?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 7 เมษายน 2567 เวลา:13:55:15 น.
(A)ความยุติธรรมที่ล่าช้า..คือความอยุติธรรม("Justice delayed is justice denied" )..(ประชาชนไทยทุกภาคส่วน..ควรท่องภาษิตนี้ให้ขึ้นใจในทุกๆวัน)..
สังคมไทยไม่ตระหนักถึงประโยชน์ชาติในภาพรวม(มักคิดแบบตัวใครตัวมัน?).. เราไม่เห็นด้วยกับการให้นักธุรกิจ(บางส่วน)ที่รวยมากๆมาลงเล่นการเมือง?(รวมถึงญาติของนักธุรกิจนั้นๆ?ที่เกี่ยวพันกันด้วย?).. แต่เราเห็นด้วยว่า..หลักคิดของระบบข้าราชการทั้ง(ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง)ควรเอาหลักวิธีบริหารบุคคลด้วยความรวดเร็วแบบนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจมาปรับใช้กับระบบทางการเมืองและทางราชการไทยด้วย.. เพราะระบบทางราชการและการเมืองจะทำอะไรก็มีแต่ต้องตั้งคณะกรรมการและมีหน่วยงานต่างๆที่ซับซ้อน,ซ้ำซ้อน(จนอาจต้องคอยหรี่ตามองซึ่งกันและกัน,เพื่อไม่ให้ข้อสรุปออกมาขัดแย้งกันเอง?)อยู่มากมายหลายคณะ?,ทำให้เป็นเรื่องที่เสียเวลารอนั่น,นี่..(เช่น..รอการสรุปตัดสินอย่างเนิ่นนาน)อยู่มากมาย(?)..(ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลาถึง3ปีก็ยังได้).. โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:13:33:50 น.
(B)ซึ่งถ้าเอาแนวคิดการบริหารบุคคลแบบบริษัทหรือแบบนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาใช้,ซึ่งเรารับรองว่า..ผู้บริหารใหญ่ของบริษัทเขาจะสามารถตัดสินเค้สที่มีปัญหาขัดแย้งต่างๆในบริษัทที่เขาเป็นCEOได้โดยไม่ยาก,ซึ่งบางกรณีอาจใช้เวลาตัดสินใจสั่งการ,โยกย้าย,หรือให้ออกโดยใช้เวลาคิดและไตร่ตรอง?เพียง15นาทีเท่านั้น..ก็อาจทำได้(?)..
เพราะเขาต้องคิดถึงผลกำไรของบริษัทเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายของทั้งค่าจ้างพนักงานและค่าอื่นๆเพื่อให้บริษัทสามารถเคลื่อนต่อไปได้.. ซึ่งถ้าต้องมาเสียเวลาตั้งคณะกรรมการนั่น,นี่โดยต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆหรือเป็นปี,ซึ่งต้องมี(เสีย)ค่าป่วยการเป็นเงินจำนวนมาก,เราเชื่อว่า..บริษัทนั้นๆย่อมจะไม่สามารถบริหารตัวเอง,หรือดำเนินกิจการต่อไปได้แน่ๆ(?)( =บริษัทต้องขาดทุน,เลิกกิจการแน่ๆ).. โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:13:45:37 น.
(C)แต่สังคมไทยมักไม่คิดเรื่องนี้ในแบบนักธุรกิจคนจีน[เพราะฉะนั้น..คนจีนเขาคิดได้ลึกซึ้ง..เขาจึงร่ำรวยไงล่ะ(?).. เพราะคนจีนมักมีคติว่า..เป็นความกัน..ยิ่งนานยิ่งล่มจม?..นั่นไง?.. เขาจึงเลือกยอมเสียเล็กน้อย?เพื่อจบเรื่องให้เร็วที่สุด?.. แต่ค่านิยมสังคมไทยนั้น.. ต้องยอมรับว่า..สังคมไทยติดละครหลังข่าว,จึงมักมาคอยดูละครอย่างต่อเนื่อง?,เพื่อตามลุ้นว่า..ฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ?ในที่สุด(?)..ประมาณนั้น(?).. ซึ่งประเทศจึงไม่เจริญ,เพราะเป็นการเสียเศรษฐกิจ?กับการเสียเวลาในการตามลุ้นดูละครตอนจบ?อย่างมากมาย(?)..นั่นไง?]..
จึงมักไม่ได้คิดห่วงใย,เดือดร้อน?กับการเยิ่นเย้อ,เสียค่าใช้จ่าย,เสียเวลามากมาย?กับการสรุป,ตัดสินปัญหาต่างๆ?.. เพราะอาจคิดแต่ว่า..ค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นของทางรัฐ?,เราเลยไม่ต้องเดือดร้อนอะไร?..(เพราะไม่ใช่เป็นเงินของบริษัทที่ตัวเองเป็นเจ้าของกิจการอยู่?),ซึ่งจริงๆ..ทางรัฐเขาก็ได้เงินค่าใช้จ่ายมากมาย?มาจากการเก็บภาษีราษฎรโดยรวม?..นั่นเอง..(จึงที่สุด..ประชาชนทุกคนจึงต้องเดือดร้อน,ยากจนกันถ้วนหน้า?ดังที่เห็น?..ไปโดยปริยาย?..นั่นเอง?).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:14:03:02 น.
ชมรายการเที่ยงวันฯ,ช่อง3,10-4-67ตอนสุดเสื่อมเด็กหญิง11ถูกครูชายล่วงละเมิด.. เรามีความเห็นดังนี้..
ก็เราบอกอยู่เรื่อยๆแล้วไงว่า.. สังคมไทยมันเสื่อมมากแล้ว,ศีลธรรมก็กู้ไม่ไหว,ไม่เห็นพระหรือครูสอนเรื่องศีลข้อ3กันเลย.. เราก็เลยเสนออยู่หลายครั้งแล้วว่า.. ให้โรงเรียนทั่วประเทศแยกเป็นโรงเรียนแยกหญิง,แยกชาย..ซะ(?)..(ขอถามผู้ปกครองทั้งหลายว่า..คุณไม่คิดห่วงลูกหลานของคุณว่าจะเสียอนาคต,ซึมเศร้า,เพราะถูกล่วงละเมิดทางเพศ?ดอกหรือ?).. โรงเรียนหญิงก็ให้มีครูรวมทั้งภารโรง,รปภ.เป็นผู้หญิงทั้งหมด.. ส่วนโรงเรียนชายก็ให้มีครูรวมทั้งภารโรงและรปภ.เป็นผู้ชายทั้งหมด..นั่นไง?.. จึงจะช่วยลดปัญหาเรื่องทางเพศระหว่างชาย-หญิง?ลงได้บ้างบางส่วน..นั่นไง?.. ...ด้วยความเคารพทุกท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:17:05:33 น.
(ข้อสังเกตเพิ่มเติม)..
นโยบายทางรัฐมักส่งเสริมให้เด็กดื่มนมวัว,ซึ่งทำให้ร่างกายโตเร็ว?และฮอร์โมนทางเพศผลิตเร็วขึ้น?,ซึ่งอาจมีผลที่ไม่พึงประสงค์?.. คือ..อาจกลายเป็นผลมุมลบกับเด็ก?(โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง)ซึ่งอาจเกิดการไปกระตุ้นสัญชาตญาณทางเพศโดยธรรมชาติ?ที่อยากรู้,อยากลอง?ด้วย(?)ก็เป็นได้?..หรือไม่?..(รวมทั้งเทคโนโลยี่มือถือ?ซึ่งช่วยเร่งเร้าให้เกิดกระบวนการผิดประเวณีทางเพศ?กับคนใกล้ชิดต่างเพศ?ต่างๆง่ายขึ้นด้วย?).. แต่เรื่องการส่งเสริมให้เด็กได้รู้จักกับระบบสัญชาตญาณทางเพศ?ที่จะเกิดขึ้น,และการรู้จักควบคุม,จัดการ,หรือยับยั้งชั่งใจ?เมื่อยังไม่ถึงเวลาอันควรว่า..ควรจะจัดการกับความรู้สึกทางเพศ?อย่างไร?..นั้น..กลับไม่มีการอบรม,สั่งสอนกันอย่างเข้มข้น,จริงจัง,อย่างพิเศษ?.. จึงทำให้การพัฒนาการทางจิตใจ,อารมณ์(EQ),และทางศีลธรรม(MQ)วิ่งไม่ทันพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมอง(IQ)..นั่นไง?.. แต่ก็มีการถกเถียงกันว่า.. ถ้าลองเปลี่ยนมาใช้การส่งเสริมด้านน้ำนมถั่วเหลืองน่าจะช่วยทำให้การพัฒนาด้านฮอร์โมนเพศ?อยู่ในเกณฑ์ปกติในบริบทของความเป็นมนุษย์ที่มีจิตสำนึกทางศีลธรรมที่ดีกว่าการให้ดื่มน้ำนมวัว?(ซึ่งเป็นน้ำนมสำหรับลูกวัว?เท่านั้น?),ซึ่งน่าจะดีกว่ากันหรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 10 เมษายน 2567 เวลา:17:53:43 น.
ดูรายการช่องอัมรินทร์,11-4-67ตอนเปิดใจสามีถูกเมียคบชู้กับพระ.. มีความเห็นดังนี้ครับ..
สลด.. สังคมพุทธไทย(ไร้หลัก).. กามทางเพศทำให้เกิดความเสียหายทั้งเกียรติยศ,ชื่อเสียงและทรัพย์สินต่างๆมากมายเหลือคณานับ.. พุทธศาสนามีหลักเรื่องกาลามสูตรคือหลักการอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ.. แต่คนในระดับมีความรู้(บางส่วน),ระดับนักการเมือง(บางส่วน)ก็ยังหลงเชื่อ,งมงายกับคำพูด?,คำสอน?ที่มักอ้างเอาบริบทของคำสอนพุทธที่บิดเบี้ยว?มาเป็นข้ออ้างอิง.. เช่น.. เรื่องชาติปางก่อน?(พระพรหมลิขิต)ซึ่งพิสูจน์อะไรใดๆไม่ได้?..เป็นต้น.. อันเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งการหลอกลวงกัน?(หรืออาจสมยอมให้เขาหลอก?,เพราะอาจมีความพึงพอใจ,หรือติดอกติดใจทางเพศ?เป็นปัจจัยร่วมด้วย?..ก็เป็นได้ด้วย?..หรือไม่?)ของอลัชชีในคราบผ้าเหลือง?อย่างมากมายจากอดีตมาจนถึงยุคปัจจุบัน(?).. จนทำให้เราข้องใจมากๆว่า.. หลักการในทางพุทธศาสนาช่วยเหลือสังคมไทยได้?..จริงหรือ?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 11 เมษายน 2567 เวลา:18:17:14 น.
(เสริมเพิ่มเติม)..
มีคำพูดที่สังคมไทยพูดแซวกันเล่นมาโดยตลอดว่า..หญิงชาย(วัยฉะ-กรรจ์)อยู่ด้วยกันในห้องตามลำพัง.. คงจะไม่ได้ไปสวดมนต์,นั่งสมาธิ?ด้วยกันหรอกกระมัง?..ประมาณนั้น(?).. คำพูดของบางฝ่ายที่บอกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด.. อยากขอไขให้คิด.. ก็คือ.. ถ้าคุณก็ยังคิดคาดเดาออกว่า..สามีคุณเขาน่าจะคิดอย่างไร?(เมื่อเห็นภาพอุจาดนั้น).. แปลว่า..จิตใต้สำนึกของคุณที่ทำให้คุณรีบพูดแก้ตัวออกมานั้น.. ก็คือ.. คุณก็ย่อมพอจะรู้อยู่ว่าคุณกำลังกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม?อย่างไร?..นั่นเอง(?)..ใช่หรือไม่?.. ประสบการณ์ของเราเองเมื่อราว30ปีก่อน.. เด็กในบ้านของเราเอาของเล่นที่บ้านหลายชิ้นไปเล่นกับเด็กข้างบ้าน(ห้องแถว).. พอเล่นกันเสร็จ,เราตรวจเช็คว่ามีของเล่นหายไป1อัน.. เราก็ไปถามหากับแม่ของเด็กคนนั้นซึ่งลูกเขาอยู่หลังบ้าน.. แม่จึงเรียกลูกออกมาเพื่อจะถาม.. พอเด็ก(อายุราว2-3ขวบ)คนนั้นออกมา.. เรายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย.. เด็กก็รีบสะบัดมือไปมาและบอกว่าไม่ได้เอาไป..ไม่ได้เอาไป.. สุดท้าย..แม่เลยพาเด็กไปเอาของเล่นอันนั้นออกมาให้เราคืน..(จบเรื่อง).. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 11 เมษายน 2567 เวลา:20:26:02 น.
(เพิ่มเติม)..
สมัยตั้งแต่ปี2500เป็นต้นมา.. มีพระนอกรีต,ทำปาราชิกกันอยู่บ้างประปรายเพียงนานๆครั้ง.. เช่น.. นามสมมุติว่า.. นิกรโณ ยันตโร ภาวโนพุทธา และเณรค. เป็นต้น.. แต่มาช่วงราว30ปีให้หลัง.. ก็มีเพิ่มมากขึ้นตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เป็นระยะๆ.. แต่มักเป็น"พระทั่วๆไป"เป็นส่วนมาก.. มาช่วง10ปีมานี้นี่แหละ.. ที่ข่าวเรื่องพระและสีกาทำผิดต่อพระศาสนากลับมีเป็นข่าวมากขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน(?)..(ไม่กลัวนรกจะลงโทษกันเลย?).. จึงมีคำถามว่า.. แล้วองค์กรพุทธศาสนาต่างๆจะไม่ออกมาแอ๊คชั่นอะไรบ้างเลยหรือ?.. ถ้าอ้างว่ากฎหมายไม่เอาโทษ?ทั้งพระและสีกา?ที่ร่วมกันทำผิดต่อพุทธศาสนา?.. ก็ทำไมไม่หาทาง(เร่ง)ออกกฎหมายหรือกฎกระทรวง?ให้การกระทำความผิดต่อพุทธศาสนาถือเป็นความผิดต่อความมั่นคงของชาติที่ต้องได้รับโทษปรับหรือจำคุก?ขึ้นมาเสียทีล่ะ(?).. ส่วนผู้ใหญ่ๆของสังคม?(บางส่วน)ก็พากันเงียบฉี่หรือเพราะน้ำท่วมปากพูดไม่ออก?,เพราะคงกลัวจะถูกขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว?(ในบริบทเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม?)เข้าให้บ้าง?..เช่นนั้นหรือไม่?.. หรือบางองค์กรเช่นกลุ่มตัวแทนคนมีอายุ(บางกลุ่ม)ก็พากันทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน?.. แทบไม่มีใครออกมาแสดงความเห็นต่อการทำผิดต่อพุทธศาสนาในสังคมไทยในกรณีที่มีพระบางรูป?มั่วกับสีกาบางคน?(ที่แค่ลาสึกส่วนตัว?ออกไปเท่านั้น?,โดยที่ยังไม่มีความผิดต่อพระศาสนาใดๆเลย?..แล้วอย่างนี้จะมีใครกลัวต่อการทำผิดต่อศาสนา?ด้วยเล่า?)ที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้กันเลย(?).. หรือกลัวจะกระทบกับคนที่มีโลกหลายใบ?ที่อยู่ปะปนในองค์กรเดียวกันกับตัวเอง?หรือไม่?..ก็ไม่ทราบได้(?).. เพราะถ้าองค์กรที่มีคุณวุฒิ,วัยวุฒิสูง(บางองค์กร)ยังไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องสถาบันครอบครัวที่ควรต้องมีสามีเดียว-ภรรยาเดียว?(เพื่อป้องกันการแสวงประโยชน์ส่วนตัว?หรือคอร์รัปชั่น?เพื่อไปแบ่งปันให้กับหลายครัวของตน?),แล้วจะไปแนะนำการเมืองที่ดีให้กับประชาชนผู้มีความรู้ที่ด้อยกว่า?ได้อย่างไร?..เช่นนั้น?..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 12 เมษายน 2567 เวลา:12:23:40 น.
ได้ดูรายการคนดังฯ10-4-67ตอนแฉต่อ...แล้ว.. มีความคิดเห็นดังนี้ครับ..
อยากบอกว่าได้ดูคลิปนี้แล้วประทับใจมาก,เหมือนได้ดูเซียนหมากรุก2ท่านที่มาเดินหมากคู่กัน.. ท่านหนึ่งเป็นเซียนคำถาม,และอีกท่านเป็นเซียนคำตอบ.. อยากบอกว่า.. เราไม่เคยเจอผู้ถามแขกรับเชิญที่ทำการบ้านมาดีมาก,และมีคำถามที่ถ้วนถี่,รัดกุม,คลอบคลุมทุกมุม(ที่มีผู้ข้องใจ),ทันเกม,และมีความจริงใจลึกๆต่อสังคมเท่ากันกับนักถามคำถามผู้ทรงภูมิท่านนี้มาก่อนเลย(?)..(ถึงแม้ความกล้าลุย?อาจไม่มากเท่ากับแขกรับเชิญที่เป็นผู้ตอบคำถามก็ตาม(?).. เพราะก็คือบริบทของการทำงานในฐานะและสถานะของท่านที่ไม่สามารถจะกล้ามากกว่านี้ได้.. เพราะถ้ากล้าแอ๊คชั่นมากกว่านี้,อาจจะทำงานต่อไปได้ไม่นานก็เป็นได้?).. ส่วนผู้ตอบคำถาม(ซึ่งเป็นแขกรับเชิญ)ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผู้กล้าที่หาผู้เปรียบได้ยาก,ซึ่งตอบคำถามได้อย่างเยี่ยมยุทธ์,ไร้ที่ติ,ไร้เทียมทาน,ไม่มีหลุดในสิ่งที่ไม่ต้องการให้หลุด,และอาจกลายเป็นผลลบตามมา,รวมทั้งยังมีหน้าตาที่ยิ้มแย้ม,ผ่องใสเหมือนตระหนักรู้ว่า..ตนเองกำลังทำสิ่งที่เป็นภาวะบุญ(กุศล)ต่อสังคมที่ตนเองรู้สึกเกิดปีติอยู่ในใจกระนั้นเลยเชียว(?).. แต่เราไม่ได้สรุปว่า.. อนาคตต่อไปท่านจะสามารถดำรงตนได้อย่างบริบูรณ์ไปตลอดช่วงชีวิตหรือไม่?.. แต่เฉพาะในกรณี,ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้,ในเค้สปัจจุบันนี้.. เราต้องยอมรับว่า.. ทั้งผู้ตั้งคำถามและผู้ตอบคำถามล้วนเป็นผู้ที่ดีเยี่ยม(ในบริบทของแต่ละท่าน)อย่างที่เราๆท่านๆคงไม่เคยเห็นกันมาก่อนจริงๆ(?).. ขอคารวะทั้ง2ท่านนี้ด้วย.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 13 เมษายน 2567 เวลา:16:53:21 น.
(ข้อคิดส่วนตัว)..
มุมมองของมนุษย์เพื่อจะดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดนี่..บางทีก็เหมือนว่าจะทำให้สังคมมนุษย์สับสน?.. เพราะแม้ว่า..มนุษย์ก็คือสัตว์โลกชนิดหนึ่งที่มีกิเลสทางเพศ?ฝังแน่น(ติดเซ็กซ์?)ไม่ต่างจากสัตว์ก็จริง(?).. แต่มนุษย์ก็ได้พัฒนาทางสรีระยืนตัวตรง,และพัฒนาทางวัฒนธรรม,ประเพณีให้เป็นผู้เจริญกว่าสัตว์โลกชนิดอื่นๆมาแล้ว(?).. จนกระทั่ง..มีหลักศาสนาไว้ยึดเหนี่ยว(ต้องมีผัวเดียวเมียเดียว,ต้องไม่นอกกาย,นอกใจกัน).. แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีเรื่องผิดหลักศีลธรรมทางเพศ?ระหว่างพระกับสีกา(บางคู่)ขึ้นมาแล้ว.. บางที..ศาสนาก็ไร้ผล?กับคนบางคน?ที่กำเนิดดูโลกมานานแล้ว,แต่อยากพยายามทำตัวเป็นฮีโร่?(ที่พยายามจะอยู่เคียงข้างคนผิดศีล?),ที่ตนเองพยายามจะออกมาพูดสวนกระแส?หรือขวางโลก?เพื่อเข้าข้างสิ่งที่ผิดศีลธรรม?(โดยอ้างความหวังดีเพื่อจะช่วยให้คนที่ทำผิดศีลธรรม?เอาตัวรอด?,สามารถใช้ชีวิตแบบหน้าไม่บาง?ต่อไปเรื่อยๆได้(?).. เหมือนกับการเข้าข้างโจร?,หรือชี้ช่อง(ทางเอาตัวรอด)ให้โจร?ประมาณนั้น(?)..นั่นแหละ(?).. และถ้ามีคนที่หน้าไม่บางเช่นนี้?เพิ่มจำนวนเพราะการสนับสนุน,ชี้ช่องของคุณบางคน?มากขึ้นเรื่อยๆ(?).. เราก็ยังนึกไม่ออกว่าสังคมไทยเมืองพุทธในยุคต่อๆไปจะเป็นสังคมเช่นไร(?).. นี่คือภาวะแผลงๆ?ของสังคมที่มีคนผิดศีลธรรมมากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังอยากมีชีวิตอยู่รอดในสังคม?อีกต่อไป(?).. ถ้าอย่างนั้นพวกนักการเมืองสายเอเชียทางเหนือของเรา(หลายๆประเทศ),ที่ประเทศเขามีการพัฒนาเจริญรุดหน้าอย่างมาก,ในบริบทที่เมื่อนักการเมืองถูกจับได้ว่าทำผิดก็มักจะพากันละอาย,ลาออกบ้าง,หรือหนักหน่อยก็ถึงกับคิดสั้นกระโดดเหวบ้าง,เพราะเกิดความละอายในใจตนเอง(ตามที่เป็นข่าวผ่านๆมา).. ดังนั้น..คนเหล่านี้ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นถูกประณามว่า.. หน้าไม่ฉลาด,แค่นี้ก็คิดสั้น,หน้าบางเกินไป,ควรจะหน้าไม่บางให้มากกว่านี้(?).. เช่นนั้น? ..ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.63.101 วันที่: 13 เมษายน 2567 เวลา:21:17:27 น.
(A)(ความเห็นส่วนตัว)..
มีคำกล่าวของคนจีนพูดกันในสมัยที่เราเป็นเด็ก,บอกว่า..ซานี้ต๊าแป๋-แป๋ฮัวฮี่,ซาจับนี้ต๊าแป๋-แป๋คี้ซี่.. แปลว่า..3ขวบด่าพ่อ-พ่อดีใจ,30ขวบด่าพ่อพ่อโมโหแทบตาย.. คือหมายความว่า.. ถ้ายังเป็นเด็ก,จะทำอะไรผู้ใหญ่ก็ให้อภัย,เพราะเด็กทำอะไรก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหมด,ยิ่งเป็นช่วงหัดพูด,ถ้าสามารถด่าพ่อแม่ได้,ก็ถือว่าพัฒนาการในการพูดใช้ได้แล้ว.. แต่ถ้าโตจน30ปีแล้ว,ยังมาด่าพ่อแม่,ก็แปลว่าเป็นคนที่ไร้กตัญญู,เป็นคนใช้ไม่ได้อย่างมาก..ประมาณนั้น(?).. ช่วงนี้มีข่าวของเด็กที่อ้างว่าเทวดาให้มาเกิด?(บางคน)ก็มีเรื่องที่ไปพูดจาตำหนิผู้ใหญ่คราวพ่อ,คราวลุง(ที่เป็นพิธีกรรายการดัง)ด้วยคำพูดที่ดูหนัก?.. ซึ่งบางคนอาจจะมองว่า..ก็เป็นสีสัน,น่าสนใจ,ชวนตื่นเต้น,น่าติดตาม.. แต่เรามองว่าอาจเป็นผลลบ?(อาจเกิดภาพฝังใจ?ของผู้คนในสังคมในทางลบ)ต่อเด็กในอนาคต,เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นได้(?).. พ่อแม่ที่จะคิดแต่ว่า..ลูกตนเองทำอะไรก็ดูว่าน่ารัก,น่าเอ็นดู,น่าอวด,น่าโชว์,น่าชื่นชมไปเสียหมด,ก็จะทำให้เด็กได้ใจ,เหมือนมีพ่อแม่คอยเชียร์,ทำให้ไม่รู้จักมารยาทสังคม?.. เท่ากับตรงกับคำพังเพยว่าพ่อแม่รังแกฉัน?นั่นแหละ(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.102 วันที่: 13 เมษายน 2567 เวลา:23:51:01 น.
(B)สมัยโธมัส อัลวา เอดิสัน(ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะ).. แต่ถ้าไม่ควบคุมให้ดี.. ครั้งหนึ่งก็ถึงกับทดลองเผาบ้านเผาช่อง?เสียด้วยซ้ำไป(?).. ดังนั้น.. แม้จะดูว่า..ลูกเราเป็นเด็กอัจฉริยะก็ตาม.. พ่อ,แม่ก็ควรจะต้องดูแล,ควบคุม,สร้างกรอบ(ตามสมควร)ให้เขามีหลักยึดไว้บ้าง(?)(ควรระวังเรื่องอัตตาหลงตน?ให้มากๆด้วย),ก็จะทำให้เป็นเด็กอัจฉริยะที่ทุกคนรู้สึกเอ็นดู..ไม่นึกตำหนิในใจ(?)..นะจ๊ะ(?)..
ส่วนตัว..เราไม่ได้มองว่า..เด็กปัญญาพิเศษบางคน?นั้นเป็นเด็กบรรลุธรรม?ที่เบื้องบนให้มาเกิด?อะไรทำนองนั้นหรอก(?)(เพราะเป็นเรื่องกึ่งนามธรรม,ไร้รูปลักษณ์?ที่พิสูจน์อะไรได้ยาก?).. เพราะถ้าบรรลุธรรมสูงสุดจริงก็คงจะไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์?อีก(?).. แต่เขาเป็นเพียงเด็กอัจฉริยะที่เผอิญพ่อแม่จับสังเกตทักษะ,ความถนัดเฉพาะตัวของเขา,และให้การส่งเสริม,จนดูมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ,ที่ผู้ใหญ่บางส่วนและสังคมรู้สึกทึ่งในพรสวรรค์บางอย่าง?(เช่น การสัมผัสอ่านรู้ใจคน?)ของเขา..เท่านั้น(?).. แต่ก็มิใช่ว่า..จะทายแม่นถูกต้อง100%หรอกนะ(?).. เพราะแม้พระพุทธเจ้าเอง..ก็ยังตรัสว่า.. แม้สัญญาหรือความจำหรือสมองก็ล้วนไม่เที่ยง( =สัญญาอนิจจา),คือผิดพลาด,คลาดเคลื่อนได้ด้วยปัจจัยของสรีระ,จิตอารมณ์,และสิ่งแวดล้อมได้(?).. และสภาวะของวิญญาณก็ไม่เที่ยง(วิญญาณังอนิจจัง),คือผิดพลาด,คลาดเคลื่อนได้ด้วยปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายสารพัด(?)..ได้เช่นเดียวกัน(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.208.102 วันที่: 13 เมษายน 2567 เวลา:23:54:42 น.
(เสริม)..
เพราะต้องยอมรับว่า..สังคมพุทธไทยยังคงมีความเชื่อและความยึดถือเกี่ยวกับเรื่องภูมิพญานาคกันอยู่มาก.. จนดึงมาโยงกับพุทธศาสนา,จนทำให้สับสนยุ่งเหยิงว่า..นาคกับพุทธคือสิ่งเดียวกัน?,หรือสิ่งเชื่อมโยงกันจนแยกไม่ขาด?..หรือไม่?.. และลึกๆคนไทยมักติดใจ,ประทับใจ?กับอะไรที่มีลักษณะของฮีโร่-ผู้ปกป้อง?,ซึ่งนาคก็ได้ชื่อว่าคือผู้(ตั้งสัจจะเพื่อ)ปกป้องพุทธศาสนาเสียอีกด้วย(?).. จึงมักได้รับความเกรงใจหรือยำเกรง,ให้เกียรติ,ไม่กล้าลบหลู่จากชาวพุทธในประเทศไทยทั้งปวง(?).. นั่นแหละ(?).. อย่างพระพุทธรูปก็ยังมีปางนาคปรก,และโดยรูปลักษณ์ของนาคตามจินตนาการของศิลปินก็จะมีลักษณะที่ดูยิ่งใหญ่,ลำตัวยาว,มีหงอน,มีเกล็ด,มีมงกุฎ,ดูน่าเกรงขามเสียนี่กระไร(?).. ดังนั้น..โดยการอนุมาน..ภูมิจิตที่สัมพันธ์กับเรื่องนาค?ก็เป็นธรรมชาติทางจิตวิญญาณที่มักจะวนเวียนมาถือกำเนิดกับกายสังขารของมนุษย์ในแถบดินแดนอาคเนย์โดยเฉพาะในประเทศไทย.. ดังนั้น.. เพชร-ภัทร-นาคา-นาคราชคำนี้ตามที่พอมีความเข้าใจบาลีอยู่บ้าง.. เพชรนี่ก็คือเก่ง,แกร่ง,แข็ง,ภัทรคือดี,ประเสริฐ,เจริญ,นาคาก็คือนาค,และยังมีนาคซ้อนนาคคือคำว่านาคราช,คือราชาแห่งนาคทั้งปวง.. คำนี้โดยรวมจึงสื่อถึงการยึดถือในอัตตาความเป็นใหญ่(ยิ่งใหญ่)ใกล้เคียงกับระดับพระพรหมนั่นเลยเทียว(?).. คือพูดแบบภาษาชาวบ้านง่ายๆคือ..ไม่กลัวใครอีกแล้วในโลก,ในจักรวาลนี้.. ยกเว้นแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์..เท่านั้น(?)..ประมาณนี้ครับ.. ก็ตรงกับนิมิตและบุคลิก,หน้าตาของเด็กที่เป็นข่าวนะครับ.. แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดกิเลสสิ้นเกลี้ยง.. แต่เท่าที่ประเมินตามหลักการพุทธ..คือฐานเรื่องกามคุณมีเหลือน้อยมาก.. แต่ความมีอัตตา,ถือตัว,ไม่กลัวใครกลับมีสูงมากยิ่ง.. แต่เรื่องกามคุณ,รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัสและเรื่องทางเพศยังสรุปยาก(?).. ต้องรอดูตอนโตเป็นหนุ่มเต็มตัวก่อน,จึงจะพอบอกได้ว่าเป็นของแท้?หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.208.102 วันที่: 14 เมษายน 2567 เวลา:1:37:34 น.
(a)สังคมเรามันเป็นยังไงนะนี่?..
เราได้ดูรายการของคุณพิม.....(8-4-67)ตอนเที่ยว.....?.. เรามีความรู้สึกจากการศึกษาข้อมูลต่างๆส่วนตัวประกอบด้วย.. แล้วพบว่าsampleพูดในสิ่งที่ใกล้เคียงความจริงจากประสบการณ์ที่เราก็เคยได้รับรู้มาเช่นเดียวกัน..(มีคำถามว่า..ผู้หญิงไทยบางส่วนมีประสบการณ์กับคนใกล้ตัวและครอบครัว?ที่เลวร้าย,มากมายเช่นนี้เชียวหรือ?).. บางรายมักจะบอก(อ้าง)ว่าถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนมาก่อน.. บางรายก็บอกเคยถูกข่มขืน?หรือถูกรุมโทรม?มาก่อน.. บางรายคือ..พ่อแม่แตกแยก,ไม่มีหนทางหากิน.. มองว่าเป็นวีธีหากินที่ง่ายๆและตนก็พึงพอใจด้วย(?).. บางรายถึงกับสารภาพ(คล้ายกลายเป็นคนติดเซ็กซ์)ว่า..กลับรู้สึกพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนคนใหม่ๆไปเรื่อยๆ?.. และซ้ำหนักกว่านั้น.. ยังกลายเป็นคนที่มีความพอใจ?กับความรุนแรงทางเพศ?ที่กระทำต่อตัวเธอ(ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์กันในอาชีพที่เธอทำ,เมื่อได้รับทั้งเงิน?และความสุขทางเพศ?ด้วยซ้ำไป(?).. โชคดีนะ.. ที่พวกเธอยังไม่ประสบภาวะติดลูก?หรือติดโรคร้าย?,ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น,ก็คงไม่มีโอกาสมาเป็นsampleในรายการให้เรารับรู้,ศึกษาได้.. (มีเรื่องน่าคิด,น่าวิจัยว่า.. เรื่องการติดเซ็กซ์?ก็ไม่ต่างจากการติดยาเสพติดบางชนิด?.. ที่เมื่อปล่อยการพึงพอใจให้เตลิด,เพลิดเพลินไปตามการเร่งเร้าจากคู่ของตนนั้น,ถ้ามากไปก็อาจกลายเป็นถลำลึกเป็นการติดเซ้กซ์?.. ประมาณว่าขาดเรื่องเซ็กซ์ไม่ได้?,กระทั่งแม้ต้องทำในสิ่งที่ผิดขนบ,ประเพณีที่รู้ว่าสังคมต้องประณาม,ก็ยังยอมตามอารมณ์ของตนเอง?ที่พาไปจนได้?)..(เช่น ในกรณีของน้องพ.ที่เป็นข่าวเมื่อ2-3เดือนก่อนมานี้,ซึ่งทำให้เสียชื่อเสียง?อย่างมากมาย?.. เป็นต้น).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.102 วันที่: 15 เมษายน 2567 เวลา:12:53:05 น.
(b)มีข้อเปรียบเทียบว่า.. ผงชูรส(ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นประสาทรับรส)(เปรียบคล้ายประสาทสัมผัสในการร่วมเพศ),เมื่อนำไปปรุงอาหารร่วมกับ.. เช่น..แกงขี้เหล็กซึ่งโดยธรรมชาติคือรสขม(ซึ่งอาจเทียบกับความเจ็บในขณะมีเพศสัมพันธ์),ก็กลับไปทำให้แกงขี้เหล็ก(ที่มีรสแกมขมเล็กน้อย)นั้น,กลมกล่อมเป็นที่ติดอกติดใจได้(?).. หรือถ้าคุณลองกินส้มตำที่ไม่ใส่ชูรส(ซึ่งมีแต่รสเปรี้ยว,หวาน,เผ็ด?เท่านั้น),และไม่ใส่ปลาร้า.. คุณก็จะไม่รู้สึกซาบซ่า,ติดอกติดใจซักเท่าไหร่?..
แต่ถ้าลองใส่ทั้งปลาร้าซึ่งโดยธรรมชาติคือมีกลิ่นที่บางคนอาจรู้สึกเหม็น(ซึ่งเปรียบเทียบเท่ากับความรุนแรงที่สร้างอารมณ์ตื่นเต้น,เหมือนว่ากำลังเป็นผู้ถูกกระทำทางเพศ,ในขณะมีเพศสัมพันธ์กัน),แต่เมื่อมีชูรส(เทียบกับความพอใจในสัมผัสทางเพศ)ใส่ร่วมไปด้วย.. ก็กลับทำให้ปลาร้าโดดๆ(ที่เคยรู้สึกเหม็น)นั้น,กลับกลายเป็นกลิ่น?และรส?ที่น่าพึงพอใจไปได้(?).. นั่นก็เพราะดันมีชูรส,หรือเทียบกับการติดสัมผัสพอใจในเรื่องเพศเป็นตัวกลาง?,หรือเป็นสารตั้งต้น?ที่เหนี่ยวนำให้รสอื่นๆ?ที่เดิมอาจจะเคยปฏิเสธ?กลับกลายเป็นมาผสมโรงกัน?กลายเป็นรสชาติที่สร้างความพึงพอใจ?ร่วมกันไปด้วย(?)..ประมาณนั้น(?)..เช่นเดียวกัน(?).. เป็นต้น.. แต่ถ้ามองให้ดีๆ..นี่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ?นะ(?).. ไหนบอกว่า..คนในสังคมไทย(ซึ่งรวมทั้งนักการเมืองทั้งหลายด้วย)มีแต่คนที่จิตใจมีเมตตานั่นไง?.. แล้วทำไมแต่ละภาคส่วนของสังคมไทยจึงปล่อยให้สังคมมีแต่ความเลวร้าย(ในเรื่องทางเพศรวมถึงการละเลยให้มีการแอบแฝงขายบริการทางเพศ?)ตั้งแต่อณูเล็กๆ?ในสถาบันครอบครัว?,จนที่สุดต้องมาเลือกใช้ชีวิตในการมีอาชีพ?ที่เกี่ยวกับการให้บริการบำบัดความพึงพอใจทางกามารมณ์?หรือขายสรีระของตนเอง?อย่างมากมาย,ทั่วทุกหัวระแหง?..เช่นนี้ด้วยเล่า?.. หรือคนไทย(บางส่วน)และสังคมไทย(บางส่วน)มีแต่เรื่องของการสร้างภาพ?ว่า..เป็นคนดี,มีเมตตา,เป็นสังคมที่ดีที่ชาวต่างชาติมักอยากมาอยู่?..แค่นั้นหรือไม่?.. แต่ในความเป็นจริง(?).. อาจเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม?,กลโกง??,มีกลไกค้ามนุษย์?แอบแฝง?,มีความไม่จริงใจ?ต่อเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน??,และมีความโหดร้าย?ที่คุณทั้งหลายอาจคาดไม่ถึง(?)แฝงอยู่ด้วย(?)..ก็เป็นได้(?).. หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.208.102 วันที่: 15 เมษายน 2567 เวลา:13:37:23 น.
(ประสบการณ์เตือนสติ,เตือนใจ)..
พ่อ,แม่มักเป็นต้นเหตุในการสอนให้ลูกมีพฤติกรรมตามอย่างโดยไม่ต้องบอกสอนด้วยคำพูดก็ได้.. เช่น.. 1.นักแข่งขันบางชนิด(บางคน)ที่เป็นข่าวเชิงเจ้าชู้(พาสาวเข้ารร.).. อีกระยะ,ลูกก็ออกมาแสดงพฤติกรรมเชิงกล้าเกี้ยวพาราสี?คล้ายๆกัน(?)[ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ว่า.. เขาอาจคิดว่า..พ่อคงไม่กล้าว่าอะไร(?),เพราะพ่อเองก็เป็นเช่นเดียวกัน(?)] 2.นกม(บางคน)ที่สังคมมองว่าเป็นคนที่มีกลเชิงที่ไม่ตรงไปตรงมาในเรื่องการออกนโยบายในการจัดการสังคม,ประเทศ(ในยุคอดีตที่ผ่านมา).. ภายหลังลูกก็ได้ตัวอย่าง,คล้ายซึมซับ,หรือมีลักษณะแนวคิด,แนวปฏิบัติที่คล้ายๆกันออกมา,อย่างที่สังคมมักชอบพูดกันวาลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น[เพราะอาจซึมซับจากพ่อ,แม่,จนอาจหลงผิดคิดว่า..การมีพฤติกรรมคล้ายๆกับพ่อ,แม่ที่กระทำต่อสังคม,บ้านเมือง,อาจทำให้พ่อแม่รู้สึกภาคภูมิใจ?,ว่าตนเองมีเชื้อสายที่แท้ของพ่อ,แม่(?).. และที่สุด..พ่อ,แม่ก็คงไม่กล้าตำหนิ?,หรือก็คงจะต่อว่าอะไรไม่ได้?..ประมาณนั้น?] 3.เด็กราว7,8ขวบที่มีลักษณะพิเศษบางคน(ที่สังคมกำลังแตกตื่น,เพ่งมอง),ก็ดูว่าจะมีลักษณะเชื่อมั่นตนเองสูง?และมีอัตตาสูง?(ซึ่งอาจมีลักษณะแฝงประโยชน์ส่วนตัวบางอย่าง?)ที่ดูบุคลิกลักษณะ,แววตา,โหงวเฮ้ง?ไม่ต่างจากบุคลิกของพ่อแม่ของตนเอง?ที่มีลักษณะอุปนิสัยเดียวกัน?.. ซึ่งอาจถูกมองว่านี่แหละ.. คือการเลี้ยงดูในลักษณะให้ท้าย?,สนับสนุนสิ่งที่ผิดๆ?ที่ตัวพ่อ,แม่(อาจมีเรื่องผลประโยชน์),จึงอาจมองไม่ออกว่า.. นั่นคือ..การกำลังทำร้ายชีวิตในอนาคต?ของลูกของตนเอง?,ที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่าพ่อแม่รังแกฉัน?โดยไม่รู้ตัว(?)..นั่นเอง(?).. ดังนั้น.. พ่อ,แม่ทุกคนจึงต้องพยายามทำตัวเป็นคนดี,มีศีลธรรม,ไม่โลภจนเกินไปและควรฝึกลดละกิเลสตัวเองให้มากๆ,เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกที่เกิดมาซึมซับพฤติกรรมดังกล่าวตามพ่อ,แม่,โดยอาจหลงเข้าใจว่า..พ่อแม่คงภูมิใจ?,และ/หรือคงจะมาว่าอะไรตนเองไม่ได้?,เพราะอาจมองว่า..เป็นการช่วยสืบทอดเชื้อสายเดียวกัน?.. นั่นเอง(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.16.200 วันที่: 18 เมษายน 2567 เวลา:17:39:42 น.
(A)ถ้าเราสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ของโลกได้.. เราจะกำหนดให้มีศาสนากลางเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น.. เพราะใครๆก็มักพูดกันว่าความจริงย่อมมีสิ่งเดียว(ต้องไม่มีความจริงที่ขัดแย้งกันเอง..ประมาณนั้น)..
เพราะอย่างคริสต์ก็บอกว่า..คนเราจะเกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น(ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก).. แต่พุทธบอกว่า..มีเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นอน.. ส่วนทางมุสลิมก็มีหลักประมาณว่า.. การจัดการกับผู้ที่รุกรานศาสนาถือว่าเป็นบุญ..ประมาณนั้น.. ซึ่งทั้งคริสต์และพุทธก็สอนหลักการแห่งการไม่เบียดเบียนและการให้อภัยให้ได้ถึงที่สุด,ซึ่งเป็นหลักการที่ตรงกันทั้งของพุทธและคริสต์.. ซึ่งเมื่อกลัวการขัดแย้งระหว่างศาสนาและไม่มีผู้มีอำนาจจริงที่จะกำหนดหลักการในโลกให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้,ก็เลยต้องปล่อยให้ต่างคนต่างสอน,ต่างคนต่างเชื่อซึ่งมีหลักการของแต่ละศาสนาไม่ตรงกัน,ทำให้เกิดความสับสนว่าอะไรคือความจริงแท้กันแน่?สำหรับคนในโลกเดียวกันได้.. ดังที่มีบางคนพูดว่า.. ถ้าไม่ชอบหรือเห็นไม่ตรงกันก็ต่างคนต่างอยู่..เป็นต้น.. นั่นแหละ.. ดังนั้น..สังคมไทยจึงมีเหตุข้อขัดแย้งมากมาย,ก็เพราะคิดว่า..ถ้าเห็นไม่ตรงกันก็ต่างคนต่างอยู่?..นั่นแหละ.. เช่น.. บางคนมีฝาท่อระบายน้ำทิ้งอยู่หน้าบ้าน,เพื่อนบ้านก็เลยเอาน้ำสกปรกมาราดใส่เปรอะเปื้อนหน้าบ้าน.. เจ้าของบ้านก็เลยไม่พอใจ,ก็มีเหตุทะเลาะกัน.. นี่ก็เพราะมีบางคนมองว่า.. ถ้าเห็นไม่ตรงกันก็ต่างคนต่างอยู่?,ซึ่งความเป็นจริงนั้น,มันต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรอก(?).. หรืออย่างบางคนเลี้ยงหมาแต่ไม่ดูแลให้ดี,ชอบปล่อยหมาให้ไปขี้หน้าบ้านของเพื่อนบ้านใกล้เคียง.. หมามันก็ฉลาดนะ,ที่ไม่ยอมขี้หน้าบ้านของเจ้าของตัวเองซะด้วย.. ก็ทำให้เป็นเหตุให้คับแค้นเป็นเรื่องเป็นราวกันมากมาย..เป็นต้น.. หรืออย่างกรณีจอดรถหน้าบ้านคนอื่น.. มีบางคนก็อาจมองว่า..ถนนหลวงใครจะจอดหน้าบ้านใครก็มีสิทธิ์(?).. แต่อีกคนก็บอกว่า..หน้าบ้านใครคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ดูแล,มีรถเข้าๆออกๆ,การไปจอดรถหน้าบ้านคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตไว้ก่อน,ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ(?).. ก็ทำให้ระหว่างเพื่อนบ้านใกล้เคียงมักมีเรื่องขัดแย้งกันในเรื่องจอดรถขวางหน้าบ้านอย่างมากมายในสังคมไทยเดียวกัน.. เป็นต้น..เช่นนี้แหละ.. โดย: สมจิต IP: 124.122.16.200 วันที่: 20 เมษายน 2567 เวลา:10:40:33 น.
(แทรก1)..ได้ดูคลิปของช่องเชอร์ล็อกฯ.. อยากบอกแม่ของน้องน.ว่า.. สิ่งที่คุณเห็นน่ะมันน่าจะเป็นเพียงภาพในอุปาทานจิต,ซึ่งถ้ามีอุปาทานที่เข้มข้นหรือมีความเชื่อ,ความศรัทธาสูง,ก็สามารถปรุงแต่งเป็นภาพต่อเนื่องเรื่องราว,แล้วนำมาเล่าต่อได้..
ซึ่งปกติคนทั่วไปก็มีภาพเคลื่อนไหวแบบเป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องในยามหลับฝันได้อยู่แล้ว.. แต่ของคุณนั้น,น่าจะเรียกว่าเป็นภาพฝันในขณะตื่น(แต่ตาหลับ)มากกว่า(?).. เพราะหน้าผากนั้นเป็นบริเวณที่โยงหากระบวนการคิดนั่นนี่,หรือสภาวะสมาธิที่กำหนดโดยกลไกสมองภายในได้ง่ายมาก.. ซึ่งคนทั่วไปก็เป็นได้,คนที่หมกมุ่นคิดในสิ่งใดมากๆในเวลาลืมตา,เมื่อเวลาที่หลับตาลงไม่สนิทและมีแสงภายนอกรำไรก็สามารถปรุงแต่งให้เป็นภาพต่างๆในยามหลับตาได้(?)..(ซึ่งบางคนหรืออาจถูกหลอกจากเจ้าลัทธิบางคนมักเคลมว่าเป็นความวิเศษ?.. เช่น..ลัทธิจานบิน?.. เป็นต้นเช่นนั้นได้?).. เพราะเราเองก็ยังเป็นได้แบบเดียวกัน.. เพราะเราอยู่หน้าจอคอมพ์บ้านบ่อยๆ.. ชอบดูช่องยูทู้ปอยู่เป็นประจำ.. เมื่อเวลาอยากพักผ่อน,เอนกาย.. พอหลับตาลงก็จะเห็นเป็นช่องกรอบสี่เหลี่ยมและมีด้านข้างเป็นกรอบย่อยๆเหมือนในช่องยูทู้ปนั่นเลย..(สำนักสีกรักบางสำนักยังเคยพูดประมาณว่า.. สิ่งที่คุณเห็นในตอนหลับตานั้น,คุณเห็นจริงๆ,แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง,เป็นเพียงภาพที่ถูกสร้างขึ้นในจิตที่ฟุ้งซ่านไปเอง,เรียกว่าเป็นภาพมโนมยอัตตาหรือภาพอุปาทานในจิตเท่านั้นเองครับ).. แต่เราเข้าใจหลักการสมาธิอยู่บ้าง.. บางทีเราก็ใช้วิธีนี้เพื่อทดลองฝึกการบังคับภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการได้เหมือนกัน(เหมือนอย่างที่สมัยก่อนเรียกว่าการฝึกกสิณ40อย่าง.. เช่น.. เพ่งดิน,น้ำ,ลม,ไฟ,ฯลฯ..นั่นแหละ),แต่เราอยู่ในขั้นกำลังฝึกหัด,ดังนั้น..ภาพต่างๆมักจะตัดภาพเร็วมาก,ยังควบคุมได้ไม่ดี.. คือภาพต่างๆจะเปลี่ยนไปมาอย่างเร็ว,เพราะสมาธิเรายังไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่..นั่นเอง.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:8:38:29 น.
(แทรก2).. พึงตระหนักว่า..ศรัทธาของปชช.นั้นมักมีมุมที่น่าสะพรึง.. โลกแต่โบราณนานมามักมีการกำหนดสังคมจาก2ฝ่ายเสมอ.. ถ้า"ฝ่ายรัฐ"กำลังไม่ดีหรือไม่เชื่อมั่นตนเอง,ก็อาจถูก"ฝ่ายกลุ่มเจ้าลัทธิ"หรือ"ฝ่ายศาสดาใหม่"มาควบคุม,ล้มล้างอำนาจเก่าได้เช่นกัน.. แต่ถ้า"ฝ่ายรัฐหรือผู้กุมอำนาจเดิม"เข้มแข็ง,"ฝ่ายเจ้าลัทธิ"ก็มักถูกกำจัดให้สูญสลายไปในที่สุดได้เช่นเดียวกัน.. เช่นในอดีต .. เช่น..สำนักปู่สวรรค์,หุบผาสวรรค์,ลัทธินิกร,ลัทธิยันตระ,ลัทธิพุทโธ,ลัทธิเณรคำ,ฯลฯ เป็นต้น..
หรือแม้แต่พระเยซูที่สมัยนั้นเคยมีผู้ติดตามท่าน(เปรียบเทียบกับSubscribeในยูทู้ปนั่นแหละ)อยู่มากมาย,จนดูเหมือนไม่มีใครที่จะกล้ามาทำอะไรตัวท่านได้.. แต่เมื่ออำนาจรัฐเรืองอำนาจ,และกอปรกับอุดมการณ์ของพระเยซูคือจะไม่ปลุกให้ผู้ศรัทธาขึ้นมารบราฆ่าฟันกับฝ่ายรัฐ.. ดังนั้น.. ในที่สุด.. เมื่อท่านถูกจับกุม,แม้ทางรัฐประสงค์ที่จะปล่อยตัวท่านไป,จึงให้ประชาชนมาโหวตกันว่าจะปล่อยพระเยซูไปมั้ย?.. ก็ประชาชนเอง,ที่อยู่ในที่นั่น,นั่นแหละ,ที่ถูกการเร่งเร้าจากตัวตึงในที่ชุมนุมนั่นเองว่า..ให้ตรึงเขาเสีย,ให้ตรึงพระเยซูนั่นเสีย.. และก็พากันว่าไป(ตามวิถีจิตวิทยาหมู่ชน)ตามๆกัน,จนในที่สุดพระเยซูก็ถูกนำไปตรึงบนไม้กางเขนจนได้..นั่นเอง(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:9:13:08 น.
(แทรก3)..1.ได้ดูช่องไทยนิวซ์ตอน*เผยโฉมนารี....?*.. อยากบอกว่า.. เรื่องของอุปาทานจิตของมนุษย์ที่มีความเชื่อ,ความศรัทธาต่างๆนั้นมักมีได้แปลกๆแตกต่างกันไปมากมาย..(ยกตัวอย่างเช่น.. เห้งเจียเป็นเพียง"นิยายที่แต่งขึ้น"ของ"นักเขียนนิยาย"เท่านั้น.. แต่พอนำมาเป็นการเข้าทรงเห้งเจีย,ก็ยังอุดส่าห์มีวิญญาณเห้งเจียมาลงทรง,และแสดงท่าทาง,อาการเหมือนลิงหรือวานรกระโดดโลดเต้นต่างๆได้,ดูเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ,ไปตามจินตนาการ,มโน,อุปาทานจิตของผู้เป็นร่างทรงที่ตนเคยได้รับรู้,เรียนรู้มาจากการอ่านนิยายนั้นๆ..นั่นเอง)..
ตอนสมัยที่เรายังเรียนระดับมัธยมต้นประจำจังหวัดที่บร.(ราว50กว่าปีก่อน),ก็มีอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นผู้สนใจในธรรม,และก็มีบอกต่อๆกันไปในหมู่นักเรียนและครูว่า.. ที่บ้านอาจารย์ใหญ่จะมีการจัดพิธีครองธรรมวันนั้น,วันนี้นะ.. ก็เลยพากันไปร่วมพิธี,ก็คล้ายจะให้มีการบริกรรมคำบางคำแบบเร็วๆ,เพื่อเรียกสมาธิให้เกิดขึ้น.. ซึ่งก่อนเริ่ม,ก็จะมีการสวดบทสวดบาลี.. เช่น.. นโมตัสสะ..เป็นต้น.. แล้วก็จะมีให้ทุกคนหลับตา,บริกรรม.. เราเองก็เคยไปเข้าร่วม.. พอหลังจากนั้นโตมา,ก็มาพิจารณา,วิเคราะห์ว่า..ก็น่าจะเป้นคล้ายการเข้าทรงของชาวไทยในส่วนภูมิภาคที่สมัยก่อนมีกันมากนั่นแหละ.. (ซึ่งสมัยก่อนจะมีการจัดพิธีกรรมบางอย่างในหมู่บ้าน.. แล้วจะมีการผูกคล้ายผ้าขาวที่ขื่อของบ้านยาวลงมาถึงพื้นที่จัดพิธี,แล้วคล้ายจะให้มีผู้อาสาที่จะเข้ามาโหนผ้าแล้วแกว่งตัว,เกาะพันผ้าไปมา,คล้ายเชื่อมให้เกิดสมาธิจิต,จนกว่าจะเกิดอาการเหมือนมีวิญญาณเข้ามาทรง,และแสดงสิ่งแปลกๆออกมา..ประมาณนั้น.. ซึ่งเราก็ชอบไปนั่งดูอยู่เป็นประจำ).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:17:23:11 น.
2.แต่สำหรับของอาจารย์ใหญ่ท่านนี้จะแปลงชื่อใหม่(เช่นคล้ายๆ..ลัทธิเทพจาตุมจุติ?ที่กำลังเป็นข่าวฮือฮา?)ว่า..เป็นการครองธรรม.. และมีครูประจำชั้นของเราเองเป็นครูหญิง(หน้าตารูปไข่สวยงาม)ท่านหนึ่ง,ที่ก็มีรูปโฉมและสรีระ,ที่สะโอดสะอง,ดูก็ไม่ต่างจากคุณนารี.....-ผู้ร่ายรำถวาย(ในข่าว)ซักเท่าไหร่?..นี่แหละ(?)..
ก็คือเป็นการบริกรรมหมู่?แบบออกเสียงดัง?,คล้ายเป็นเคล็ดวิธีสะกดจิตหมู่?หรือสร้างอุปาทานหมู่?(หรือเชื่อมจิตหมู่?นั่นแหละ?..ประมาณนั้น?).. และพอบางคนบริกรรมได้ที่.. รวมทั้งครูประจำชั้นหญิงท่านนี้ก็เหมือนมีอาการครองธรรม?เข้ามาสถิต(?),แล้วลุกขึ้นร่ายรำต่างๆ.. ไปจนกว่าจะถึงวาระตัวครองธรรม?นั้นจะออกจากร่างไป(?)..ประมาณนั้น(?).. คือเท่าที่ทราบคือ.. ผู้เป็นร่างที่ถูกครอง(ทรง)?นั้น,เขาก็จะพอรู้ตัวเอง?อยู่ทุกอย่าง,แต่คล้ายจิตมีศรัทธาสูง?,และยอมรับสิ่งลี้ลับในที่นั้น?ให้เข้ามาครอบครอง?เพื่อแสดงสิ่งอภินิหารต่างๆ?ออกมาได้(?),เพื่อมุ่งสร้างศรัทธา?ให้กับกลุ่มผู้มาร่วมพิธีในที่นั้น?..ประมาณนั้น(?).. เพียงแต่ในสมัยก่อน..มักไม่มีการเรียกร้องเงินทอง,หรือค่าจัดการให้บริการต่างๆเหมือนในสมัยนี้(?)..เท่านั้น(?)..(คือมีความบริสุทธิ์ใจตามความเชื่อของผู้จัดตั้งพิธีกรรมเกือบจะเรียกได้ว่า100%ก็ว่าได้).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:17:55:03 น.
3.แต่ก็มีจุดพี้คที่ทำให้เราจำภาพครูประจำชั้นหญิงท่านนี้ได้ไม่ลืมเลย.. คือถึงจุดหนึ่ง,ท่าน(หลับตา)ร่ายรำไปมา(คนที่นั่งแวดล้อมก็ดูเหมือนจะนั่งหลบทางให้,เพราะท่านหลับตาอยู่),แล้วท่านก็เอามือทั้งสองจับกัน,แล้วยกชูแขนขึ้น,แล้วไพล่แขนที่มีมือจับกันอยู่นั้น,ให้ข้ามศีรษะไปทางด้านหลังลงไปจนถึงช่วงเอว,แล้วสักครู่ก็สามารถยกแขนที่มีมือจับกันอยู่นั้น,ให้ข้ามหัวกลับมาสู่ในจุดเดิมได้.. ซึ่งดูแล้วก็เป็นสิ่งที่ชวนอัศจรรย์ใจยิ่งนัก?ว่า..มันเป็นไปได้อย่างไร?..
แต่ที่สำคัญคือมาทราบตอนโตมาแล้วว่า.. นี่ไม่ใช่วิถีทางการเผยแพร่หลักธรรมของศาสนาพุทธ?(ที่ถูกต้อง)แต่อย่างใดเลย(?).. ซึ่งก็ดูไม่ต่างจากพิธีการครอบครู?ของอาจารย์ไสยเวชต่างๆ?ที่มักมีพิธีการกึ่งจูงใจ,ครอบงำจิต?,ที่ทำให้มีผู้เข้าพิธีครอบครู?(บางคน)มักเกิดอาการที่แสดงออกแปลกๆ?(ที่เรียกว่าองค์ลง?),นั่นก็มีลักษณะต่างๆคล้ายๆกัน(?)..นั่นเอง(?).. แต่แทบทุกอาจารย์?มักมีจุดหลัก?ที่มักอ้างเอาบทสวดบาลี?หรือคาถาบาลี?(ซึ่งฟังแล้วไม่รู้ความหมาย,คือให้ดูงงๆ,งมๆเข้าไว้?,ประมาณนั้น?)มาเป็นตัวกลาง?,เพื่อดึงให้เกิดแรงศรัทธา?กันไว้ก่อน(?)..แทบทั้งนั้น(?).. [ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้เครื่องมือ?,อุปกรณ์?,หรือภาษา?,ศัพท์แสง?ของทางพุทธ?มาเพื่อใช้เป็นสิ่งเชื่อมโยง?หรือเชื่อมจิต?..นั่นเอง?.. แล้วอย่างนี้สำนักพุทธ?(ซึ่งมีหน้าที่เพื่อ"ปกปักพุทธศาสนา?"โดยตรง?)จะมาหลีกเลี่ยงว่า.. เป็นเรื่องของฆราวาส?,ที่สำนักพุทธ?ทำอะไรไม่ได้?..ได้อย่างไร?.. เพราะไม่เช่นนั้น.. เดี๋ยวก็จะเริ่มมีผู้ตั้งคำถามยอดฮิต?ว่าสำนักพุทธมีไว้ทำไม?ซะอีกหรอก?.. ประมาณนั้นครับ?].. มีข้อน่าสังเกตว่า.. ถ้าลัทธิใด?[ซึ่งต่อไปพญานาค?อาจจะมีท่วมเมือง(แม้แต่กรณีลุง..บ้านกกกอก?)หรืออาจมีมากกว่าพระพุทธรูป?ไปแล้ว?..ก็เป็นได้?],ที่โดยมาก,มักมีเรื่องของเงินบริจาคด้วยศรัทธา?ของผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิก?ที่มักหวังผลที่จะได้รับทางนามธรรม?,คุณวิเศษ?ที่พิสูจน์ไม่ได้?(และลัทธินั้นๆ?มีพฤติกรรมงุบงิบ?,ทับซ้อน?,ไม่โปร่งใส?,ไม่ชัดเจน?ในรายการบัญชีบริจาค?และบัญชีใช้จ่ายต่างๆ?).. ย่อมจะพิจารณาได้ว่า..ลัทธินั้นๆ?มักเป็นลัทธิที่ไม่บริสุทธิ์?หรือเป็นแค่สัทธรรมปฏิรูป?,เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ทางการเงิน?,เพื่อไปสู่คณะของเจ้าลัทธิต่างๆ?เป็นส่วนตัว?..นั่นเอง(?)..หรือไม่?..(ใช่หรือไม่?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:18:45:23 น.
(แทรก4).. 1.คุณเชอร์ล็อก(ช่องเชอร์ล็อกฯ)ดูเหมือนจะเป็นคนที่รู้เท่าทันต่อความประสงค์ภายใน?ของคนบางกลุ่ม?ที่กำลังเป็นข่าวไปเสียหมด(?).. เราฟังดู,เราก็คิดคล้ายๆกับคุณเชอร์ล็อกเป็นส่วนมากอยู่นะ.. ซึ่งคุณเชอร์ล็อกดูจะมีแนวคิดที่คล้ายกับอ.เจษฎาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ของจุฬา..ที่เป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆเช่นกัน.. และมักมีบริบทในการพิสูจน์ความจริงในเรื่องที่แปลกๆ,โดยอิงกับหลักวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ..
อย่างเช่น..เรื่องของบ้องไฟพญานาคนั้น.. ท่านอ.เจษฎาก็เคยมาวิเคราะห์พิสูจน์ไว้มาก.. แต่ครั้งนี้ท่านกลับไม่ออกมาช่วยวิเคราะห์กรณีที่บางกลุ่ม?ที่อ้างถึงพญานาคกลับชาติมาเกิด?ที่กำลังเป็นข่าว(และยังมีอ้างถึงภูมิอนาคามี,ซึ่งตามตัวอักษรแปลว่าผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกอีกแล้ว.. ซึ่งทำให้สังคมเริ่มสับสนว่า..นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่?).. เราว่า..ถ้าท่านออกมาร่วมวิเคราะห์,น่าจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและชวนติดตามมากนะครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:21:02:21 น.
2.กรณีคำว่าเพชร-ภัทร-นาคา-นาคราช?,เรามองว่า..น่าจะมีการมโน,ผสมโรงของคำบางคำ?.. ซึ่งมีบริบทของการนำเอาคำว่านาคามาโยงกับคำว่าอนาคามี..
จริงๆเท่าที่เรารู้มานิดหน่อย.. คือ..คำว่าคามี จริงๆก็คือคาม(ผู้รู้ช่วยออกมาเสริมให้บริบูรณ์ผ่านสื่อต่างๆได้นะครับ)ในคำว่าเขตคามนั่นเอง.. คือต้องการสื่อถึงบ้านช่อง,เรือนชาน(หรือครอบครัวหรือคนคู่หรือกามเมถุน)นั่นเอง.. และอนาคามี(ซึ่ง"คำเดิม"ก็คืออาคามหรืออาคามี,ซึ่งเมื่อต้องมาสนธิกับอะซึ่งแปลว่าไม่,มีหลักภาษาบอกว่า..ต้องเปลี่ยนอะให้เป็นอนะ,แล้วจึงนำมาประกอบคำใหม่ขึ้นมาได้.. เพราะอะมาชนอะ,ก็มีหลักว่าไว้อย่างนั้น.. ดังนั้น.. คำว่าอนาคาหรือคำเต็มที่ว่าอนาคามีจึงน่าจะไม่เกี่ยวกับคำว่านาคหรือ"พญานาคแต่อย่างใดเลย?).. จึงน่าจะแปลว่าไม่มีเรือนชาน,ไม่มีครอบครัว,ไม่มีคู่ครอง,ไม่มีเรื่องคนคู่,หรือไม่มีเรื่องเมถุนทางเพศอีกแล้ว..นั่นต่างหาก.. นี่แหละ..เราจึงว่า..น่าจะเป็นเรื่องผสมผเสในเรื่องของคำกันไปมา(แบบผิดๆ?)เท่านั้นเอง(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:21:35:15 น.
3.ซึ่งคำว่านาคก็มีตำนานว่า..เป็นผู้ติดหลับ?หรือติดในสมาธิ?ในระดับพวกฤาษีตาไฟในยุคพุทธกาล,ที่วันๆเอาแต่นั่งหลับตาสถานเดียว?นั่นแหละ(?)..
ดังนั้น.. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เมื่อตรัสรู้แล้วจึงมีนัยยะของการต้องลอยถาดทองคำเพื่อให้ลอยทวนน้ำ?แล้วให้ไปจมลงที่วังบาดาลของพวกนาค?,ซึ่งมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆก็ได้เคยมาลอยถาดทองคำไว้แล้ว,ให้ไปกระทบกับถาดของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆจนมีเสียงดังกิ๊ก?,แล้วบรรดานาคซึ่งเอาแต่นอนในสมาธิ?แบบพวกฤาษีตาไฟ?ทั้งหลายก็จะพลันลืมตาขึ้นมา,แล้วพึมพำว่า..พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลกอีกองค์แล้วรึ?.. พระพุทธเจ้าทำไมเกิดบ่อย,เกิดถี่เหลือเกิน?,รบกวนเวลานอนของเราชะมัด?..ประมาณนี้ครับ.. ดังนั้น..ผู้รู้ที่แท้จึงมักวิเคราะห์ว่า..บรรดานาคทั้งหลาย(ผู้มักหลับใหลในสมาธิ)จึงย่อมมิใช่โคตรเง่าของความเป็นพุทธ(คือความเป็นผู้ตื่น,รู้,ซึ่งแตกต่างจากความเป็นผู้หลับ)แต่อย่างใดเลย(?)..นั่นเอง(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:22:22:11 น.
4.และยังมีตำนานเล่าขานอีกเรื่องที่ว่า.. พวกฤาษีตาไฟ?(ที่เน้นแต่เรื่องสมาธิหลับตา?)บางองค์,ก็บำเพ็ญฌานฤาษีหลับตา?มานาน,ถึงขั้นมีฤทธิ์เดช,เหาะเหินเดินอากาศได้(ซึ่งจริงๆ..แม้ฌานฤาษี?ก็ไม่เที่ยง?,เสื่อมได้?,โดยเฉพาะเมื่อพบกับบริบทเรื่องทางเพศ?)..
ซึ่งมาสมัยหนึ่ง..ก็ลองเหาะไปดูเขตคามประเทศพาราณาสี?ดูบ้าง.. พอบินผ่านราชวังของพระราชา,ก็พลันไปเห็นนางสนมเปลื้องผ้าอาบน้ำ,ก็เลยทำให้สมาธิแตกซ่าน?(สมองวนอยู่ในกามเมถุน?,พลังจิต?,พลังสมาธิแบบฤาษี?จึงตกฮวบลงในทันที?),จนตกลงมา,และไม่สามารถตั้งสมาธิใหม่?(เพราะจิตครุ่นคิดในกำหนัดทางเพศ?อยู่ตลอดเวลา?),เพื่อจะเหาะกลับไปยังถ้ำที่พำนักได้.. จึงต้องใช้วีธีเดินเท้ากลับไป,ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นจึงพากันครหากันอื้ออึง,เป็นที่น่าอับอายยิ่งนัก(?).. เท่าที่เราสังเกตดู..จะมีการให้มีคล้ายนางฟ้อนมารำถวาย,และตัวน้องที่เป็นข่าวก็มีอาการจ้องผู้ฟ้อน?อย่างจดจ่อ(?).. เราจึงมองวิเคราะส่วนตัวว่า.. จริงๆสมัยนี้..แม้เด็ก8-9ขวบก็น่าจะเริ่มมีเฮอร์โมนเพศ?ในระดับที่มลำเมลืองในจิต?,ในสมอง?ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ(?).. อยากให้รอดูไปอีกสักหน่อย,ประมาณ4-5ปี..จึงจะพอรู้ว่า..ถ้าฮอร์โมนทางเพศ?เกิดขึ้นเต็มที่,ยังจะสามารถเอาชนะต่อเรื่องทางเพศ?ได้หรือไม่?.. ถ้าสามารถเอาชนะได้?,ก็อาจจะเป็นของแท้(?),แต่ถ้าพลาดถลำ?ในเรื่องทางเพศ?.. นั่นก็ต้องสรุปว่า..เป็นเพียงของปลอม?ที่ไม่ใช่ระดับอนาคามีกลับชาติมาเกิด?แต่อย่างใด?..อย่างแน่นอน?..นั่นเอง(?).. เพราะมนุษย์อาจหลงผิดในการบรรลุธรรม?หรือในตัวตนที่แท้จริงของตนเอง?โดยหลงผิดไป?ก็เป็นได้(?).. ใช่หรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 27 เมษายน 2567 เวลา:22:30:44 น.
(แทรก5).. 1.เรื่องของการเรียกฝน,หรือการให้ฝนหยุดตกอะไรเหล่านี้,ที่มีการพูดกันในกรณีข่าวการเชื่อมจิตที่นางฟ้อนนำมาเล่า.. เราอยากแบ่งปันประสบการณ์ที่เคยสังเกต,เรียนรู้มาหลายแง่หลายมุม,เพื่อไม่อยากให้เกิดความเชื่อแบบตามๆกันไป(ที่งมงาย)เกินไป..
ซึ่งจริงๆ..ก็ยังไม่มีใครทำการพิสูจน์หรือวิจัยว่า..สิ่งแปลกๆนั้นเป็นเรื่องจริงแค่ไหน?,และเป็นได้ทุกครั้งเสมอไปหรือไม่?.. ทางคริสต์เราก็เคยเรียนรู้มาอยู่พักหนึ่ง,ก็พอทราบมาว่า.. พระเยซูเองก็เคยยกมือห้ามพายุในทะเลที่รุนแรงให้สงบลงได้,และเคยเรียกลูกศิษย์ให้เดินบนผิวน้ำมาหาพระองค์ที่อยู่บนเรือได้.. (แต่ก็เป็นแค่การยกตัวอย่างแค่บางตอน,บางครั้ง,ในคัมภีร์คริสต์..เท่านั้น..(คือคล้ายใช้ในเวลาคับขัน,จำเป็นเท่านั้น)(เหมือนกับที่ร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลีนในเวลาตกใจ.. เช่น..ไฟไหม้บ้านแล้วสามารถแบกตู้,แบกตุ่มได้เหมือนมีพลังพิเศษตามที่เคยได้ยินเล่าต่อๆกันมา..ประมาณนั้น).. และยังเคยทราบมาว่า.. มีเด็กวัยรุ่นนักศึกษาในเกาหลีก็คล้ายสร้างความเชื่อให้กับตัวเอง,แล้วก็พยายามจะเดินบนผิวน้ำ,เพื่อจะข้ามแม่น้ำไป..(คล้ายว่าอยากทดลอง).. ในที่สุดก็ถูกกระแสน้ำที่เชี่ยวในแม่น้ำพัดจมหายไป.. เป็นต้น.. โดย: สมจิต IP: 27.145.111.14 วันที่: 29 เมษายน 2567 เวลา:7:56:23 น.
(แทรกยกกำลัง2)..
กรณีความหลงแซ่บ?ของหนุ่มบางคน?ต่อสาวบางคน?ที่กำลังเป็นข่าวดัง.. เรามีความเห็นดังนี้.. ความสวย,แซ่บ,เร้าใจทางเพศ?,ถ้าไม่มีความดีอื่นๆเป็นส่วนประกอบ.. บางที(หรืออาจส่วนมากด้วย)ก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวที่ทำให้ชายหลายคนหลงไปพักใหญ่ๆได้(?).. แต่ก็นั่นแหละ.. งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา.. เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับนิสัยบางอย่าง(ที่หญิงแซ่บทางเพศ?บางส่วน,มักเป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ)เพราะอยู่ด้วยกันนานซักหน่อย,ก็จะเริ่มเห็นพฤตินิสัยบางอย่าง?ที่ค่อยๆผุดขึ้นมา,ซึ่งจะมีผลทำให้ความพึงพอใจทางเพศที่คุ้นชินและซ้ำซากเริ่มลดความสำคัญ(หรือลดดีกรีความเร้าใจ)ลงไปเรื่อยๆ.. ความรักหรือความหลงหรือความใคร่ในรสเพศสัมพันธ์(ต่อบางอนงค์นางหรือบางบุรุษ)จึงมีวาระและเวลาเฉพาะช่วงสั้นๆ,แล้วก็ค่อยๆเสื่อมลงไป,หรือที่เรียกว่าช่วงโปรโมชั่นนั่นแหละ.. ดังนั้น.. มดที่หลงในน้ำเชื่อม,น้ำหวานจนไม่อาจไปไหนได้,จึงมักที่สุดต้องจมอยู่ในน้ำหวานนั้นจนสิ้นชีวิตนั่นแล..นั่นเอง.. ดังนั้น..ชาย(หรือหญิง)จึงควรใช้บริบทความดีต่อกันให้มากกว่าการหลงความแซ่บทางเพศ(ที่เสื่อมได้)เพียงอย่างเดียว.. เพราะหญิงแทบทุกคนที่เมื่อวันใดที่เธอเริ่มเห็นรอยประทับของเท้าของสัตว์ปีกบางชนิดที่หางตา,หรือเริ่มเห็นผมเปลี่ยนสีบนศีรษะที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น(จนถอนไม่ทัน),เมื่อนั้น..ความเชื่อมั่นในความสวยแซ่บทางเพศของเธอ,ก็จะเริ่มลดลงทันที..(เพราะความสวยไม่คงที่..แต่ความดีซิคงทน.. นั่นเอง).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.16.34 วันที่: 12 พฤษภาคม 2567 เวลา:3:31:23 น.
(แทรกยกกำลัง3)..
เชื่อมั้ย?...ว่า..อาจมีบางคนที่เล็งเห็นความหมายของเงินมากๆ,กระทั่งอาจท้าทายว่า.. ผมยอมให้คุณด่าว่าอย่างเสียหายหยาบคายใดๆก็ได้.. แต่ขอเพียงว่า..เมื่อคุณด่าจนพอใจแล้ว,คุณก็วางเงินไว้ให้ผมสักปึกเล็กๆก็พอ(และยินดีจะถูกด่าเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่งได้เสมอ..อีกด้วย).. ดังนั้น.. การตอบโต้น้อย?หรือบางทีแทบไม่ตอบโต้ใดๆเลย?เพื่อตอบกลับนักวิพากษ์วิจารณ์อย่างเช่น.. คุณเดี่ยวโน้ฯ,ทนายเดฯ,จตุฯ,ศิโรฯ,คปท.,กองทัพธรรม,หมอว-รฯ.. ก็อย่าไปมองแค่เผินๆว่า..บางคณะ?นี่เขาดูเป็นผู้ดี?ที่ยอมให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้?(ในมุมของระบอบปชต.?)ดีจังเลยนะ(?)..(เพียงมุมมองเดียวเท่านั้น?).. แต่เรากลับกังวลว่า.. บางคณะ?เขาอาจกำลังซุ่มจัดสรรกระบวนวีธีการบางอย่าง(ซึ่งต้องอาศัยเวลาในช่วงหนึ่ง)เพื่อจะบริหารเงินภาษีของพวกเราทุกคนแบบมีกลไกซับซ้อน?เพื่อ......?หรือเปล่า?..นั่นต่างหาก(?)..หรือไม่?.. เพราะการเงียบเชียบโดยไม่ตอบโต้ใดๆ?แบบมีจุดประสงค์พิเศษ?นั้น,มักมีบางสิ่ง?ที่น่าวิตกกังวล?ซ่อนเร้นอยู่เสมอ(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 124.122.16.34 วันที่: 13 พฤษภาคม 2567 เวลา:3:59:40 น.
(แทรกยกกำลัง4)..
กรณีลัทธิน้องน.สรุปได้ว่า.. มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในพื้นฐานการแสวงหาความเชื่อในทางพุทธศาสนา(หรือแม้ลัทธิต่างๆที่เกี่ยวกับความเชื่อและปาฏิหาริย์อื่นๆด้วยก็ตาม)มาก่อน,ล้วนมีรากฐานส่วนลึกในจิตที่ต้องการแสวงหาความที่จะได้เป็นผู้มีพลังวิเศษ?ในบริบทต่างๆ?มาครอบครองเป็นของตนเอง(ซึ่งเป็นเรื่องของอัตตา,ตัวตนที่ทุกคนมักต้องการความสำคัญของตนเปนธรรมดาอยู่แล้ว)ด้วยกันทั้งนั้น.. จึงทำให้ง่ายต่อการถูกชักจูง,กล่อมเกลาโดยใช้เทคนิค,กลวิธี,ศิลปะการจูงใจคน,เชิงจิตวิทยาต่างๆ(รวมทั้งอาจใช้เทคนิคจิตวิทยาหมู่กลุ่ม?หรือการสะกดจิตหมู่?,รวมถึงนิสัยการชอบอยากลองในเรื่องแปลกประหลาดต่างๆของสังคมคนไทยด้วย),เพื่อให้เกิดการมโน,อุปาทาน,ปรุงแต่งทางจิต(ซึ่งเหมือนอาการฝันหรือภวังค์ทางจิตหรือการเบลอๆทางจิต)ผสมผเสหรือผสมโรง,ปั้นแต่งในจิตและสมอง,ให้เกิดภาพในจิตว่าเป็นเหมือนองค์สำคัญต่างๆ?ที่มีตำนานเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคอดีตกาล,นานมาแล้วทั้งนั้น.. สำนักพุทธและพม.จึงควรเป็นผู้ออกมาแอ๊คชั่น,และสรุปให้ชัดเจนลงไปว่า..หลักการพุทธที่แท้นั้นเป็นอย่างไรกันแน่?,และแต่ละลัทธิ,ความเชื่อมีเชิงของการหลอกลวง,หรือล่อลวงเพื่อการศาสนาพาณิชย์?(ที่มองเห็นผู้อ่อนแอทางจิตใจที่ต้องการหาที่พึ่ง,โดยมองเห็นคนเหล่านั้นเป็นเหยื่อทางธุรกิจนามธรรมต่างๆ)หรือไม่?.. เพื่อช่วยกันดูแลหลักพุทธศาสนาไม่ให้ผิดเพี้ยนไปตามกระแสของการแสวงหาประโยชน์?จากหลักธรรมของพุทธไปเรื่อยๆ,ไม่มีสิ้นสุด.. อย่างนี้จะดีหรือไม่?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.218 วันที่: 17 พฤษภาคม 2567 เวลา:16:31:29 น.
(ข้อสังเกต)..มุมแตกต่างของผู้ที่อ้างว่าบรรลุธรรม(ตั้งแต่เป็นฆราวาส)ที่น่าสังเกต..(ศาสนาพุทธจะเน้นความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตของผู้ปฏิบัติหรือผู้ที่อ้างว่าบรรลุธรรมในแต่ละขั้นแล้ว..เป็นหลักเสมอ)..
1.ท่านพ.แห่งสันติอโศกในช่วงที่อ้างว่าบรรลุธรรมตอนยังเป็นฆราวาส,จะแต่งกายด้วยชุดที่เรียบง่ายมากๆ..คือเสื้อคอกลมสีขาวและกางเกงขาสั้น.. จนภายหลังจึงได้มาบวชเป็นพระในพุทธศาสนาเพื่อให้เหมาะกับสภาวะที่จะเผยแพร่ธรรมะที่ตนบรรลุนั้น.. แต่น้อง.....ซึ่งอ้างว่าตนบรรลุระดับอนาคามีแล้ว?กลับมีลักษณะของการแต่งกายที่ดูอลังการ?(คล้ายคนแขก,หรือวัฒนธรรมปักษ์ใต้ของไทย),ประดับประดาเพื่อจูงศรัทธาผ่านภาพ?ว่าเป็นฐานะของอัคระ?(เอก,เยี่ยม,พิเศษ,วิเศษ)ซึ่งมิใช่ทางแห่งความเรียบง่ายของผู้ที่อ้างว่าตนได้บรรลุธรรมในระดับสูง?(ในเจตนารมณ์,หลักการความเรียบง่ายตามแนวทางของพุทธ)เลย(?).. 2.ท่านพ.ไม่ว่าจะถูกโจมตีตามหน้าสื่อมวลชนต่างๆ,ถึงระดับพาดหัวข่าวว่าศาสดามหาภัยก็ตาม.. แต่เท่าที่ทราบท่านก็วางตัวสงบ,มีท่าทีที่สงบ,ไม่ใช้อารมณ์,ไม่มีเรื่องที่จะต้องไปฟ้องร้องทางคดีกับสื่อมวลชนต่างๆที่ทำให้ภาพลักษณ์ของท่านดูเสียหายเพื่อตอบโต้คืนแต่อย่างใดเลย.. แต่ยังคงใช้หลักการแสดงดุษณียภาพ.. เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงกับนางจิณจมาณวิกาที่มากล่าวตู่ว่าตนตั้งท้องกับพระพุทธเจ้า,โดยพระพุทธองค์พูดสั้นๆเพียงว่ามีเธอกับเราที่รู้กันเพียง2คน(ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง)เท่านั้น.. แต่กรณีน้อง.....นั้น.. กลับเห็นว่า..มีคนรอบข้างก็ไปสู้รบปรบมือกับสื่อ,ตั้งป้อมจะฟ้องร้องต่อสื่อ,และผู้ที่ทำให้คณะตนเสียหายอย่างเต็มสูบ,ซึ่งน่าจะมิใช่วิสัยของผู้ที่ตั้งใจจะมากอบกู้พระพุทธศาสนา?แต่อย่างใดเลย(?)..หรือไม่?..ใช่หรือไม่? 3.ไม่เคยมีปรากฏว่าท่านพ.จะมีพฤติกิริยาที่เรียกร้องอาหารบางอย่างเป็นพิเศษในความหมายว่ายังติดใจในรสชาติอาหารบางอย่าง(ซึ่งผู้บรรลุธรรมในระดับอนาคามีขึ้นไป,จะต้องไม่มีความติดรสเหล่านี้แล้ว)แต่อย่างใดเลย.. แต่กรณีน้อง......จะสังเกตว่ายังมีที่แสดงออกว่า..มีความพึงพอใจในเครื่องดื่ม(บางอย่าง)รวมทั้งช็อคโกแล็ต,ซึ่งแสดงออกว่าจะนิยมหรือติดใจเป็นพิเศษ?จนถึงขั้นมีอารมณ์บางอย่าง?กับอาหารเหล่านี้?.. ซึ่งน่าจะไม่ใช่วิสัยของผู้บรรลุธรรม?ในระดับอนาคามิผล?แต่อย่างใดเลย.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.218 วันที่: 18 พฤษภาคม 2567 เวลา:13:32:29 น.
กรณีสำนักฌานพระพุทธเจ้า5พระองค์มาอีกแล้ว(จากการดูข่าวช่อง8).. ซึ่งต้องอยากขอให้สำนักพุทธ,พม.,รวมทั้งสธ.เข้ามาช่วยตรวจสอบแล้วล่ะ.. การประเมินเท่าที่เราพอทราบมาบ้างคือ..
1.ความเชื่อนั้นบังคับกันไม่ได้,ถ้าใครอยากเชื่ออะไร?,แต่ต้องไม่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเป็นหลัก.. 2.การสั่งสอน,แนะนำ,จูงใจใดๆต้องไม่มีการเรียกร้องเงินทอง,หรือเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สู่บุคคลหรือคณะบุคคลของสำนัก(ลัทธิ)ความเชื่อนั้นๆไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม..(และต้องระวังการฟอกเงิน?โดยวีธีซิกแซ็กต่างๆ?ด้วย).. 3.ลัทธิความเชื่ออภินิหารต่างๆต้องไม่นำหลักการ,คาถาบาลี,หรือคำสอนของพุทธ(รวมทั้งพระพุทธรูปปางต่างๆ)ไปอ้างอิง,เพื่อร่วมเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของคำสอนของลัทธิความเชื่อของตน(โดยเฉพาะการอ้างถึงแบบผิดๆ)โดยเด็ดขาด.. 4.สำนักพุทธย่อมมีสิทธิ์และมีส่วนอย่างเต็มที่,ที่จะไปยุ่งเกี่ยวหรือตรวจสอบ,เมื่อมีหลักฐานหรือการโจษจันอย่างเซ็งแซ่ว่าสำนักความเชื่อ?หรือลัทธิใด?ที่ได้นำคำสอนพุทธไปแอบอ้าง,เชื่อมโยงแบบผิดๆ?หรือโดยมีเจตนาที่มิชอบ?เพื่อให้ได้ไปซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ?สู่สำนักลัทธิความเชื่อนั้นๆ.. 5.ถ้ามีการอ้างถึงการรักษาโรคโดยกระบวนวิธีที่ไม่ใช่หลักการทางการแพทย์แผนปัจจุบันว่ามีผู้หายจากโรคร้ายแรงต่างๆ(ซึ่งมักไม่ได้พูดถึงผู้ที่ไม่หายโรค?ว่ามีจำนวนมากมายเท่าไหร่?).. ย่อมเป็นหน้าที่ของสธ.ที่ต้องรีบตั้งคณะทำงานเพื่อไปตรวจสอบ,เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับผู้ป่วยที่ขาดที่พึ่ง,และการเสียโอกาสในการรักษาในทางการแพทย์ที่ถูกต้อง..ในทันที..ด้วย.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.218 วันที่: 18 พฤษภาคม 2567 เวลา:14:50:42 น.
คนบางกลุ่มเขาเชื่อในอำนาจของเงินหรือการให้ยศตำแหน่งว่า.. สามารถทำงานแทนได้ทุกๆอย่าง( =จ้างผีโม่แป้งก็ได้)..
และคนกลุ่มนี้มักมีทัศนะที่จะดึงเอาคนของฟากที่เป็นศัตรูทางการเมืองให้แปรพักตร์มาสยบ,ทำงาน,หรือรับใช้กลุ่มของตนเพื่อให้สังคมมองว่า..กลุ่มของตนแน่มั้ย?..(คือกระสุนนัดเดียว,ได้ประโยชน์2ส่วน..1.ได้เย้ยฝ่ายตรงข้าม 2.ได้คนของฝ่ายตรงข้ามมาทำงานรับใช้ฝ่ายของตนอีกด้วย..เล่ห์เหลี่ยมตามตำนาน3ก๊ก..ประมาณนั้นครับ).. โดยที่สุดก็เคยมีตัวอย่างของตำแหน่งสำคัญ(บางคน)ที่เป็นผู้กำหนดถูกผิดเพื่อดำเนินการในคดีทางการเมืองกับบางฝ่าย,แต่เมื่อได้แปรพักตร์มาอยู่กับอีกฝ่ายแล้ว.. ในที่สุดเมื่ออำนาจนั้นสิ้นสุดลง,ก็กลับถูกดำเนินคดี,จนบัดนี้ก็ได้ถูกลงโทษจำคุกไปแล้ว..นั่นไง?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.96.158.223 วันที่: 28 พฤษภาคม 2567 เวลา:15:08:43 น.
(เราว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่ตลก)..
เรามองว่าประเทศไทยมู้ฟออนยาก,ตราบใดที่ยังไม่ยกเลิกหรือแอนตี้ตำนานของหลวงศรีธนญชัย(โดยยังมองว่าน่ารัก,น่าตลกเท่านั้น).. ช่วงนี้มีการกล่าวถึงคำว่าที่ปรึกษากันให้ได้ยินถี่ๆ.. จึงทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งที่มีที่ปรึกษาทางบัญชีการค้าของคนสำคัญคนหนึ่งที่มีสื่อที่ชอบค่อนแคะ,ขุดคุ้ยถึงนักการเมืองคนดังท่านนั้น.. เนื้อหาประมาณว่า.. สื่อถามว่า..ทำไมคุณจึงมารับใช้นักการเมืองท่านนี้?.. โดยที่ปรึกษาทางบัญชีท่านนี้ก็ได้พูดแก้ตัวไปแบบน้ำไม่ค่อยใส?ทำนองว่า.. ผมแค่มาเป็นที่ปรึกษาทางบัญชีการเงินเท่านั้น.. แต่ผมไม่ได้มาเป็นที่ปรึกษาในเรื่องหลักทางศีลธรรมนะครับ.. ประมาณนี้ครับ.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.96.158.223 วันที่: 28 พฤษภาคม 2567 เวลา:15:51:03 น.
(ภาษาที่ประดิษฐ์จากต้นความคิด,DNAของตำนานหลวงศรีฯ)..
1.ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย..แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม(เท่านั้น).. 2.ไม่ใช่น้ำท่วม..แต่เป็นแค่น้ำที่รอการระบายเท่านั้น.. 3.ไม่มีเจตนาหลบเลี่ยง..แต่เป็นแค่การบกพร่องโดยสุจริตเท่านั้น.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.96.158.223 วันที่: 28 พฤษภาคม 2567 เวลา:16:12:10 น.
(เกร็ดคารมคมคิด)..
มีคำกล่าวแต่โบราณนานมาว่า.. กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี.. แต่ ณ วันนี้,มีคำถามหรือข้อท้าทายว่า.. จะมึคนกล้าคนไหน?,ที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเหมือนเฮอร์คิวลิสที่จะมาเป็นผู้จับเสือเข้ากรงได้จริงๆ.. หรือกรุงศรีอยุธยาจะหมดผู้กล้าไปเสียแล้ว?.. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.96.158.223 วันที่: 29 พฤษภาคม 2567 เวลา:2:02:47 น.
(ข้อสังเกตเชิงตรรกะ)..
ธรรมชาติของโลกโซเชี่ยลและธรรมชาติของมนุษย์,ถ้ามีใครมาพูดหรือมองว่าบางกรณีที่เป็นท้อล์คอ๊อฟเดอะทาวน์ว่าต้องมีการดีล(ซึ่งสื่อแทบทุกช่องและอินฟลูเอ็นเซ่อร์นักวิเคราะห์หลายท่านก็นำมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง).. ซึ่งถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องในข่าว,ถ้าเห็นว่า..เป็นการพูดมโนไปเอง,ที่ไม่ใช่เรื่องจริง,ก็โดยธรรมชาติ,ก็ต้องมีการออกมาโวยวาย,หรือบอกว่า..ที่พวกสื่อพากันวิเคราะห์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง.. แต่เท่าที่ผ่านมา(เกือบจะเป็นปี),กลับไม่เห็นมีผู้เกี่ยวข้องในข่าว(ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม)แม้แต่สักคนเดียวที่จะออกมาพูดปฏิเสธหรือชี้แจงว่า..ที่พากันพูดๆวิเคราะห์เรื่องดีลนั้นไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด(?).. แต่กลับพากันเงียบเชียบกันไปหมด,ไม่มีการออกมาแก้ตัวใดๆเลย(?).. นี่แหละ..จึงเป็นเหตุให้ประชาชน(ผู้รับฟังข่าวสาร)ทั้งหลาย,จึงเชื่อว่า..เรื่องการดีลนั้น..น่าจะมีมูลความจริงอย่างน้อย80%ขึ้นไปอย่างแน่นอน(?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 30 พฤษภาคม 2567 เวลา:6:02:18 น.
สังคมไทยมักมีเรื่องประหลาดที่น่าสังเกตในกระบวนชี้ถูกผิดอยู่เสมอ..ดังนี้..
1.มักมีข่าวพูดหรือลือกันว่า.. ก่อนที่จะมีการแสดงตาชั่ง?ว่าใครถูก,ใครผิด?ในบางกรณีที่สำคัญ(ที่มีผู้ติดตามมากๆ)ว่า..มีข้อมูลหลุดว่าใครผิดหรือไม่?ออกมาก่อนวันจริงก่อนเสมอ(?)..(เพราะในกระบวนชี้ถูกผิด,ก็ใช่ว่าจะมีอุดมการณ์ที่เคร่งเปรี๊ยะกันทุกคน,แต่ก็ย่อมมีเรื่องของคอนเน็คชั่น?กันอยู่บ้าง?).. 2.จึงเป็นเหตุให้บางกรณีดังกล่าว.. ถ้ากรณีไหนผู้ถูกกล่าวหาแสดงออกอย่างหน้าชื่นตาบานว่า,ยินดีไปรับฟังการชี้ถูกผิดโดยดี.. นั่นก็มักแสดงว่า..ได้ล่วงรู้มาก่อนว่าตนรอด,หรือมีโทษที่เบามาก,โดยอาจแค่เสียค่าปรับเล็กน้อยเพียงไม่กี่บาท(?)..เท่านั้น,และเป็นที่รู้กันว่า..มักจะไม่มีการแย้ง,ให้ชี้ถูกผิดรอบใหม่,ในลำดับต่อไป(คือมีลักษณะคล้ายสมรับ?กัน(?),และมีผลให้ยุติเรื่องเหล่านั้นไปเลย(?).. 3.แต่ถ้ามีลักษณะขอเลื่อน,โดยอ้างเหตุนั่นนี่,ประวิงเวลา,ขอไปต่างประเทศ,ไม่เข้าร่วมฟังข้อสรุปถูกผิดในวันเวลาที่กำหนดในกรณีใดๆ.. มักที่สุดจะมีการลือกันว่า..มีข้อมูลของข้อสรุปถูกผิดที่หลุดออกมาว่าเป็นผลลบต่อผู้ถูกกล่าวหา?เล็ดลอดออกมาก่อนเสมอ(?).. 4.เช่น.. บางกรณี.. มีข้อสังหรณ์ว่า..อาจมีการหลบหนี,ก็จะมีการดำเนินการเพื่อป้องกันการหลบหนี(?).. แต่ก็มีการลือกันว่า..เมื่อมีการเคลียร์ถ.ถุงแบกขน?(บางอย่าง?)กันได้ลงตัว,ก็กลับปรากฏว่า.. มีการปล่อยให้เกิดช่องว่าง,ช่องโหว่?ในการป้องกันการหลบหนี?.. จนผู้ถูกกล่าวหา(ที่ล่วงรู้ก่อนว่าจะมีผลสรุปถูกผิดที่เป็นผลลบแก่ตน)ก็สามารถหลบหนีออกไปตามช่องทางต่างๆ.. เช่น.. ช่องทางธรรมชาติ?,หรือช่องเทคนิค?.. เช่น.. ทำทีขอออกไปดูการจัดงานอีเว้นที่สำคัญที่ต่างประเทศ?(แล้วก็ไม่กลับเข้ามาอีกเลย)ออกไปได้ก่อนเสมอ(?).. เช่นนี้เป็นต้น..(หรือรวมทั้ง.. เช่นกรณี.. เจ้าสำนักจานบิน?.. ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าอันตรธานไปอยู่ที่ไหน?..นั้นก็ด้วย?..ใช่หรือไม่?).. ...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ... โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 30 พฤษภาคม 2567 เวลา:18:14:45 น.
ได้ดูรายการน้องน.รีวิวเทพฯทางช่องท็อปนิวส์,29-5-67แล้ว.. มีความคิดเห็นส่วนตัวดังนี้ครับ..
1.จริงๆ..คนเราขาดที่พึ่งทางใจ,และอยากรู้เรื่องลี้ลับกันทั้งโลกนั่นแหละ.. แต่หนักหน่อยที่เอเชียนี่แหละ.. เพราะทางโลกตะวันตกหรือแถบสแกนดิเนเวียนั้น,เขาก็อาศัยพึ่งระบบรัฐสวัสดิการแทน.. เขาจึงไม่เดือดร้อนในเรื่องความเป็นอยู่มากนัก.. 2.เคยได้รับรู้ผ่านสื่อโซเชี่ยลเมื่อไม่นานมานี้ว่า.. มีกรณีที่บอกว่า..วิญญาณสามารถติดต่อมนุษย์มาทางโทรศัพท์ได้ด้วย(จริงไม่จริง,ไม่ได้รับรองนะ,เพราะข่าวก็เงียบๆไป,ไม่มีใครติดตามพิสูจน์ต่อ).. แต่ฟังว่าไม่สามารถทำได้บ่อย.. เพราะต้องใช้พลังงานของวิญญาณที่สูงมาก..ประมาณนั้น.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 30 พฤษภาคม 2567 เวลา:23:32:33 น.
3.เราเองก็มีประสบการณ์เยอะพอสมควรในเรื่องสิ่งเร้นลับในโลกของวิญญาณ,ความเชื่ออยากเล่าสู่กันฟัง.. เราเคยอ่านหนังสือของกลุ่มอนุตตรธรรม,จี้กง.. โดยมีภาพถ่ายออกมาว่า..สิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถเนรมิตให้เห็นภาพที่ผนังเป็นภาพของชายชาวต่างชาติที่อยู่ในนรกภูมิ(เพื่อสื่อเจตนาให้มนุษย์กลัวบาปกรรม)ก็ได้ด้วย..
4.เราเคยเป็นสมาชิกโบสถ์คริสต์สายความหวัง(ราวๆ34ปีก่อน),แต่ไม่เคยเห็นการอัศจรรย์ครั้งนี้กับตาตนเอหรอกนะ.. แต่ฟังว่าเขาใช้พลังอธิษฐาน,ภาวนาในความเชื่อแบบพระเจ้า(ต่อหน้าสมาชิกจำนวนมาก),แล้วทำให้คนที่ขา2ข้างไม่เท่ากัน,แล้วทำให้ข้างที่สั้นยืดออกมาให้เท่ากัน,ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ได้ด้วย.. แต่ภายหลังคริสต์สายความหวังก็ดูจะเงียบๆไป,ไม่มีข่าวทำนองฤทธิ์เดชที่ช่วยเรื่องอาการพิการเหล่านี้เผยแพร่ออกมาอีก(ประมาณว่ามันก็ไม่ใช่จะใช้เรื่องฤทธิ์เดชอัศจรรย์กันได้ง่ายๆ,ทุกครั้ง,ทุกเวลาที่ต้องการได้เสมอ..แต่อย่างใด(?).. คล้ายต้องอาศัยพลังความเชื่อที่มากเพียงพอเป็นหลัก,จึงจะได้ผลเฉพาะเป็นบางราย,และเป็นบางครั้ง,บางกาละเท่านั้น.. ซึ่งต่างกับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน, ซึ่งถ้าหมอวินิจฉัยอาการและให้ยาหรือการรักษาที่ถูกต้อง(ตามหลักวิชาการ),ก็มักจะได้ผลที่คาดการณ์ได้ทุกครั้ง,ทุกเค้สเสมอ.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 31 พฤษภาคม 2567 เวลา:3:35:22 น.
5.เคยได้ยินมานานเรื่องที่มีการเชื่อกันว่า.. ถ้าได้กลิ่นธูปหรือกลิ่นหอม,โดยไม่มีที่มา,ก็สื่อถึงว่ามีเทพหรือเทวดามาเยี่ยมเยี่ยน,แต่ถ้าได้กลิ่นเหม็นเหมือนศพก็แสดงว่าภูติผีมาเยือนเช่นเดียวกัน(?)..
ซึ่งจิตมนุษย์(โดยเฉพาะคนเอเชีย)มีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งแปลกๆในเรื่องเทพ,เรื่องวิญญาณ,ตามที่เคยได้ยินได้ฟังเขาเล่าต่อๆกันมา,แล้วเราก็มักจะผูกอุปาทานไว้ในจิตส่วนลึกของตนเองไว้เสมอโดยอัตโนมัติ(โดยไม่รู้ตัว).. ดังนั้น..เมื่อเกิดสัญญาณกลิ่นแปลกๆตามที่เคยได้ยินมา,จิตของเราก็มักมีแนวโน้มที่จะสร้างอารมณ์,ความนึกคิดที่จะคล้อยตามไปด้วย(ก่อน,ไปแล้วล่วงหน้า)เสมอ.. ซึ่งแม้แต่เราเอง,ก็มีประสบการณ์เรื่องกลิ่นที่มักผูกอุปาทาน(หรือคือใจเรามันเอาใจช่วย,หรืออยากจะเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คงต้องการสื่อสารกับเราที่ทำให้เราดูเหมือนเป็นคนที่สำคัญอยู่แล้ว)ว่าคงเป็นกลิ่นของเทพเทวามาอยู่ใกล้,อยู่เป็นบางครั้งบางคราว..เช่นเดียวกัน.. แต่ก็นั่นแหละ.. จริงๆเราก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้กระจะกระจ่างในทางวิทยาศาสตร์(ว่าใช่เป็นกลิ่นของจิตวิญญาณที่มาเยือนเราจริงหรือไม่?..)ได้(?)..แต่อย่างใด(?).. บางครั้ง..จึงดูเหมือนว่า..เราน่าจะมีอุปาทาน?,งมงายไปเอง?มากกว่า(?)..ก็เป็นได้(?)..(หรือไม่?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 31 พฤษภาคม 2567 เวลา:4:12:40 น.
6.ส่วนตัว..สมัยหนึ่งที่เคยไปศึกษาคริสต์ที่สายโปรแต๊ซแต๊นท์แห่งหนึ่งทางอิสานใต้,เคยมีอาจารย์ฝรั่งฟินแลนด์มาร่วมอธิษฐานเพื่อสื่อสารขอสัมผัสอัศจรรย์จากพระเจ้า.. และก็ตัวเราเองนี่แหละ,ที่ถูกพลังภายนอก(ที่เหมือนกระแสลมเคลื่อนไหวอยู่รอบตัว)โดยเทผ่านลงมาบนศีรษะ,แล้วทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองหมุนและลอยเรี่ยๆเหนือพื้นเหมือนนักเต้นบัลเล่ย์(ซึ่งขณะนั้นเราหลับตา,ชูแขนอธิษฐานอยู่)ก็ได้ด้วย..ประมาณนั้น(ราว40ปีมาแล้ว,สมัยนั้นยังไม่มีมือถือที่ถ่ายรูปได้,จึงไม่มีใครถ่ายรูปนั้นไว้)..
โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 31 พฤษภาคม 2567 เวลา:14:14:06 น.
(แทรก1)..ชีวิตนี้..หัวจะปวด.. ณ กะลาแลนด์..
1.อนาคามียังสามารถกลับมาเกิดได้ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ(จากคำสัมภาษณ์ของบางท่านที่กำลังเป็น¬ข่าว)....จริงหรือไม่?.. 2.อนาคามีสามารถลดชั้นของตนเองมาเป็นแค่เทพระดับพญานาค?ได้ด้วยหรือ?.. 3.มีการพูดว่า.. ถ้าได้รับ(พระ)บัญชา?(จากใคร?)ก็สามารถกลับลงมาเกิด?ได้อีก(?).. ซึ่งนั่นก็แสดงว่า..ในชั้นฟ้า?ยังมีอีกมิติหนึ่ง?ที่สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้(แบบเป็นอัตตา,ตัวตน?ที่สัมผัสรับรู้กันได้?),เหมือนคล้ายสภาผู้แทน?ในโลกมนุษย์ที่มีการสรุป,ตกลง,สั่งการ,สั่งงาน?ในเรื่องราวต่างๆ?,เพื่อมาเชื่อมโยงกับบริบทของความเป็นไปในสังคมโลกมนุษย์?นี้อยู่ตลอดเวลา(?)..ใช่หรือไม่?..(ซึ่งฟังดูแล้ว,น่าจะคล้ายคติความเชื่อของทางมหายาน,หรือทางลัทธิพราหมณ์ฮินดู?.. ซะมากกว่าละมัง?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 23 มิถุนายน 2567 เวลา:2:34:16 น.
(แทรก2)..4.แล้วก็อาจมีพระพุทธสิทธัตถะ(ซึ่งยังไม่ดับสูญ?)นั่งอยู่เป็นองค์ประธานสภาอยู่ที่เบื้องบน?(คล้ายแนวคิดดินแดนพุทธเกษตรหรือที่รวมของพระพุทธเจ้าของทางมหายาน..ประมาณนั้น?),คอยบัญชาให้เทพองค์นั้น,องค์นี้(รวมทั้งพญานาค,พญาครุฑ?บางจำพวก),ให้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อรับใช้พุทธศาสนาอย่างนั้น?..หรือไม่?..
5.ซึ่งนี่มันดูจะขัดแย้งกับหลักพุทธศาสนาที่เคยเรียนมาไปกันใหญ่(?).. คือที่เคยรู้มานั้น..ท่านว่าพุทธเป็นอเทวนิยม( =ไม่ให้ความสำคัญกับโลกนอกกายหรือวิญญาณนอกกาย,แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าวิญญาณนอกกายนั้นไม่มี,เพียงแต่มองว่าไม่สามารถสื่อสารกันได้?ประมาณนั้น?[คือใครตายแล้ว,ก็ไปอยู่ภพภูมิส่วนตัว?แบบภพใครภพมัน?,สวรรค์ใครสวรรค์มัน?,นรกใครนรกมัน?,แล้วแต่อุปาทานของแต่ละบุคคล?ที่จะสร้างขึ้น(?).. เช่น.. เทวดาของฝรั่ง?กับเทวดาของไทย?ก็จะแต่งกายไปเป็นชุดคนละอย่าง?ไม่เหมือนกัน,แล้วแต่จินตนาการของบุคคลนั้นๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่(?),หรือประมาณว่าอยู่ห้องใครห้องมัน?ไม่สามารถเกี่ยวข้องใดๆกันได้,เพื่อรอวาระวิบากกรรมที่จะเคลื่อน(จุติ)ไปอุบัติ(เกิด)ในภพใหม่ตามคิวของกรรม?ที่ตนเองได้สร้างไว้(?)..นั่นเอง(?)].. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 23 มิถุนายน 2567 เวลา:4:31:42 น.
(แทรก3)..6.ส่วนเรื่องของเทพเทวา(ที่มีบางลัทธิศาสนายึดเป็นตุเป็นตะ,เป็นตัวเป็นตน,ที่แสดงตัวได้,อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้)นั้น,เป็นเรื่องของศาสนาแบบเทวนิยมซึ่งได้คติความเชื่อมาจากลัทธิหรือศาสนาพราหมณ์,ซึ่งยังเชื่อ,ฝักใฝ่,ยึดถือในความมีตัว,มีตน?ของโลกหลังความตาย?,แบบปักมั่น,เป็นสังขารธรรมแบบแท่งก้อนนิรันดร์กาล,ไม่มีวันดับสูญสลายได้,ซึ่งเขามองว่าวิญญาณนอกร่างกายสามารถเชื่อมโยง,สื่อสารกันได้,ในมิติของความเชื่อนั้นๆ,ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องทิ่ขัดกับหลักการของศาสนาพุทธเถรวาทแบบโต้งๆเลย?..หรือไม่?..
7.เพราะศาสนาพุทธเถรวาทเน้นที่การปฏิบัติในชาตินี้ให้หลุดพ้นเป็นสุญญตาในชาตินี้?ไปเลย(?).. ส่วนผู้ที่ยังไม่สามารถ"หลุดพ้นในชาตินี้แล้วจะต่อภพภูมิ,ชาติหน้า,ชาตินู้น,ก็ให้ถือเป็นเรื่องของกรรมในชาตินี้ที่จะนำพาไปตามวิถีของวิบากกรรม,ซึ่งพุทธเถรวาทมองว่า..บางคนที่ตายจากชาตินี้แล้วก็จะไปเกิดใหม่ในทันทีเลยก็มี,และอีกจำนวนมากซึ่งยังหาที่เกิดไม่ได้ก็อย่างที่เรียกว่าสัมภเวสี?หรือวิญญาณเร่ร่อน?(ซึ่งไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์หรือสื่อสารกับวิญญาณอื่นๆได้,เพราะไม่มีอายตนะที่จะรับรู้สัมผัสใดๆทางสัมผัส5ได้แล้ว),ซึ่งต่างตัว,ต่างองค์ก็จะอยู่ในภพ( =กรอบ,ครอบ,อุปาทาน)ของตนเอง,ซึ่งไม่อาจจะไปรับรู้ใดๆ?กับสิ่งที่อยู่นอกอุปาทานที่นอกเหนือไปจากที่ตนเองเคยสั่งสมมาจากกรรมต่างๆของตนเองได้.. ประมาณนั้นครับ(?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 23 มิถุนายน 2567 เวลา:5:15:24 น.
(แทรก4)..8.เท่าที่เคยเรียนหลักพุทธมาบ้าง.. เราเข้าใจส่วนตัวตามภูมิปัญญาส่วนตัวว่า..ฐานอนาคามีพอจะพิสูจน์รู้ได้บ้าง,โดยคนที่อยู่ใกล้ชิด(ไม่ใช่ว่าจะพิสูจน์อะไรใดๆไม่ได้เลย).. เช่น.. ถ้ามีนารีแต่งกายชุดโบราณ(เหมือนภาพนางอัปสรสวรรค์ตามจินตนาการของจิตรกรแต่ครั้งโบราณ),ที่มีเน้นทรวดทรง,องค์เอวมาร่ายรำต่อหน้า,แล้วถ้าเราจ้องตาเขม็ง,นั่นก็เป็นข้อแสดงว่า..ส่วนลึกเรายังถูกครอบงำด้วยอำนาจของกามคุณอยู่บ้างไม่มากก็น้อย(?)..
แต่ถ้าเป็นอนาคามีแท้ก็จะสามารถปล่อยวาง,คลายความติดยึดกามคุณภายนอกได้เด็ดขาด,และจะรู้ว่า..การเพ่งมองอิสตรีในผู้ปฏิบัติธรรมในระดับอนาคามีนั้นย่อมไม่เหมาะสม,อาจเป็นโลกะวัชชะ( =โลกเพ่งเล็งติเตียน),ซึ่งอาจทำให้สังคมครหาได้ครับ(จึงอาจต้องหลบสายตาลงต่ำก็ได้ครับ).. หรือแม้เรื่องกามคุณที่ติดในรสชาติอาหารหรือเครื่องดื่มบางอย่างที่มีสารคาเฟอีน.. เช่น โดยธรรมชาติที่สังเกตได้จากสัญชาติญาณของเด็กแอ๊คถีฟ,สมองไว(บางคน)ที่มีเชิงพูดแบบอ้อมๆ,เชิงแนะนำให้ผู้ศรัทธานำช็อคโกแล็ตหรือเครื่องดื่มบางชนิดที่ตนเองชอบทาน,ชอบดื่มอยู่เป็นประจำมาให้,และถ้ามีใครทำหกราดลงพื้น,ก็จะเกิดอารมณ์โกรธ,นั่นก็น่าจะถูกมองว่ายังติดในรสชาติของอาหารหรือเครื่องดื่มเหล่านั้นอยู่มาก,ซึ่งย่อมไม่ใช่ฐานะ,วิสัยของภูมิอนาคามีที่จะมาแสดงออกให้สังคมเพ่งเล็งในภาพมุมลบเช่นนี้..แต่อย่างใดเลย(?).. รวมทั้งอนาคามีย่อมจะไม่มีความรู้สึกชอบ,ชังในดอกไม้สวยงามใดๆไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองหรือสีอื่นใดๆก็ตาม..แล้วครับ.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 23 มิถุนายน 2567 เวลา:21:00:31 น.
(แทรก5)..9.เท่าที่เคยศึกษาเรื่องชั้นภูมิธรรมมาบ้างพอประมาณ.. เราเข้าใจส่วนตัวว่า.. ระดับจิตที่เป็นภูมิอนาคามี,แม้ยังไม่หมดโกรธ(โทสะ)อย่างสิ้นเชิงก็ตาม,แต่การแสดงอารมณ์หยาบๆในมุมไม่พอใจเรื่องจุกจิก,มโนสาเร่ต่างๆน่าจะไม่มี(แสดงออกมาภายนอก)แล้ว,แต่อาจยังมีมานะถือตัวอยู่บ้าง ..
คือถ้ารู้สึกว่ามีใครมาพูดสบประมาทที่ไม่ให้เกียรติ,ก็อาจจะพูดประมาณว่า.. เช่น.. อาตมา(ผม)คงไม่สามารถอธิบายให้คุณเข้าใจได้ดอกนะ.. ขออภัย..อาตมา(ผม)ขอตัว,พอดีมีธุระ,ขอโทษด้วย.. อะไรประมาณนี้ครับ.. แต่น่าจะไม่มีเรื่องการไปตระเวนฟ้องร้องต่อสื่อต่างๆหรือผู้ที่พูดจาเชิงตำหนิหรือต่อว่าใดๆต่อตัวท่านหรอกครับ.. แต่กรณีเรื่องที่เกิดขึ้น,จะมีลักษณะของการไปตั้งป้อม,ตอบโต้แบบถึงพริกถึงขิง,ตาต่อตา,ฟันต่อฟัน(ซึ่งน่าจะมิใช่อุปนิสัย,วิสัยของผู้ที่ตั้งใจจะมาทำงานรับใช้พุทธศาสนาแน่ๆ).. เช่นนี้..ส่วนตัวเรามองว่าน่าจะยังไม่ถึงระดับภูมิอนาคามีหรอกครับ(?) [และที่จับสังเกตจากสีหน้า,แววตา,จะเห็นว่า..เวลาที่นั่งอยู่ต่อหน้าผู้ที่เข้ามาแวดล้อม,จะมีลักษณะของอาการแห่งความกระหยิ่ม,ภูมิใจ(สะท้อนทางสายตา,และกล้ามเนื้อใบหน้า,คือยังดูไม่สงบ)ประมาณว่า..ตัวเองมีภูมิที่เหนือกว่าผู้คนที่มาศรัทธาจนทำให้มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่มายอมรับ,นับถือ,ซูฮก(เหมือนยอมเป็นข้ารับใช้?),เสมือนหนึ่งยอมรับ,ให้เกียรติ,ให้นั่งแท่นในสถานะของครูบาอาจารย์ของคนที่มาเข้าหาเลยนั่นเทียว.. ประมาณนี้ครับ].. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.234 วันที่: 26 มิถุนายน 2567 เวลา:6:04:54 น.
(แทรก6)..10.พูดถึงท่านจีวรสีเปลือกขนุนบางท่านที่บอกอนาคามีกลับมาเกิดอีกได้).. ท่านก็คิดตรรกะแบบท่าน,เราก็ขอคิดตรรกะแบบเรา(ทั้งท่านและเรา,ยังไม่มีใครเป็นอนาคามี,หรือยังไม่มีข้อยืนยัน).. คนจะเป็นพุทธ์หรือไม่เป็นพุทธ?นั้น,ตั้งต้นจากมิจฉาทิฐิ?หรือสัมมาทิฐิ?( =คิดผิด?หรือคิดถูก?)เป็นหลักก่อน(?)..
ถ้าคิดว่าทุกอย่าง,ทุกเรื่อง?ต้องมีผู้สอนมาก่อน(?)นั้นก็ไม่จริง(?),อย่างเอดิสันที่ประดิษฐ์หลอดไฟได้ก็เกิดจากการลองผิดลองถูก,ช่างตี๋เก่งการซ่อมมอไซค์ก็เกิดจากประสบการณ์การเรียนรู้(การทดลอง)ที่ยาวนานมาก่อนเช่นเดียวกัน.. โจรขอให้เริ่มต้นคิดผิด(มิจฉาทิฐิ)ก็สามารถเป็นโจรได้แล้ว,ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์ที่เป็นโจรมาบอกสอน(ก่อน)ก็ได้(?).. [ส่วนมากคนทำผิดมักมีตรรกะ(ข้อแก้ตัว)ของการเริ่มทำผิด.. เช่น..โรบิน....?ก็อ้างว่าปล้นคนรวยไปช่วยคนจน?,จริงๆคุณจะอ้างกุศโลบายใดๆก็ตาม,การเริ่มต้นคิดปล้น?นั้น,ก็คือจิตคิดชั่ว?(ไม่ใช่จิตกุศล)ถือเป็นเถยยจิตไปแล้ว(?)(คือผิดแต่ต้นทาง?แล้ว)].. หลายคนที่ไปลักขโมยของตามห้างใหญ่ๆหรือปล้นร้านทอง,หรือโกงเจ้านายก็มักคิดตรรกะทำนองนี้ก่อน,คือ มักคิดว่า..คนพวกนี้รวยแล้ว,เราหยิบยืม,แบ่งมาใช้,เขาคงไม่ถึงกับจนลงสักเท่าไหร่หรอก?(แต่มักไม่คิดถึงกรรมวิบากที่จะติดจดจำ?ไปในจิตของตัวเองไปจนข้ามชาติ?ได้ด้วย)..ประมาณนั้น(?).. โดย: สมจิต IP: 124.122.17.202 วันที่: 29 มิถุนายน 2567 เวลา:7:49:45 น.
(แทรก7)..11.นามธรรมที่เป็นอนาคามีหรืออรหันต์นั้นเป็นเรื่องภายในจิต,พิสูจน์ได้ยาก,ไม่มีสิ่งยืนยันใดๆ.. แต่ท่านบางองค์นี้พูดเสมือนว่า..ตนเองเป็นอนาคามี(up)แล้ว,และกลับมาเกิดในโลกนี้หลายครั้งแล้ว?,อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการทำผิดปาราชิกข้อที่4?คืออวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน?(หรือไม่?)..
จึงมีธรรมเนียมไม่ให้ภิกษุเถรวาทอวดคุณวิเศษใดๆ(ที่พิสูจน์ไม่ได้)อย่างไม่เหมาะสม?(โดยเฉพาะอวดผ่านโซเชี่ยล?,ซึ่งเป็นสาธารณะ?นั่นไง?.. เพราะมันเป็นตรรกะส่วนตัวของท่านว่า.. ถ้าไม่มีอนาคามีหรืออรหันต์กลับมาเกิดเพื่อสอนคน,แล้วจะมาสอนคนให้เป็นโสดา,สกิทา,อนาคา,อรหันตได้อย่างไร?.. เพราะถ้าใช้ตรรกะแบบท่าน.. ดังนั้น..ขอตั้งคำถามว่า.. แล้วใครเป็นผู้สอนพระพุทธเจ้า(องค์แรก)หรืออรหันต์(องค์แรก)ให้เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นอรหันต์ล่ะ?.. ดังนั้น..เรา(ทั้งหลาย)จึงต้องเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและเชื่อพตปฎ.เถรวาทว่าอนาคามีแปลว่าผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้แล้วไว้ก่อนเป็นพื้นฐานของพุทธเถรวาท..ไงล่ะ?.. โดย: สมจิต IP: 124.122.17.202 วันที่: 29 มิถุนายน 2567 เวลา:7:57:27 น.
(แทรก8)..12.ชาวพุทธไทยเถรวาทของเราต้องช่วยกันชำระพตปฎ.ให้เป็นที่เข้าใจตรงกันอย่างชัดเจน,เพื่อไม่ให้เหลือบ,ไร?มาแฝงเร้น,เกาะกิน?กับหลักพุทธเถรวาทและการตีความพตปฎ.ที่ไม่ชัดเจน(?),เพื่อหวังให้เป็นประโยชน์แอบแฝง?แก่กลุ่มของตน?(บางกลุ่ม?)ได้อีก(?)..
เท่าที่เราเคยศึกษาพุทธมาบ้าง.. คือพุทธเถรวาทจะเน้นที่การปฏิบัติในชาติปัจจุบันเพื่อให้มุ่งหลุดพ้นไปเลย?เป็นหลัก(?),ส่วนถ้ายังไม่หลุดพ้น,ต้องกลับมาเกิดอีกนั้น,สายปฏิบัตินั้นท่านไม่ได้เน้นอะไรมากมาย(?).. เพราะถ้านำมาพูดกันมาก,จะกลายเป็นเรื่องดราม่า,ดรามาติก?หรือพุทธการละคร?มากไปกระมัง?.. ซึ่งพุทธเถรวาทนั้นมักไม่ค่อยพูดถึงเรื่องภาวะโพธิสัตว์,[ซึ่งมักจะมีมากทางสายมหายาน,ซึ่งก็มักถูกพูดแซวว่าเป็นสายยานโตงเตง?(คือหย่อนยาน?)ประมาณนั้น(?).. คือหาหลักยึดไม่ค่อยได้..(เช่น.. บางนิกายก็ให้นักบวชมีเมียได้?.. เป็นต้น)].. ซึ่งทางพุทธเถรวาทมักไม่ค่อยมีสอนหรือระบุไว้อย่างชัดเจน,เห็นมีพูดถึงแต่เรื่องการบำเพ็ญบารมีในบริบทของพระเจ้า10ชาติ(หรือทศชาติชาดก)เท่านั้น.. ซึ่งอย่างชาติสุดท้ายคือมหาเวสสันดรชาดกนั้น,ก็ยังเห็นชัดๆว่า..พระเวสสันดรก็ยังมีอารมณ์โกรธจนถึงขั้นมุ่งประทุษร้ายต่อชูชก?ถึงขั้นง้าวคันธนู?ต่อชูชกที่มาเฆี่ยนตีกัณหา,ชาลีต่อหน้าต่อตา(อันซึ่งตนได้ยกให้ชูชกไปแล้ว)นั้น(?)..นั่นไง?.. ก็แสดงว่า..โพธิสัตว์เวสสันดรนั้น,ก็คือยังไม่ได้บรรลุอรหันต์ดังที่ภิกษุบางองค์ใช้ตรรกะแบบผิดๆ?เช่นนั้นเลย(?).. หรือแม้ในชาติสุดท้ายที่เป็นสิทธัตถะ,ก็ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เป็นอรหันต์มาก่อน(?),เพราะไม่เช่นนั้นจะไปเสพเมถุน?กับนางพิมพาจนมีบุตรชื่อรากุล( =บ่วงเกิดขึ้นแล้วหนอ?)ได้อย่างไร?.. ใช่ไหมล่ะ?.. โดย: สมจิต IP: 124.122.17.202 วันที่: 29 มิถุนายน 2567 เวลา:9:10:48 น.
(แทรก9).. 13.กฎหมายไทยบางประการที่สมควรมีการแก้ไขให้ทันสมัย,หรือยกเครื่องเสียใหม่.. คือ..
(1)การสอนธรรมะที่ผิดหลักการตามพตปฎ.เถรวาท,แต่กลับไม่มีเจ้าภาพทางราชการเพื่อมาแจ้งความเอาผิดตามกฎหมาย(ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม?),โดยเฉพาะถ้าเป็นลัทธิใหม่ๆที่มีฆราวาสเป็นผู้สอน,ยิ่งแทบไม่มีการดำเนินการใดๆเพื่อระงับยับยั้งให้เป็นกิจจะลักษณะเลย.. (2)นำคำสอนพุทธ,คาถาพุทธ,รูปปั้นพุทธ,บทสวดพุทธเพื่อไปใช้ผสมผเส,แอบอ้าง,ในการทำพิธีการ(กรรม)ต่างๆ,ที่มีเชิงของคาถาอาคม,มนต์ดำ,มนต์ขาว,ไสยศาสตร์,ไสยเวท,เข้าทรงองค์เทพ,ซึ่งไม่ใช่วิถีทางแห่งศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแต่อย่างใดเลย(?).. และเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อ,จนเจ้าลัทธิ,ครูทรงเจ้าได้ไปซึ่งทรัพย์สินของประชาชนผู้ที่หลงเชื่อนั้นเป็นจำนวนมาก(ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนผู้หลงเชื่อมีสถานะทางเศรษฐกิจที่จนลง).. (3)นักบวช(ภิกษุ)ที่ทำผิดปาราชิกข้อเสพเมถุนกับสีกา(รวมทั้งปาราชิกข้ออวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนด้วย)และสีกาที่ร่วมในการทำผิดฐานเสพเมถุนกับพระ,กลับไม่มีการเอาผิดใดๆทางคดีความฐานทำให้ภาพลักษณ์ของศาสนาพุทธเสื่อมลง,เมื่อภิกษุผู้นั้นได้สึกจากการเป็นพระออกไปแล้ว,โดยอ้างว่าเป็นการสมยอมกัน(เพื่อร่วมกันทำผิดศีลข้อ3),จึงไม่มีความผิดใดๆซะอย่างงั้น(?).. (4)กรณีหวยทิพย์90ล้าน,ที่อ้างว่าแค่กล่าวเท็จ,แต่ยังไม่มีผู้ได้รับความเสียหายมาแจ้งความ,จึงยังไม่มีความผิด?,จึงเกิดภาพของเมืองไทย,ที่มีผู้พูดเท็จ(มุสาวาทา)กันเต็มเมือง(?)..นั่นไง?.. ที่จริงผู้เสียหายก็คือรัฐไง?.. คือ..ทำให้สังคมเกิดตัวอย่างของคนกล่าวเท็จลวงโลก,ลวงสังคมไปเรื่อยๆ,แล้วไม่ต้องรับโทษ?.. คือทำให้สังคมเต็มไปด้วยคนทำผิดศีล,แล้วก็ทำตามอย่างกันไปอย่างมากมาย(?)..นั่นไง?.. คือ..กฎหมายไม่ได้เอื้อต่อหลักศีลข้อ4ของพุทธศาสนาเลย(?).. โดย: สมจิต IP: 124.122.17.202 วันที่: 30 มิถุนายน 2567 เวลา:14:50:39 น.
(แทรก10)..14.ได้ดูช่องครูพี่แอน(เมื่อ6-4-65)ที่พูดภาษาอังกฤษล้อกับแก๊งคอลแล้วก็ยอมรับว่าเป็นโจ๊กที่สนุกผ่อนคลายอารมณ์ดีมาก(แก๊งคอลก็รับมุกได้เข้าล็อคกันเหมือนการ์ตูนทอมเจอร์รี่..ประมาณนั้น),เราดูไปก็ฮาไปด้วย.. แต่เราก็อยากขออนุญาตวิเคราะห์(ในอีกมุม)ว่า..
สังคมไทยจะเหมือนเป็นไบโพลาร์หรือภาวะอารมณ์2ขั้วหรือไม่?.. เพราะเรามองแล้วกลับนึกถึงคำว่าภาวะจำยอม?และต้องปรับตัว?(เพื่อไม่ให้ประชากรบางคนรู้สึกเครียดจนเสียสติ??),เพื่อประคับประคองชีวิตให้อยู่รอดต่อไป(?).. ที่เหมือนกับประเทศหนึ่งข้างบ้านเรา,ที่สมัยหนึ่ง..ถูกบางระบบเข้ามายึดครอง.. ซึ่งในสมัยนั้นจะมีการปรับตัว?ที่เรียกว่าการนอนสามัคคี(ซึ่งจริงๆถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง?).. แต่ปชช.ของเขาก็จำต้องยอมรับสภาพ?(ซึ่งถ้ามองข้อดีก็เหมือนกับว่าคนของประเทศเขาไม่รู้จักการโศกเศร้าและเคร่งเครียดใดๆ),เหมือนว่าเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน(ที่เหมือนอยู่ในหลักการสำคัญของพุทธศาสนา..กระนั้น?).. แต่ถ้าคิดเรื่องของศักดิ์ศรีคือเขาก็แทบไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ใดๆ?เลย(?)[ซึ่งจึงเป็นเครื่องชี้ว่า..การปรับตัวบางประการ?ในบางภาวะที่ถูกบีบบังคับ?จนไร้ศักดิ์ศรี?เช่นนั้น(?),จึงทำให้เขาไม่สามารถพัฒนาหลักคิด?(DNAสมอง)ของประชาชนในประเทศได้มากไปกว่า..แค่การดิ้นรนเอาตัวรอด?(ในเหตุการณ์คับขันเฉพาะหน้า?)ไปวันๆ(?)..ได้เท่านั้น(?)].. จึงเป็นเหตุผลที่น่าคิด?ว่า.. ทำไมค่าเงินของประเทศเขาจึงลดลงอย่างมากๆ,จนประเทศใกล้จะล้มละลาย?อยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้ว(?).. นั่นเพราะสกุลเงินของประเทศเขาไม่ได้รับการยอมรับในสังคมโลก?ไปแล้ว?..นั่นไง(?).. โดย: สมจิต IP: 124.122.17.202 วันที่: 3 กรกฎาคม 2567 เวลา:3:39:50 น.
(แทรก11)(ต่อจากแทรก9).. 15.มีความเห็นกรณีหญิง2-3คนออกมาเปิดโปงกันผ่านโซเชี่ยล.. เรามองว่า.. การทำงานผ่านโลกโซเชี่ยลเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย..
(1)ถ้าคุณจะแฉเพื่อสังคม.. ตัวคุณเองต้องไม่มีแผลใดๆในอดีต(หรือต้องแก้ไขให้ลุล่วงไปก่อน).. (2)คุณต้องทำงานแบบไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวมาทับซ้อนกับงานที่คุณทำใดๆเลย.. (3)ธรรมชาติหญิงโดยทั่วไป,ย่อมไม่อยากให้ใครที่อยู่ในฐานะลูกน้องหรือแค่เพื่อนร่วมงานมาออกหน้า,หรืออั๊พเลเว้ล(หรือเกินสเกล),จนดูว่าเด่นกว่าหรือเด่นเกินหน้าอยู่แล้ว,เป็นเรื่องธรรมดาเลยล่ะ.. (4)ผู้ร่วมงานหรือลูกน้อง(โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิง)ที่ฉลาด,เก่ง,มีไหวพริบ,ช่างสังเกต,จดจำดีไล่ๆกับคุณ,หรือเก่งกว่าคุณ.. ที่สุดเขาอาจกลายเป็นผู้ที่เอาข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกของคุณมาเปิดเผยได้ในภายหลัง,เมื่อรู้สึกผิดใจในบางประเด็น,หรือจากคำพูดหรือการแสดงออกบางอย่างของคุณ.. (5)เพศชายหรือผู้ชายมักจะไม่ค่อยเป็นดังข้อ(4),เพราะผู้ชาย(ส่วนมาก)มักใจคอหนักแน่น,ไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดบางคำของคุณ.. คือสรุปว่า.. ถ้าคุณเป็นหญิง(ซึ่งต้องการเป็นผู้นำในเรื่องจิตอาสา),คุณควรหาลูกน้องหรือผู้ร่วมงานที่เป็นเพศชายหรือผู้ชายเท่านั้น.. จึงจะลดปัญหาหยุมหยิม,จุกจิก,หรือการแทงข้างหลัง,ทรยศต่อตัวคุณได้ครับ.. 6.ทริคพิเศษ.. ถ้าคุณเป็นหญิงอย่าเอาเพศหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทรักกันมาก,หรือหญิงที่เป็นญาติสนิทหรือญาติห่างๆ(ยกเว้นลูกแท้ๆ)ของคุณ,มาทำงานแบบใกล้ชิดกับตัวคุณเป็นอันขาดครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 4 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:59:41 น.
(แทรก12)(ต่อจากแทรก10).. 16.เช่นกัน..แก๊งค์คอลฯก็เข้ามารุกรานสังคมไทย,โดยที่ทางรบ.ก็ยังหาหนทางแก้ที่สัมฤทธิ์ผลยังไม่เจอ,จนทำให้สังคมไทยต้องปรับตัวให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน,ทำไปทำมาก็คล้ายแก๊งค์คอลฯบางส่วนจะรับเล่นมุกตลกด้วย..
คือเราอยากอธิบายว่า.. เวลาที่เรารู้สึกตลก,ขบขันกับเรื่องใด,เราก็จะมองตัวละครในเรื่องนั้นกลายเป็นเหมือนเด็กเปิ่นๆ,เด๋อๆ,ไร้เดียงสา,ที่น่ารัก,น่าเอ็นดู,เหมือนกับเรื่องสภาจ.ในรายการทีวีบางช่องในสมัยหนึ่ง(?)..นั่นแหละ..ไม่ต่างกัน(?).. แต่ที่จริงคือการส่งสัญญาณผิดที่บิดประเด็น,บิดความรู้สึกให้พลาดไปจากเนื้อหาที่สำคัญ.. เพราะขนาดระดับเป็นหมอ,เป็นพิธีกรดัง,ซึ่งอยู่กับข่าวสารต่างๆตลอดวัน,ก็ยังสามารถที่จะถูกหลอกให้โอนเงินให้กับแก๊งค์คอลฯเป็นเงินหลักล้านบาทได้,ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเศร้า,น่าเห็นใจ(กับเงินที่เขาสะสมมาทั้งชีวิตที่ต้องสูญเสียไป),และเป็นเรื่องที่มีน้ำตา,ซึ่งเหยื่อหลายรายก็อาจไม่อยากเปิดเผยความทุกข์ระทมใจของตนเองมากนัก..(เพราะอาจกลัวว่าจะถูกซ้ำเติมไปกันใหญ่)ก็เป็นได้.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 4 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:36:02 น.
(แทรก13).. 17.หรืออย่างที่มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งรู้สึกผิดหวัง(กับสังคม),ที่ทำให้ตนเองต้องถูกหลอกเรื่องโอนเงินเพื่อซื้อมือถือ,จนถึงกับคิดสั้น,จนถึงกับผูกคอตนเองจนเสียชีวิต(ตามข่าวเมื่อหลายเดือนก่อน)..นั่นปะไร?..
ดังนั้น.. การปรับตัว?ของสังคมไทยให้มองปัญหาบางเรื่องกลายเป็นมุกตลก?ที่ทำให้คนร้าย?(ซึ่งควรถูกประหารชีวิต,เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง?"ของการทำร้ายผู้คนร่วมชาติที่เป็นผู้บริสุทธิ์,จนอาจทำให้ผู้อื่นคิดอยากมาทำเลว?ตามกัน?),กลับกลายเป็นเห็นเป็นตัวละครในมุกตลกที่เกิดอารมณ์เอ็นดู,ไม่ถือสา?ไปซะอย่างงั้น(?).. แล้วเช่นนี้เราจะแก้ไขปัญหาแก๊งค์คอลฯให้สิ้นเกลี้ยงลงไปได้อย่างไร?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 4 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:55:15 น.
(แทรก14)(ต่อจากแทรก11).. 18.สังคมไทยทุกวันนี้จะตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า..ความรักอื่นเสมอด้วย(รัก)ตนไม่มีนั่นหละ.. ที่จริงคนที่เคยเรียนศาสนาพุทธมักจะรู้ตรงกันว่า.. หญิงมักจะมีลักษณะจิตอ่อนและขี้อิจฉา.. ดังนั้น..พูดตามตรง,เราจึงมักมองหญิงในคติความคิดเช่นเดียวกันนี้..
เราเองเคยมีคนใกล้ชิด,แต่เขาเสียไปแล้ว,และเราไม่คิดอยากหาคนใหม่อีกเลย.. เพราะจากประสบการณ์,เราพบว่า..ความรักแท้นั้นไม่มีจริงหรอก.. แต่ก่อนเคยคิดว่า.. มีแต่หญิงเท่านั้นที่ไม่เคยจริงใจกับใคร(?),แต่มายุคนี้..เรากลับพบว่า..ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างล้วนไม่มีความจริงใจหรือรักแท้ต่อกันหรอก(?).. อย่างที่มีคลิปยูทู้ป(คลิปหนึ่ง)ที่มีหมอญ.คนหนึ่งมาออกรายการบอกอดีตสามีพูดว่าอยากโง่เอง(จึงถูกฉันหลอกให้รัก,และยอมกู้เงินให้กับฉัน)..ประมาณนั้น.. คือเรามองว่า.. สมัยอดีตโบราณ..อาจมีความรักแท้อยู่บ้าง,เพราะยังมีบางคนที่ยึดในอุดมคติของความรัก,แต่เดี๋ยวนี้หายากมาก,เพราะทุกคนติดในความสุขสบายของโลกวัตถุนิยม(ทำให้ใครๆก็คิดเห็นแก่ตัวเองไว้ก่อนเสมอ).. ไม่มีใครคิดเรื่องการที่จะยอมกัดก้อนเกลือกินเพื่อบูชารักแท้กันหรอก(?).. ส่วนมาก..มีแต่การหวังประโยชน์จากหน้าที่การงาน,ความร่ำรวยของอีกฝ่ายด้วยกันทั้งนั้น(?).. ประมาณว่า..ถ้าเธอมีเงินมากพอที่จะดูแลให้ฉันสุขสบายได้,ฉันก็พร้อมจะเป็นภรรยา(สามี)เธอได้เสมอ..ประมาณนั้น..(แต่อย่าได้หวังความซื่อสัตย์,จริงใจ,ภักดีต่อกันนะ.. เพราะถ้าเธอเผลอ,หรือโง่,ตายใจ,หรือไว้วางใจฉันมากเกินไป.. ฉันอาจนอกใจเธอได้เสมอ,ถ้าจังหวะ,เวลาและโอกาสเป็นใจ(?)..ประมาณนั้นครับ(?).. หรือกรณีหญิงบางคน(ที่กำลังเป็นข่าว)ที่ออกมาแฉหญิงเพื่อนสนิทที่เคยรักใคร่,ใกล้ชิดกัน,ก็ยังมีการเล่าถึงประมาณว่า..เพราะอยากแข่งขันเกียรติและศักดิ์ศรี(แข่งดี)กับอดีตสามีที่เป็นผู้มีเกียรติ,มีหน้ามีตา,มีตำแหน่งในทางการเมืองเหมือนเขาบ้าง(?).. ดูซิว่า.. แม้แต่กับสามีตัวเอง(ซึ่งต่างเพศกัน,ซึ่งโดยมากมักไม่อิจฉากันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว)ก็ยังคล้ายไปคิดอิจฉาความมีเกียรติของเขา?.. จึงมองว่า..หญิงเลเว่ลนี้ก็ยังมีให้เห็นกันมากในยุคนี้(?).. งงใจจริงๆ(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 6 กรกฎาคม 2567 เวลา:2:20:11 น.
(แทรก15).. 19.ไม่ว่าใครผ่านชีวิตมาปูนนี้,ก็ย่อมผ่านทั้งความสกปรกและความสะอาดกันมาแล้วทั้งนั้น.. กรณีหญิง2-3คนแฉกันไปมา(ตามข่าว).. เราอยากบอกว่า..ไม่มีใครที่บริสุทธิ์สะอาดจนไม่มีที่ติเลยกันทั้งนั้น.. บางคนทั้งชายและหญิงคิดแต่จะแฉผู้อื่น,แต่ไม่มองว่า..ตัวเองมีความไม่สะอาดส่วนตัว?อยู่มากเท่าไหร่?
ดูแต่โหงวเฮ้งจากใบหน้าก็พอดูออกว่าใครเล่นบทเป็นตัวอิจฉา?และใครเป็นตัวนางเอก?.. แต่เท่าที่ดู.. ณ นาทีนี้.. ก็เห็นแต่ทนายด.และทนายอ.ที่ออกมาปกป้องหญิงบางคน(ที่ถูกรุมสกรัม)อย่างเต็มที่,เต็มกำลัง.. ดูจะเป็นสุภาพบุรุษที่สุดนะครับ.. เราว่า.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 6 กรกฎาคม 2567 เวลา:4:57:53 น.
(แทรก16).. 20.(จากคัมภีร์คริสต์).. แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ พอรุ่งสางพระองค์ทรงมาที่ลานพระวิหารอีก คนทั้งปวงพากันมาชุมนุมอยู่รอบพระองค์และพระเยซูประทับนั่งเพื่อสั่งสอนพวกเขา เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสีนำตัวหญิงคนหนึ่งมา นางถูกจับฐานล่วงประเวณี พวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าคนกลุ่มนั้น แล้วทูลพระเยซูว่า ท่านอาจารย์ หญิงผู้นี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในหนังสือบทบัญญัติโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างหญิงที่ทำอย่างนี้ ท่านจะว่าอย่างไร? เขาใช้คำถามนี้เป็นกับดักเพื่อหาเหตุกล่าวโทษพระองค์
แต่พระเยซูทรงโน้มพระกายลงและทรงใช้นิ้วพระหัตถ์เขียนที่พื้น เมื่อพวกเขายังถามไม่หยุด พระองค์ก็ทรงยืดพระกายขึ้นแล้วตรัสกับพวกเขาว่า ถ้าผู้ใดในพวกท่านไม่มีบาป ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างนางเป็นคนแรก แล้วทรงโน้มพระกายลงเขียนที่พื้นอีก ถึงตรงนี้พวกที่ได้ยินก็ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นซึ่งยังคงยืนอยู่ พระเยซูก็ทรงยืดพระกายขึ้นตรัสถามว่า หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนกันหมด? ไม่มีใครเอาโทษเจ้าเลยหรือ? นางทูลว่า ไม่มีเลย พระเจ้าข้า พระเยซูประกาศว่า เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเช่นกัน บัดนี้จงไปเถิด และจงทิ้งวิถีชีวิตที่ผิดบาปของเจ้า ปล.ฝากข้อพระธรรมนี้สำหรับคุณreed grass,ทนายด.และทนายอ.ด้วยครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 6 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:20:18 น.
(แทรก17).. 21.มีข้อคิดหลายอย่างจากกรณีที่เกิดขึ้นในมุมเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด?,ต่อไปสังคมจะไม่มีใครไว้ใจอะไรกันได้เลย(หรือไม่?).. จริงๆถ้าเพื่อนรักกันจริง,ก็ควรแนะนำกันเป็นการภายใน(ส่วนตัว).. เช่น..บอกว่าอันไหนไม่ควรหรือควรเลิก,ควรหยุดเสีย,อย่าทำเช่นนั้นเลย,ไม่ใช่ออกมาแฉในลักษณะของศัตรู,ตั้งป้อมห้ำหั่นกัน?เหมือนว่า..ไม่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนเลย..อย่างนี้มันใช่หรือไม่?..(เพราะจริงๆก็คือ..ใครก็ดูออกว่าคุณก็ต้องการแสงเพื่อตัวคุณเองด้วย?.. ใช่หรือไม่?)..
มีหลักการบางอย่างที่เคยรับรู้มาบ้าง(ผิด-ถูก,ผู้รู้กว่าเพิ่มเติมได้ครับ).. เช่น.. 1.คดีอุทลุมคือลักษณะคล้ายคดีลูกฟ้องพ่อแม่,ที่รู้มาคือถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักประเพณีที่ลูกหลานต้องมีกตัญญู,ถ้าไร้ความกตัญญูเสียแล้ว,ก็ย่อมถือว่าคนเช่นนี้คบไม่ได้?..ใช่หรือไม่?..(ธรรมชาติผู้สื่อข่าวก็ย่อมนำเสนอไปเรื่อย,เพราะอยากได้คอนเท้นต์,จริงๆสื่อควรแบนบางบุคคล?,ไม่ควรสนับสนุนบุคคลผู้ไร้จริยธรรมหรือความไม่รู้คุณคนมากกว่า?..หรือไม่?).. 2.ถ้าคุณอายุเกิน18,ไม่ใช่ผู้เยาว์แล้ว,คุณจะอ้างว่า..ถูกหลอกโดยความเขลา?ทั้งๆที่คุณก็มีสติรู้ตัวอยุ่ตลอดเวลา,อย่างนี้จะได้ไหม?.. 3.การที่คุณได้หลักฐานมาโดยมิชอบ?.. เช่น.. การดักฟัง,หรือการแอบอัดเสียง,โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้อนุญาตให้คุณนำมาเปิดเผย?.. อย่างนี้จะถือว่าใช้ได้หรือไม่?.. 4.การที่คุณเคยคบหา,มีประโยชน์ต่างๆร่วมกัน?(ทั้งๆรู้?),แล้วภายหลังเมื่อขัดใจ?หรือขัดผลประโยชน์บางอย่าง?.. เช่น.. อ้างว่าถูกกันซีน?,กลัวคุณดังกว่า?(แล้วผิดหวัง,แต่ถ้าเขายอมให้คุณดัง,ส่งเสริมคุณ,คุณก็อาจทำเฉยๆ,ไม่ออกมาเปิดเผยอะไร?,อาจไม่ได้คิดเรื่องคุณธรรม?อะไรนักดอก?..ประมาณนี้หรือไม่?).. แล้วก็เลยหาเรื่องออกมาแฉเรื่องภายในบางอย่าง?(ซึ่งอาจเป็นการพูดทีเล่นทีจริง,ทีหยอกกันเองในครอบครัว,หรือมองแนวทางหารายได้?,ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาในทุกๆครอบครัว(หรือไม่?),เพราะไม่มีใครที่เป็นคนที่ดีบริสุทธิ์ไปทั้งหมดหรอก(?),จึงอาจถูกมองว่าคุณก็มีส่วนเป็นผู้ร่วมในการทำความผิดนั้นๆด้วยหรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 6 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:32:42 น.
(แทรก18).. 22.มีคำพูดหนึ่ง(ของบางคน)ที่เรารู้สึกสะดุดใจ.. เช่นคำว่าเขาเห็นเราเป็นเพื่อนมั้ย?หรือเราเป็นเพื่อนเขามั้ย?,แม้จะเป็นแค่คำพูดสั้นๆ,แต่อาจกลายเป็นเหมือนกับระเบิดที่ใช้วางยาไว้กับผู้หญิงบางคนที่ดูฉลาด,เก่ง,หิวแสง,แต่ขี้ระแวงได้(?).. รวมทั้งตัวผู้วางยา(ด้วยคำพูดสั้นๆบางคำที่ชวนให้คิดเล็ก,คิดน้อย)ก็อาจจะเป็นผู้หญิงที่หิวแสง?และขี้หวาดระแวง?เช่นเดียวกันด้วย(?)..
ไม่เช่นนั้นถ้าเราลองไปสำรวจดูโปรไฟล์ของบางคน,เราจะต้องคิดว่า.. ถ้าเขาเป็นคนที่ดีพอ,แล้วเขาจะล้มเหลวในเรื่องชีวิตครอบครัวได้อย่างไร?..(และเขาจะอยากชิงดีชิงเด่นกับสามี,และยินดี,ยอมรับในการที่จะได้วุฒิการศึกษามาแบบง่ายๆได้อย่างไร?..เช่นกัน?).. แต่ถ้าคำพูดเดียวกันนี้,ถ้าไปพูดกับผู้ชายที่ปกติเป็นคนหนักแน่น,และไม่คิดมาก,เขาก็อาจจะคิดนิดหน่อย,แล้วก็ปล่อยให้คำพูดนั้นผ่านเลยไป,โดยไม่มีผลอะไร,เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น(?)..ใช่หรือไม่?.. ดังนั้น.. เราจึงเคยแนะนำไปแล้วประมาณว่า.. ถ้าคุณวางตัวเป็นคนละชั้นกับลูกน้อง,แบบว่าเป็นCEOที่มีสิทธิ์ขาด,และเป็นผู้จ่ายเงินเดือนในบริษัท,และไม่สุงสิงคลุกคลีกับลูกน้องเลย,คุณก็สามารถมีลูกน้องที่เป็นผู้หญิงได้,โดยคุณไม่จำเป็นต้องแคร์ว่า..ลูกน้องของคุณจะนินทาคุณอย่างไร?,ในยามลับตาคุณ(?).. แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ให้เกียรติต่อลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานเหมือนว่าเป็นเพื่อนที่อยู่ในระดับเดียวกัน,คุณต้องห้ามมีลูกน้องหรือทีมงานที่เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะที่มีลักษณะฉลาด,มีไหวพริบ,ช่างจดจำ,และมีแววตาขี้หวาดระแวง?ที่คอยจับจ้องต่อตัวคุณอยู่ตลอด?เป็นอันขาด(?)..(เพราะ"คนลักษณะนี้",อาจพร้อมที่จะ"แทงคุณข้างหลัง?"เมื่อมีโอกาส,หรือแม้กระทั่ง"แทงคุณซึ่งๆหน้า?",ถ้าเขาต้องการแก้แค้นคุณจริงๆ?..ก็เป็นได้ด้วย?).. ถ้าจะให้ดีคือ.. เปลี่ยนให้ทีมงานของคุณให้เป็นผู้ชายทั้งหมด,และมีเฉพาะคุณที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เป็นผู้นำในทีมงานของคุณเท่านั้น.. แล้วงานจิตอาสาของคุณก็น่าจะราบรื่นขึ้นครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 6 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:29:45 น.
(แทรก19).. 23.สังคมที่ไร้ศาสนากำกับเป็นสังคมที่น่าเป็นห่วง.. อย่างเราจะพบว่ามีบางภูมิภาค,บางเชื้อสายที่อยู่ไปทางเลยแผนที่ประเทศไทยทางด้านบนๆขึ้นไป,จะเคยเห็นข่าวบ่อยๆว่า,บางทีเขาอยากทำพฤติกรรมอุจาดทางเพศแบบไหน?,เขาก็จะทำในที่สาธารณะเลย..(จริงๆแม้แต่ในสังคมไทยก็มีบ้างในหมู่คนไร้บ้านบางคน,แต่ก็มีเป็นข่าวนานๆครั้ง,และก็จะถูกจับไปปรับตามระเบียบ)..
วันนี้ก็ได้ดูข่าวหนึ่ง(ของช่อง8,7-7-67)ที่มหาลัยแห่งหนึ่งทางเหนือของไทย,ก็มีคนเชื้อสายดังกล่าวก็มาทำพฤติกรรมอุจาดทางเพศ(คือร่วมเพศกันในเวลากลางวันในที่สาธารณะ,แบบไม่มียาง....?เลย)ในประเทศไทย,ที่เขตถนนสาธารณะ(ในมหาลัยดังกล่าว),ซึ่งมีคนสัญจรไปมา..(เช่นกัน).. เรามองเห็นเลยว่า.. โลกเรานี้(และแม้แต่ในสังคมไทย),ด้วยอำนาจของการหลงวัตถุนิยม,จนเมินหลักศาสนา.. ก็คือสังคมที่เรียกว่าสู่กลียุคอย่างค่อนข้างสมบูรณ์แล้วล่ะ(?).. คือเมื่อบางเชื้อสายพันธุ์ที่ชนชาติเขาไม่มี,หรือไม่เน้น,หรือไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนา(โดยเฉพาะไม่มีศาสนาพุทธ,ซึ่งสอนเรื่องยางอายหรือศีลข้อ3),เราก็จะพบว่า.. เริ่มจะมีการทำพฤติกรรมทางเพศบางอย่าง(ที่ควรจะทำเฉพาะในที่ลับกับคู่ครองของตนเองเท่านั้น)ที่เหมือนสัตว์โลกทั่วไป(ที่ยังไม่พัฒนาในเกณฑ์ของอารยธรรมทางศีลธรรมแบบของมนุษย์.)มากขึ้นเรื่อยๆ.. แต่เมื่อเรา( =บางสังคมในโลก)เริ่มไม่ให้ความสำคัญของศาสนา,เราจึงเริ่มวนกลับไปสู่พฤติกรรมทางเพศแบบสัตว์โลกชนิดอื่น,โดยคิดแค่ว่า..อิสระดี,ทำตามสัญชาติญาณแบบสัตว์โลกอื่นทั่วไป,ก็ดูน่าจะมีความสุขแบบหวือหวา?และน่าตื่นเต้น,เร้าใจดี?(หรือไม่?),โดยไม่ต้องปิดกั้นอารมณ์ตัวเองโดยความยับยั้งชั่งใจอะไร(?).. ประมาณนั้นครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 7 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:15:05 น.
(แทรก20).. 24.กรณีดาราสาวต่างประเทศท่านหนึ่งที่แถลงข่าวถูกยืมเงิน(แล้วที่สุดคล้ายถูกหลอก?).. เท่าที่ฟังดูอยากช่วยสรุปว่า.. เพศหญิงมักมีลักษณะจิตอ่อน,หรือใจอ่อน,ขี้สงสารคนอื่นง่าย(เอ็นดูเขา,เอ็นเราขาด),อยากมีสังคม,อยากมีเพื่อน,อยากมีตัวตน,นี่คือเท่ากับเผยจุดอ่อนให้คนเห็นปั๊บ,ก็จะมองออกเลยว่า..ผู้หญิงคนนี้จิตใจอ่อน,ถูกหลอกง่าย..
โดยเฉพาะการคบใครยังไม่นาน,ก็ไปเปิดเผยทรัพย์ส่วนตัวว่ามีมากเท่าไหร่?,โดยแสดงบัญชีเงินส่วนตัวให้คนอื่นเห็นยอดเงินในบัญชีของเรา,ซึ่งอาจเป็นนิสัยเปิดเผย,เพื่อแสดงความจริงใจของตนให้คนอื่นเห็น,แต่คนอื่นอาจเห็นเราเป็นเหยื่อ,เพื่อหวังเอาเปรียบก็เป็นได้(?).. [ซี่งคนเชื้อสายจีนเขาจะถือมาก,ที่จะไม่แสดงทรัพย์ส่วนตัว..เช่น..เงินสดที่เราพกติดตัวหรือยอดเงินในบัญชีให้ใครเห็นเลย.. แม้แต่ทองหยิบ,ทองหยองก็เช่นกัน,คนเชื้อสายจีนก็ยังไม่นิยมใส่อวดโชว์ฐานะ(โดยไม่มีเหตุจำเป็น)เลยนะ.. เพราะคนเชื้อสายจีนเขาจะมีเซ้นซ์ว่า.. อาจจะเป็นช่องให้บางคน(หรือมิจฉาชีพ)คิดหาหนทางที่จะดึงเอาเงินจากเราไปเป็นประโยชน์เฉพาะหน้าแก่ตัวมิจฯได้(?)].. โดยเฉพาะเราไม่ควร(ไม่น่า)จะเชื่อง่ายว่า..จะมีใครหวังดีมากมาย?กระทั่งจะรีบโอนเงินส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไปก่อน,ทั้งๆที่ยังรู้จักกันไม่นาน,และยังรีบเอาสลิปเงินโอนมาโชว์,โดยที่อีกฝ่าย(ที่ตกเป็นเหยื่อ)ก็ยังไม่ได้ตกลงให้เอาเงินของตัวมิจฯมาโอนให้ก่อนเลย(?)(ซึ่งดูคล้ายมัดมือชก?หรือไม่?).. ซึ่งควรระแวงว่า..อาจเป็นสลิ้ปปลอมหรือสลิ้ปทิพย์ที่อาจมีการตกลงบางอย่าง?กับผู้รับโอนปลายทาง?(ซึ่งเป็นมิจฉาชีพ?ที่ทำงานร่วมกัน?)ไว้ก่อนแล้ว,เพื่อมาแสดงให้เป็นข้อผูกมัดให้กับเหยื่อ,เพื่อให้เหยื่อตายใจ?,และถูกกดดันให้ไม่มีทางเลือกอื่น,เพื่อให้ดูสมจริง,จนเหยื่อต้องยินยอมทำตาม?ก็เป็นได้(?).. ผู้หญิงจึงควรถ่วงตุ้มหูไว้ให้หนักๆ(?).. และควรท่องไว้เสมอว่า..อย่าเชื่อคนง่ายนะครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 7 กรกฎาคม 2567 เวลา:21:45:33 น.
(แทรก21).. 25.มีการปะทะกันในหลักปรัชญาเชิงพุทธ,ระหว่างทนายอ.เรื่องมิตรดี3แบบคือกัลยาณมิตร,ปาปมิตร,และพันธมิตร,และทนายอ.,ทนายด.สรุปคล้ายกันว่า..ต้องช่วยปกปิดความลับของเพื่อน.. แต่อีกฝ่ายก็สวนกลับด้วยตรรกะของตนเองทำนองว่ารักเพื่อนจะต้องปกปิดความผิดของเพื่อนด้วยหรือ?.. เราจึงไปช่วยค้นในเว็บของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา.. เพื่อมาช่วยไขหลักพุทธให้ฟังดังนี้ครับ..
คุณมี มิตร ประเภทใด คนทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ล้วนแล้วแต่ต้องมีมิตรด้วยกันทั้งนั้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามิตรที่เราคบหาอยู่นั้นเป็น มิตร ประเภทใด ในทางพระพุทธศาสนาได้จำแนกมิตรออกเป็น ๒ ประเภท คือ มิตรแท้ และ มิตรเทียม มิตรแท้ แบ่งออกเป็น ๔ พวก ได้แก่ ๑. มิตรมีอุปการะ มีลักษณะคือ ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลักษณะคือ ขยายความลับของตนแก่เพื่อน ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้ ๓. มิตรแนะประโยชน์ มีลักษณะคือ ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง บอกทางสวรรค์ให้ ๔. มิตรมีความรักใคร่ มีลักษณะคือ ทุกข์ทุกข์ด้วย สุขสุขด้วย โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อน รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 7 กรกฎาคม 2567 เวลา:23:50:20 น.
(แทรก22).. 26.มิตรเทียมหรือคนเทียมมิตร แบ่งออกเป็น ๔ พวกเช่นกัน ได้แก่
๑. คนปอกลอก มีลักษณะคือ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก เมื่อมีภัยแก่ตัวจึงรับทำกิจของเพื่อน คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๒. คนดีแต่พูด มีลักษณะคือ เก็บเอาของที่ล่วงแล้วมาปราศรัย อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาปราศรัย สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ออกปากพึ่งไม่ได้ ๓. คนหัวประจบ มีลักษณะคือ จะทำชั่วก็คล้อยตาม จะทำดีก็คล้อยตาม ต่อหน้าว่าสรรเสริญ ลับหลังตั้งนินทา ๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย มีลักษณะคือ ชักชวนดื่มน้ำเมา ชักชวนเที่ยวกลางคืน ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น ชักชวนเล่นการพนัน เมื่อได้อ่านจบแล้ว ตอบคำถามได้หรือยังคะว่า มิตรที่คุณคบอยู่ จัดเป็น มิตร ประเภทใด. (โดย.."พรทิพย์ เดชทิพย์ประภาพ") โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 7 กรกฎาคม 2567 เวลา:23:57:32 น.
(แทรก23).. 27.สังคมทุกวันนี้อยู่ยากมาก.. ทั้งๆที่ต้องยอมรับว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุมีผลมากที่สุดก็ตาม.. แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องบางเรื่อง.. เช่น.. การบรรลุคุณวิเศษในระดับต่างๆเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยาก(?)..
อย่างบางสำนัก.. เช่น.. สำนักสีกรักแถวๆคลองกุ่ม,บรรดาลูกศิษย์ก็มักจะยอมรับว่า..เจ้าสำนักของตนได้บรรลุภูมิธรรมชั้นสูงสุดแล้ว.. แต่บางกรณีที่มีเหตุชวนสงสัยว่า..ท่านบรรลุสูงสุดจริงหรือไม่?.. เหล่าบรรดาลูกศิษย์ก็จะพากันออกมาช่วยปกป้องว่า.. กับพระอรหันต์ต้องใช้สติวินัยกับท่าน.. ประมาณว่า.. ถ้าท่านผิดเล็กๆน้อยๆ,ก็ไม่ต้องไปเอาผิดท่าน..ประมาณนั้น(?).. แต่จริงๆ..เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก.. เช่น..บางโอกาส,ท่านยังมีการหลั่งน้ำตาต่อหน้าสานุศิษย์เป็นจำนวนมากและหลายวาระด้วย(?),จะมาอ้างว่าเป็นอุเพงคาปีติก็ดูจะฟังไม่ขึ้น?(หรือไม่?).. หรืออาจมีคำถามว่า..อรหันต์จะยังมีการขาดสติบ่อยๆ?จนต้องใช้สติวินัยกับท่านอยู่อีกหรือ?.. แล้วก็ยังมีบางสำนักที่ลาออกจากสำนักสีกรักคลองกุ่มนี้(เมื่อปี55),แล้วก็นำคำสอนบางอย่างไปพูดต่อยอดจนเป็นประเด็นเรื่องอนาคามีสามารถกลับมาเกิดในโลกได้อีก(?),ซึ่งผิดจากหลักคำสอนของพระไตรปิฎกของเถรวาทอย่างโต้งๆ(?),ซึ่งเป็นเรื่องมิติของจิตวิญญาณซึ่งพิสูจน์ใดๆได้ยากมาก(?).. แต่พระผู้ใหญ่ดังๆก็พากันวางเฉย,ไม่เห็นมีท่านองค์ใด?ที่จะออกมาไขข้อข้องใจให้กับพุทธศาสนิกสายเถรวาทว่าความจริงคืออย่างไรกันแน่?..แต่อย่างใดเลย(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 8 กรกฎาคม 2567 เวลา:23:15:52 น.
ปรัชญาของพุทธต้องยอมรับว่า..หลายเรื่อง,หลายกรณีทำให้สับสน(ในโลกยุคนี้)ที่มีการแฉกันไป,แฉกันมาอย่างมากมาย(?),โดยเฉพาะกลายเป็นอาหารอันโอชะ?ต่อสื่อมวลชนบางส่วน(ที่ต้องการเรตติ้ง?ของผู้เข้าชม)..
ใครที่อดีตเคยทำอะไรไว้?,ก็จะถูกขุด(?),ถ้าคุณขืนอยากมีแสง?,และทำตัวโดดเด่นเกินไป?.. เพราะไม่มีใครอยากเห็นคุณเด่นเกิน?..นั่นไง?.. อย่างกรณีทางพุทธเถรวาท(ตามพตปฎ.)ก็มีสอนอยู่ว่า.. เพื่อนแท้ต้องไม่เปิดเผยความลับของเพื่อน.. แต่บางคนก็มาพูดสวน(เพราะอ่านใจที่ชิงดีชิงเด่นแบบผู้หญิงๆที่ตนเองมีต่อเพื่อนไม่ออก?)ว่า..ถ้ารักเพื่อนแล้วต้องปิดบังความผิดของเพื่อนด้วยหรือ?..ประมาณนี้(?).. แต่เราคิดว่า.. ก็ควรตักเตือนเพื่อนได้,แต่ถ้าเขาไม่ฟังเรา,เราก็แค่ถอยออกมา,กรรมของเขาก็คือกรรมของเขา,เราไม่จำเป็นต้องมาร่วมแฉ?หรือร่วมขยี้?.. เพราะถ้าเช่นนั้น..เราก็ไม่ชื่อว่าเป็นเพื่อนแท้..ใช่หรือไม่?.. อย่างคำสอนพุทธนั้น,สอนกระทั่งธรรมะของความเป็นโจรก็มีด้วยนะ.. คือสอนว่า..ถ้าคิดจะเป็นโจร,ควรต้องมีคุณธรรมของโจรอย่างไร?.. เป็นต้น.. คือสรุปว่า.. พระพุทธเจ้าไม่ได้มองว่า..จะต้องให้โลกนี้มีแต่คนผู้มีจิตใจที่ดีบริสุทธิ์ไปทั้งหมด..ประมาณนั้นไงครับ(?).. หรือมิตรภาพของความเป็นเพื่อนที่ต้องมีก็คือต้องจริงใจต่อเพื่อน,ไม่อิจฉาเพื่อน,ไม่เปิดเผยความลับของเพื่อน..เป็นต้น.. หรือเช่น.. มีคำสอนพุทธว่า..กตัญญูคือเครื่องหมายของคนดีนั่นไง?.. คือถ้าคุณไร้กตัญญูต่อเพื่อนที่เคยช่วยเหลือคุณมาก่อน,แล้วคุณก็ไปแฉเขานั่น,นี่,นู่น(?),คุณก็จะไต่เต้าเป็นคนที่ดีขึ้นกว่านั้นได้ยาก(?).. เหมือนที่หลักศาสนาพุทธสอนว่า..คนที่ฆ่าพ่อแม่ก็จะถูกปิดกั้นต่อการบรรลุธรรมแม้ระดับแค่พระโสดาบันก็ตาม(?)..นั่นไง?..ใช่หรือไม่?.. หรือก็คงไม่มีใครอยากจะคบกับคุณแล้ว(?),เพราะเขาก็กลัวว่า.. วันหน้า,วันหลัง,คุณก็อาจจะทรยศเขาได้เช่นกัน?,หรืออาจไปแฉในสิ่งที่เขาเปิดเผยกับคุณเพราะสนิทกันเป็นการส่วนตัว..ได้เช่นเดียวกัน?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 8 กรกฎาคม 2567 เวลา:23:52:16 น.
ต้องยอมรับว่าปรัชญาพุทธหลายเรื่องมีความสับสน.. แต่เรามักจะนำมาขบคิด,และทำตามดุลยพินิจของตนเอง.. เช่น..
1.อย่างเรื่องการไม่แพร่งพรายความลับของเพื่อนก็ถือว่าเป็นกัลยาณมิตรนั้น,เราเชื่อปรัชญาพุทธ(ซึ่งมีในพระไตรปิฎกเรื่องมิตรแท้4พวก,มิตรเทียม4พวกนั่นไง?).. คือ..ถ้าเรารู้ว่าใครชอบปากสว่าง,หรือชอบนำความลับของเพื่อนไปขยายในทางที่ทำให้เสื่อมเสีย.. แน่นอน!..ถ้าเรารู้,เราไม่คบแน่นอน..(ซึ่งคนเรามีทั้งมุมบวก,มุมลบ.. ดังนั้น..เพื่อนแท้ก็ควรให้โอกาสเพื่อนในการเรียนรู้,ปรับปรุงแก้ไข,เพราะไม่มีใครที่ดี,บริสุทธิ์,เพอร์เฟ็คทุกประการหรอก(?).. และเราเชื่อว่า..มีคนจำนวนมากที่คิดเหมือนเรา.. แต่ถ้าใครมีรสนิยมที่ชอบเพื่อนทรยศ,ก็ขอให้ได้เพื่อนแบบนั้นก็แล้วกันนะครับ.. 2.พุทธแม้จะสอนเรื่องความกตัญญู,แต่ถ้าคนที่มีบุญคุณกับเรา,แต่กลับทำร้ายชาติหรือส่วนรวมที่เป็นมูลค่ามหาศาล(ถึงขนาดที่อาจทำให้ประเทศล่มจมได้)ล่ะ?,เราควรคิดว่าต้องกตัญญูต่อเขาอย่างเถรตรง(จนชาติพินาศ)หรือไม่?.. แม้แต่นักการเมืองดังบางคน(ที่จบอ๊อกว่อร์ด)ก็ยังเคยพูดทำนองว่า.. ถ้าเรายอมทรยศ(อกตัญญู)ต่อนาย,เพื่อช่วยลดความสูญเสียที่นายไปโกงชาติมหาศาล,ก็น่าจะยอมทำนะ?..ประมาณนั้น(?).. ซึ่งตอนนั้น..เราฟังแล้ว,เราก็เก็บมาคิด,และคิดว่า..น่านำมาพิจารณาเหมือนกันนะ(?).. แต่เรามองว่า..มันต้องเป็นประเด็นใหญ่เพื่อชาติจริงๆ..ไม่ใช่เป็นเรื่องวิธีเทคนิคหาเงินเล็กๆน้อยๆ?ที่มีกันเกร่ออยู่แล้วเป็นธรรมดาของระบบเสรีนิยม,ที่รัฐปล่อยให้มีการดิ้นรนหากิน,แข่งขันสร้างฐานะแบบอิสระในสังคมวัตถุนิยม,ซึ่งมุ่งแสวงเงินเป็นหลัก,ซึ่งอาจมีเรื่องขาวบ้าง,เทาบ้าง,แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละบุคคล(ซึ่งแต่ละคนอาจคิดได้ไม่เท่ากัน?)หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:2:41:36 น.
3.อย่างเรื่องการขายอาหารเสริม(ซึ่งอาจโฆษณาเกินจริง)ที่กำลังเป็นข่าว..เป็นต้น.. ก็มีการทำอาชีพนี้(โดยอาศัยเครดิตความดังส่วนตัว,เพื่อแสวงหาทรัพย์,เพื่อแข่งฐานะกันอยู่เป็นจำนวนมาก.. เป็นต้น).. ซึ่งบางครั้ง..ก็เป็นเรื่องที่สาละวนปนเป,ขาวๆเทาๆ(?).. ซึ่งถ้าเราเป็นเพื่อน,เราก็อาจแค่ถอยห่างออกมา,ถ้าเห็นว่าแนะนำหรือห้ามแล้วเขาไม่ฟัง..เท่านั้น..(และอาจหาวิธีให้ความรู้กับประชาชนในช่องทางต่างๆก็ได้.. เป็นต้น)..
และถ้าจะโทษ,ก็ต้องโทษที่ระบบ,ธรรมดาเมื่อระบบส่งเสริมให้คนเห็นแก่เงิน,ให้แข่งขันกันสร้างฐานะแก่ครอบครัวตนเองเฉพาะหน้า,ก็จึงมักจะมีเรื่องของการหารายได้แบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างๆทั้งขาวบ้าง,เทาบ้าง.. เช่น..วิธีขายตรงได้หัวคิวจากลูกทีมบ้าง,ชวนลงทุนในหุ้น,ในทองคำ,เล่นแชร์,ในวิธีการแปลกๆสารพัด,ก็เป็นเรื่องธรรมดา..นั่นแหละ?.. ซึ่งถ้าจะแก้,ก็ต้องแก้ที่ระบบ,ให้เป็นระบบสังคมฯ,หรือให้เป็นระบบรัฐสวัสดิการ,ซึ่งถ้าคุณตกงาน,รัฐก็ดูแล,และไม่ต้องให้ประชาชนต้องแข่งฐานะกันมาก,แต่มันจะสามารถทำได้มั้ยล่ะ?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:2:48:43 น.
(แทรก24).. 28.เราส่วนตัว.. ยอมรับว่าไม่คอยเชื่อเท่าไหร่ว่า..คนเราจะสามารถละขาด(โดยไม่ถวิลหาใดๆ)ในเรื่องทางเพศได้อย่างเด็ดขาดได้เลย.. เพราะดูแต่นักบวชพุทธไทยตั้งแต่ในอดีตมา.. เช่น.. ท่านนิกรโณ,ยันตโร,พุทธาภาวโน.. กระทั่งเณรค.และท่านมิตซูบิโชก็เจอกลเม็ดอันเดียวกันที่เรียกว่านารีพิฆาตนั่นเอง(?)..
กระทั่งวันนี้.. ก็ได้ดูข่าวช่องวัน,6-7-67,ก็ยังพบว่า.. แม้ผู้ที่มุ่งแสวงความต้องการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างลามะหนุ่มชาวเนปาลด้วยการบำเพ็ญ,เคี่ยวกรำ,ทำทุกกรกิริยาในป่าอย่างหนักก็ตาม.. ก็ที่สุดไม่อาจพ้นไปจากกลเกมของนารีพิฆาตไปได้เลย(จนต้องถูกจับในคดีข่มขืนเด็ก14ปี,และถูกลงโทษจำคุกไปแล้วมั้ยล่ะ?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:20:08 น.
เราส่วนตัวจึงสรุปว่า.. มนุษย์นั้นยังคงดำรงสัญชาตญาณทางเพศเหมือนสัตว์โลกทั่วไปที่ต้องการการผสมพันธุ์.. โดยไม่อาจหลุดพ้นไปจากปลักตมของกามารมณ์จากการถูกยั่วยวนด้วยเรือนร่างที่อ่อนช้อย,พลิ้วไหว,และรวมทั้ง"จริต,กิริยาอาการของสตรีไปได้เลย.. เพราะหญิงนั้นเป็นเพศที่สามารถยั่วเย้าให้ชายใดๆเกิดอารมณ์ทางกามารมณ์ได้มากที่สุด..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:25:47 น.
และในคลิปที่มีการนำเสนอจากสื่อต่างๆออกมานั้น.. เรายังสังเกตพบเห็นในคลิปที่มีนางรำสวรรค์(บางคน)ที่แต่งกายด้วยชุดรัดรูปมาร่ายรำ,และมีเด็กชาย8-9ขวบ(บางคน)มองด้วยสายตาที่ไม่ละวางเลย?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:33:15 น.
เราจึงมองว่า.. เมื่อเด็กบางคนเจริญเต็มวัยเสียก่อน.. ซึ่งเราเชื่อว่า..เมื่อถึงวันนั้น..เด็กผู้ถูกปั้นแต่งและถูกสร้างให้มีจินตนาการที่เว่อร์วังอลังการ?(บางคน).. เมื่อถึงวาระนั้น,ก็คงไม่พ้นไปจากมิติพิศวงแห่งกลนารีพิฆาต..ไปด้วยเช่นกัน(?)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:36:49 น.
(แทรก25).. 29.ดูสื่อทุกวันนี้..ก็ไว้วางใจค่อนข้างยากเหมือนกัน.. บางทีก็ชอบ"ถามนำคล้ายเสี้ยมให้เกิดการขัดแย้ง,บางทีก็อ้างว่าถามแย้งแทนอีกฝ่ายที่ไม่มา.. เท่าที่เห็นมี4ช่องสื่อ(ชาย2,หญิง2)..
กรณีตอ.ที่กำลังเป็นข่าว,เวลาที่เขายังไม่ถูกกล่าวหา,พวกสื่อก็ไปหาข่าว,หาคอนเท้นต์กับเขา,แต่พอเขามีกรณีถูกกล่าวหาขึ้นมาใหม่(ซึ่งจริงๆ..บางส่วนเป็นข่าวเก่าหลายปีมาแล้ว),ก็พากันรุมทึ้ง,โดยอ้างว่าตนถามอย่างเป็นกลาง(แต่ฟังดูแล้วมันไม่กลางเลย,คุณไม่ใช่ศาล,อย่าพึ่งไปตัดสินใครเร็วนัก?),แต่ดูค่อนข้างไร้น้ำใจ.. จริงๆไม่สำคัญว่าต้องเป็นกลาง,แต่ที่สำคัญคือต้องเป็นธรรมมากกว่า.. 1.สื่อชาย1ช่อง,พอเชิญให้ตอ.โฟนอิน,พอเขาไม่เข้ามาตามนัด,พอฟังดูการพูดแล้ว,ก็เหมือนกับจะแฉเขาอย่างเต็มสตรีม(คล้ายแก้แค้นที่ไม่รับสายประมาณนั้น).. 2.ชายอีก1ช่อง(ที่มีขายสินค้าของตัวเองไปด้วย)ก็ไปสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์กับทนายด.,ฟังดูแล้วก็เหมือนไปถามแบบจับผิดทั้งตอ.และทนายด.ไปด้วย..(คล้ายเอียงข้าง,ตั้งธงไว้แล้ว,และช่องนี้เคยมีมวลชนไปประท้วงเมื่อหลายปีมาแล้วด้วย).. 3.หญิงสื่ออิสระอีกช่อง,ที่ชอบสัมภาษณ์แบบผ่านวีดีโอคอล, ก็ถามแบบคล้ายล้วงหาข้อมูล(คล้ายมีวาระในใจซ่อนอยู่?)กับทนายด.,จนทำให้ท่านอึดอัด,และคนดูก็พลอยอึดอัด,จนต้องคอยเตือนให้ทนายด.ว่าอย่าหลุดข้อมูลนะ..ไปด้วย.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:07:17 น.
4.หญิงอีก1ช่อง,ตอนสมัยช่วงเชื่อมจิต,ก็มีนำเสนอข่าวของตอ.อยู่เรื่อยๆตามปกติแบบให้เกียรติ(ก็คือ..ก็ได้ประโยชน์จากเขามาโดยตลอด),แต่พอมีเรื่องตอ.ถูกแฉนั่น,นี่,แล้วก็เริ่มเปิดเผยธาตุแท้ของสื่อช่องนี้ออกมา..
คล้ายมีรายการตั้งขึ้นใหม่,เชิญคนที่อยู่ตรงข้ามกับตอ.มาร่วมรายการ,และถามคล้ายชี้นำประเด็น,แบบเอียงข้างบางฝ่าย,เดาว่า..คล้ายๆว่าพอไปดูโปรไฟล์ของตอ.(ที่บางช่องนำมาเปิดเผย)ว่า..คล้ายในอดีต,ตอ.เคยอยู่สีแดง,สีส้มมาก่อน,ซึ่งช่องที่ว่านี้เขาเป็นช่องเชียร์สีเหลืองอยู่แล้ว,ก็เลยเข้าทาง,มักตั้งคำถามที่ทำให้เกิดภาพลบแก่ตอ.(กึ่งกล่าวหาไว้ล่วงหน้า?)แบบไม่เกรงใจกันเลยเป็นส่วนมาก.. อยากบอกสื่อบางช่องว่า..ประชาชนเขากินข้าวครับ.. อย่ามองว่าประชาชนไม่รู้ทันสื่อนะครับ.. เขาสังเกตออกไม่ยาก,จากการชมรายการแล้ว,เขาก็สามารถจำแนกแยกออกได้ว่า.. คุณผู้สื่อข่าว(บางช่อง)กำลังถือตาช่างเอียงไปข้างไหน?นะจ๊ะ.. (คือดูจากการตั้งคำถาม,ปชช.คนดูเขาก็แยกแยะได้เลยจ้ะ.. ไม่มีใครที่ดีบริสุทธิ์ทั้งหมดหรอก,ความดีที่ตอได้ทำไปก็ควรเอามาถ่วงดุลด้วย,ไม่ใช่จะพากันรุมทึ้งอย่างเดียวเท่านั้น,และไม่ควรไปถือหางคนที่ทรยศเพื่อน..ด้วยนะครับ.. เพราะไม่เช่นนั้น.. ต่อไป..สังคมไทยจะไม่มีใครที่จะไว้ใจต่อกันได้เลยครับ).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 9 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:37:42 น.
(แทรก26).. 30.(ข้อคิด)..สังคมไทยเป็นสังคมที่ตลก(ร้าย)?และไม่พัฒนา?..หรือไม่?.. เช่น..
1.ที่ดินของประเทศไทย( =ของรัฐ),ถ้าไปครอบครองเกิน1ปี,ก็จะได้กรรมสิทธิ์,เรียกว่าที่ดินมือเปล่า?..ประมาณนั้น(?)..( =ส่งเสริมการทำผิดศีลข้อ2หรือไม่?.. ทำให้ประชากรนิสัยไม่ดีเพิ่มมากขึ้น?หรือไม่?).. 2.การครอบครองปรปักษ์( =แย่งของผู้อื่นมาเป็นของตน?),ก็เท่ากับส่งเสริมการผิดศีลข้อ2ด้วยเช่นกัน?..หรือไม่?.. ทำให้เกิดปัญหาเป็นคดีความมากมาย,จนถึงขั้นมีผู้คิดสั้นเพราะรู้สึกอับอาย,ที่เป็นข่าวอื้อฉาว?,จนเสียชีวิตไปแล้ว(?).. จริงๆ..ความผิดน่าจะมาจากกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อหลักศีลธรรม?หรือไม่?.. ไม่รู้ว่าออกกฎหมายบางอย่าง?มาได้อย่างไร?..[อย่างพระพ.ก็ยังเคยมีถูกโกง,กรณีนำโฉนดมาทำถุงกล้วยแขก?มาแล้ว(?)..นั่นไง?].. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:12:26:33 น.
3.สังคมไทยบางส่วนดันไปมีคติเบี้ยวๆว่าไม่มี,ไม่หนี,ไม่จ่าย,จึงไปสร้างค่านิยมผิดๆให้กับสังคม(?),ทำให้สังคมเต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์หลวงศรีฯ(?),มีแต่คนที่หน้าหยิกไม่เจ็บ?,สร้างปัญหาให้คดีรกศาล?เต็มไปหมด(?)..
(อาชีพเกี่ยวกับกฎหมายจึงเป็นอาชีพที่สร้างฐานะได้ดีอีกอาชีพหนึ่ง?(ในยุคนี้),รองๆจากอาชีพที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ?เลยเชียวนะ?).. ดังนั้น.. จึงมีทยายด.และคุณเอ่ต้องออกมาโต้ว่าเป็นหนี้ก็ต้องใช้สิ?..นั่นไง?.. 4.มีลูกหนี้บางจำพวก,เป็นหนี้แล้วไม่จ่าย,รอให้เจ้าหนี้อึดอัดมากๆ,แล้วออกมาแถลงข่าว,พอเข้าข้อหาหมิ่น,ก็เลยทำท่าจะไปฟ้องศาล?.. คนดูคือประชาชนเขาก็พอมองออกว่า.. บางฝ่ายมีเจตนาต้องการฟ้อง,เพื่อเอาค่าเสียชื่อเสียง?เพื่อมาหักกลบลบหนี้?,เพื่อจะได้ไม่ต้องชดใช้หนี้?..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:12:45:40 น.
5.บางคนมีการทำผิดเกี่ยวกับเรื่องร้ายแรงบางเรื่อง?,แทนที่จะยอมรับผิดไปเลยให้คดีง่ายขึ้น,แต่ความที่รู้กฎหมาย(เพราะตนอยู่ในวงการกฎหมาย),ก็เลยไปเล่นเรื่องเทคนิควิธีการการเอาผิดกับตนว่า..ไม่ถูกต้อง?.. ปัญหาก็เลยลุกลามไปกันใหญ่.. ฝ่ายผู้ใหญ่คนดีๆในสังคมก็พากันเฉยเสีย(?),ไม่มีใครอยากเปลืองตัว(?),เพราะถ้าขืนออกมาแสดงความเห็น,ก็อาจจะถูกฟ้องหมิ่น?ได้อีกเช่นเดียวกัน(?)..
6.คนบางคน(ซึ่งเคยมีตำแหน่งใหญ่),ซึ่งสังคมเคยดูว่า.. เป็นคนแบบฮีโร่,วีรบุรุษ),แต่ทำไปทำมา,ก็ดันไปคบหากับบางคนที่มีมลทิน?,และคล้ายไปประสาน?,ไปดีลด้วย?,ทำให้กระบวนการยธ.เกิดการบิดเบี้ยว?.. ทำให้กลุ่มคนที่เคยเชียร์บางท่านมาก่อน?(เพราะเห็นว่าเป็นผู้กล้าชนกับคนใหญ่คนโตมาก่อน),ก็เลยพากันงง?.. ไม่รู้จะวางตัว?,แสดงออกต่อท่าน?..กันอย่างไรดี?..เลยล่ะ?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:06:59 น.
(แทรก27).. 31.เรามีความเห็นส่วนตัวว่า.. สังคมไทยที่ไม่พัฒนา(และเสียเศรษฐกิจชาติในภาพรวม)อย่างมาก.. เพราะกฎหมายหมิ่นบุคคลต่างๆ?นี่เอง(?).. ซึ่งเราว่า..น่าจะมีการแก้ไขว่า.. ให้คดีหมิ่นบุคคลทั้งหลายจะต้องไม่มีการเรียกเงินค่าเสียหายต่างๆ.. ซึ่งทางสังคมมักจะเรียกกันว่า..คือเท่ากับเป็นการฟ้องเพื่อปิดปาก?..(เพราะไทยเคยเสียที่ดินเขาพระวิหารก็เนื่องจากเจอกรณีของกฎหมายปิดปาก?,ซึ่งอาจเป็นเหตุผลอีกมุมหนึ่ง,แต่มีชื่อคล้ายๆกัน?มาแล้ว?.. นั่นไง?)..
เพื่อไม่ให้พูดถึงความผิดของบางคน?(ซึ่งหลายกรณีที่มีการเปิดเผยความผิดแทบทั้งหมดนั้น,มักเป็นประโยชนต่อสังคม?(ในทางใดทางหนึ่ง?)เสมอ(?).. คือถ้ามีการพิสูจน์ว่า..สิ่งที่เปิดเผยไม่มีมูล,เป็นการกล่าวเท็จ,หรือใส่ร้าย,ก็แค่ให้ทางรัฐเป็นเจ้าภาพ(ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด)เพื่อจัดให้มีการถ่ายทอดต่อสาธารณะโดยทำเป็นคลิปวีดีโอการแสดงการขอขมา,ขอโทษกัน,เพื่อให้สื่อมวลชนนำการขอโทษ,ขอขมาต่อผู้เสียหาย,ไปนำเสนอต่อประชาชน..เท่านั้นก็พอ(?).. ที่สำคัญคือกระบวนยธ.ต้องตระหนักว่า..อย่าให้คดีล่าช้า..เป็นอันขาด?.. เพราะยิ่งกระบวนยธ.เร็วได้เท่าไหร่?,ยิ่งเสียเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยรวมและเสียสุขภาพจิต,ความเครียดของทั้ง2ฝ่ายน้อยลงได้มากเท่านั้น..(ซึ่งคนไทยจะได้ลดอัตราคนวิกลจริตเพราะความเครียดลงได้มาก).. และยังอาจลดการวิ่งเต้น?ในกระบวนยธ.,เพื่อให้ตนเองเป็นฝ่ายชนะ?ได้อีกด้วย(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:22:17 น.
(แทรก28).. 32.ทนายที่เราชื่นชม(เฉพาะ ณ วันนี้นะ.. อนาคตไม่รู้นะ)ว่าเป็นทนายที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา.. คือ..
1.ทนายอ.,เราชื่นชม.. คือที่ท่านสู้เรื่องพุทธศาสนาเถรวาทอย่างเต็มที่,ไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น.. ซึ่งยากหรือมีน้อยที่จะหาคนที่"กล้าทำในเรื่องเหล่านี้"ได้.. ขอให้กำลังใจท่านด้วย.. และอีก1ท่าน.. คือ.. 2.ทนายด.,เราก็ชื่นชม.. คือท่านเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมาอย่างมาก,และไม่ใช่ซื่อแบบบรื๋อๆ?ด้วยนะ(?).. แต่ท่านมักรู้ทันทุกคน,รวมทั้งรู้ทันสื่อบางคนที่เป็นสื่อที่มีเหลี่ยมเยอะ?,รวมทั้งสื่อที่จะมาล้วงความลับทางคดี?กับท่านด้วย(?).. อยากบอกว่า..มีประชาชนชอบท่านมากนะ.. เพราะดูท่านจะกล้าพูดถึงทุกคนที่เป็นข่าว,แต่ก็เห็นมี2คนที่ดูท่านทนายด.จะไม่ค่อยอยากพูดถึง..(หรือไม่อยากไปรบด้วย?),คือ..บางคนในค่ายผ...?,และบางคนที่มีเครดิตของความเป็นฮีโร่?(ในอดีต)..นั่นน่ะ?..เท่านั้น(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:04:40 น.
(แทรก29).. 33.(การวิเคราะห์สังคมไทย)..
1.เพราะสังคมโลกให้ความสำคัญเรื่องเงิน.. ดังนั้น.. สังคมไทยก็ต้องตามสังคมโลก,เป็นเหมือนไฟ้ต์บังคับที่ต้องใช้เงินเป็นความสะดวก,จะไปใช้ของแลกกันไปมา,พะรุงพะรังเหมือนคนสมัยโบราณได้ยังไง?.. จึงทำให้สังคมเริ่มซับซ้อน,มุ่งหาแต่เงิน,เพื่อแก่งแย่ง,ประชันฐานะกัน,เพื่อความสุขสบายแห่งตน,และเพื่อให้คนรอบข้างนับหน้าถือตาและเกรงใจ.. จริงๆมีอาชีพกสิกรและอาชีพผู้ใช้แรงงาน( =วรรณะศูทรในคติของอินเดียโบราณ)เท่านั้น,ที่ดูเป็นอาชีพที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ในสายตาของพุทธศาสนา.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:07:11 น.
2.อย่างอาชีพค้าขาย( =วรรณะแพศย์ในคติของอินเดียโบราณ)ก็เป็นอาชีพของเงินต่อเงิน(หาส่วนต่าง,กินกำไรต่อกันไปมาเท่านั้น),ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ผลิตพืชผลอันเป็นรากฐานของความอยู่รอดด้านอาหารของสังคมมนุษย์เป็นหลักใหญ่..แต่อย่างใด?..
แต่เรื่องส่วนต่างแบบซื้อมา,ขายไป,ซึ่งมีลักษณะของเหลี่ยมคูหรือกลเม็ดการค้า,ที่จะหาทางให้ได้ส่วนต่างมากๆ(โดยไม่ให้ลูกค้ารู้ตัว.. เช่น.. การโกงเครืองชั่งต่างๆ.. เป็นต้น),ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบต่อลูกค้าที่มาซื้อขายด้วย.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:19:23 น.
3.ต่อมาก็มีการโฆษณา,สร้างภาพ,โดยผนวกการขายชื่อเสียง?ของคนดัง(เซเล่บ)ต่างๆ?,ทำให้สินค้าและการทำเรื่องร่วมลงทุน?นั้นมีลักษณะสินค้าทิพย์?ขึ้นมา,ซึ่งทำให้หลายๆคน,ทั้งคนดัง(บางคน)ที่เป็นพรีเซ็นเตอร์?และผู้ลงทุนร่วมกับคนดัง?สามารถสร้างฐานะความร่ำรวย,ให้แก่เฉพาะกลุ่มใกล้ชิดพวกตนเองได้รายได้เป็นเงินจำนวนมาก(?)..
กอปรกับสังคมไทยมีพื้นฐานเป็นชาวพุทธซึ่งสอนเรื่องบุญ,ทาน,โดยมักอ้างว่า..จะทำให้ได้ฐานะที่สุขสบายเป็นเศรษฐีในชาติหน้า(?),ก็เลยพากันหลงใหล?ในการทำบุญ-ทำทาน?ไปกันใหญ่(?).. จึงเป็นช่องให้กลุ่มธุรกิจเงินต่อเงินต่างๆ?(บางส่วน),รวมทั้งกลุ่มลัทธิความเชื่อ?(บางส่วน)พากันแอบแฝงเข้ามาโดยมักอ้างการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม?และ"การช่วยเผยแพร่ศาสนา?"มาเป็นภาพบังหน้า?เพื่อให้ดูน่าศรัทธาช่วยเหลือ?(ด้วยเพราะต้องการหาเงิน?เป็นหลัก?),โดยมีรายได้ของผู้นำกลุ่ม?เป็นเรื่องของตัวเงินเป็นหลักใหญ่(?).. ซึ่งเป็นเท็คนิค,แท็คติกการหาเงิน?..เท่านั้นเอง(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:43:48 น.
4.ต่อมาอีก..เป็นที่รู้กันเป็นธรรมดาว่า.. ถ้าไม่อ้างเรื่องมูลนิธิก็จะมาหาเงินด้วยวิธีซิกแซ็กที่จะอ้างเรื่องศรัทธา,ความเชื่อ?ในการทำบุญกุศล?โดยใช้ในนามของตัวบุคคล?(ที่เป็นเอกชนเดี่ยวๆ?)ได้โดยยาก(?).. จึงมีการทำเรื่องจิตอาสา?,ความเชื่อ?,ความศรัทธา?,องค์กรศาสนา?ในรูปมูลนิธิกันเป็นจำนวนมาก(?)..(โดยแนะนำกันแบบปากต่อปาก?ก็มี,และมีจนท.รัฐบางส่วน?คอยแนะนำช่องทางการทำมูลนิธิ?ด้วยก็มี?)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:53:37 น.
5.จริงๆ.. ก็คือ..อย่างบางกรณี.. เช่น.. ระบบบริษัทมักจะเสียภาษีมาก?,แต่ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วน(ทั้งๆที่มักจะมีแต่พี่ๆน้องๆในครอบครัวตนเองเท่านั้น?,ที่เข้ามาลงนามเป็นหุ้นส่วน?)ก็จะเสียภาษีน้อยลง?,ซึ่งจนท.รัฐ?มักเป็นผู้แนะนำ?ให้กับผู้ที่คิดจะก่อตั้งบริษัทเสียเองด้วย(?)..
คือสังคมไทยต้องยอมรับว่า..มักจะมีเรื่องของการหลบเลี่ยงภาษี?(เช่น..การทำบัญชี2เล่ม?..เป็นต้น?)เป็นจำนวนมาก(?).. แม้แต่ในเรื่องระบบเทคนิคการซื้อขาย?ในตลาดหุ้น?ด้วย?..ก็ตาม?.. เพราะคนไทย(บางส่วน)แม้จะชอบการทำบุญทำทาน,แต่ก็มักมีเรื่องของการขี้เหนียวภาษี?ที่จะเสียให้รัฐ?.. ดังนั้น.. เมื่อดูว่า..ตนเองต้องเสียภาษีให้รัฐปีหนึ่ง,ปีหนึ่ง,เป็นจำนวนมาก,ก็จึงมักหาทางหลีกเลี่ยง,หลบเลี่ยง?(ให้ได้มากที่สุด?)กันเป็นเรื่องธรรมชาติ,ในแบบฉบับของตำนานหลวงศรีฯหรือบักเซียงเหมี่ยง?..นั่นเอง(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:10:55 น.
6.มี2เรื่องที่เป็น"ข้อสังเกต".. คือ.. สังคมไทยมีภาพที่ดีในเรื่องการมีองค์กรบางองค์กรสำหรับ"ดูแลสังคมให้ปลอดภัย".. คือ..
(1)องค์กรอย.และสคบ.ซึ่งมีหน้าที่ให้ความปลอดภัยแก่ประชาชน,.. แต่เมื่อสังคมนี้มีแต่อุดมการณ์หรือนโยบาย?(ทาง"การเมือง?")ที่จะให้ประชาชนหารายได้?เพื่อประชันฐานะกัน?,เพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจในภาพรวมใหญ่ของประเทศ?.. ดังนั้น.."ต่างคน,ต่างครอบครัว"จึงมักหาช่องทาง,ในการผลิตสินค้า(เพื่อธุรกิจหารายได้?)ที่มีลักษณะสีเทาๆ?ที่อาจเป็นภัยต่อผู้บริโภค?อยู่เป็นจำนวนมาก(?).. แล้วถามว่า..เฉพาะองค์กรดังกล่าวข้างต้นนั้น.. จะมีคนทำงาน?และงบประมาณ?ที่มากเพียงพอที่จะไปตรวจสอบ,สกัดกั้นความไม่ชอบธรรม?ในการผลิตสินค้าสีเทาๆ?,ซึ่งอาจมีเป็นจำนวนมากทั่วประเทศไทย?ได้หรือไม่?.. เพราะสังคมไทยไม่มีพันท้ายนรสิงห์?หรือชาวบ้านบางระจัน?อีกต่อไปแล้ว(?).. จะมีก็แต่พันธุ์ศรีธนญชัย(ซึ่งมี"DNAเจ้าเล่ห์,เห็นแก่ตัว?),ซึ่งมีเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก?..เท่านั้น(?)..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:38:07 น.
(2)และอีกองค์กรหนึ่งก็คือองค์กรที่อนุญาตให้มีการจัดตั้งมูลนิธิต่างๆทั่วประเทศไทย.. ก็มีคำถามว่า.. คุณจะสามารถไปตรวจสอบระบบการบริหารมูลนิธิต่างๆ?และบัญชีค่าจ่ายของมูลนิธิต่างๆ?ทั่วประเทศไทย(?)..ได้อย่างทั่วถึง(?)..ได้หรือไม่?..
แล้วกำลังคนที่จะเข้ามาตรวจสอบนั้น,มีมากเพียงพอหรือไม่?(เช่นเดียวกัน?).. คือสรุปว่า.. นโยบายขององค์กรตรวจสอบเหล่านี้นั้นอาจดูสวยหรูและมีอุดมการณ์ที่ดีก็ตาม.. แต่ถามว่า..จะมีกำลังคน?,กำลังเงิน?เพียงพอที่จะทำอุดมการณ์ที่สวยหรูให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม?..ได้แค่ไหน?..หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:48:16 น.
7.ขอเพิ่มเติมว่า.. อย่างบางลัทธิ?,ศาสนา?,และความเชื่อ?ที่เป็นของต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย,ก็มักจะมีการจัดตั้งในรูปแบบที่เป็นมูลนิธิ(?)..เช่นเดียวกัน(?)..
แต่เท่าที่เคยทราบมาบ้าง.. ซึ่งมีบางส่วนก็คล้ายจะมีการทำแบบแนบเนียน?.. คือมีการสร้างเป็นสถานประกอบพิธีกรรมบูชา?(?),โดยมีการรับเงินบริจาค?,แต่มักจะมาสร้างสถานดังกล่าว?ในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์?ของผู้ก่อตั้งมูลนิธิ?นั่นเอง(?)(ซึ่งไม่ได้เป็นนักบวช).. เสร็จแล้ว.. เมื่อภายหลัง..ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ.. อาคารต่างๆเมื่อไม่ได้ใช้งานแล้ว,ก็จะตกเป็นของเจ้าของที่ดินคนเดิม?..ในที่สุด(?)..ใช่หรือไม่?.. เป็นต้น.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:21:03:11 น.
(แทรก30).. 34.เรื่องที่เราสังเกตอีกเรื่อง.. คือ..สื่อบางสื่อ?(สื่อดัง).. คล้ายเล่นไพ่2หน้า?(และมีบริบทที่เลือกข้างทางการเมือง?,ซึ่งใครๆก็ดูออก?),ซึ่งสังคมต้องใช้วิจารณญาณในการรู้ทันสื่อ?..(สื่อเป็นอาชีพที่มีมุมลี้ลับ?เกี่ยวกับประโยชน์ทับซ้อน?และผู้สนับสนุนช่อง?อยู่มากมาย?)..
[เช่น.. ช่องสื่อดัง?อีกบางช่อง?,ที่มีเครดิต,ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในทางการเมืองมาเนิ่นนาน(?),เป็นสื่อเก่าที่มีคนเชื่อถือและศรัทธาในจุดยืนอยู่มากมาย.. แต่ภายหลัง.. ก็เห็นว่าไปรับสปอนเซอร์?จากบางบริษัท?,ที่ผลิตสินค้าบางชนิด?ที่ทำลายสติสัมปชัญญะ?ให้ลดลง(?).. ทำให้ลดศรัทธาของผู้ชม?ได้ด้วยเหมือนกัน(?).. เป็นต้น].. คือบางสื่อ?คล้ายมีหลายรายการ?ที่ทำข่าว,ทำรายการแบบสวนทางกัน?(คล้ายไบโพล่าร์?ประมาณนั้น?),แต่มาอยู่ช่องข่าวเดียวกัน?เหมือนละครตบๆจูบๆ?..(ซึ่งมีรายการหนึ่ง?คล้ายโหนตอ.?,แต่อีกรายการ?คล้ายโจมตีตอ.?อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู?ไปเลย?,ทำให้คนดูเข้าใจช่องของคุณได้ยากนะครับ?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:34:51 น.
(แทรก31).. 35.คือ.. ก่อนหน้านี้..ที่คุณตอ.มีข่าวเชิงบวกที่ร่วมต่อต้านบางลัทธิความเชื่อ?ที่ไม่ตรงกับหลักพุทธ.. ก็เห็นว่าสื่อช่องนี้ก็ไปอาศัยคอนเท้นต์จากเขา?มาออกรายการตลอด,และได้เรตติ้งในบางรายการ?ในช่องของตนเป็นจำนวนมาก(?)..
[จึงควรพิจารณาตนเองว่า.. มีน้ำใจในจรรยาบรรณการเป็นสื่อ?หรือไม่?.. เพราะสื่อก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีกิเลสเท่าเทียมกันกับประชาชนทั่วไป?(?),ไม่ได้วิเศษกว่ากัน(?),และไม่ควรตัดสินใครไปก่อนศาล?..นะครับ?].. แต่พอต่อมา..ที่มีบางคนที่ขัดผลประโยชน์?(โดยอ้างว่าถูกกันซีน?ไม่ให้เห็นแสง?)แบบหญิงๆ?.. แล้วสื่อดังกล่าว?ก็คล้ายไปสร้างรายการใหม่คล้ายเล่นไพ่อีกหน้า?,ถามแซะ,แกะ,เกา,ถามด้วยคำพูดที่รุนแรง?,เหมือนใช้เพลงดาบไร้น้ำใจ?..(ทั้งๆที่..แต่ก่อนเคยพึ่งคอนเท้นต์จากเขา?เพื่อหาเรตติ้ง?ให้กับช่องของตน?มาโดยตลอด?).. ซึ่งดูแล้วทำให้ไม่สบายใจ,ในวิธีการการทำสื่อ?ของช่องคุณ?.. ซึ่งจริงๆเราก็ถือเป็นFCด้วยก็ได้,เพราะติดตามข่าวสารจากบางรายการของช่องคุณมาโดยตลอด..(ด้วยความเคารพครับ)... โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 10 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:43:01 น.
(แทรก32).. 36.โดยหลักการตามความคิดส่วนตัวของเรา,เรามักจะดูคนจากโหงวเฮ้ง,หน้าตา,ท่าทางเป็นหลัก.. ส่วนประวัติ,โปรไฟล์ต่างๆ,เราถือว่าเป็นเพียงข้อมูลประกอบบ้างเล็กน้อยเท่านั้น..
คือเรารู้ว่า..แสงคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ,เพราะการมีแสงจะทำให้เรามีตัวตน,ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกว่า..เรามีคนรู้จักไปทั่วประเทศและอาจจะทั่วโลกแล้วหนอ..ประมาณนั้น.. ซึ่งมันเป็นความประทับใจในส่วนลึก(เมื่อนึกถึงเมื่อไหร่ก็ตาม?)ของผู้ที่ไม่เคยมีแสงมาก่อนอย่างมากถึงมากที่สุด.. ดังนั้น.. ทุกคนจึงพยายามจะแย่งหาแสงให้ส่องมาหาตนเองให้มากที่สุด..นั่นไง?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 11 กรกฎาคม 2567 เวลา:0:14:57 น.
(แทรก33).. 37.แต่ส่วนตัวนั้น.. เราไม่รู้หรอกว่าใน3บุคลิกตัวตน(ที่เป็นข่าว)นั้น,มีใครผิดบ้าง?,ถูกบ้าง?แค่ไหน?.. แต่เราสมมุติว่าถ้าเราเป็นผู้จัดละคร.. เราเห็นแล้วว่า.. ถึงอย่างไร..หญิงคนหนึ่ง?ที่มีบุคลิกดี,หน้าตาสะอาด,เกลี้ยงเกลา,มีลักษณะเป็นคนน่ารัก,สมเป็นหญิง.. ยังไงเสียเราก็ต้องให้เล่นบทนางเอกอย่างแน่นอน..
แต่สำหรับหญิงคนอื่น?,เราคงจะเสนอให้เขาเล่นบทนางอิจฉา?,เพราะดูบุคลิก,หน้าตาน่าจะเล่นบทบาทดังกล่าวได้สมกับหน้าตาและบุคลิกลักษณะของเขา,เป็นอย่างมาก(?).. คนเรานะ..โบราณเขาบอกว่า..แข่งวาสนาบารมีนั้นแข่งกันยาก?.. แม้สมัยนี้จะมีศัลยกรรมใบหน้าอย่างไร?.. แต่ถ้านิสัยตัวตนเดิมของคุณมีปัญหา?,วันหนึ่งคนก็จะเห็น,และอ่านออกว่า..มันไม่ตรงกับหน้าตาของคุณหรอก?.. แต่คนที่มีหน้าตา,บุคลิกที่ดีตามธรรมชาติย่อมถือเป็นทรัพย์ที่ดีของเขา,ที่ใครก็ไม่อาจเทียบรัศมีของเขาได้(?).. คือต่อให้เขา(เธอ)ต้องตกเข้าไปอยู่ในดงโจร,ที่สุดเขา(เธอ)ก็จะได้เป็นราชินีในหมู่โจรอยู่ดี(?)..ว่างั้นเถอะ?..(ด้วยความเคารพครับ).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 11 กรกฎาคม 2567 เวลา:0:21:28 น.
(แทรก34).. 38.(รู้ทันสื่อ?).. สังคมที่ต้องดิ้นรนเพื่อสถานะ,อาชีพ,และปากท้องของตัวเองทำให้ยากที่จะหาความจริงใจจากใครได้(?)..(นะครับคุณตอ.).. ตัวผู้เป็นข่าวบางครั้งก็ต้องการแสงจากสื่อให้ช่วยโปรโมตกิจกรรมของตน,ก็ต้องอาศัยสื่อเพื่อขับดันตัวเอง..(คล้ายว่า..แต่ละฝ่ายก็ต้องการประโยชน์จากอีกฝ่าย = แลกกัน?..ประมาณนั้น)..
ส่วนสื่อบางคน,บางช่อง(โดยเฉพาะช่องอิสระบางช่อง)ก็ต้องการเรตติ้งจากผู้ชม?เพื่อเป็นรายได้ของช่อง?.. เมื่อเป็นสื่ออิสระเล็กๆ?(ที่ไม่ได้ลงทุนในการทำช่องอะไรมาก?),จึงต้องใช้ระบบวีดีโอคอลหรือระบบซูม(ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายให้กับแหล่งข่าว,หรือผู้เป็นข่าว),ก็จึงคล้ายว่า..อาจเพียงใช้จริตแบบหญิง?ที่มีหน้าตาสะสวย,ดูดี?(ถ้าเจ้าของช่องเป็นหญิง?),เพื่อล้วงหาข้อมูล?จากผู้ที่ตนวีดีโอคอลด้วย?.. จนบางที..การแสดงออก(เพื่อต้องการดึงดูด,ให้มีผู้อยากเข้าชมช่องของเธอ),จึงดูเหมือนต้องการแต่ข้อมูลแบบถามแซะนั่น,นี่?,แบบคล้ายไม่มีความจริงใจต่อแหล่งข่าว?ที่เธอสัมภาษณ์หรือถามไถ่?ซักคนเลย(?),เพียงมีเป้าหมายให้รายการของเธอเป็นที่น่าสนใจ?ของผู้เข้าชม,เพื่อจะติดตามช่องของเธอต่อไปเรื่อยๆ?..เท่านั้น(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 11 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:07:22 น.
(แทรก35).. 39.เราว่า.. ช่องที่ไม่สนใจพื้นฐานทางจรรยาบรรณในความเป็นมนุษย์?(บางช่อง),และมักใช้กลเชิงต่างๆ?ในการหาข้อมูล?จากแหล่งข่าว?แบบลวกๆง่ายๆ(?)(แบบปะเหลาะ,ตามน้ำ?เหมือนพูดเสริมไปกับแหล่งข่าว?,ที่มีข้อมูลที่เป็นลบ?กับอีกฝ่าย?,เพราะแหล่งข่าว?อาจเกรงใจต่อเธอ?ในฐานะที่เธอเป็นสื่อสาวสวย?..ก็เป็นได้?..หรือไม่?),โดยเธอไม่ต้องลงทุนอะไรมากนั้น(?).. เราว่าก็น่าจะเลิกทำช่อง?ไปเลยก็ดี(?)..(เพราะถ้าเธอใช้วิธีการนี้?ในการหาคอนเท้นต์?อีกต่อไป.. วันข้างหน้า..เธออาจจะหาความจริงใจจากใคร?ไม่ได้เลย?..เช่นเดียวกันนะจ๊ะ?)..
จริงๆ..มีช่องที่มีผู้ชายDuo?อีกบางช่อง?ที่ใช้วิธีการคล้ายกัน?,แต่แค่ไม่มีจริตการถามแหล่งข่าว?แบบหญิง?เท่านั้น.. แต่ก็ทำให้คนดูชวนสงสัยว่า.. จะต้องการแต่คอนเท้นต์จากแหล่งข่าว?และ/หรือผู้เป็นข่าว?เท่านั้น?..(หรือไม่?).. โดยที่ไม่สนใจว่า.. ก่อนหน้านี้..เคยคบหาแบบเป็นมิตร?กับผู้เป็นข่าวบางคน?มาก่อนอย่างไร?,กระทั่งทีมอเวนเจอร์บางท่านก็ยังเคยกล่าวขอบคุณต่อช่องดังกล่าว?นี้ด้วยซ้ำไป(?).. แต่วันหนึ่ง..เมื่อมีข่าวทางลบ?กับผู้เป็นข่าว?(เช่น..คุณตอ.).. สื่อบางท่าน?ก็กลับพากันร่วมรุมทึ้ง?,รุมขยี้ข่าว?,จนคุณตอ.แทบไม่มีที่ยืนในสังคมไปเลย(?).. (คืออยากบอกว่า.. คนดูข่าว,เขากินข้าว?,ไม่ได้กินหญ้า?,เขาฟังดูท่วงทีของการนำเสนอ?หรือการตั้งคำถาม?,เขาก็ดูออกไม่ยากว่า.. คุณนำเสนอแบบถือตาชั่งเอียง?หรือไม่?.. เช่น.. ควรถามผู้ที่มาตั้งป้อมแฉคุณตอ.?ก่อนว่า.. แล้วคดีที่แหล่งข่าวก็ถูกฟ้องเหมือนกัน?นั้น,เขาได้เคลียร์หมดหรือยัง?.. เป็นต้น?.. ด้วยนะครับ?.. เพราะทนายด.ก็ยังเคยพูดว่า..ถ้าตัวเองก็มีแผล..ก็อย่าพึ่งไปแฉใคร?..นั่นไง?..ล่ะครับ?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 11 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:37:01 น.
(แทรก36).. 40.(คนฝรั่งมักผลิตสินค้าวิทยาศาสตร์ได้อย่างละเอียด,รอบคอบ,และระวัง,รัดกุม.. แต่สำหรับการเก่งการดัดแปลง,และคิดค้นสิ่งใหม่ๆมักเป็นคนไทย.. นั่นเพราะมาจากรากฐานของเรื่องการมีภาษาที่สะดวกในการสื่อสารที่แตกต่างกัน,ระหว่างภาษาไทยกับภาษาE.. นั่นเอง)..
ช่วงนี้มีการทดสอบสกิลการพูดภาษาอังกฤษกับคนดังบางคน.. เราอยากบอกว่า..รากฐานการพูดภาษาอังกฤษ(ภาษาE)กับภาษาไทยนั้น,มันคนละอย่าง(?).. ตราบใดที่คุณยังต้องคิดเป็นคำไทย,และต้องผ่านการแปลงเป็นภาษาอังกฤษในสมองเสียก่อน,แล้วจึงค่อยพูดออกมา.. คุณไม่มีทางที่จะพูดภาษาEได้คล่องปรื๋อได้เหมือนกับคนเมกาหรืออังกฤษที่เป็นเผ่าพันธุ์ของต้นทางภาษาได้หรอก(?).. (เพราะการฝึกพูดฝรั่งให้ได้เร็วและดี,จะต้องสร้างบรรยากาศ,สิ่งแวดล้อมที่มีคนไทยน้อยกว่าคนฝรั่ง,จึงจะทำให้คุณฝึกพูดฝรั่งได้ดีและคล่องขึ้นมาก).. แต่เท่าที่สังเกต.. คนไทยที่พูดภาษาEได้คล่อง,ได้เร็ว,มักเป็นหญิง,เพราะหญิงมีความจดจำที่ดีทั้งศัพท์แสงและรูปประโยค),และมักมีความกล้าแสดงออกมากกว่าผู้ชาย (เพราะสังคมมักไม่ค่อยเอาโทษกับหญิง,ในการแสดงออกที่ผิดพลาด,พลั้งเผลอใดๆ,ดังนั้น.. จึงมีหญิงที่พูดติดอ่างเป็นจำนวนน้อยกว่าผู้ชายมากๆ).. เพราะหญิงไม่กลัวอายต่อผู้ฟัง,จึงมีโอกาสฝึกฝนการพูดภาษาEได้ดีกว่า.. แต่ชายมักอายว่าจะพูดผิด,กลัวคนหัวเราะใส่.. ซึ่งสังเกตว่า.. นักการเมืองที่พูดภาษาEได้คล่องหน่อย..ก็คือมักผ่านการเรียนที่ต่างประเทศมาก่อนแทบทั้งนั้น.. แต่ถ้าเทียบกับฝรั่งพันธุ์แท้แล้ว,คนไทยก็ยังคงพูดฝรั่งได้ไม่คล่องเท่ากับคนฝรั่งของเขาเองหรอก?..อยู่ดี(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:9:47:32 น.
(แทรก37).. 41.แม้แต่คนฝรั่งเอง,สังเกตไหมว่า.. เวลาเขาจะพูดอะไร?,มักจะใช้การขยับมือ,ใช้สายตา,ท่าทาง,เลิกคิ้ว,ส่ายหัวไปมาร่วมด้วยอยู่เสมอ(?).. นั่นเพราะภาษาฝรั่ง(นั้นพูดได้ไม่สะดวก)เป็นภาษาที่มีสำเนียงไม่คมชัด,ไม่มีเรื่องวรรณยุกต์กำกับที่ชัดเจน,ตายตัว,แต่สามารถผันวรรณยุกต์ของศัพท์ให้สูง-ต่ำไปตามอารมณ์,และประโยคบอกเล่า-ประโยคคำถามได้,และโทนเสียงมักจะเป็นเสียงทุ้ม,เพื่อประหยัดพลังงานร่างกาย,เพราะพื้นฐานของคนฝรั่งมักเป็นประเทศเมืองหนาวที่ต้องออมพลังงานของร่างกายไว้อยู่แล้ว(?)..
แต่ที่สุดแล้ว.. แม้คนไทยจะเคยอยู่,หรือไปศึกษาในประเทศฝรั่ง,ก็คงยังพูดสู้กับคนที่เกิดที่ฝรั่งแต่กำเนิดเลยไม่ได้อยู่ดี(?).. ถามว่า..คนไทยทำไมจึงพูดภาษาEได้ไม่เก่งซักที?.. นั่นเพราะ..คนไทยเคยชินกับเสียงพูดภาษาไทยที่มีความคมชัด,ที่ไม่มีเสียงSมาพรางเสียง,และทั้งแบบแผนวรรณยุกต์ของแต่ละคำก็ชัดเจนด้วย.. หูของคนไทยจึงเคยชินกับสำเนียงที่คมชัดแบบไทย.. การที่จะปรับลิ้น,ปรับหูเพื่อรับเสียงภาษาEจากชนชาติฝรั่งให้ชัด,จึงทำได้ยากกว่า(?).. เมื่อฟังภาษาจากคนฝรั่งแท้ได้ไม่ชัด,โอกาสที่จะตอบให้เร็ว,ให้คล่องยิ่งเป็นไปได้ยาก.. นับเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว..คนไทยจึงไม่สามารถพูดฝรั่งได้ดีเท่าคนฝรั่งเองได้ซักที(?).. บางคนจึงอาจพูดติดตลกว่า..ถ้าได้ลองเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง?เหมือนบางประเทศในเอเชีย(ในบางสมัยในอดีต).. น่าจะทำให้สามารถฝึกการพูดภาษาฝรั่ง?ได้ดีกว่านี้?..ละกระมัง?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:28:20 น.
(แทรก38).. 42.กรณีที่มีผู้มาขบเกลียว?กับทนายด.นั้น.. เรามีความเห็นว่า..
(1)ต่อไปคุณตอ.จำให้แม่นว่า.. ผู้ชายฉลาด,คุณนำมาร่วมทีม,ร่วมงานได้(เพราะเขาจะยอมให้คุณนำ,ให้คุณเป็นใหญ่ได้,โดยไม่คิดเล็กคิดน้อย).. แต่ผู้หญิงที่ฉลาด,ขี้อิจฉา,ขี้ระแวง(บางคน)นั้นคุณต้องห่าง.. และอย่าได้นำมาร่วมงานด้วยเลย.. คือบางคน(หญิง)เขาก็ยอมรับว่า..ตัวเขาต้องการแสง,ซึ่งถ้าคุณให้แสงเขาน้อย,เขาก็จะไม่ยอม.. หรือถ้าคุณได้10,คุณก็ต้องให้เขาได้10ด้วย,เท่ากันเป๊ะ,หรืออย่างน้อยก็ให้เขาได้9,แต่เขาจะคิดแบบทดไว้ในใจว่า..คุณยังค้างเขาอยู่1..ประมาณนั้น..เสมอ.. คือคนบางคน(หญิง)นั้น ,เขาจะไม่ยอมให้ใครได้เปรียบตนเองไปง่ายๆ,และมักชอบคิดทวงบุญคุณเล็กๆน้อยๆ(ไว้ในใจ)เสมอ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:12:11 น.
(2)ซึ่งถ้าเป็นชาย,เขาจะไม่คิดอะไรมาก.. แต่ก็มีนะผู้ชายบางคน?(ที่มีนิสัยไม่แมน),แต่คนพวกนี้คงไม่มาร่วมงานกับคุณตอ.หรอก(?).. แต่เขาจะคอยเล่นงานคุณอยู่วงนอก?,เพราะมีจิตใจที่คล้ายหญิง?(คือจิตขี้อิจฉา,ไม่อยากเห็นใครดี,โดด,เด่นกว่า?)..เช่นเดียวกันครับ(?)..
ซึ่งตอนนี้..มีสื่ออิสระชายหลายคน?,รวมทั้งสื่อค่ายดัง?,และสื่อเก่า?ที่มีอิทธิพลชี้นำสังคม?(เพราะถือว่าตัวเองอาวุโส,เก๋า,เก่าเก็บ,คนเกรงใจ?)(และยังมีนักวิชาการบางคน?ที่หลงตัวเองว่าเก่ง?)ก็มาร่วมเล่นงานคุณตอ.,เพราะเห็นว่า..คุณเคยคบหากับสีแดง?และสีส้ม?มาก่อน(?)..(แต่ตนเองเคยเชียร์มุมเหลือง?).. จริงๆเราอยากบอกว่า.. เท่าที่ติดตามข่าวสารมานาน,ก็เห็นว่ามีการปูดข่าว?ว่า..สื่อบางคน?(จำนวนหนึ่ง)ของบางค่าย?ก็ไม่ใช่ว่าจะขาวสะอาด,เกลี้ยงเกลา?อะไร?,ก็มีการรับประโยชน์เทาๆ?อยู่บ้างเหมือนกัน(?).. แต่คนเหล่านี้ก็ไม่มองความไม่ขาวสะอาด?ของตนเอง,แต่คอยที่จะมาแฉผู้อื่น?(ซึ่งไม่รู้ว่าแค่หาคอนเท้นต์มาทำรายการ?หรือมีวาระอะไรซ่อนอยู่?).. ซึ่งอาจมีวาระซ่อนเร้นในทางการเมือง?แบบเลือกข้าง?,โดยมองว่า..ตนเองอยู่เหลือง?,แต่คุณตอ.เคยอยู่แดง,ส้ม?.. ดังนั้น.. จะต้อง(แอบจิต?)คิดห้ำหั่นกันให้บรรลัย,เมื่อมีโอกาส?.. ประมาณนั้นหรือไม่?..ครับ?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:40:56 น.
(3)เราว่าสื่อบางส่วนควรระวังท่าที?และการตั้งคำถามที่มีธง?และตั้งหัวข้อในปกข่าว?ในการนำเสนอข่าว?,ควรต้องระลึกว่า.. วันก่อนๆก็ได้ประโยชน์ได้คอนเท้นต์?จากคุณตอ.มาทำข่าว?,ทำให้ได้เรตติ้งอยู่อย่างยาวนาน?.. แต่มาวันหนึ่ง..ก็กลับมาเล่นงานเขา?,เหมือนกับคนที่ยังกับเป็นศัตรูต่อกัน?มาอย่างยาวนาน?..อย่างนั้นแหละ?..
บางทีสื่อที่ทำเช่นนี้,ประชาชนเขาก็รับไม่ได้(?).. บางทีประชาชนเขาก็รักคนที่ทำเพื่อประโยชน์ให้กับสังคม,โดยเฉพาะประเด็นเด็ก,สตรีที่ถูกกระทำ?.. ซึ่งแม้ในอดีต(เช่นคุณตอ.),เขาจะเคยทำบางอย่างที่ผิดพลาดมาบ้าง(?),(แต่สื่อก็รู้มาก่อนนานแล้วไม่ใช่หรือ?.. ว่าอดีตเดิมเขาคืออย่างไร?),แล้วทำไมไม่แอนตี้เขา?,ตั้งแต่ตอนที่เขามาร่วมในกลุ่มอเวนเจอร์เพื่อพิทักษ์พุทธเถรวาทตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะ?..(ปล่อยเขาไว้ทำไมตั้งเนิ่นนาน?).. ซึ่งว่าที่จริง.. มันมีเรื่องเหล่านี้เต็มไปหมดในสังคมไทย(ที่ทุกคน,ทุกครอบครัวต้องปากกัดตีนถีบ,ดิ้นรนทำมาหากันกันแบบง่วนๆ?),จนประชาชนก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการดิ้นรนหารายได้?(ซึ่งมีเรื่องที่ขาวบ้าง?,เทาบ้าง?ปนเปกันไปหมด?,เพื่อหวังทำเพื่อเลี้ยงครอบครัว?..นั่นแหละ?).. [ผู้หญิงตัวเล็กๆ,หุ่นบางๆ?,ดิ้นรนเพื่อครอบครัว.. แต่ในเวลาเดียวกัน,ก็ยังออกมาทำเพื่อสังคมและพุทธศาสนาอีก?(บางครั้ง..แทบไม่ได้หลับได้นอนก็มีบ่อยๆ?).. ก็ควรจะมองมุมที่ดีของเขา?ประกอบกันไปด้วยมั้ย?.. ควรให้โอกาสเขาเพื่อกลับตัว?ในสิ่งที่ผิดพลาดไปบ้างในอดีต?..น่าจะดีกว่ามั้ย?..(เพราะแม้แต่บางคนที่มีมลทินต่อบ้านเมือง,ที่เห็นตำตา?.. เราก็เห็นสื่อบางส่วน?(จำนวนหนึ่ง?)ก็ยังยินดีต้อนรับให้เขามีที่ยืนในสังคมได้?.. ไม่ใช่หรือ?].. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:16:24:24 น.
(4)อยากบอกว่า..ไม่มีใครที่บริสุทธิ์ทั้งหมดหรอก?(แม้แต่นักบวช?บางส่วน?..ก็ตาม).. ซึ่งแม้แต่ผู้ร่วมในวงแชร์?หรือแชร์ลูกโซ่?หรือการลงทุน?ที่เป็นเรื่องทิพย์ๆ?หรือสินค้าทิพย์ต่างๆ?(ที่อย.,สคบ.อาจตรวจไม่ทัน?),ก็ใช่ว่า..ผู้ร่วมลงทุนด้วย?จะบริสุทธิ์เสมอไป?.. จริงๆแค่เอากำไรมากๆ?ต่อผู้บริโภคปลายทาง?ก็ถือว่าเอาเปรียบ?และไม่บริสุทธิ์แล้ว??..ใช่หรือไม่?..(ซึ่งเข้าข่าย..ค้ากำไรเกินควร?..นั่นไง?)..
เพราะถ้าจะมองให้ลึกๆ.. ถ้าคุณมีเงิน,คุณก็นำเงินไปฝากธนาคาร,กินดอกเบี้ยตามระบบก็ได้,แต่ทำไมคุณต้องนำเงินมาลงทุนนั่น,นี่ที่อยู่นอกระบบ?,และมีความเสี่ยง?ซึ่งคุณก็รู้อยู่..[เหมือนหญิงชายสมยอมกัน,แล้วจะไปแจ้งความว่าเขาข่มขืน?ในภายหลัง?(ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเนิ่นนานแล้ว?)ได้อย่างไร?.. เช่นนี้เป็นต้น] โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:16:47:51 น.
(5)เราเคยพบบางคน,เขาถึงกับบอกว่า.. เขารู้อยู่ว่า..การลงทุนนั้น?ที่คล้ายแชร์ลูกโซ่แบบเทาๆ?นี้,พอถึงจุดหนึ่ง,ถ้าไม่รีบถอนทุนออกมาให้ทัน,คนมาลงทุนคนหลังๆ?ก็จะไม่ได้รับเงิน?..(เหมือนการเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี?,เมื่อเพลงหยุด,จะมีผู้เล่นส่วนหนึ่ง?ที่จะไม่มีเก้าอี้นั่ง?..ก็คือ..เป็นผู้รับเคราะห์ขาดทุน?,เพราะเป็นชุดสุดท้าย?ที่ถอนทุนออกไม่ทัน?..นั่นเอง)..
ดังนั้น.. เขาก็จะรีบเข้ามาตักตวงผลกำไร?เป็นคนแรกๆ?ก่อน?,แล้วเขาก็พูดว่า..ก็จะรีบออก?หรือรีบถอนทุนคืน?ก่อนวงแชร์ลูกโซ่?จะล้ม?,อย่างนี้ก็มีเยอะแยะ(?).. เพราะคนที่มีเงินจำนวนมากเพื่อมาร่วมลงทุนแบบนอกระบบเช่นนี้,เขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักคิดหรอก?,เพราะข่าวสารเรื่องแชร์ลูกโซ่ล้ม?มีให้ศึกษาค้นคว้าเต็มไปหมด(?).. แต่เพราะตัวเราเองก็มักง่าย?,อยากได้เงินมาแบบง่ายๆที่ไม่ต้องไปออกแดด,ตากลม?อะไร?..อยู่แล้ว?.. นั่นก็เพราะ..คุณเอง?ก็ต้องการผลตอบแทน?ที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ย?ที่ธนาคารเขาจะให้?ด้วย?..ใช่ไหมล่ะ?.. แล้วคุณจะมองว่า..ตัวคุณเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว?ได้อย่างไร?..(คือ..ส่วนที่คุณเคยได้ผลประโยชน์?ไปก่อนที่วงแชร์ลูกโซ่?จะล้ม?,คุณก็มักจะไม่พูดถึง,แต่มักจะพูดแต่ในมุมที่ตนเองเสียหาย?เพียงด้านเดียว?..เท่านั้น?..ใช่หรือไม่?) โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:17:14:05 น.
(6)คนบางคน?(ในข่าว)พูดว่า..ตนเองก็ดำเนินการต่างๆตามครรลองของกฎหมาย?.. แต่คุณลืมคิดไปว่า.. สังคมนี้ไม่ใช่มีแต่เรื่องการทำตามกฎหมายแบบเถรตรง?(แบบไร้มิตรภาพใดๆ?)เพียงอย่างเดียว?,แล้วสังคมจะยอมรับว่า..เราเป็นคนที่ดีมากแล้ว?ได้เสมอไป(?)..
เพราะสังคมเรา?ยังมีเรื่องบริบทของคุณธรรม?,และการมีน้ำใจต่อกัน?(เช่น.. เมื่อมีคนบางคนเพลี่ยงพล้ำในเกมชีวิต?,ก็จะมีเพื่อนแท้ของเรา?,คอยฉุดให้ลุกขึ้น,ตบไหล่เบาๆ,ยื่นน้ำให้ดื่ม?,และบอกว่า..ตั้งสติใหม่,แก้ไขสิ่งผิด,แล้วสู้ชีวิตต่อไปนะ,เพื่อนรัก),ซึ่งเป็นคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์?,ซึ่งอาจไม่ได้ถูกแบบเป๊ะๆตามกฎหมาย?เสมอไป?.. มีโคลงบทหนึ่ง.. เราเคยเรียนมาตั่งแต่ใน"ระดับชั้นมัธยม".. ความว่า.. เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว... แหนงหนี หาง่ายหลายหมื่นมี... มากได้ เพื่อนตายถ่ายแทนชี-... วาอาตม์ หายากฝากผีไข้... ยากแท้จักหา... เราจะรู้น้ำใจเพื่อน(และสื่อที่เคยรักใคร่)..ว่าใครที่เป็นมิตรแท้และเพื่อนตาย.. ก็จะรู้ได้ตอนที่เราประสบกับความยากลำบาก..นี่หละ(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:17:41:28 น.
(7)(ปล.).. เช่น..การให้หยิบยืมเงิน,การตอบแทนเงินที่ยืม,การตั้งวงแชร์ต่างๆ..เป็นต้น.. ประสบการณ์ของเราเอง,สมัยเมื่อราวๆ30ปีก่อน,มีแม่ค้าปอกสับปะรดขายในตลาด(ซึ่งเราก็มองออกว่า..เป็นคนไม่ค่อยซื่อนัก?),แต่รู้จักกันเผินๆ,ก็อยู่ๆก็กล้าเดินเข้ามาขอยืมเงินเรา600.. บอกจะเอาไปจ่ายค่าเทอมให้กับลูกของเธอ,เราก็เวทนาเห็นแก่เด็กที่กำลังศึกษาเล่าเรียน,ไม่อยากให้เสียอนาคต,ก็เลยให้เงินไปทันที,เธอ(แม่ค้า)ก็บอกว่าเดี๋ยวหมุนเงินได้ก็จะเอามาให้คืน.. แต่เราก็พูดตัดบทไปเลย(เพราะดูออกว่า..คงจะไม่มาคืนหรอก?),โดยเราพูดว่า.. เอาไปเลย,ไม่ต้องมาคืนหรอก.. พอ30ปีให้หลัง,จนลูกเธอเรียนจบ,มีครอบครัว.. เราไปเจอเธออีกครั้งในตลาด,เธอก็ไม่เคยทักถาม,ที่จะมาแสดงความรู้จักว่า.. จำได้ว่าฉันเคยขอยืมเงินเฮียไปจ่ายค่าเทอมลูกเมื่อ30ปีก่อน.. ขอบคุณเฮียมากๆนะประมาณนี้..ก็ไม่มีซักคำ..(เราก็ไม่ได้ไปว่าอะไร..คิดในใจแต่ว่า ..เราคงทำคุณคนไม่ขึ้น..แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี.. เอ็นดูเขา..เอ็นเราขาด..ช้ำใจเอง?.. เป็นบทเรียนว่า.. คนเรานี่คบยาก?.. ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวเองก่อนเสมอ.. และความรักผู้อื่นจะเสมอด้วยรักตนเอง..นั้นไม่มี..เป็นพุทธพจน์ฝากไว้ครับ)..
โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 12 กรกฎาคม 2567 เวลา:18:02:01 น.
(แทรก39).. 43.เราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในเรื่องคนไทยพูดภาษาEนะ.. แต่เราอยากบอกว่าอย่าไปเป็นประเด็นเลย.. คนไทยพูดภาษาEได้ไม่คล่องเหมือนกับคนเผ่าพันธุ์ฝรั่งกัน(แทบ)ทั้งนั้นแหละ(?)..
มันเป็นเรื่องของพื้นฐานของภาษาที่ตนเองเคยฟังและใช้พูดมาตั้งแต่เกิด..นั่นต่างหาก.. ยังมีอีก..แม้ต่อให้เมื่อโตขึ้นเคยไปอยู่,หรือไปศึกษาที่ต่างประเทศ.. แต่พอกลับมาไม่มีโอกาสได้พูดภาษาEกับใครอีกเลย,ความที่เคยพูดภาษาฝรั่งมาก่อน(ในช่วงหนึ่งของชีวิต)มันก็จะเรื้อๆ,ติดๆขัดๆบ้างเป็นธรรมดา..(เหมือนกับคนที่ไม่ได้ถีบจักรยานหรือขับรถมานาน,พอจะมาเริ่มถีบหรือขับใหม่อีกที,มันก็มีติดๆขัดๆบ้างเช่นกัน),คือความเคยชินเดิมมันหายไปนั่นไง?.. เรามองว่า..ภาษาหรือคำพูดของการให้แนะนำตัวนั้น,ถ้าจู่ๆ,ไม่ได้บอกข้อสอบไว้ก่อน,แล้วให้พูดทันที,แม้ต่อให้แนะนำตัวเป็นภาษาไทยเองก็ตาม,ก็จะแนะนำตัวได้ไม่สมู้ทเช่นกัน..นั่นแหละ..(ยกเว้นบางคนที่สมองไบ๊รท์เป็นพิเศษที่สามารถคิดลำดับเรื่องที่จะพูดได้ไวจริงๆเท่านั้น).. เพราะสังคมไทยไม่เคยชินกับการให้แนะนำตัวอยู่แล้ว,มีแต่ต้องมีอีกคนตั้งคำถามให้ก่อน.. เช่น.. ดูแต่อย่างหนังโฆษณาขนมกรุบกรอบอันหนึ่ง,ที่เด็กมีพลังนิ้วพิเศษ?นั่นไง?.. ที่เวลาแนะนำตัว,ขนาดมีคนถามเป็นช่วงๆ,ก็ยังใช้เวลาคิดเพื่อตอบคำถามไม่ได้เร็วหรือคล่องเท่าไหร่เลย(?)..นั่นไง?.. คือสรุปว่า.. ต่อให้มีคนถามทีละประโยค,ก็ยังต้องคิดนิดนึงก่อน,และถ้ายิ่งให้แนะนำตัวแบบต่อเนื่องด้วยตัวเองทั้งหมด,ก็ยิ่งต้องคิดก่อนซักครู่.. มันคงไม่ได้ลื่นไหล?เท่าไหร่หรอก(?).. ถ้าไม่เอาสคริปไปให้ฝึกพูดเตรียมตัวไว้เสียก่อน.. ดูแล้ว..สังคมไทย,อะไรๆก็เป็นประเด็นได้หมด.. ควรเปลี่ยนทัศนะของคนไทยเสียใหม่,ควรให้กำลังใจกันเป็นหลัก?..ดีกว่าหรือไม่?.. ดังโคลงโลกนิติตอนหนึ่งที่ว่า.. 7วัน(ว่าง)เว้นดีดซ้อมดนตรี.. อักขระ5วันหนีเนิ่นช้า..นั่นไงครับ?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 13 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:37:54 น.
(แทรก40).. 44.(เกร็ดข้อคิด).. วันนี้(13-7-67)ได้ฟังคุณตอ.เธอออกมาไล้ฟ์.. ซึ่งเรามองว่าเธอเหมือนว่า.. คล้ายหญิงไทยในสมัยโบราณ,ยุคคุณหญิงโม,และท้าวเทพสตรี,ท้าวศรีสุนทรที่ตรงกับคำว่า..ดาบก็แกว่ง,เปลก็ไกว?,ที่คล้ายกลับชาติมาเกิด?เลยนั่นเทียว(?).. ผู้หญิงพวกนี้ไม่กลัวกระทั่งผู้ชายอกสามศอก,เธอทันคนและไม่กลัวคน.. ซึ่งเรามองว่า..ชาติใดจะรอด?ต้องมีผู้หญิงที่มีDNAพันธุ์อย่างนี้อยู่ด้วย,เพราะผู้หญิงที่อ่อนแอเกินไปจะช่วยประเทศชาติให้รอดไม่ได้(?)..
ดังนั้น.. แม้เธอจะมีความบกพร่องในเชิงวิธีการดิ้นรนเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด,ที่อาจมีลักษณะบิดเบี้ยวไปตามกระแสในสังคมไทย?อยู่บ้าง(?)..(ซึ่งจริงๆ..สังคมไทยก็มีความบิดเบี้ยว?ในการดำรงชีวิตแบบนี้?อยู่มากมายมานานแล้ว,ไม่ได้มีแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น),จนทำให้ใครต่อใคร?, รวมทั้งสื่อบางคน?ที่เคยได้อาศัยคอนเท้นต์จากเธอ?กลับพากันมาร่วมรุมสกรัมเธอ?จนเธอแทบ.....แตก....แตน?..ก็ว่าได้?.. แต่เราก็ยังเห็นว่า..DNAของหญิงพันธุ์อย่างนี้ควรมีการอนุรักษ์ไว้,เพื่อเป็นต้นกำเนิดของผู้หญิงนักต่อสู้แบบระห่ำ,รำหัก?ที่มีทั้งความฉลาดและไหวพริบดีอีกด้วย..ประมาณนั้น,โดยเฉพาะเธอดูจะเป็นนักสู้ทางโซเชี่ยล?ที่ปากจัดเต็ม?(ไม่สร้างภาพ?),และไม่เคยยอมแพ้ใครเลย?ในยุคนี้(?)..อีกด้วย(?).. อนึ่งวันนี้(13-7-67).. เธอได้ออกสื่อโซเชี่ยล,โดยมีเสียงในฟิล์ม(สำเนียงลาวสกล)แทรกเป็นระยะๆ,ซึ่งสำเนียงพูดของเธอ,เราฟังแล้วรู้สึกเห็นความมีเสน่ห์ของภาษาลาวสกล( =ซ้อฟพาวเว่อร์ด้านสีสันภาษาถิ่นของไทย)ขึ้นมาเลยทันที.. คือเป็นสำเนียงภาษาที่มีวิญญาณของความจริงจัง,จริงใจ,เข้มแข็ง,ไม่อ่อนแอ,ถึงลูกถึงคน..อย่างชัดเจนมาก(?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 14 กรกฎาคม 2567 เวลา:3:26:58 น.
(แทรก41).. 45.สังคมไทยควรจะต้องพิจารณาตนเองไหม?.. ว่า..เราเป็นพุทธศาสนิกชนกันจริงหรือไม่?.. ทำไมจึงติดเรื่องเมถุนธรรมคนคู่?กันมากมายขนาดนี้?.. กระทั่งสีกาบางคนก็ยังกล้าไปนอนกับพระโกนหัวโล้น?(บางรูป),ก็ยังไม่นึกละอายใจต่อหลักศีลธรรมใดๆ?,หรือที่ได้ดูข่าวที่มีหญิงบางคน?พยายามหลบกล้องวงจรปิด?,เพื่อจะแอบไปนอนกับสามีชาวบ้าน?(ที่พัทลุง)(ข่าว14-7-67,ช่องอัมรินทร์)..ก็เช่นเดียวกัน(?)..
[ถ้าเฉพาะเป็นผู้ชายที่มีสัญชาตญาณของเพศผู้?ที่มักเจ้าชู้,หาเศษหาเลย?,สังคมไทยก็ยังพอเข้าใจได้,และบางทีก็มองข้ามไป(?).. แต่ถ้าเป็นผู้หญิง(บางส่วน)เป็นฝ่ายเจ้าชู้?,มักมากในกาม?,จนต้องลักลอบทำผิดศีลธรรมประเพณี?ในหลักศีลข้อ3นี่สิ?.. เราควรจะคิดกันยังไง?.. เพราะสังคมไทยไม่ใช่สังคมฟรีเซ็กซ์?เหมือนกับบางภูมิภาค?ในสังคมอีกซีกโลก?เขานะ?..จะบอกให้?].. องค์กร?ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา?ทั้งหลาย(?)(รวมทั้งองค์กรทางระบบการศึกษา?นั่นก็ด้วย?),ท่านควรพิจารณาตัวเอง?,ถามตัวเองไหม?.. ว่า..ท่านได้ทำงานด้านการเผยแพร่พุทธศาสนา?หรือการอบรมชาวบ้าน?ที่เป็นชาวพุทธ?ได้อย่างเต็มที่,ทั่วถึง?กันหรือไม่?,ที่ปล่อยให้เรื่องราวการผิดศีลข้อ3?เกิดขึ้นอย่างมากมายในสังคมไทย??.. ถ้าเป็นแบบนี้.. จะถือว่า..องค์กรเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งหลาย?(และระบบการศึกษาไทย?)ทำงานล้มเหลวได้หรือไม่?..(และเด็กที่เติบโตมาในสังคมไทย?,เขาจะภาคภูมิใจในตัวพ่อแม่ของเขา?ที่ทำผิดศีลข้อ3?,จนมีฟุตปริ๊นซ์ในโลกโซเชี่ยล?ได้อย่างไร?..ใช่หรือไม่?),แล้วสังคมไทยจะต้องจ่ายเงินเดือนให้กับพวกท่าน?ไปเปล่าๆ?..ทำไม?,ให้เปลืองเงินภาษีของประชาชน??.. ใช่หรือไม่?..(ดูข่าวเหล่านี้แล้ว.. ช่างเป็นภาพข่าวที่แสลงใจชาวพุทธไทย?..กันจริงๆนะ?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:6:32:46 น.
(แทรก42).. 46..เท่าที่เราดูตามข่าว(แบบกลางๆ).. กรณีคุณตอ... อยากจะช่วยวิเคราะห์เพื่อเป็นข้อคิดดังนี้..
(1)บางเพจที่เป็นเพจดัง,เขาก็เป็นหญิงที่มีหน้าตาดีพอๆกับคุณตอ.เลยนะ..(เรียกว่าพอฟัดพอเหวี่ยง?..ประมาณนั้น?),แต่ในมุมของผู้ชาย?ที่มองเปรียบเทียบ,คุณตอ.เขามีมุมของหญิง?(ที่ทางฝรั่งเรียกว่าSexy),และน่าสนใจมากกว่า(?),ซึ่งสายตาของผู้ชาย?ก็มักจะมองออกว่า..เป็นเรื่องของหญิง(บางส่วน),ที่ถ้าใครที่มีคุณสมบัติหญิงใกล้เคียงกัน,แล้วแค่ทำงานยังไม่นาน,ก็กลับมาโดดเด่นกว่า?,สื่อจับตามากกว่า?,ก็อาจต้องมีมุมของหัวร้อน?,ตาร้อน?บ้าง?..เป็นธรรมดา?..ใช่หรือไม่?..[และยังมีสื่ออิสระหญิง?(บางท่าน),ก็มีลักษณะเดียวกัน?,ที่เป็นหญิงที่มีความสวย,Sexy?,จนถูกเพ่งเล็ง,จับจ้อง?จากสังคมในมุมเดียวกัน?กับเพจดังบางท่านดังกล่าว?ว่าเอียง?..เช่นเดียวกันอีกด้วย?].. สายตาของผู้ชาย?จึงไม่ได้เห็นเป็นเรื่องแปลก(?), อีกทั้งฟังว่า.. ที่ผ่านๆมา..เขา(หญิง)ก็เคยมีเรื่องส่วนตัวขัดๆ,ไม่ลงรอยกัน?มาก่อนอีกด้วย(?)..(ดังนั้น.. สมมุติว่า..ถ้ามีใครแอบไปยุหน่อย?..ก็เรียกว่ายุขึ้น?..ว่างั้นเถอะ..).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:41:25 น.
(2)ในการที่มีการถ่ายคลิปเด็กบางคนเพื่อนำไปเป็นหลักฐาน?เพื่อโจมตีคุณตอ.(ให้หมดที่ยืน?)นั้น,เรามองตามเซ้นซ์ของตัวเอง?(ตามแบบของคนไทยกินข้าว?)ว่า..เด็กน่า(อาจ)จะไม่ได้พูดตามธรรมชาติที่อิสระ?โดยไม่มีคนถามนำ?(แบบมีบรรยากาศกดดัน?),หรืออาจถูกจูงใจให้ต้องพูดตามนั้น?..หรือไม่?..
ซึ่งธรรมดาเด็กวัยนี้,ย่อมต้องรู้สึกรักแม่และให้ความสำคัญกับแม่มากกว่าใครอยู่แล้ว(?)..(แม้จะเคยถูกแม่ตี?มาก่อน?..ก็ตาม?.. แต่ก็คงลืมบาดแผลทางใจ?ที่เคยรู้สึกตอนที่เกิดเหตุ?ได้โดยไม่ยาก?).. โดยเฉพาะเด็กวัยประมาณนี้ของยุคสมัยนี้,จะมีความเข้าใจชีวิต?และพลิ้วไหวตามกระแสสังคมที่จูงใจต่างๆ?มากกว่าเด็กสมัยก่อน?อยู่แล้ว(?)(ที่เรียกว่า....แดด?นั่นไง?).. เราเองคิดโดยเซ้นซ์ส่วนตัว?ว่า.. คุณตอ.เขาน่าจะไม่ได้มีเจตนาอยากแกล้งเด็ก,หรือแม่เด็กหรอก??,เราว่ามันเป็นบุคลิก,จิตวิทยา,ท่าทางของเขา?ที่จริงจังในการช่วยแก้ปัญหา?,หรือมุ่งทำเค้สให้สำเร็จ?,จนอาจทำให้บางคนเข้าใจผิด?..เท่านั้น(?).. เราแค่เป็นห่วงว่า.. ต่อไป..ที่เมื่อมีเค้สคล้ายกัน?คือมีเด็กถูกกระทำ?จากคนในครอบครัว?หรือบุพการี?ที่ดูรุนแรง?และกระทำอย่างต่อเนื่อง?,ก็จะมีการพูดกระซิบต่อกันว่า.. ไม่ต้องไปยุ่งเค้าหรอก(?),เดี๋ยวก็จะเจอถูกฟ้องกลับ?,เหมือนกับยัยตอ...นั่นไง?..(ประมาณนั้น?..หรือไม่?).. เหมือนที่บางกรณี..ที่คนบางคนอาจระแวงว่า..ถ้าไปช่วยคนที่เจออุบัติเหตุอยู่ข้างทาง,แล้วอาจจะโดนถูกหาว่า..เป็นคนขับรถชนเสียเอง?..หรือไม่?..ประมาณนั้น?.. ที่ทำให้สังคมเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจกัน?และหวาดระแวงกันไปหมด?,จนโลกยุคหน้า?,อาจไม่มีใครอยากช่วยใครอีกเลย?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:29:23 น.
(3)กรณีของเรื่องแชร์นั้น.. เรามองว่า..เป็นวิถีของเงินต่อเงินแบบง่ายๆ(?)..(เราแค่อยู่ในห้องแอร์?,ไม่ต้องไปออกแดด?,หรือออกกำลังให้เหน็ดเหนื่อยอะไร?),ของผู้พอมีเงินสะสมหรือผู้ที่พอมีอันจะกินที่ต้องการทวีดอกผลให้กับเงินสะสมของตัวเอง..
มีคำถามมากมายว่า.. เรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งนานมาแล้ว,ซึ่งคุณอ้างว่า.. เขาอ้างนักการเมืองนั่น,นี่?,คุณเลยไม่ได้ไปแจ้งความ?..นั้นมันใช่มั้ย?.. เพราะเขาเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ[ซึ่งต้องแบกภาระหาเลี้ยงครอบครัว?,ซึ่งอาจมีขาวบ้าง?,เทาบ้าง?(แล้วแต่สติปัญญาที่จะคิดได้?),เหมือนกับอีกหลายๆครอบครัว?เช่นกัน?,จะให้ไปทำอาชีพขายแรงงาน?,ก็คงจะยาก?),ตัวแค่นี้จะไปมีอำนาจ,ศักยภาพ?อะไรได้นักหนา?].. ก็เห็นว่า..มีการพูดถ้อยทีกันไป,คุณก็ไม่ได้โต้แย้ง,จนวันหนึ่งเมื่ออีกหลายๆปีผ่านไป,คุณจึงได้รวมกันเพื่อจะไปแจ้งความ(?)..(ซึ่งจริงๆเรื่องแชร์?นั้นเป็นลักษณะที่เทาๆ,มีความเสี่ยงสูง?,และดูจะเป็นทางแพ่ง,พาณิชย์?เสียมากกว่าหรือไม่?).. สังคม(บางส่วน)มองว่า..กลุ่มคุณ?อาจถูกปลุกปั่น?,จากกระแสบางอย่าง?หรือจากกลุ่มคนบางกลุ่ม?หรือไม่?.. ทำไมจึงไม่คิดว่า.. เราเองก็มีส่วนที่มองว่า..ต้องการใช้เงินสะสมมาลงทุน?,เพื่อให้ได้เงิน?,ที่มากกว่าดบ.จากธนาคาร?ด้วย"วิธีไว้วางใจกัน?",ซึ่งเป็นวิธีการที่กฎหมายเข้าจัดการได้ไม่ง่ายนัก(?),แต่คุณก็ยินดี,ยอมเสี่ยงเอง?กับสิ่งที่เหมือนว่าเป็นการลงทุนร่วมกัน?(หรือ=สมยอมกัน?)..ด้วยหรือไม่?.. แต่พอมีความผิดพลาด?ด้วยเหตุใดก็ตาม?,เราก็จะยกความผิด?ไปให้กับคนคนเดียว?,โดยไม่มองว่าเป็นความผิดของเราเอง?ร่วมด้วยส่วนหนึ่ง?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?..(เราสรุปว่า..น่าจะใช้วิธีประนอมหนี้กัน?..จะดีกว่าหรือไม่?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:12:32:51 น.
(4)นิทานอุทาหรณ์สอนใจ.. ใครเป็นใครในกระแสตำนานต้นอ้อ.. นำมาฝากตีความกันเอาเองนะจ๊ะ..(ขอบคุณ..เบบี้กระปุกดอทคอม..ด้วยนะจ๊ะ)..
นิทานอีสป ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ เรื่องราวสอนใจดี ๆ ที่จะปลูกฝังเรื่องความอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างให้ลูกน้อยได้ฟังก่อนนอน.. การอ่านนิทานให้ลูกน้อยได้ฟัง นอกจากจะได้ใช้เวลาร่วมกันและสร้างความอบอุ่นในครอบครัวแล้ว นิทานหลาย ๆ เรื่องยังช่วยเสริมจินตนาการให้เด็ก ๆ กลับไปคิดต่อยอดถึงเรื่องราวในนิทานนั้นได้อีกด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำเอา นิทานอีสป ต้นโอ๊กกับต้นอ้อ มาฝาก นอกจากจะมีเรื่องราวสนุกสนานน่าติดตามแล้ว ยังนับว่าเป็นนิทานสอนใจเรื่องความอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างได้อีกหนึ่งเรื่อง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลย.. กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางผืนป่าอันแสนร่มรื่นอุดมสมบูรณ์ มีต้นโอ๊กใหญ่ยืนแผ่กิ่งใบอย่างสง่างาม จนสัตว์ป่าที่ผ่านไปมาได้อาศัยพักพิง อีกทั้งสัตว์เหล่านั้นก็ชื่นชมในความแข็งแกร่งของมัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้นโอ๊กรู้สึกภาคภูมิใจ นานวันเข้าจากการภูมิใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความลำพองตน คิดว่าตัวเองมีอำนาจถึงขั้นเป็นที่พึ่งพาแก่คนอื่นได้.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:24:01 น.
(4)"เจ้าโอ๊กน้อยเอ๋ย ดูสิ ในป่าผืนนี้ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพึ่งพาเราทั้งนั้น นกน้อยก็บินมาเกาะพัก สัตว์ป่าก็อาศัยหลับนอนที่โคนต้น ข้าภูมิใจเหลือเกิน" ต้นโอ๊กใหญ่กล่าวกับต้นโอ๊กน้อยที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ
"เพราะเราเกิดมาโชคดีกว่าใครเลยตัวใหญ่จนไม่มีผู้ใดมาทำอันตรายได้" โอ๊กน้อยตอบกลับ "ใช่แล้ว ในป่าแห่งนี้ ไม่มีอะไรมาทำลายเราได้แน่นอน ฮ่าๆ" ต้นโอ๊กใหญ่กล่าวพร้อมหัวเราะอย่างทะนงตน ผ่านไปไม่กี่ปี พื้นที่ตรงนั้นเริ่มมีสายน้ำแผ่ขยายมา ทำให้ต้นอ้อที่ชอบขึ้นบริเวณชุ่มชื้นได้เติบโตขึ้น ต้นโอ๊กใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจึงกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงโอ้อวด "สวัสดีเจ้าต้นอ้อน้อย เจ้านี่ช่างตัวเล็กบอบบางเหลือเกินนะ สบายดีหรือไม่ล่ะ" "สวัสดีคุณต้นโอ๊กสูงใหญ่ ฉันสบายดีและสุขใจมาก ถึงจะตัวเล็กบอบบางแต่ก็ไม่เป็นอะไร" ต้นอ้อกล่าวตอบต้นโอ๊กด้วยน้ำเสียงสดใสและถ่อมตน "ฮ่า ๆ ๆ ๆ อย่างนั้นหรือ ทั้งรากอันแสนสั้นกับลำต้นที่เปราะบางจนปลิวไป-มาแม้ลมพัดเบา เจ้าจะมีความสุขได้อย่างไร" ต้นโอ๊กกล่าวด้วยความสงสัยพลางขำขันไปด้วย พร้อมหันมาพูดต่อ "ลองยืดรากลงดินแล้วยืดลำต้นให้สูงเท่าฟ้าแบบเราดูสิ ต่อให้มีอันตรายมาถึงตัวแค่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ฮ่า ๆ ๆ ๆ" ต้นอ้อได้แต่รับฟังเงียบ ๆ ไม่โต้ตอบอะไรสักนิด โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:33:28 น.
(6)อยู่มาวันหนึ่ง พายุลูกใหญ่ได้เคลื่อนผ่านป่าแห่งนี้ ทั้งลมและสายฝนพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำเอาสิ่งมีชีวิตในป่าต่างหนีหลบภัยด้วยความหวาดกลัว เหลือแค่ต้นโอ๊กใหญ่ที่เชื่อมั่นว่าพายุจะทำอะไรตนไม่ได้ "ลมพัดแค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ต้นเราใหญ่โตแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่มีทางล้มลงแน่นอน"
ด้านต้นอ้อผู้บอบบางไม่นึกหวั่นอะไรมาก เพราะตัวมันเองก็ลู่ไปตามลมได้ตลอดเวลา ไม่คิดขัดขืนอะไร ลมแรงแค่ไหนก็ทำอันตรายต้นอ้อไม่ได้ ต้นโอ๊กใหญ่เห็นต้นอ้อเอนไปเอนมาแบบนั้นเลยหัวเราะใส่พร้อมพูดถากถาง "โธ่ เจ้าต้นอ้อกระจิริดเอ๋ย ยอมแพ้เสียเถิด ลมแรงขนาดนี้เจ้าคงไม่รอดหรอก มัวแต่เอนไปเอนมาเสียเวลาเปล่า" พูดไม่ทันขาดคำ ต้นโอ๊กใหญ่ก็ล้มลง รากที่ฝังอยู่ใต้ดินลึกก็โผล่มาให้เห็นด้วย ส่วนต้นอ้อก็ยังปลิวไหวไปตามลมจนกระทั่งพายุพัดผ่านไป อีก 2-3 วันต่อมา ชาวบ้านผ่านมาเห็นต้นโอ๊กที่ล้มลงจึงเอาเลื่อยมาตัดไม้ออกมาเพื่อเอาไว้ใช้สอยและสร้างบ้านเรือน ทิ้งไว้เพียงพื้นที่ว่างเปล่าอันเคยมีต้นโอ๊กตั้งอยู่ ด้านต้นอ้อผู้อ่อนโยนและโอนอ่อนไปกับลมก็ยังคงยืนต้นอย่างสำราญไปอีกนานแสนนาน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและยอมโอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์ ย่อมผ่านพ้นเรื่องต่างๆ ไปได้ด้วยดี กลับกันคนที่แข็งกระด้างไม่ยอมปรับตัวมักจะต้องแพ้ภัยจนไปไม่รอดเอง.. โดย: สมจิต IP: 27.145.110.170 วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:45:45 น.
(แทรก43).. 47.ได้ดูข่าวผู้คลั่งบางศาสนา(รายการทุบโต๊ะข่าว,ช่องอัมรินทร์,25-7-67)ได้เชือดคอหลานของตัวเอง(อันเนื่องมาจากความเชื่อที่สุดโต่ง?)แล้ว,ทำให้เรารู้สึกสลดใจ.. ซึ่งเรามีความเห็นส่วนตัวดังนี้..
การติดใดๆ?นับตั้งแต่ติดกามารมณ์?,ติดยาเสพติดทุกชนิด?,รวมถึงติดในคำสอน?ของลัทธิ,ศาสนา?(บางส่วน),โดยเฉพาะหลักศาสนาที่มีเรื่องของความเชื่อ?ที่เป็นนามธรรม?หรือพลังพิเศษเหนือมนุษย์?(หรือมิติลี้ลับ?)ที่ไม่สามารถพิสูจน์ในตัวตน?ของความเชื่อนั้นๆ?ได้อย่างแจ่มแจ้ง(?).. จึงที่สุดนับตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา,ล้วนเป็นเหตุที่สร้างความยุ่งเหยิง,วุ่นวาย?ให้กับสังคมโลกในทุกๆภูมิภาคอย่างมากมาย(?).. มีเพียงศาสนาพุทธเท่านั้น,ที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุและผลที่แม้แต่ไอสไตน์ก็ยังให้การยอมรับ.. แต่ก็นั่นแหละ.. ยุคเทคโนลี่สมัยใหม่,แม้บริบทของพุทธ?เอง,ก็มีผู้ที่พยายามนำความเชื่อของตน?ในเรื่องเทวนิยม?ที่เชื่อว่ามีโลกในอีกมิติ?ที่เป็นเรื่องเทพ,เทวา,พรหม,นาคราช?มาเชื่อมโยง,ซ้อนทับกับศาสนาพุทธอยู่เสมอตลอดมา,จนก่อเป็นปัญหาให้สังคมพุทธไทย?เกิดความแตกแยกออกเป็นฝัก,เป็นฝ่าย?,จนทำให้สังคมเกิดปุจฉาในใจ?ว่า.. ลัทธิศาสนา?(บางส่วน)มีไว้เพื่อช่วยเหลือมนุษย์?,หรือกลับสร้างปัญหา,ความสับสน?ให้กับมนุษย์กันแน่..(..ด้วยความเคารพครับ..) โดย: สมจิต IP: 171.96.157.86 วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:44:24 น.
(แทรก44).. 48.ได้ดูรายการข่าวแสบเฉพาะกิจ(ช่องไทยรัฐทีวี,20-7-67)ตอนเปิดเบื้องหลังโรงหนังลับลับ(แอบค้าบริการทางเพศ).. ซึ่งเรามีความเห็นส่วนตัวดังนี้..
หยุดเถิด..สังคมพุทธไทย,เรามาช่วยกันกอบกู้สังคมให้กลับสู่ทางเกวียนสายเก่ากันเถิด.. ก่อนที่สังคมเราจะเข้าสู่กลียุคเต็มรูปแบบ?.. อย่าพยายามทำให้เรื่องที่ผิดศีลธรรม(โดยเฉพาะศีลข้อ3)(หรือSex worker)ให้กลายเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย?เลย(?).. เพราะมันไม่ใช่เรื่องเหมาะควรสำหรับสังคมของชาวพุทธไทยเลย.. อย่าพยายามคิดหารายได้เลี้ยงชีพ?ด้วยวีธีการแบบลวกๆง่ายๆ?เลย(?).. เพราะทุกสิ่งที่คุณ(บางกลุ่ม)พยายามผลักดันนั้น,จะมีผล(วิบากกรรมที่ร้ายแรง?)ไปถึงลูกหลานของคุณในอนาคต..อย่างแน่นอน(?).. ควรเปลี่ยนค่านิยม(แนวคิด)กันใหม่ว่า.. จะได้เงินจะต้องเสียเหงื่อ(ในที่แจ้ง),เพื่อได้มา,จึงคือความภาคภูมิใจ,เพื่อพัฒนาDNAของลูกหลานคุณไปสู่DNAที่ดี..(..ด้วยความเคารพครับ..) โดย: สมจิต IP: 171.96.157.86 วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:1:15:26 น.
(แทรก45).. 49. (เท่าที่เราพอรู้บ้าง,และเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้นครับ)..
พระวิเวก,มหาสมบูรณ์,คุณม่อน พูดได้ดี,น่าเชื่อถือ.. มีข้อน่าสังเกตที่มีการอ้างเรื่องอนาคามีกลับชาติมาเกิด?.. ต่อให้กลับมาเกิดได้จริง.. ก็ต้องช่วยกันพิจารณาดูคุณสมบัติของภูมิอนาคามี.. คือ..อนาคามีนั้นตัดกามคุณ5ได้แล้ว,และจะเป็นผู้ที่ไม่มีรสนิยมในการครองเรือน?,จะไม่ชอบการคลุกคลีกับเพศตรงข้าม?(เพราะจะรังเกียจความเป็นคู่?).. แต่เท่าที่สังเกตกับผู้เป็นข่าวบางคน?จะสังเกตว่ายังชอบคลุกคลีใกล้ชิดกับต่างเพศ?อยู่เป็นเนืองนิตย์(?),ซึ่งมักมีหน้าตาที่สวยสดงดงาม?อยู่เลย(?).. ทั้งบางคนยังเคยพูดทำนองว่า..กายสังขารยังเป็นเด็กเท่านั้น?,ประมาณต้องการบอกว่า..แต่ความรับรู้,ความคิดอ่าน,อารมณ์,ความรู้สึก?น่าจะมีลักษณะแบบผู้ใหญ่?แล้วกระมัง?..ประมาณนั้นหรือไม่?.. อย่างน้องบบ.แม้ไม่ได้อ้างเรื่องภูมิธรรมใดๆ,แต่ก็ยังมีสัมมาทิฐิ,ที่เห็นทุกข์ในชีวิต(แบบฆราวาส),และอยากออกบวชเพื่อแสวงหานิพพาน.. แต่เด็กอีกคน?กลับยังง่วนอยู่กับการแสวงทรัพย์?,การเล่นเกมในโทรศัพท์?,และยังชอบคลุกคลีด้วยหมู่?,มีคนห้อมล้อมคอยอวย?,ทำให้เกิดมานะทิฐิ,ทะนงตัว?อยู่เลย(?),อันน่าจะไม่ใช่คุณสมบัติของพระอนาคามี?แต่อย่างใดเลย(?)..(เพราะอนาคามีต้องฝักใฝ่ในการออกบวช,และไม่นิยมการคลุกคลีด้วยหมู่,อันเจือปนด้วยบริบทของกิเลสทางโลกครับ?..)..(ด้วยความเคารพครับ).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 30 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:46:33 น.
(แทรก46).. 50.เราได้ไปดูรายการเคลียร์ชัดๆ,18เม.ย.67,มีความคิดเห็นดังนี้..
เท่าที่ดูจากแววตาของเด็กบางคนมีข้อสรุปส่วนตัวดังนี้ว่า.. เทคโนโลยี่สื่อสาร(เช่น..ระบบมือถือ,อินเตอร์เน็ต.. เช่น..เกมออนไลน์ต่างๆ)มีส่วนกดดันให้เด็กยุคนี้ต้องพยายามผลักดันตัวเองให้รู้เท่าทันในการสื่อสารในระบบของเกมออนไลน์ต่างๆ,จึงทำให้ระบบการพัฒนาของสมองเด็กในยุคนี้นั้นเร็วเกินไป,จนดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว,มีการพูดจาคล้ายกับผู้ใหญ่,และมีความคิดอ่านแบบผู้ใหญ่,ที่อาจอยากช่วยพ่อแม่ในการหาเงิน,และเงินส่วนหนึ่งก็วนกลับนำเอามาเป็นค่าเติมเกมส์?(?)..ประมาณนั้น.. ทีนี้..ผู้ใหญ่ในสังคมส่วนหนึ่งก็มองไปว่า..เป็นความน่าทึ่งของเด็ก,ซึ่งสังคมไทยมักติดในเรื่องความทึ่ง,ความอัศจรรย์?อยู่แล้ว..(ตรงกับคำว่าไทยมุง?คือไทยชอบมุง?..ประมาณนั้น).. จึงเป็นเหตุให้พวกหัวใส?พากันฉวยโอกาสสร้างอีเว้นท์?ให้เป็นกระแส?เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจการหารายได้?เข้าสู่กลุ่มพวกของตน?,ซึ่งมีส่วนแชร์ส่วนแบ่ง?ในเงินรายได้เหล่านั้น?(ซึ่งถ้าดูเผินๆเด็กบางคนที่เป็นข่าวก็มีความใกล้เคียงกับเด็กอัจฉริยะ?ที่รู้เรื่องบางเรื่องมากมายยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก?).. แต่เท่าที่สังเกต..เด็กยุคนี้มีอยู่จำนวนมาก,ที่เด็กมีความพัฒนาการทางสมองที่สูงมาก,อาจเพราะได้รับการดูแลโดยเฉพาะในเรื่องอาหารเป็นอย่างดี,ที่มีความสมบูรณ์ในธาตุอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าที่จะช่วยพัฒนาสมองอย่างมากมายยิ่งกว่าเด็กในยุคสมัยก่อน,ซึ่งนานๆทีจึงจะมีเด็กอัจฉริยะเกิดขึ้นสักคนหนึ่ง..เท่านั้น.. แม้แต่หลานชายคนหนึ่งของผู้เขียนเอง(ซึ่งมีอายุไล่ๆกับเด็กที่เป็นข่าวบางคน),เราก็สังเกตว่ามีความรอบรู้ในหลายๆเรื่องคล้ายๆหรือใกล้เคียงกับเด็กอัจฉริยะเช่นเดียวกัน..นั่นเลยเทียว.. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:27:56 น.
(ข้อที่เราตั้งข้อสังเกต).. เรามองว่า..ถ้าสมมุติเราเป็นอนาคามี,และต่อให้เราเกิดจับพลัดจับผลู,กลับชาติมาเกิดได้จริง,และถ้าเราเป็นพุทธ,นับถือพุทธ(แบบเถรวาท).. ตามทฤษฎีพุทธเถรวาทที่เคยรู้มาบ้าง..
1.เราจะไม่บอกพ่อแม่ของเรา,หรือใช้คำว่าอวตาร,เพราะคำว่าอวตารเป็นคำที่มักใช้กับลัทธิทางพราหมณ์?ที่มีเรื่องของพระเจ้าหลายพระองค์ซึ่งเป็นสายเทวนิยม,ซึ่งตรงข้ามกับพุทธเถรวาทซึ่งเป็นสายอเทวนิยมอย่างสิ้นเชิง.. 2.ถ้าพ่อแม่ของเราพยายามจะให้เราแต่งชุดที่เป็นเครื่องทรงที่อลังการ?,เราก็จะบอกพ่อแม่ของเราว่า..เราอยู่ในฐานอนาคามีแล้ว,ขอให้พ่อแม่นำชุดที่เรียบๆง่ายๆ(ในวิถีพุทธ)ซึ่งตรงตามหลักการของศาสนาพุทธ..เช่น..เสื้อคอกลม,กางเกงที่มีสีพื้นๆ,ไม่มีลวดลายใดๆมาให้เราใส่เถิด.. 3.ถ้าเราเริ่มรับรู้เรื่องเกมในอินเตอร์เน็ตหรือในมือถือ,เราจะบอกพ่อแม่ว่า..เกมเล่นสนุกเหล่านี้ไม่เหมาะกับเราแล้ว,เพราะอนาคามีจะไม่หมกมุ่นในการละเล่น,ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการแสวงหาทางหลุดพ้นแต่อย่างใด.. 4.ถ้ามีเรื่องของการระบำขับฟ้อน,เราจะบอกพ่อแม่ของเราว่า.. ถ้าพ่อแม่คิดจะจัดงานปฏิบัติธรรม,ก็ขอให้ไปจัดในบริบทที่เชื่อมกับวัดวาอารามหรือตามป่าเขาที่มีบรรยากาศที่สงบร่มรื่น(ไม่อึกทึก),เหมือนเช่นดังสมัยพุทธกาลจะดีกว่านะ,และอย่าได้มีเรื่องระบำรำฟ้อนใดๆที่เป็นข้าศึกต่อกุศล,ชวนให้ผู้ร่วมงานอาจคิดไปในทางกามคุณ5ได้,ซึ่งไม่เหมาะกับภูมิอนาคามีเช่นเรา,ซึ่งต้องมีศีล8,ศีล10เป็นอย่างต่ำ..เลยนะ.. 5.เรื่องดอกไม้,ของหอมนั้น,เราเป็นอนาคามี,เราละขาดได้แล้ว,เราไม่มีชอบ,ไม่มีชังในดอกไม้,ไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองหรือสีใดๆก็ตาม,เราแค่เห็นสักแต่ว่าเห็น..เท่านั้น.. 6.เราละการติดยึดในรสชาติอาหารได้แล้ว,เราจะไม่ขอให้ใครเอาเครื่องดื่มบางชนิดหรือช็อคโกแล็ตต่างๆมามอบให้?,หรือมาถวายบูชา?หรอกนะ(?),และใครที่สะเพร่าทำเครื่องดื่มหก?,เราก็จะไม่ไปรู้สึกไม่พอใจใดๆกับเขา?ดอกนะ(?)..(...ด้วยความเคารพครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:37:17 น.
(เท่าที่เราพอรู้มาบ้าง)..
1.การที่มีเด็กที่เป็นข่าวบางคนและพ่อแม่ของเด็กพูดทำนองว่าเด็กรู้เอง,ต้องระวังว่า..คำว่ารู้ด้วยตนเองนั้น,จะไปตรงกับความหมายของคำว่าสัพพัญญูหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเลยนะ.. 2.เราเห็นว่า..ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ท่านใดๆก็ไม่ควรพยายามอยากให้ลูกของตนมีลักษณะของผู้วิเศษหรือผู้มีอัศจรรย์ใดๆเลยนะ.. เพราะโลกยุคนี้เป็นโลกยุคแห่งการชำแหละ.. เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหรือลูกของคุณทำตัวเป็นผู้วิเศษ,คุณย่อมจะถูกชำแหละจากโลกโซเชี่ยลหรือโลกอินเตอร์เน็ตแบบสุดสตรีมเลย..ว่างั้นเถอะ.. 3.เราอย่าไปคิดว่าความจริงแท้(หรือธาตุแท้ของเรา)จะถูกปกปิดจากสายตาของมนุษย์ที่เป็นผู้ชมในโลกโซเชี่ยลได้.. บางทีคนในโลกโซเชี่ยล(บางส่วน)อาจไม่รู้วิธีที่จะบรรยายความรู้สึกที่สัมผัสได้ของตนมาให้ผู้อื่นรับรู้ได้.. แต่เชื่อเถอะว่า.. คนจำนวนมากเขาสามารถดูลักษณะของคนผ่านแววตา,สีหน้า,ท่าทาง,บุคลิกภาพได้ตรงกันว่า.. บุคคลใดมีความตรงไปตรงมาแค่ไหน?,หรือมีซ่อนบางสิ่งไว้ในแววตา,ท่าทางหรือไม่?..ได้เกือบจะตรงกันทั้งหมด..นั่นแหละ(เหมือนการตัดสินกีฬาต่างๆ..ถ้ากรรมการตัดสินผิดไปจากที่คนดูรอบเวทีหรือรอบสนามเขาเห็น,ก็ย่อมถูกประท้วงแน่ๆ..เท่ากับค้านสายตาผู้ชมประมาณนั้น).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:21:05 น.
4.ตามหลักพุทธที่เคยทราบมา.. เขามีหลักว่า.. ถ้าคุณเป็นโสดาบัน,คุณก็สามารถสอนยืนยันในคุณธรรมเท่าภูมิโสดาบันที่คุณปฏิบัติตามได้แล้วเท่านั้น..จึงจะควร.. แต่ถ้าจำเป็นจะต้องกล่าวเกินภูมิตนเองไปมากกว่านั้น,จะต้องรีบบอกกำกับ,อ้างอิงว่า.. ส่วนนี้พูดตามอาจารย์ท่านนั้น,ท่านนี้หรือเท่าที่เคยอ่านพบจากพตปฎ.มานะ..ประมาณนั้น.. หรือถ้าคุณเป็นสกิทาคามีหรืออนาคามี,คุณก็ต้องกล่าวในภูมิที่คุณปฏิบัติผ่านแล้วเท่านั้น.. ถ้าจะกล่าวเกินกว่านั้นก็ต้องอ้างอิงแหล่งที่มา(หรือต้นลำธาร)..เช่นเดียวกัน.. ถ้าเป็นอรหันต์ก็ต้องสอนเท่าภูมิอรหันต์ของตนเท่านั้น.. แต่ถ้าจะกล่าวเกินภูมิ,ก็ต้องบอกทุกครั้งว่า.. ส่วนนี้เป็นภูมิของพระพุทธเจ้าที่ถ่ายทอดมาอีกทีหนึ่ง,ไม่ได้รู้ด้วยตนเองแต่อย่างใด..ประมาณนี้ครับ..(ไม่งั้นก็จะพากันสอนเกินภูมิกันอีเหละเขะขะ,สับสนกันไปหมดครับ)..(อย่างกรณีเด็กบางคนที่เป็นข่าวนั้น,เราสังเกตว่าจะมีอัตตา,ทิฐิมานะ,ถือตนถือตัวอยู่สูงมาก,จริงๆถ้าเป็นภูมิอนาคามีแล้ว,ก็ไม่ควรจะไปทะเลาะ,ถกเถียงกับผู้ที่มีภูมิธรรมต่ำกว่า,ควรจะแผ่เมตตาให้เขามากกว่า,ยิ่งการไปฟ้องร้องกับผู้วิจารณ์ต่างๆยิ่งไม่เหมาะ,เท่ากับลดภูมิตัวเองลง.. จริงๆควรรีบหาทางบำเพ็ญให้ผ่านพ้นชั้นอนาคามีเป็นอรหันต์ไปเลยแล้วค่อยมาสอนทีหลัง..ก็ยังทัน)..(...ด้วยความเคารพครับ...)
โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:54:18 น.
(แนวคิดแบบเรา..เราพูดวิเคราะห์ ณ วันนี้เท่านั้นนะ.. เพราะที่สุดถ้าคนเรายังไม่ตาย.. อาจเปลี่ยนแปลงได้)..
เรามองว่า.. ณ วันนี้..ช่องแม่หมูคนบ้านนาเป็นช่องที่เราอยากให้มีคนเข้าไปฟัง.. เราอยากให้คนไทยพุทธมีอัธยาศัยแบบนี้.. ประมาณนี้..(เราพูด ณ วันนี้เท่านั้นนะ).. คือท่านพูดอะไรที่ประกอบไปด้วยเหตุและผลที่กระชับ,ใช้ภาษาชาวบ้านๆที่เข้าใจง่าย,ได้ใจความ,ได้ความมุ่งหมาย.. มีอีกท่านที่เราค่อนข้างนิยม..คือ..อ.เจษฎา เด่นฯที่ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งท่านมักพูดทุกสิ่งที่ต้องประกอบด้วยเหตุและผล,แต่เรื่องเด็กที่อวตารจากพญานาคนี่ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยออกมาพูด,แต่ท่านเคยให้ปัญญาเรื่องพญานาคแม่น้ำโขงในเมืองไทย( =ประเพณีดูบ้องไฟพญานาค)อยู่หลายครั้ง,คือท่านมีทัศนะที่ไม่ต้องการให้คนไทยเชื่ออะไรแบบงมงาย,ไร้เหตุผลว่างั้นเถอะ.. ช่องคุณม่อนนี่ก็ดีมาก,พูดในสิ่งที่มีหลักฐานอ้างอิง,พูดด้วยน้ำเสียงคมคาย,สดใส,ชัดเจน,และกล้าหาญ,น่าฟังมาก.. ท่านอาจารย์สมทบก็เป็นพระที่วางตัวดี,น่าเคารพพูดอะไรก็จะมีที่อ้างที่อิงอยู่เสมอ,แม้จะมีเรื่องที่มีมุมขัดแย้งที่คนเอามาถาม.. เช่น..เรื่องพระอนาคามีกลับมาเกิดได้อีกหรือไม่?.. ท่านก็มีลักษณะรับฟังความเห็นและบอกว่าจะนำไปตรวจค้นกับพตปฎ.ที่เป็นต้นฉบับในภาษาบาลีดั้งเดิมให้ด้วย..(เพราะมองว่า..การแปลเป็นไทยอาจมีการตกหล่น,คลาดเคลื่อนได้).. เช่นนี้เป็นต้น..(...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...) โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:12:51:58 น.
มีแม่ของเด็กเกือบวิเศษบางคน(บางท่าน)(ซึ่งเป็นคนที่ดูฉลาดมาก,มีไหวพริบในการตอบโต้ศัตรูที่ดีมาก),ที่กำลังถูกสังคมไทยพุทธมองว่าอาจเป็นจอมบงการ?กับเรื่องราวทุกสิ่งที่กำลังเป็นข่าว,และฟังว่ามีเชื้อสายของชนชาติทางคาบสมุทรที่ติดกับพม่า,เราก็ว่าน่าจะเป็นไปได้,เพราะดูจากรสนิยมการแต่งตัวก็ดูจะคล้ายๆอย่างนั้น(?)..
ซึ่งเมื่อราวๆ20ปีก่อน,เราจำได้ว่า..เราเคยเห็นคลิปๆหนึ่งในเน็ตที่มีคนแต่งชุดคล้ายแขกบางชุมชนที่อยู่บ้านติดกัน(น่าจะเป็นประเทศแขก),(เป็นหญิง)แล้วก็ไปมีเรื่องอะไรกันก็ไม่ทราบ,ก็ออกมาทะเลาะ,ส่งเสียงด่าว่ากันไปมา(เราฟังไม่ออกเพราะเป็นภาษาแขกๆ?),มีออกอาการโฉ่งฉ่างคล้ายว่าจะรุกเข้ามาต่อตีกันด้วย,แต่เห็นทะเลาะกันอยู่เป็นนาน,ก็ดูว่าจะเด่นในการใช้ปากเป็นอาวุธ?เท่านั้น(?).. จนจบคลิปก็ไม่เห็นจะเข้ามาจู่โจมถึงตัวซึ่งกันและกัน(ซักที?)แต่อย่างใด(?),เราดูแล้วก็ให้รู้สึกอดตลก?ไม่ได้,ซึ่งเรามีคติส่วนตัว(แต่ไม่ได้ส่งเสริมความรุนแรง?นะ)ว่า.. อย่างถ้าเป็นอัธยาศัยแบบผู้ชายๆ,ที่บางทีมีเรื่องอะไรกันบ้าง,ก็เคลียร์โดยการชกต่อยกันไปเลย.. แต่พอจบ,ต่างคนต่างเจ็บ,ก็มีหลายคู่ที่กลับได้เรียนรู้ใจกัน,ภายหลังกลับกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน,ได้พึ่งพาอาศัยกัน..ซะอย่างงั้น(?).. ซึ่งไม่เหมือนจริตของคนบางDNA,บางเชื้อสาย?ที่มักนิยมใช้ปากรบรากัน?,แต่ก็ยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น?..อยู่นั่นแล้ว(?).. ซึ่งเรามองว่า..จริต,DNAของแม่เด็กบางคนที่เป็นข่าว?ก็คล้ายๆจะมีจริต,DNAที่เน้นใช้แต่ปากต่อสู้?คล้ายๆกับคนบางเชื้อสาย?ในคลิปที่เราเคยดูนั่นกระมัง?..หรือไม่?..(คลิปคนบางเชื้อสาย?ที่นิยมใช้แต่ปากทะเลาะกันแบบยืดเยื้อ?,เราเคยพยายามค้นหาในกูเกิ้ล,แต่ปรากฏว่าหาไม่พบเสียแล้ว)..(...ด้วยความเคารพครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:13:44:50 น.
ประเทศไทยนี่ถ้าจะมองว่าโชคดีก็ได้หรือโชคไม่ดีก็ได้.. คือจะสังเกตว่า..ตัวอักษรไทยนั้นไปcover,หรือดัดแปลง,เสริมแต่งมาจากภาษาบาลี,สันสกฤตซึ่งเป็นภาษาของพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อครั้งพุทธกาล..นั่นเอง.. ดังนั้น.. เมื่อภาษาที่คล้ายกับของชนชาติใด?,ก็ทำให้อัธยาศัย,จริต,ความนึกคิดก็มักจะไปคล้ายกับวัฒนธรรมหรือศาสนาของเชื่อสายเจ้าของภาษานั้นๆ..นั่นเอง..
จริงๆ..ภาษาไทยนั่นพูดง่ายที่สุด,พูดผิดบ้าง,ถูกบ้าง,ก็พอฟังออกได้ไม่ยาก,ไม่มีเสียงซ่าๆเหมือนภาษาประกิตเค้าที่ต้องมีตัวsบ้าง,เติมesบ้าง,เติมedบ้าง,ตัวthต้องมีเสียงตามไรฟัน,แบบต้องกัดลิ้นไว้เล็กๆ,หรือตัวzก็ต้องส่งเสียงคล้ายคำราม..ประมาณนั้นบ้าง.. ซึ่งคนไทยเคยพูดที่คำไทยคมชัด,จึงไม่ถนัดพูดภาษาประกิตที่มีเสียงซ่าๆ?(รวมทั้งยังมีเรื่องของverb to beคือis,am,are,was,wereน่าวุ่นวาย,ปวดหัว,ซับซ้อน..นั้นอีกด้วย).. จึงทำให้คนไทยส่วนมากกลัวพูดผิด,อายเขา,จึงไม่เคยพูดภาษาEได้อย่างคล่องแคล่ว,คล่องปากเลย.. จะนึกอยากพูดประกิตกับฝรั่งเมื่อไหร่,ก็คล้ายต้องตั้งป้อม,อึดอัด,ตั้งหลักไว้ในใจ,คล้ายกำลังเตรียมรบกับข้าศึก?..ประมาณนั้น..นั่นแหละ.. เหตุอย่างนี้.. เราจึงวิเคราะห์ได้ว่า.. เหตุที่ภาษาประกิตซับซ้อน,พูดยาก,จึงทำให้สมองของคนฝรั่งมีDNAที่คิดได้ซับซ้อน,เป็นระบบ,ระเบียบ,มีลำดับ,ขั้นตอน,ไม่มั่วซั่ว,เขาจึงเป็นเชื้อสายที่ก่อกำเนิด(ผลิต)นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องเทคนิค,เทคโนโลยี่ที่ละเอียด,น่าทึ่งได้อย่างมากมาย,จนเป็นเจ้าโลกได้เลย..นั่นไงล่ะ(?).. ส่วนภาษาไทยนั้นพูดง่าย,ฟังง่าย,ฟังชัดจึงถนัดไปในทางหลอกกันด้วยเรื่องความเชื่อ?ได้โดยง่ายไปด้วย(?).. ซึ่งโดยมาก.. มักถ่ายทอดกันด้วยเสียงพูด,โวหาร?ที่โน้มน้าวใจให้เชื่อ?ได้โดยง่าย(?),พูดแบบกระซิบๆ,ฟังออกบ้างเล็กน้อย,ก็จะพากันเชื่อแล้ว?..ประมาณนั้น.. แต่สังคมไทยจะสังเกตว่า.. จะถนัดในเรื่องการดัดแปลง,และการเลียนแบบนะ.. นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปได้ไม่ถึงไหน?.. อย่างถ้าเห็นใครทำอะไรแล้วดูรุ่งเรื่อง,มีลูกค้ามาต่อคิวซื้อ,ดูว่าร่ำรวยเร็ว,ก็จะพากันเลียนแบบทำตามๆกันละ.. เหมือนกับทางอิสานเหมือนกัน,อย่างถ้ามีใครค้าขายอะไรได้ดี,ก็จะไปชวนเพื่อนในหมู่บ้านเดียวกันไปขายแบบเดียวกัน,และนั่งขายใกล้ๆกันด้วยนะ.. นี่แหละ..วัฒนธรรมแบบไทยๆ.. แต่เดิมตนเองขายได้ดี,เพราะมีเจ้าเดียว,แต่พอไปชวนเพื่อนร่วมหมู่บ้านมาขายแบบเดียวกันด้วยกัน,รายได้ก็เลยแบ่งๆเฉลี่ยกันไป,ก็เลยกลายเป็นแค่คนเคยรวย?หรือเคยขายดี?..เท่านั้น.. แต่อย่างแถบสแกนดิเนเวียนะ.. เขาจะมีการจัดระเบียบว่า..ถนนสายนี้จะมีร้านอาหารแบบเดียวกันได้กี่ร้าน?(ไม่ได้ปล่อยอย่างอิสระแบบไทย),ดังนั้น..เขาจึงมีรายได้ดีกันอย่างทั่วถึง..นั่นไงล่ะ(?).. ประมาณนี้ครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:15:23:18 น.
จริงๆ.. พ่อแม่เรานับถือเจ้า,บรรพบุรุษแบบจีน.. เราเกิดในเมืองไทย,เป็นคนสัญชาติไทยโดยกำเนิด,นับถือพุทธตามทะเบียน,แต่ใฝ่ศึกษา,เรียนรู้ในเรื่องศาสนามาตั้งแต่เด็กที่เริ่มรู้เดียงสา,สนใจในเรื่องเร้นลับต่างๆ,ชอบทดลองสิ่งแปลกๆ,เคยยอมเสียเงินให้หมอดูที่มาดูดวงให้ตามบ้าน,ประมาณ2000บาทเมื่อราว20กว่าปีก่อน,เพื่อผูกดวงให้ได้คนรักที่ปรารถนา(เราเพียงอยากทดลองสักครั้งว่าหมอดูทำได้จริงมั้ย?),ปรากฏว่า..ถูกหมอดูจรหลอกไปเรียบร้อย,เคยโทรศัพท์ไปตาม,บอกว่ามันไม่ได้ผลตามว่า,ว่าหลอกลวงนะเนี่ย,ขอเงินคืน,ก็เงียบจ้อย(คือเราอยากลองเองด้วยว่า..สิ่งลี้ลับ,อภินิหารมีจริงหรือไม่?..ด้วย)..
เราเคยลองศึกษา,เข้าโบสถ์ทั้งของคริสต์,และเคยเข้าประชุมอนุตตรธรรมแม่กวนอิมด้วย.. ดูโลกมานานถึง40กว่าปี,จึงได้บรรลุว่า.. โลกนี้เต็มไปด้วยความหลอกลวง?และล่อลวง?,แม้แต่เรื่องความรัก,คนรักนั้นก็ไม่มีจริง,ทุกคน,โดยเฉพาะหญิงส่วนมาก?(เกือบทั้งหมด)ก็ล้วนรักตนเองเป็นที่สุด?มากกว่าการจะรักคนอื่นยิ่งกว่ารักตน?.. เราเคยเสียเงิน(ทอง)ให้กับระบบเทคนิคการจัดประชุม?เมื่อราว30ปีก่อน,ของบางคณะความเชื่อนี่แหละ..โดยเสียเป็นแหวนทองที่กำลังใส่อยู่นี่แหละ,โดยเจอเทคนิคการจูงใจให้บริจาค?,โดยเขาจะมีเทคนิคการพูดในที่ประชุม.. เช่น..คุณ.....จะช่วยเท่าไหร่?,เราก็อยากได้หน้า,ได้คำสรรเสริญ?ด้วยเนาะ?,ก็เลยถอดแหวนทองให้เลยหนักประมาณ2สลึง(ถ้าตีเป็นมูลค่าเดี๋ยวนี้ก็ราวๆ2หมื่นได้เลยนะ).. ก็อาจคล้ายๆเทคนิคประมูลเสื้อ?ของบางกิจกรรม?ที่ได้ยินมาเร็วๆนี้,ที่ได้เงินไปหลายหมื่น?เหมือนกัน..นั่นกระมัง?.. อยากบอกว่า.. เรื่องการเข้าร่วมประชุมความเชื่อ?(บางส่วน)ว่า.. เขาจะมีเทคนิค?ที่ทำให้เงินหรือทองของคุณ?จะไม่เป็นของคุณ?อีกต่อไปด้วยนะ.. จึงต้องระวังกันให้ดีๆ, เพราะไม่มีใครอยากเสียหน้า?หรือน้อยหน้า?ในเวลาที่มีการประชุมในหมู่กิจกรรมใหญ่ๆ?..หรอกนะ(?)..ประมาณนั้นครับ.. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:16:48:53 น.
(เรามีวิธีสังเคราะห์,สรุปความคิดง่ายๆแบบเรา)..
1.การหากินกับความเชื่อเป็นการหากินที่ง่ายที่สุด.. ไม่ต้องลงทุนมาก,แต่โอกาสจะได้เงินมาก,ก้อนใหญ่ๆด้วย.. ขอเพียงให้สามารถโน้มน้าวให้สมาชิกเกิดความเชื่อถือต่อเจ้าของลัทธิความเชื่อนั้นๆก็เพียงพอแล้ว.. 2.สื่อค่ายใหญ่,ค่ายดังๆ(บางส่วน)มีส่วนส่งเสริมให้ประชากรไทยมีจริตที่งมงาย?ด้วย(?).. เช่น..เวลาที่นำเสนอข่าว,ถ้าเมื่อไหร่ที่มีเรื่องรถราหรืออื่นๆ,ก็มักจะแพนกล้องไปที่เลขทะเบียนรถบ้าง,เลขที่บ้านบ้าง,ซึ่งเรามองว่าสื่อ(บางส่วน)ต้องการเพียงเรตติ้งคนดู,ไม่จริงใจกับประชาชน,ทำให้คนไทยถูกกระแสสื่อบางส่วนชักนำให้หลงใหลในการเสี่ยงโชค.. ประมาณว่า..สื่อเขาก็ยังส่งเสริม,เราก็เชื่อไปตามกระแส..ก็แล้วกัน..ประมาณนั้น.. แทนที่สื่อจะบอกประชาชนว่า.. รางวัลที่1นั้นใน1ล้านใบจะมีคนถูกแค่ใบเดียวต่องวดหนึ่ง?เท่านั้น,แต่อีก999999ใบนั้นจะไม่ได้รางวัลที่1หรอกนะ,อย่าไปเสี่ยงเลย,และผู้ที่ถูกคนเดียวนั้นก็จะติดกรรม?ด้วยนะ,เพราะไปดึงเอาความหวังของคนจำนวนมากมาไว้กับตนเองเพียงผู้เดียว..ประมาณนั้น..,จึงจะเหมาะครับ.. จึงเป็นเหตุว่า..สื่อบางส่วนไปสร้างอุปนิสัยให้คนไทยเชื่อคนง่าย,ชอบเสี่ยงโชคลมๆแล้งๆ.. จึงมีสถิติว่า..คนไทยหรือสังคมไทยเป็นสังคมที่ถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มากที่สุดในโลก..นั่นไงล่ะ(?)..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:18:16:28 น.
3.การที่พตปฎ.เป็นภาษาบาลีมาแต่เก่า,ทำให้คนไทยซึ่งรับศาสนาพุทธมา,จึงต้องพยายามมาแปลพตปฎ.ให้เป็นฉบับภาษาไทย,ความผิดเพี้ยนจึงอาจเกิดขึ้นได้บ้าง(?).. เสร็จแล้วก็มาทะเลาะกันว่า..ใครแปลผิดหรือแปลถูก?..
4.เราเคยลองศึกษาแนวคิดของสำนักสีกรักคลองกุ่มอยู่บ้าง.. แนวคิดของเจ้าสำนักนี้คือเหมือนว่า..กึ่งเชื่อ,กึ่งไม่เชื่อ?ในเรื่องชั้นสวรรค์,ชั้นพรหม(ที่เป็นลักษณะของอัตตา,ตัวตนที่มีลักษณะ,รูปร่างที่ชัดเจน),แต่ก็จะมีพูดถึงบ้าง,เพราะมีปรากฏเรื่องราวสวรรค์ชั้นต่างๆในพตปฎ.อยู่จริง.. แต่สำนักนี้จะตีความว่า..สวรรค์ในพตปฎ.เป็นแค่ภูมิจิตของมนุษย์เป็นๆที่กำลังบำเพ็ญธรรมะ,และเมื่อตายไปในขณะที่ภูมิจิตอยู่ในชั้นไหน?,ก็จะไปเสวยภพที่มีชื่อตามสวรรค์ชั้นนั้นๆ,ซึ่งที่สุด..ก็ไม่สามารถพิสูจน์ใดๆให้ประจักษ์ชัด?ได้อยู่ดี(?).. แต่สำนักนี้จะมีความคิดเด็ดขาดว่า.. "สวรรค์"นั้นเป็นแค่ภพ( =ภวะ,ภาวะ,ภวังค์)ในจิตของแต่ละบุคคลที่ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว,คือประมาณว่า..ใคร(บุคคลใด)ก็จะสร้างภพของตนเองขึ้นมา(อาจไม่ตรงกันเป๊ะๆ),และแต่ละดวงวิญญาณในภพก็จะเสพกุศลอยู่ในภพของตนเอง,ที่ไม่ใช่แบบมีสภาสวรรค์?(ที่มีท้าวสักกะเป็นประธานสภา),หรือสภาชั้นพรหม?(ที่มีท้าวมหาพรหมเป็นประธานสภา)ที่จะสามารถสื่อสารกันได้,สั่งงานกันได้?แต่อย่างใด?..ประมาณนั้น(?).. แต่ก็จะมีข้อย้อนแย้ง.. เช่น.. บอกว่ามีในพระสูตรที่บอกว่า.. เคยมีที่พระพุทธเจ้าก็เคยไปโปรดพระมารดา( =พระนางสิริมหามายา)ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์?,แต่สำนักนี้ก็จะมาตีความว่า..หมายถึงพระพุทธเจ้าไปโปรดจิตความเป็นแม่(พระมารดา)ในตัวพระพุทธองค์เองเท่านั้น(ซึ่งก็มีข้อย้อนแย้งอีกว่า.. ก็พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้สูงสุดแล้ว,ยังจะต้องมาโปรดจิตตนเองให้สูงขึ้นไปอีก?ได้อย่างไร?..ประมาณนั้น).. โดย: สมจิต IP: 27.145.208.237 วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:20:32:41 น.
(แทรกด่วนๆ)..
(วาจาอมตะ).. คำกลอนสอนใจพาให้คิด(อีกครั้ง)..จากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ.. ...ผู้ปกครองเป็น......พึงระวัง... ...สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยว..หวาดเสียวใจ... (...ด้วยความเคารพครับ...) โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 18 สิงหาคม 2567 เวลา:4:53:02 น.
(แทรกด่วน)..(ขำไม่ออก,ตลกร้ายของประเทศไทย)..
พื้นฐานความคิดของคนส่วนมาก(โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นผู้มีความรู้),เมื่อจะทำอะไรมักจะมีข้อแก้ต่าง?,เหตุผลสารพัดนั่น,นี่,นู่น?ให้กับตนเองก่อนตัดสินใจรับงานใดๆ..ก่อนเสมอ(?).. ถ้าภาษาศาสนาพุทธก็ต้องบอกว่า.. ก่อนทำอะไรต้องตั้งสัมมาทิฐิให้ถูกต้องตรงกับหลักการทางศาสนาพุทธเสียก่อนเป็นอันดับแรก(เหมือนอย่างกรณีลัทธิเชื่อมกล้วย?,เมื่อตั้งสัมมาทิฐิที่ผิดแต่ต้น?,จึงทำให้กระบวนการทำงานทั้งหลายย่อมถือว่าผิดพลาดทั้งหมด?..นั่นแหละ..เป็นต้น).. แต่เมื่อเริ่มคิดผิด?ที่ไม่เป็นสัมมาทิฐิตั้งแต่แรก,ก็จะถือว่าสิ่งที่จะทำต่อมาก็จะเท่ากับผิดทั้งหมด?(หรือไม่?).. โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:10:16:42 น.
บางท่านพูดว่า..ในสภาจะอยู่เป็นกลางไม่ได้,ต้องเลือกข้างว่าจะอยู่ภายใต้ฝ่ายค้านหรือ;ฝ่ายรัฐบาลอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น..(แต่เราเหมือนจะเคยได้ยินคำว่าค้านอิสระ?ด้วยนะ,แล้วถ้าไม่ทำตามมติฝ่ายค้าน,จะต้องถูกขับออกจากการเป็นฝ่ายค้านด้วยหรือเปล่า..ละเออ?).. จำได้ว่า.. สมัยหนึ่ง,บางกลุ่มการเมือง,เขาก็ตกลงใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง,เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่มีความชอบธรรม?ไม่ใช่หรือ?..จำได้ไหมเอ่ย?.. โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:10:21:06 น.
(ปล.มีคำถามว่า.. ระหว่างอยู่ร่วมกับกลุ่มโกง?กับกลุ่มค้านระเบียบบางอย่าง?.. คุณคิดว่า..คุณควรเลือกอยู่กับกลุ่มใด?)..
(...ด้วยความเคารพครับ...) โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:10:28:19 น.
คุณร่วมรบ.จะครบปีแล้ว.. ราคาน้ำมันและไฟฟ้ายังไม่ลด.. จะมาพูดอะไรอีกครับ?..
โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:10:41:50 น.
(ข้อคิด)..การที่เลือกจะอยู่กับDNAโกง?ก็แปลว่า..ไม่รังเกียจDNAโกง?.. จะยกแม่น้ำทั้ง8มาพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นครับ(?)..(พระพุทธเจ้าสอนว่า..คบคนเช่นไรก็เป็นคนเช่นนั้น,และ คนโกหก,ที่จะไม่ทำชั่ว..นั้นไม่มี..นั่นไงครับ?)..
อินฟลูเอ็นเซ่อร์หญิงบางคนก็อย่าเชลียร์จนไม่ลืมหูลืมตานะครับ?.. สังคมไทยมันเป็นสังคมเมาตัวบุคคล?หรือไม่?.. สื่อบางสื่อ,พิธีกรข่าวบางคน(อย่างน้อย4-6ค่าย,เท่าที่เราเห็น)ก็เลือกเชลียร์เฉพาะคนบางคนที่ตนเองมองว่าเป็นคนดี?(แต่ไม่รู้ว่าดีจริง?หรือไม่?).. สื่อเป็นพื้นฐานของสังคม.. ถ้าสื่อมีอคติ,ลำเอียง,เลือกข้าง?.. สังคมนั้นๆก็ย่อมหมดหวังแล้วล่ะนะ?..เราว่า?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:12:49:31 น.
นกม.บางคน?รวมทั้งสื่อบางสำนัก?ชอบอ้างว่า..ตนเองหรือคณะของตนเองนั้นรักชาติ,ศาสนา,....?.. แต่ที่สุดก็ไปให้การสนับสนุนกับDNAโกง?(?)..
ถามว่า..คนที่อ้างเพื่อชาติ,ศาสนา...?กับDNAโกง?,แล้วไปอยู่ร่วมกัน?,สนับสนุนซึ่งกันและกัน?(แม้จะลือว่า..ที่ร่วมกันเพราะมีแผนเพื่อล้มบางคณะ?,บางสี?ก็ตาม?)..นั้น.. ถามว่า.. ตรรกะแบบนี้?(ละม้ายคล้ายนิยายตำนาน3กั๊ก,ที่ทรยศกันไปมา?)..มันเป็นตรรกะที่ใช้ได้?หรือเม้คเซ้นซ์หรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:13:11:45 น.
(ข้อน่าคิด)..
พุทธ( =ตาอิน)กับคริสต์( =ตานา)นั้นคิดคนละอย่าง.. พุทธนั้นถือว่าเป็นศาสนาที่มีเหตุผลมากที่สุด,เพราะแม้แต่ไอสไตน์และคานธียังให้การยอมรับ..(แต่แปลก.. ที่ทั้งไอสไตน์และคานธีกลับไม่ได้นับถือพุทธนะ).. [เรื่องแปลกๆอีกเรื่อง,ที่ชวนฉงน?.. ก็คือ..คุณส.แกนนำพธม.เวลาจัดรายการ,จะมีรูปของมหาบ.และท่านพ.ค่ายสีกรักอยู่ข้างหลัง(?).. คุณส.นับถือทั้ง2ท่าน,และทั้ง2ท่านก็เคยประกาศตนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมว่า..ตนบรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้ว,แต่ทั้ง2ท่านก็มาชี้กันไปมาว่าอีกฝ่ายไม่ได้บรรลุจริงหรอก?.. แต่ก็แปลก.. ที่ทั้ง2ท่าน(ซึ่งอ้างว่าตนบรรลุแล้ว?)นั้น,ต่างมาถูกหลอกโดยอดีตนกม.บางคน?ที่อ้างว่ารวยแล้วไม่โกงหรอก?(ซึ่งเป็นคนๆเดียวกัน)..นั่นเอง?].. โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:14:32:50 น.
แต่คริสต์นั้นถือว่ามีปรัชญาความคิด,ความเชื่อที่น่าฟัง,และเป็นปรัชญาที่อยู่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากๆ[ต่างกับพุทธซึ่งมีบางข้อที่ดูโอเว่อร์ไปหน่อย).. เช่น.. คริสต์บอกว่าไม่มีคนดี(จริง,แท้)ในโลก,ไม่มีสักคนเดียว(โรม3:10-12;สดุดี14:1;สดุดี53:1-3)ประมาณนี้นั่นไง?]..
โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:14:35:34 น.
แต่ศาสนาที่ตรงไปตรงมากับสัญชาตญาณการดิ้นรนต่อสู้ของมนุษย์นั้นก็คือศาสนายิว( =ตาอยู่),ซึ่งมีคติว่าตาแทนตา,ฟันแทนฟัน.. คือ..ถ้าคุณแรงมา,ฉันก็ต้องแรงไป(ไม่เช่นนั้น,ฉันก็อาจสูญพันธุ์เพราะถูกรุกราน,เหมือนเช่นที่พุทธถูกกำจัดให้สูญสิ้นจากอินเดีย..นั่นไง?..ประมาณนั้น?),ซึ่งถือว่า..เป็นศาสนาที่ไม่มีซ่อนเหลี่ยมใดๆ,พูดกันตรงๆ,ตัดสินด้วยการปะทะ,เข้าใจตามได้ง่าย,แพ้คือแพ้,ชนะคือชนะ,สู้กันเลย,ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความเป็นสุภาพบุรุษใดๆให้เสียเวลา..ประมาณนั้น(?)..
(...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:14:38:57 น.
(ระบบจีนและระบบปชต.แบบไทยๆต่างกันอย่างไร?)..
ระบบจีนเค้ามีระเบียบที่ชัดเจนและไม่เยิ่นเย้อที่ใช้เวลายาวนาน.. เขาเน้นเรื่องเศรษฐกิจ(หากินเป็นหลัก),และการไม่ให้มีคอร์รัปชั่นต่างๆ?( =เน้นความซื่อตรง),เขาจึงรวยเอา,รวยเอาไงล่ะ(?).. แต่ระบบปชต.ไทยๆก็คือระบบของการเสียเวลา,ซึ่งตีเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมากมายมหาศาล.. คดีแต่ละคดีต้องใช้เวลาอย่างน้อย3ปีถึง15-20ปีก็ยังมี..(ซึ่งยิ่งนานเท่าไหร่?..ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้มีการวิ่งเต้น,ใช้เส้น,ใช้สาย,ใช้ระบบอุปถัมภ์ต่างๆ,ใช้ความสัมพันธ์เพื่อล้มคดี?,บิดคดี?ได้ด้วย?..ใช่หรือไม่?).. แล้วเคยมีนักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิจัยไหมว่า.. การที่ใช้ระบบการดำเนินคดีต่างๆที่กินเวลายาวนานเช่นนี้กับการต้องกังวล,รั้งรอการตัดสิน?,ที่เสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตจากความกังวลว่า..ผลจะออกมาอย่างไร?,ทำให้การงานที่ทำอยู่อาจบกพร่อง,ไม่เต็มประสิทธิภาพ,และยังเรื่องทรัพยากรบุคคลในคดีที่ต้องเสียเครดิตไปในช่วงที่สังคมตัดสินไปแล้วนั้น,ตีเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่?.. ถ้าตีว่าต่อคนเดือนละแสน,ปีหนึ่งก็ตีว่า1ล้าน,ถ้าต่อสู้คดี15ปีก็15ล้าน,ถ้าต่อสู้คดี20ปีก็20ล้าน(ต่อคน),แล้วถ้าในคดีมีกี่คน?,ก็คูณกันเข้าไปสิ,แล้วต่อวัน,ต่อเดือน,ต่อปี,มีคดีมากน้อยเท่าไหร่?..(สังคมไทยยิ่งมีคติที่ชอบค้าความเพราะติดค่านิยมชอบทำตามละครหลัง2ทุ่มอีกด้วยนะ?)ก็คูณเข้าไปอีก(?).. สังคมไทยจึงต้องมาคิดกันใหม่ว่า..จะทำยังไงให้คดีที่มีอยู่จบสิ้นโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร?,ถ้าสามารถจบคดีต่างๆได้อย่างรวดเร็ว,ก็จะได้เอาเวลาที่เหลือมาตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน,ช่วยกันเสียภาษี,สร้างสรรค์ประเทศ,จะได้ร่ำรวยเหมือนประเทศจีน(ซึ่งเป็นคนละระบอบกับเรา)เหมือนเขาบ้างจะดีไหม?.. อย่างคดีหมิ่นประมาททั้งหลาย,ก็ขอเสนอว่า..ให้ใช้ระบบกรรมการในแต่ละหมู่บ้านเคลียร์กันเอง,โดยไม่ต้องเป็นภาระของศาลไปเลย(?)..อย่างนี้จะดีไหมครับ?.. หรือคดีอื่นๆก็ควรใช้ระบบไกล่เกลี่ย,ขอร้อง(ตะล่อม,เจรจา)ว่า..ใครทำผิดขอให้สารภาพ,แล้วจะลงโทษสถานเบา..เช่นนี้เป็นต้น.. หรือเรื่องการเรียกร้องค่าเสียหาย,ให้ยกเลิก,แต่ให้ศาลเป็นผู้กำหนดค่าเสียหายให้เอง,เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นช่องให้คนที่เป็นความกันข่มขวัญอีกฝ่ายให้ต้องหวั่นเกรง,จนทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยคนที่เสียสุขภาพจิต?,ซึมเศร้า?กันเต็มไปหมด(?)..อย่างนี้เป็นต้น(?).. จะดีไหม?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...) โดย: สมจิต IP: 27.145.115.64 วันที่: 19 สิงหาคม 2567 เวลา:16:34:15 น.
(พิเศษ).. เห็นคุณตอ.ในคลิปที่หลั่งน้ำตา(ที่ถูกรังแก,ถูกด่าว่า,ถูกประณาม),แล้วก็อดที่จะอยากให้กำลังใจต่อผู้หญิงตัวเล็กๆ(น้ำหนักราวๆ40กว่าโล),แต่ดิ้นสู้ชีวิต,ดูแลครอบครัว(คนหนึ่งนี้)ไม่ได้..
คนบางคนที่มองว่าคุณตอ.ยิ้มเหมือนหยัน?นั้น.. จริงๆคุณตอ.เป็นลักษณะของคนที่มีธาตุเข้ม,DNAแกร่งในส่วนลึกของจิตใจต่างหากล่ะ,เวลาเขาต้องการควบคุมอารมณ์ให้นิ่ง,เขาจึงต้องยกปาก,ยกคาง,ยกแก้มขึ้นเพื่อสะกดตัวเอง,บวกกับความเข้มแข็งของเธอที่ปรากฎออกมาทางสายตา(ซึ่งเป็นพื้นฐานปกติของเธอ)อยู่ตลอดเวลา,จึงดูเหมือนกำลังเย้ยหยันต่อคู่ปะทะ?,แต่จริงๆนั้นไม่ใช่ดอก(?).. ดังนั้น.. ถ้าใครที่เห็นเธอเป็นศัตรู?(อยู่แล้ว)ก็ย่อมจะมองผิดเพี้ยนไปเป็นว่า..คุณตอ.กำลังยิ้มเหมือนหยัน,เหมือนเย้ยประมาณนั้นนั่นเอง,เป็นเรื่องธรรมดา.. แต่จริงๆเป็นเรื่องของบุคลิกของเธอ,ที่ถ้าเป็นเพศชายในสมัยก่อนเขาจะใช้คำว่าคนใจนักเลง(ซึ่งเป็นความหมายเชิงบวก)นั่นเอง.. [แต่เราไม่ได้เล่นเฟ้สบุ๊ค,หรือยูทู้ป,หรือเล่นไลน์ใดๆทั้งสิ้น,อย่างF...ก็เคยถูกบล็อคมา4-5ครั้ง(ถูกรายงาน)จนไม่คิดอยากทำบัญชีใหม่ใดๆอีกแล้ว(มันเมื่อยมาก).. ดังนั้น.. ขอส่งกำลังใจผ่านสายลม,ใครที่เข้ามาอ่านผ่าน,ก็ฝากบอกเธอว่า..มีคนให้กำลังใจคนเก่งหัวใจแกร่งอย่างคุณตอ.(หญิงผู้เป็นตำนาน)ที่เคยถูกรุมทึ้ง,รุมทิ่มแทง?จากทั้งสื่อผู้ยิ่งใหญ่หลายค่าย(จำนวนหนึ่ง),และจากผู้เป็นศัตรูเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด2-3-4-5คน?(ณ วันนี้,แต่อนาคตไม่มีใครล่วงรู้ได้).. แต่ในที่สุด.. เธอก็ต่อสู้จนผ่านพ้นมันมาได้กระทั่ง"สื่อบางค่าย?(ค่ายใหญ่ๆทั้งนั้น)ที่เคยร่วมกันทรยศเธอ?ก็ต้องยอมบากหน้า,กลับมาหาคอนเท้นต์จากเธออีกเช่นเดิม.. ช่วยบอกเธอว่าช่องเก่า,ช่องเก๊ก,ช่องกร่าง(บางช่อง)ที่คอยหาเรื่องขุดคุ้ยโจมตีเธอนั้น,เจ้าของช่องก็ไม่ได้มีภูมิหลังที่ดิบดีซักเท่าไหร่หรอก(?),แค่เจ้าของช่อง(บางช่อง)มีคุณสมบัติปากเก่ง,วาทศิลป์ดี,และผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะกว่า..เท่านั้น(?).. จึงขอฝากใครก็ได้ไปให้กำลังใจเธอคุณตอ.อีกครั้งนะครับ].. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 20 สิงหาคม 2567 เวลา:20:28:04 น.
(เพิ่มเติม).. เราอยากบอกว่า.. คุณตอ.ได้โหงวเฮ้ง,บุคลิก,และDNAที่เป็นปมเด่นจากทั้งพ่อและแม่ของเธอมามาก.. เธอเป็นคนที่มีไหวพริบ,รู้ทันคนว่าใครเป็นเช่นไร?.. แต่เพราะการดิ้นรนหากินเพื่อดูแลหลายชีวิตในครอบครัวทำให้เธอพลอยตามกระแส,ทำตาม(เรื่องการแสวงหาเงินทอง)ที่ใครๆ?ในสังคมคนชั้นกลางเขาก็พากันทำตามๆกัน,โดยมองว่า..มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายอะไรมากมาย(?),เพราะเป็นความยินยอมของทั้ง2ฝ่ายหรือทุกฝ่าย,ที่พร้อมที่จะทำธุรกิจเงินๆทองๆ(แบบเสี่ยงๆ?)ร่วมกัน(?).. ถ้าเผอิญผิดพลาด(เช่น..แชร์ล้ม,ท้าวแชร์หนี,หรือลูกแชร์ที่เปียร์เงินได้แล้วหนี),ก็ถือว่าซวยไปก็เท่านั้น(?)..
และเธอเป็นคนที่รู้จักดูแลหน้าตา,ผิวพรรณของเธอให้ดูมีออร่าอยู่เสมอ..อีกด้วย.. ซึ่งต้องยอมรับว่า..ผู้ชายทั้งโลกไม่ว่าหนุ่มหรือแก่,ไม่ว่าฝรั่งหรือคนไทยต่างล้วนชอบบุคลิก,หน้าตา,โหงวเฮ้ง,การแสดงออกของเธอกันแทบทั้งนั้น.. แม้แต่ผู้ชายที่เป็นฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์(เช่น..พวกเชื่อมกล้วย)ด้วยก็ตาม,เราเชื่อ(ส่วนตัว)ว่า.. อารมณ์ส่วนลึกก็ยังอุตส่าห์นึกพึงใจในเสน่ห์ที่น่าเอ็นดู(?)แกมน่ามันเขี้ยว(?)กับบุคลิกยียวน?ที่เป็นธรรมชาติ(ที่ไม่ได้เสแสร้ง)ของเธอ..ด้วยเช่นกัน(?).. ส่วนผู้หญิงรึ?.. เพราะผู้หญิงก็คือผู้หญิง?,เราเชื่อว่า..ผู้หญิงทั้งประเทศ?ต่างล้วนอิจฉาเธอ?(แต่ไม่ใช่คำว่าริษยานะ),คำว่าอิจฉาคำนี้,ไม่ได้แปลทางร้ายนะ,เป็นแกมเอ็นดู?มากกว่า.. ประมาณว่า..ไฉนจึงมีคนชื่นชมเธอกันแทบทั้งนั้น,เราเป็นหญิงเช่นกัน,เราก็อยากมีคนชอบมากๆแบบคุณตอ.บ้าง(?)..ประมาณนั้น(?)..เท่านั้น(?).. มีเพียงบางคน?(2-5คน)ที่เมื่อเผอิญไปได้ร่วมทำงานกับเธอแล้วจึงรู้ได้ว่า.. คุณตอ.นั้นมีพลังแสง?(รวมทั้งพลังเย็น,พลังสันติ,พลังไม่ปะทะแบบเถื่อนๆ)ที่เหนือกว่าพวกเธอเหล่านั้นกันทั้งหมด(?).. ซึ่งเมื่อพวกเธอ?ได้ไปใส่ชุดฟอร์มแบบมูลนิธิของคุณตอ.,และได้ไปยืนคู่กับคุณตอ.เมื่อไหร่?,ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับพลังแสง?ที่มาจากคุณตอ.ไปด้วยในทันที.. แต่เมื่อใดที่พวกเธอ?ออกห่างจากคุณตอ.,แสงของพวกเขาเหล่านั้น?ก็ดูจะหม่นแสงลง?ในฉับพลัน?..เช่นเดียวกัน?.. ก็จึงเป็นธรรมดา..ที่จะต้องคิดว่า.. ก็ชั้นก็หญิงเหมือนกัน,มีอะไรที่ชั้นมีไม่เท่าเทียมกับเธอบ้าง?,แต่ทำไมจึงมีแต่คนชื่นชมเธอ?,ไม่เห็นมีใครมาชื่นชมพวกชั้นบ้าง?.. ดังนั้น..คนเหล่านั้น?จึงย่อมพากันโกรธเกลียด?,ขึ้งเครียด?,เพราะจิตที่คิดริษยาต่อเธอ?..นั่นเอง?..นั่นไง?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 20 สิงหาคม 2567 เวลา:22:26:57 น.
เรามานึกช่วยทนายป.แก้ปัญหาลัทธิเชื่อมกล้วยที่ทำให้สัทธรรมปฏิรูป.. จึงมาคิดได้ว่า..คำฝรั่งสากลเขามีคำว่าแซงชั่นและบอยคอท.. ส่วนทางพุทธศาสนาจะมีคำว่าคว่าบาตร.. ดังนั้น.. ต้องหาทางติดต่อให้ผวจ.ของทุกจังหวัดช่วยหาทุนหรือหางบเพื่อทำป้ายผ้าใหญ่ๆติดขึงในทางแยกสำคัญต่างๆ.. ประมาณว่าคว่ำบาตรเชื่อมกล้วย,ไม่ติดต่อ,ไม่สังสรรค์,ไม่พูดด้วย..ประมาณนี้.. ท่านทั้งหลายเห็นว่าดีหรือไม่?..
หรือร้านอาหาร,ร้านรวงต่างๆ,เราก็ขอให้ผวจ.ทุกจังหวัดช่วยเกณฑ์ข้าราชการต่างๆออกไปขอความร่วมมือให้ช่วยทำป้ายไม่ต้อนรับกลุ่มเชื่อมกล้วย,และสมาชิกของกลุ่มติดที่หน้าร้านให้ทั่วๆเขตเทศบาล..อะไรประมาณนี้..จะดีหรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 21 สิงหาคม 2567 เวลา:1:53:25 น.
เราสงสารคุณตอ.คงเถียงคุณเชื่อมกล้วยไม่ทัน.. เห็นพวกเชื่อมกล้วยออกมาพูดแซะคุณตอ.,แล้วก็มีเสียงชายบางคน?ที่คอยพูดแทรกเสริมบางช่วง,แล้วก็รู้สึกให้หนักใจ(?)กับพุทธยุคกึ่งพุทธกาลนี้จริงๆ(?)..
เพราะคุณตอ.เขาไม่ใช่เชื้อสายอินตรเดือจึงพูดไม่คล่องเท่า(?).. เพราะเท่าที่รู้อย่างหนังอินตรเดือกว่าจะรักกันได้ต้องวิ่งร่ายรำอ้อมภูเขาเป็นสิบสิบลูกก่อน,นั่นหละจึงจะค่อยรักกันได้.. ส่วนเรื่องการเถียงเพื่อเอาชนะกันก็ไม่มีใครสู้พวกอินตระเดือเช่นกัน(?)..(จีนแต้จิ๋ว"เขามักจะเรียกพวกอินตรเดือว่าเคี้ยกเกี้ย),เราจำได้ว่าราว10-20ปีก่อน,จะมีคลิปคล้ายหญิงอินตระเดือ2ครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านติดกันออกมาทะเลาะด่ากันไปมา,แล้วก็เต้นยั่วอีกฝ่ายไปด้วย,เราดูแล้วก็ตลกมาก,ด่ากันอยู่ตั้งนาน,ก็ไม่เห็นจะซัดกันซักที,เราก็รอดูว่าเมื่อไหร่จะซัดกัน,ดูจนจบคลิปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น(แต่คลิปนี้เราค้นหาในกูเกิ้ล..ก็ไม่พบแล้ว).. นี่แหละจึงเรียกว่าพวกเชื้อสายอินตระเดือ?..นั่นไง?.. จึงไม่แปลกว่า..พุทธจึงสูญสิ้นจากอินตระเดือได้อย่างไร?..เช่นนี้เอง(?).. ส่วนเสียงชายบางคนบอกว่า..คำพูด(ปาก)ไม่ดีไว้จัดการกับคนไม่ดี..(เอ๊อ..แถไปจนได้เนาะ?).. พระพุทธเจ้าสอนว่า..อนูปฆาโต,อนูปวาโท.. ก็แปลว่า..ศาสนิกของเราต้องไม่พูดร้าย,ต้องไม่ทำร้ายนั่นน่ะ.. พวกชาวเชื่อมกล้วยไม่เคยได้เรียนคำสอนเหล่านี้เลยหรือ?..จึงออกมาฉอดๆอยู่ได้(?).. ส่วนคุณตอ.แม้เขาจะมีส่วนที่เป็นวิบากกรรมเก่าของเขาอยู่บ้างก็ตาม,แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณตอ.เขาออกมาช่วยจัดการกับพวกเชื่อมกล้วยแต่อย่างใดดอก(?).. เพราะการที่เขาออกมาราวีกับกลุ่มเชื่อมกล้วยนั้น,เขาทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว.. เขาทำด้วยจิตสำนึกที่ดีต่อพุทธศาสนา,เพราะเขาทำเพื่อปกป้องพุทธศาสนา.. เพราะพุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม(จริงๆเป็นอเทวนิยมนั่นต่างหาก)(ส่วนเรื่องพญานาคต่างๆนั้น,ก็เป็นเรื่องติรัจฉานภูมิที่เป็นกึ่งนวนิยาย?,พิสูจน์อะไร?ว่ามีตัวตนจริงๆหรือไม่?..ก็ไม่ได้?,ถึงจะมีอ้างถึงบ้างในพตปฎ.,แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ยินยอมต่อนาคที่ปลอมตัวมาบวช?นั่นไง?,เราส่วนตัวมองว่า..เป็นเกร็ดของพุทธที่พระพุทธเจ้ายกมาเปรียบเทียบคล้ายพูดเรื่องยักษ์ต่างๆ?นั่นแหละ,เพื่อให้ฟังดูเข้าใจง่าย,และชวนตื่นเต้น,ติดตาม..เท่านั้น).. แล้วกลุ่มเชื่อมกล้วยจะมาเน้นเรื่องอภินิหารล่วงรู้ใจคน,ล่วงรู้เหตุการณ์นั่นนี่นู่นอะไร?.. ยิ่งถ้าเป็นพระสงฆ์มาเที่ยวทายใจคนนั่นนี่?.. ก็จะผิดหลักของมหาศีลด้วยนะ.. ซึ่งเราจะขอชี้แนะให้(แต่ไม่ใช่แนะนำให้ทำนะ,แต่ถ้าคิดว่าทำได้จริง,ก็ท้าทายให้ลองทำดูเลย).. คือ.. สังคมไทยแบบเราๆนี่นะ,แม้ไม่ต้องประกาศตัวเป็นอนาคา,อรหันต์?อะไรก็ตาม.. แต่ขอนิดเดียว.. แค่เหาะให้คนดูให้ได้.. แค่นั้นแหละ..รับรองมีผู้ศรัทธา,เลื่อมใสว่าเป็นผู้วิเศษ?เต็มประเทศแน่(?)..ลองดูมั้ยล่ะ?..(แต่ขอบอกว่า..มันไม่ใช่วิถีของคนพุทธดอกนะ..จะบอกให้).. แล้วจะไปถกเถียงอะไรกับคุณตอ.,เพราะเธอก็ไม่ได้เรียนเรื่องพุทธอย่างลึกซึ้งอะไรมากมาย,แล้วคุณตอ.เขาจะไปเถียงอะไรกับคุณเชื่อมกล้วยทันได้ล่ะ?.. ถ้าอยากเถียงจริงก็ขอให้ไปเถียงกับท่านมหาหมีที่อยู่เคียงข้างกับทนายป.,หรือกับพระอาจารย์สมทบนั่นล่ะ,จึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน(?)..ใช่หรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 21 สิงหาคม 2567 เวลา:6:15:03 น.
การเมืองไทยไม่เคยพ้นไปจากคำว่า..อำนาจ,ตำแหน่งและเงินทองหรือผลประโยชน์ในทุกยุคทุกสมัย(ทั้งๆที่เป็นสังคมของคนนับถือพุทธศาสนาด้วยกันแท้ๆ).. ดังนั้น..ประเทศไทยจึงไปได้ไม่ถึงไหนเหมือนประเทศอื่นๆเขาเสียที และจะมีคำพูดหนึ่งที่วนเวียนในสมองก็คือ.. ในหมู่โจราด้วยกัน,มักจะทรยศกันเอง,ทะเลาะกันเอง,แตกแยกกันเอง,เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์กันเองในที่สุด,หรือพูดเป็นคำภาษิตสั้นๆว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร..นั่นเอง..
เช่น.. คนบางคนที่เคยเขียนติดผนังห้องทำงานว่าได้ดีเพราะพี่ให้,แต่ในที่สุดก็ต้องแตกไปอยู่คนละฝ่ายกับพี่คนนั้น..นั่นเอง.. เป็นต้น.. หรือกลุ่มอนุรักษ์และกลุ่มประชาธิปไตยก็กลับมาร่วมทำงานกันอย่างหน้าตาเฉย,โดยไม่เกรงใจประชาชนเลย.. หรือคนที่เคยแสดงออกว่ารักกันอย่างมากมาย,ก็กลับมาแตกแยกกันอย่างชัดๆ.. ซึ่งก็เห็นกันได้ในยุคนี้นี่เอง.. ซึ่งตรงกับคำพูดที่ว่า.. การเมืองไทยนั้นไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร.. ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้หมด,ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ลงตัวเท่านั้น.. ดังนั้น..จึงตรงกับภาษิตของคริสต์ที่ว่าไม่มีคนดี(จริง,แท้)ในโลก,ไม่มี(แม้)สักคนเดียว(โรม3:10-12;สดุดี14:1;สดุดี53:1-3)ประมาณนี้?..นั่นไง?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 21 สิงหาคม 2567 เวลา:13:11:21 น.
บางกลุ่มการเมือง,สมัยหนึ่งก็แสดงว่าคล้ายๆเป็นกลุ่มคนดีที่รักชาติ,ไม่เคยคอร์รัปชั่นแม้แต่บาทเดียว,สลึงเดียว..ประมาณนั้น.. แต่วันนี้กลับไปคบหากับกลุ่มที่มีประวัติทางความซื่อสัตย์ที่ไม่ค่อยสวยนัก(?)[ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนชัดๆว่าคบคนเช่นไรก็(ย่อม)เป็นคนเช่นนั้น].. แล้วก็ออกมาพูดทำนองว่า..เป็นฝ่ายค้านก็จะไม่ได้ทำงาน(ซึ่งพูดได้เนียนมาก)..
แต่เราจำได้ว่า.. มีกลุ่มการเมืองหนึ่งเมื่อหลายๆสิบปีก่อน,ก็เคยพูดความหมายที่ละม้ายคล้ายกัน?,ที่ทำให้ประชาชนฟังดูแล้วชวนให้สับสนว่า..กลุ่มการเมืองดังกล่าวนั้นต้องการสื่อความหมายว่ากระไรกันแน่?.. เช่นว่า.. เป็นฝ่ายค้านแล้วมันอดอยากปากแห้ง..ประมาณนี้น่ะ?.. หรืออีกบางกลุ่มการเมือง(ที่พูดยังไม่นานมากเท่าไหร่),ก็จะมีบางบุคคลที่ออกมาพูดทำนองว่า..ผมไม่ถนัด(หรือไม่ชอบ)เป็นฝ่ายค้าน?.. คือคล้ายว่าไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมือง?อะไรเลย?..(ด้วยความเคารพ).. คือ..ประมาณว่า.. เพียงขอให้ได้เป็นฝ่ายรบ.?ให้ได้..ก็เท่านั้น?.. จึงทำให้มีคำถามว่า.. ผู้ที่พูดทำนองว่าเป็นฝ่ายค้านก็จะไม่ได้ทำงาน?นั้น.. ก็จะสื่อนัยยะอะไร?ที่แตกต่างจากคนการเมืองหลายกลุ่มในอดีต..ดังกล่าวล่ะ?.. ใช่ไหมล่ะ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 21 สิงหาคม 2567 เวลา:22:09:49 น.
อดีตคนการเมืองคนหนึ่งที่คุณก็รู้ว่าเขาคือใคร?.. ที่ใครๆก็มองออกว่าเขาเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น(ชอบแก้เผ็ด),และมักจะตอบสนองต่อคนที่แปรพักตร์ไปจากเขา,ด้วยวิธีการตอบโต้ต่างๆ,ไม่ว่าจะด้วยทางตรงหรือทางอ้อม.. แต่ใครๆก็ดูออก.. ซึ่งเท่าที่เราเคยสังเกตมานานก็มี.. เช่น..
1.มีกระแสโต้ออกมาว่า.. กรณีคุณส.พธม.นั้น.. ก็เพราะไปขอผลประโยชน์(บางอย่าง)แล้วเขาไม่ให้,จึงออกมาขับไล่เขา(?).. 2.กรณีลุงมหาก็ถูกโต้ว่า.. เพราะไปขอบางเรื่องจากเขาและเขาก็ไม่ให้,จึงโกรธไปเข้าร่วมกับส.พธม.เพื่อจะออกมาขับไล่เขา(?).. เช่นเดียวกัน(?).. 3.1เกลอ-นปช.(ที่ชื่อต.)ก็ถูกโต้กลับในเรื่องสารพัด,จนพี่ต.ต้องออกมาอยู่ฝ่ายตรงข้ามแบบยืนแลกหมัดกันเป็นรายวัน..นั่นเลย(?) 4.นักร้อง(เรียน)ดัง(ท่านหนึ่ง)ที่เคยอยู่ร่วมกลุ่มการเมืองเดียวกันกับเขา,แต่ภายหลังก็ลาออกมา,แล้วออกมาร้องเรียนเรื่องต่างๆสารพัด,ก็ถูกดิ๊สเครดิตเรื่องว่า.. ไปทำภารกิจอะไรให้กับใคร?,เสร็จแล้วก็มีของขวัญเป็นรถเก๋งคันงาม?ไปจอดที่หน้าบ้าน(?)..ว่าไปโน่นเลย(?).. 5.อีกคนเป็นนักการเมืองท้องถิ่นฉายาได้ดีเพราะพี่ให้,ก็ถูกฉีกหน้าเจ็บๆประมาณว่า..เขาเป็นใครผมไม่รู้จัก?,จนภายหลังก็แพ้เลือกตั้งไปเลย(?).. 6.อีกคนตำแหน่งสูงก็ถูกฉีกหน้า?เช่นกัน(?).. ประมาณว่า.. สมัยหนึ่งใครก็ไม่รู้มายกมือไหว้ขอตำแหน่งผม(?)..พูดไปโน่นเลย(?).. 7.อีกคนเป็นนักการเมืองหญิงเคยอยู่ร่วมกลุ่มการเมืองเดียวกันกับทีมเขามาอย่างเนิ่นนาน,ภายหลังแยกตัวออกมาเพราะเหตุผลบางอย่าง?,และเริ่มมีทัศนะไปคนละทาง?,เมื่ออยากแก้แค้น?(ตามสายตาประชาชนที่มองเข้าไปนะ),จึงมอง(คาด)ว่า..นักการเมืองหญิงท่านนี้คงถูกฉีกหน้า?โดย(ข่าวลือว่า)ถูกดึงสมาชิก?ออกมาร่วมสนับสนุนกับกลุ่มของทีมเขาซึ่งอยู่ฝ่ายรบ.กันหมดทั้งกลุ่ม(?),ไม่มีใครเหลือเลยสักคนเดียว(?).. 8.กลุ่มบางบอนซึ่งดูจะกินแหนงกันมานาน?(?),ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงกำลังออกฤทธิ์?(แต่ยังไม่ถึงหมากตาสุดท้าย?ขั้นเผด็จศึก?)(?).. 9.กรณีลุงบางคนที่เคยพูดประมาณว่าอย่าเอ่ยชื่อนี้ให้ผมได้ยินอีก?.. ก็คาดว่า..คงถูกแก้เผ็ด?( =ถูกฉีกหน้า?)โดยดึงเอากลุ่มของลุง?มาเข้าร่วมรบ.ของทีมเขา,มาเป็นพวกเดียวกันกับทีมเขาไปเสียเลย(?)..ซึ่งทำให้ทางกลุ่มศปปส.ซึ่งเคยสนับสนุนลุงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมาก(แต่พูดอะไรไม่ออก)..ประมาณนั้น(?).. 10.ที่กำลังขับเคี่ยวเคี้ยวเหงือกกันอยู่ก็คือกลุ่มของอีก1ป.,ซึ่งกำลังเกิดปมปัญหาในกลุ่มอย่างเผ็ดร้อน,โดยยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไรกันแน่(?).. (ที่เราติดตามอยู่ก็นึกออกเพียงเท่านี้จ้า).. (..ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 21 สิงหาคม 2567 เวลา:23:25:56 น.
(ข้อน่าคิดมากๆ)..
สังคมไทยทุกวันนี้,กับใครๆก็ตาม,เราจะไว้ใจให้สนิทไม่ได้เลย.. ทั้งการบ้านและการเมือง.. เช่น.. 1.(เรื่องการบ้าน)..กรณีคุณตอ.,เพราะไปไว้ใจเพื่อนสนิทมากเกินไป,จึงถูกหักหลัง,ทรยศ?,เอาเรื่องเก่า,เรื่องที่พูดกันภายในประสาคนสนิทกันออกมาแฉนั่นนี่(?),จนเธอแทบจะเสียคน?.. เจ็บปวดมากๆ..ทุกวันนี้ก็ยังไม่จบเกมส์ความแค้น?อยู่เลย(?).. 2.(เรื่องการเมือง)คุณส.(นักการเมืองหญิงท่านหนึ่ง).. อุตส่าห์เจตนาดี,ยอมสละตำแหน่งทางการเมืองส่วนตัว,โดยลาออก,แล้วให้สมาชิกในกลุ่มเลื่อนมารับตำแหน่งแทน,เห็นชัดๆว่า..ตัวท่านไม่ได้ติดยึดในตำแหน่งแห่งที่ใดๆ,ยอมสละให้สมาชิกลำดับถัดไปขึ้นมารับตำแหน่งแทน,หาได้ยากมากสำหรับการเมืองไทย,ด้วยความคิดแบบซื่อๆว่า..สมาชิกทั้งหลายควรจะมองเห็นในคุณความดีของเธอบ้าง(?).. แต่เธอคิดผิด,เธอกลับถูกทำให้หลังเธอลั่นดังเป๊าะ?อย่างเจ็บปวด.. นั่นเพราะเธอพลาด.. เพราะยังคิดว่า..สังคมไทยจะยังมีคนดี?ที่ไม่คิดเห็นแก่ผปย.ส่วนตัวใดๆแต่ยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมมากกว่า(?)..ยังเหลืออยู่อีก(?).. เธอจึงต้องผิดหวังอยู่ซ้ำๆซากๆ(?)..เช่นนี้เอง(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:0:09:46 น.
กรณีลัทธิเชื่อมกล้วยซึ่งประชาชนทั้งประเทศพากันอึดอัดกันไปหมดว่า.. เมื่อไหร่จะลุล่วง,แก้ปัญหาได้เสียที(?).. ซึ่งระบบกฎหมายในสังคมไทยก็ดูจะเชื่องช้าเสียเหลือเกิน(?)..(ภาษิตฝรั่งบอกว่าความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม..นั่นไงล่ะครับ)..
ระบบยธ.แม้จะดูว่าดีในระดับหนึ่ง,แต่ถ้าช้าเกินไปก็อาจจะแก้ไขปัญหาได้ไม่ทันกาล?นะครับ?.. เราจึงเห็นว่า..ควรแก้ระบบกฎหมายหรือระเบียบวิธีปฏิบัติงานให้มีแอ๊คชั่นที่เร็วขึ้นมากกว่านี้?..จะดีไหมครับ?.. ผู้ถือกฎหมายควรรู้เท่าทันเกมส์ต่อผู้บิดหลักกฎหมาย,โดยมักใช้ช่องว่าง,เทคนิคทางกฎหมายต่างๆเพื่อหลบเลี่ยงความผิดของตน?(เพราะมีกำลังทางเศรษฐกิจส่วนตัวที่ดีกว่าอีกฝ่าย),จึงมั่นใจว่าจะสู้รบปรบมือในมุมหรือชั้นเชิงทางกฎหมายได้.. เช่น.. ควรจัดการต่อสาวกผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อลัทธิที่บิดเบือนหลักพุทธศาสนาเสียก่อน,เพื่อตัดกำลังไม่ให้ผยองเกินเหตุ.. เหมือนตัวอย่างในคดีหวย30ล้านของอาจารย์ป.เมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมา.. เป็นต้น.. ภาครัฐไม่ควรให้มีทัศนะแบบภาคราชการที่เน้นทำงานแบบลูทีน,ตามระบบ,ระเบียบที่เนิ่นช้าไปวันๆ,เพราะจะทำให้สังคมเสียหาย,และสูญเสียในเรื่องค่าทางเศรษฐกิจ(โดยรวม)อย่างมากด้วย.. จึงเป็นหน้าที่ภาครัฐที่จะต้องคอยสอดส่องว่า..มีลัทธิใดๆที่มีลักษณะแปลกประหลาด,เน้นอภินิหารหรือชอบโฆษณาชวนเชื่อในเรื่องนามธรรม..(เช่น..การกลับชาติมาเกิดของเทพเทวา,พญานาค,ศาสดาต่างๆที่พิสูจน์ไม่ได้),ที่เข้าข่ายล่อลวง?ให้คนหลงงมงาย?ในหลักการที่ไม่ตรงกับพุทธศาสนา(แบบเถรวาท)หรือไม่?.. เพราะไม่ควรให้เกิดการแพร่ระบาดความเชื่อ?จนมีสาวกมากมาย?เสียก่อน(?),แล้วจึงค่อยจะจัดการ,ซึ่งจะทำให้มาแก้ปัญหาตามหลัง(เช่น..กรณีสำนักถ้ำกระบอก,สำนักปู่สวรรค์,สำนักหุบผาสวรรค์,สำนักเณรค...เป็นต้น)ได้โดยยาก(?)..ใช่หรือไม่?.. ซึ่งจะเห็นว่า.. ในต่างประเทศ,หลายภูมิภาคของโลก,ถึงขนาดเจ้าลัทธิที่พิสดารต่างๆสามารถหลอกล่อให้สาวกของเขาหลงเชื่อตาม(เพราะมนุษย์มีลักษณะหาที่พึ่งทางใจอยู่เสมอ,เป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก),ถึงขั้นยอมทำตามในสิ่งที่อุกฤษฏ์,อันตรายถึงขั้นยอมฆ่าตัวตายหมู่?ก็ยังได้นะ(?).. (อย่างกรณีลามะหนุ่ม,กว่าจะรู้ว่าเป็นศาสดาจริง?หรือเท็จ?ก็ต้องใช้เวลาถึงราว20ปี.. นับเป็นความสูญเสียต่อประชาชนผู้ต้องทุ่มเททางเศรษฐกิจ?,และทุ่มเทคุณค่าทางจิตใจ?เพื่อสนองความเชื่อของตน?ไปเป็นจำนวนมากมาย?เท่าไหร่?.. เช่นนี้เป็นต้น).. ภาครัฐจึงไม่ควรประมาท,ปล่อยปละละเลย,รอให้เกิดเรื่องใหญ่?เสียก่อน(?),แล้วจึงจะค่อยเข้ามาจัดการ.. ซึ่งตรงกับสำนวนไทยที่ว่ากันไว้ดีว่าแก้..แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน..นั่นไง?.. หรือตรงกับคำพังเพยที่ว่าตัดไฟแต่ต้นลมด้วย..นั่นไงครับ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:3:36:47 น.
มีบางท่านคอมเม้นต์ในช่องคุณจอนนี่,21-8-67.. ซึ่งเราชอบความเห็นนี้มากๆครับ..
...Roserin Rin ดูแล้วพวกเชื่อมมันรู้คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธเจ้า/พระแม่กวนอิม/พญานาค/มันเลยเอามาใส่รวมกันเพื่อหลอกคนแต่ละกลุ่มที่เชื่อแต่ละอย่างค่ะ... สรุปว่า..คนที่เขารู้เท่าทันเชื่อมกล้วยก็ยังมีอยู่เยอะมาก.. เพราะทุกคนกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ,และเขาไม่ได้กินหญ้า..นะครับ?..(จึงจะไม่รู้เท่าทันกับวิธีการของคุณ?).. สรุปให้ชัดๆอีกว่า.. พวกลัทธิอภินิหารต่างๆ,ถ้ามีการเปิดรับบริจาค?หรือเปิดประมูลนั่นนี่นู่น?เมื่อไหร่?.. ให้สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่า..ลัทธินั้นๆน่าจะเป็นลัทธิหาเงิน?.. เพราะถ้าคุณมีฤทธิ์,มีอภินิหารจริงๆ,ตามตรรกะที่ถูกต้อง,คุณก็ควรสามารถเสกทรัพย์..เช่น..เสกทองคำขึ้นมาจากอากาศได้เลย(?)(แล้วเอาไปขายเป็นเงินมาใช้จ่าย,แต่เสกเงินธนบัตรที่มีเลขทะเบียนกำกับไม่ได้,เพราะจะเป็นเงินปลอม,เลขต้องซ้ำ,จะผิดกฎหมาย,หรือถ้าเลขไม่ซ้ำ,เลขที่ไม่มีในระบบเลยก็ตาม,ก็ยิ่งจะผิดกฎหมายเช่นกัน),โดยไม่จำเป็นต้องขอรับเงินบริจาคจากสมาชิก,แต่ถ้าสมาชิกมีศรัทธาต้องการบริจาคจริงๆ,คุณก็ควรไม่รับ,แต่ต้องบอกให้เขาไปบริจาคที่โรงพยาบาลของรัฐ,หรือไปบริจาคให้วัดที่มีพระที่น่าศรัทธา.. เช่น..วัดของพระอาจารย์สมทบ..เป็นต้น.. จึงค่อยจะสรุปได้ว่า.. คุณทำตามความเชื่อส่วนตัวโดยไม่ได้มุ่งการหาเงินจากผู้เชื่อแต่อย่างใด?..ประมาณนี้ครับ.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:4:51:16 น.
เราใช้เซ้นซ์ส่วนตัวของเรา(แต่อาจผิดก็ได้).. แต่ ณ วันนี้..เราเชื่อเช่นนั้น.. ซึ่งเรามองว่า..
คุณตอ.ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวร้ายอะไรมากมาย(?)(เช่น.. เวลาที่ประเทศมีภัยสู้รบกับศัตรูตามชายแดน,หรือเมื่อมีสงครามที่ใดๆก็ตาม.. ถ้าเราอาสาออกไปช่วยรบ,ที่สุดเราจำเป็นต้องเข่นฆ่าศัตรูของประเทศ..ใช่หรือไม่?.. พุทธศาสนาสอนว่า..การฆ่าเป็นบาป,แต่ใจเราคิดเสียสละ,ทำเพื่อชาติ,ทำเพื่อส่วนรวม,แม้จะเป็นบาปก็พอรู้อยู่.. เรามองว่า..บาปนั้นน่าจะถูกชะลอ,หรือที่สุดกลายเป็นอโหสิกรรมหรือไม่?.. เพราะอาจถูกกลบด้วยจิตใจที่ดี,ที่เสียสละตนทำเพื่อชาติ,เพื่อส่วนรวม,ให้ปลอดภัยจากภัยร้ายของประเทศจากอริราชศัตรู..ใช่หรือไม่?.. ดังนั้น.. เราเห็นว่า.. คุณตอ.(เรามองแววตาเธอ,ไม่ใช่คนที่โหดร้าย,อำมหิต)นั้น,จึงสมควรได้รับการปกป้องจากคนไทยทุกภาคส่วนที่มีสายตาที่ลึกซึ้งที่มองเห็นใจเสียสละที่เป็นคุณความดีของเธอบ้าง(?)..ใช่หรือไม่? เรื่องรายละเอียดบางเรื่อง(มโนสาเร่,สัพเพเหระ)เล็กๆน้อยๆ,บางทีก็ควรมองข้ามไป,ควรดูที่เจตนาดีของเธอที่ต้องการช่วยคนเป็นหลักสำคัญ..ดีกว่าหรือไม่?,ไม่ใช่จับเอาทุกเรื่อง,ยิบๆย่อยๆ?มาจ้องจับผิดเธอ?เหมือนต้องการโหนแสงของเธอ?..(แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ.. เช่น..กรณีศูนย์ดูแลคนออทิสติค..เป็นต้น.. ด้วยแง่มุมของความเป็นคนละเอียด?หรือไม่ละเอียด?ในการทำเคสช่วยเหลือคนที่อาจเป็นเหยื่อ..เท่านั้น?).. เพราะถ้าทำเช่นนั้น.. ต่อไปจะไม่มีใครอยากบำเพ็ญตนเป็นผู้เสียสละอีกในสังคมเรา,เพราะตั้งใจทำความดี,แต่กลับมีแต่เรื่อง(แล้วถ้าเช่นนั้น.. วิชาลูกเสือ,เนตรนารี,อนุกาชาด,ยุวกาชาด,อะไรต่างๆเหล่านี้,ก็น่าจะยกเลิกการสอนได้แล้ว?..ใช่หรือไม่?).. สังคมไทยต้องมองให้ไกลๆ.. เราเห็นว่าคุณตอ.ในการไลฟ์สดต่างๆ,เรามองว่าเธอมีอุปนิสัยคล้ายๆกับเราที่มีใจที่อยากเอื้อเฟื้อความรู้ต่างๆเท่าที่เธอรู้ต่อผู้ชมที่เข้ามาชมไลฟ์สดของเธออยู่เสมอ,ไม่เหน็ดเหนื่อย,ระย่อต่อการที่จะบอกความรู้ต่างๆที่เป็นรายละเอียด.. ซึ่งเราจึงมองแบบเรา,ดูว่า..นี่คือจิตวิญญาณฝ่ายดีของเธอ,ซึ่งเรามองว่า..ไม่มีใครที่เป็นผู้บริสุทธิ์100เปอร์เซ็นต์(แม้แต่ตัวเราเองก็เป็นเช่นเดียวกัน),เป็นความกล้าที่ไม่ค่อยเคยเห็น,ที่จะมีผู้หญิงคนใด?ที่จะกล้าบอกต่อสาธารณะว่า..ดิชั้นไม่เคยบอกว่าดิชั้นเป็นคนดี.. เราจึงมองว่าเธอมีพื้นฐานจิตใจที่เป็นคนตรงๆ,มายาน้อย,เล่ห์เหลี่ยมน้อย,ถนัดที่จะพูดอะไรแบบตรงๆมากกว่าอ้อมค้อม..(ทำไมเราไม่ไปเอาผิดต่อองคุลีมาลผู้ฆ่าคนถึง999คนด้วย?..นั่นเล่า?.. แต่ที่สุด..ท่านก็ยังบำเพ็ญตนจนเป็นพระอรหันต์จนได้..ไม่ใช่หรือ?).. ความดิ้นรนของชีวิต,บางครั้ง..อาจจำเป็นต้องผ่านเรื่องสีหม่นๆ?บ้าง,แต่นั่นคือประสบการณ์ชีวิตของเธอ,เราต้องให้โอกาสเธอเพื่อแก้ไขสิ่งนั้น.. เพราะเราเชื่อว่า..คนที่มีแววตา,มุ่งมั่นที่ต้องการเอื้อเฟื้อความรู้ต่อบุคคลอื่นอย่างจริงใจ(เช่นเดียวกับเรา)นั้น.. ย่อมไม่ใช่คนที่มีรากฐานของสันดานที่เลวอย่างแน่นอน.. เพียงแต่เธออาจเกิดผิดที่ที่ดันมาเกิดในดินแดนที่มีละครหลังข่าว2ทุ่มที่เต็มไปด้วยบทบาทของนางร้าย,ซึ่งทำให้ประชากรซึมซับเรื่องจิตริษยาอยู่เป็นประจำ(?)..เท่านั้น(?).. เรามองว่า.. ถ้าเธอได้ไปเกิดในยุคแม่ชีเทเรซ่า,ไม่แน่ว่า,เราอาจจะได้เห็นภาพเธอที่เดินอยู่เคียงข้างแม่ชีเทเรซ่าท่านนั้นแล้วก็เป็นได้.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:6:27:09 น.
(เสริม..ดูโหงวเฮ้งสมัครเล่นครับ)..
เท่าที่เราสังเกตจากแววตาและกล้ามเนื้อใบหน้านั้น.. ดูว่าคุณตอ.เป็นคนสุขุม,ควบคุมอารมณ์โกรธได้ค่อนข้างดี,มีปัญญา,มีความรอบคอบในระดับพอสมควร,และมีความเฟรนด์ลี่,มีไมตรี,มีมนุษย์สัมพันธ์สูงต่อผู้คน,ไม่มีนิสัยผูกพยาบาทโดยไม่จำเป็น.. ลักษณะแววตามีผิวตาที่ดูอ่อนภายนอก,เป็นลักษณะที่อ่อนโยนภายนอก..คือกระพริบตาขึ้นลงช้า,ไม่มีการเกร็งหรือกระแทก,และไม่กระพริบตาแบบถี่ๆ,เร็วๆ.. สื่อถึงมีความจริงใจสูงถึงสูงมาก,แต่เนื้อตาชั้นในมีลักษณะแข็งกว่าผิวตาชั้นนอก.. สื่อว่าเป็นคนที่มีจิตใจที่แข็งแกร่งหรือเข้มแข็งซ่อนอยู่.. สรุปโดยรวม.. คือเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเล่ห์เหลี่ยม,จัดจ้านอะไรมากนัก..(ไม่รับรองว่าถูกทั้งหมด,แต่เน้นที่ให้กำลังใจ,มองส่วนที่ดีเป็นหลัก..เท่านั้นครับ).. ส่วนเพื่อนสนิทบางคนของคุณตอ.จะสังเกตว่า..มีแววตา,เนื้อตาแบบคร่าวๆประมาณว่า..มีลักษณะที่แข็งกร้าวและกระพริบตาถี่,และเวลากระพริบ,จะมีลักษณะกระแทกแรงกว่า.. สื่อว่าเป็นคนที่มีจริตที่ผูกพยาบาท,ผูกใจเจ็บค่อนข้างสูง,ไม่ปล่อยวาง,หรือให้อภัยใครง่ายๆ,ซึ่งจะทำให้จิตใจไม่สงบสุขครับ..ประมาณนี้ครับ..(ไม่รับรองว่าถูกต้อง..แค่เป็นการสังเกตดูแบบคร่าวๆ..เท่านั้นครับ).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:7:43:21 น.
ดูข่าวของบางช่องสื่อที่พูดถึงข่าวคุณตอ.แล้ว,ก็รู้สึกเห็นใจคุณตอ.มาก.. เธอน่าจะไม่มีเงินทองมากมายนัก.. การที่จะจ้างให้ทนายฟ้องผู้ละเมิดทุกคน,ทุกเค้ส,ก็คงทำไม่ได้มากนัก.. บางครั้งก็เลยเหมือนถูกรุม,ถูกจ้องจะเล่นงาน,จับผิดเธอ,เสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งไปๆมาๆ,ในเคสนั่นนี่สารพัด,ทั้งๆที่เป็นเรื่องของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ(เช่น.. เคสศูนย์ดูแลเด็กออทิสติค)ที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อฝ่ายใดทั้งสิ้นอยู่แล้ว..
ที่สำคัญคืออยากฝากบอกเธอว่า.. ทุกคนที่อยู่ในแนวหน้าของสังคม(แม้แต่สื่อบางสื่อก็ยังเล่นกับเขาด้วย)ล้วนดูแล้วมีลักษณะหิวแสง,โหนแสงจากเธอ,อยากโหนเกาะกระแสข่าวใดๆที่เกี่ยวกับตัวเธอกันทั้งนั้น,เพื่อจะได้แสง(เรตติ้ง)เพิ่มขึ้นมาบ้าง.. โดยเฉพาะสื่อบางสื่อ,เราเห็นว่า.. ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ,ก็ไม่อยากให้เธอไปรับงานให้สัมภาษณ์อะไรมากนัก.. เพราะเราสังเกตมานาน.. คือ..จะมีสื่อบางสื่อ(ชัดๆคือมี1ช่อง,อีก1ช่องที่เป็นคู่ดูโอชายนั้นก็เห็นเขาพยายามปรับปรุงตัวไปบ้างแล้ว)ที่มุ่งแต่หาคอนเท้นต์,เรตติ้ง,ไร้ความจริงใจต่อแหล่งข่าวหรือผู้ที่เป็นข่าว.. ซึ่งส่วนตัวเรามองว่า.. บางสื่อไม่ได้เป็นสื่อที่มีอุดมการณ์อะไรมากมาย,เขาเพียงทำตามนโยบายของเจ้าของสื่อเท่านั้น.. สรุปตรงๆคือ..ไม่ได้มีความจริงใจ,หรือเกรงใจ,ให้เกียรติกับแหล่งข่าว,คนในข่าว(ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม)ที่ให้คอนเท้นต์กับเขาใดๆทั้งสิ้น.. เขาเพียงทำแค่ประกอบอาชีพ,กินเงินเดือน,ถ้าตัวแหล่งข่าว,ผู้เป็นข่าวมีจุดที่ให้เขาขุดคุ้ย,ทิ่มตำได้,เขาก็จะไม่ละเว้นเลย,แม้จะเคยได้ประโยชน์จากคอนเท้นต์ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้เป็นข่าวมาก่อนอย่างมากมายก็ตาม.. ขอเพียงให้เขาได้ประโยชน์จากเรตติ้งจากการนำเสนอเรื่องราวของแหล่งข่าวหรือผู้เป็นข่าว(ไม่ว่าจะเป็นมุมบวกหรือมุมลบ)แค่นั้นก็พอ.. ซึ่งส่วนตัวเรามองว่า..สื่อบางสื่อนี้ไม่ใช่สื่อแท้.. ซึ่งถ้าเป็นเรา,เราจะออกให้ห่าง,และจะปฏิเสธที่จะให้ข่าวกับสื่อของค่ายดังกล่าวนั้นไปเลย.. หรือจะพูดตรงๆไปเลยก็ได้ว่า..ขอไม่ให้ข่าว..เพราะสื่อคุณเล่นดิชั้นหนัก..ประมาณนี้ก็ได้ครับ..(เพราะถ้าเราเกรงใจสื่อมากไป..สื่อก็ยิ่งย่ามใจ,ไม่เกรงใจเราเลย.. เพราะยุคนี้เป็นยุคที่คนเท่ากัน,และไม่มีใครเหนือกว่าใคร?แล้วครับ.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:13:06:31 น.
ดูข่าวช่องแนวหน้า,22-8-67,คุณสนธิญาณให้สัมภาษณ์บุญระดม.. เราฟังแล้วช่วยสรุปได้ว่า..
การเมืองไทย,ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร..เป็นสัจธรรมที่แท้จริง.. ความฉลาดแบบคนเคยอยู่ไกล,คือมักจะใช้กระสุนนัดเดียวได้นก2ตัวอยู่เป็นประจำ(?).. ซึ่งใครๆก็พูดกันว่า.. เขาเคยเป็นตร.,เขาจึงรู้เรื่องวิชาอาชญวิทยา( =เหลี่ยมมุมของมนุษย์)เป็นอย่างดี,จึงถนัดเรื่องเหลี่ยมคูในการแก้เกมการเมืองเป็นอย่างมาก(คาดว่า..สมองมักจะคิดเรื่องจะเอาชนะเกมส์ต่างๆได้อย่างไร?..อยู่ตลอดเวลา).. คือการดึงคู่แข่ง,คู่แค้น(ศัตรู)ทางการเมือง,เอามาเป็นพวกร่วมงานกันเสียเลย,ทั้งได้ฉีกหน้าที่ได้เคยพูดทิ่มแทงอะไรกันไว้นั้น1,และยังได้เสียงมาสนับสนุนฝ่ายรบ.ให้ยิ่งดูแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย(?).. คน(กลุ่ม)ที่เคยเป็นคู่แค้นกันมาก่อน..มีดังนี้.. 1.กลุ่มที่ทีมนี้เคยไปหาเสียงว่าไล่หนูตีงูเห่า(แถวๆอิสาน),บัดนี้ก็เอาทั้งหนูและงูเห่ามาอยู่ใกล้ๆกันสียเลย.. เป็นต้น.. 2.กลุ่มป1ซึ่งเคยเป็นกปปส.เก่าเคยขึ้นเวทีกปปส.,ด่ากันอย่างฉ่ำ,บัดนี้ก็มาร่วมเป็นทีมเวิ้ร์คเดียวกันซะแล้ว.. 3.กลุ่มป2ซึ่งเป็นคู่รัก,คู่แค้นกันมาเนิ่นนาน,ก็ดึงมาร่วมทีมเพื่อตั้งรบ.ครั้งที่แล้วร่วมกัน,แต่ในรบ.ใหม่นี้,ดูจะยังลูกผี,ลูกคน,เพราะกลุ่มนี้เขามีรอยร้าวในกลุ่มตัวเองกันเสียแล้ว.. 4.มีข่าวว่า..จะดึงเอากลุ่มเก่าแก่สีฟ้าๆมาร่วมทีมเดียวกันเพื่อลดศัตรู,เพิ่มเสียงสนับสนุน,โดยไม่สนใจว่า..ทั้งประชาชนและฟ้าดินจะรู้สึกอย่างไร(?).. 5.ยังมีข่าวที่เป็นตัวแปร.. คือกลุ่มทีมค้านเดิมที่ดูจะไม่ทำหน้าที่ค้านให้เต็มศักดิ์ศรี(ผิดจริยธรรมด้วยหรือไม่?),จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า..อาจเพราะมีดีลอะไรต่อกันอยู่ลึกๆ?ตามที่เคยมีข่าว?..(คล้ายว่ารอเสียบ?,ถ้ามีจังหวะที่ไม่คาดฝั?)หรือไม่?..อีกด้วย?.. สรุป..วิธีคิดของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา(?).. เขาเป็นคนที่เก็บความแค้น,แต่วิธีแก้เกมส์ของเขาคือดึงเอาคู่แค้นเดิมมาเป็นพวกเสียเลย,จะได้เป็นเหมือนน้ำท่วมปาก,ที่จะพูดอะไรก็พูดไม่ออก,เพราะกลัวเสียหลักมารยาทในการที่มาอยู่ร่วมเป็นทีมเดียวกันซะแล้ว(?)..ประมาณนั้น(?).. เรามองว่า..นักการเมืองเหล่านี้..คงคิดว่า..ประชาชนไม่ได้กินข้าว..กันละมั้ง?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 22 สิงหาคม 2567 เวลา:23:15:51 น.
(ดูข่าวช่องท็อปรายการเล่าข่าวข้น,22-8-67)..
ฟังวาทะแก้ต่างของเลขาฯกลุ่มฟ้าแล้วสุดตลก.. บอกว่าธรรมชาติของผู้แทน..เข้ามาก็อยากจะช่วยเหลือประชาชน.. จึงเกิดคำถามว่า..ถ้างั้นฝ่ายค้านก็ไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือประชาชนได้เลยซีนะ?.. ทำให้เรารวบรวมเคล็ดวิชาศรีธนญชัยมาไว้รวมกันดังนี้.. คือ.. 1.ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย.. แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม.. 2.กรุงเทพฯไม่มีน้ำท่วม.. แค่เป็นน้ำขังรอการระบายเท่านั้น.. 3.ผมไม่ถนัด(หรือไม่ชอบ)เป็นฝ่ายค้าน?.. 4.ล่าสุด..บางท่านออกมาพูดว่า..เป็นฝ่ายค้านก็จะไม่ได้ทำงาน.. ฟังแล้วเนียนกริ๊บ?(เคลิ้มจนแทบหยุดหายใจ?).. 5.ต่อไปต้องเปลี่ยนเรียกชื่อฝ่ายค้านเสียใหม่ให้เหมาะสม..ว่า..เป็นฝ่ายรอเป็นรัฐบาลจึงจะถูกต้อง..(เรียบเรียงจากคำพูดของคุณธีระ,พิธีกรข่าวรายการเล่าข่าวข้นครับ).. **สรุปว่า..แล้วจะแก้อย่างไร?กับวาทกรรมเพี้ยนๆเหล่านี้.. ก็ขอเสนอให้ยกเลิกตำนานศรีธนญชัยให้หมดไปจากประเทศไทย(?)..ไงล่ะ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 23 สิงหาคม 2567 เวลา:3:26:01 น.
(มุมความคิด)..
คนไม่ตรง,คนคดเคี้ยว,คนซิกแซ็ก,คนเหลี่ยมจัด,ที่จะหวังให้แก้นิสัยเป็นคนตรงไปตรงมา,ทำเพื่อชาติ,โดยไม่วกเลี้ยวไปสู่ประโยชน์ส่วนตนนั้นรึ(?).. เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก,เหมือนกับการเข็นครกขึ้นเขา(หรือเข็นเขาขึ้นครก),หรือเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร(หรืองมมหาสมุทรในเข็ม)นั่นแหละ.. หรือตรงกับคำพังเพยว่าไม้อ่อนดัดง่าย,ไม้แก่ดัดยาก,หรืออีกคำสำนวนไทยที่ว่าแก่เกินแกง..นั่นเอง.. ก็ดูว่า.. บางคนในอดีต,แม้ประโยชน์เล็กๆแค่..การเปลี่ยนวันหยุดราชการให้กลายเป็นวันทำการตามปกติเพื่อหวังอะไรบางอย่าง(?)..ก็ยังทำ(?).. แล้วคุณจะหวังอะไร(?)ให้คนบางคนเปลี่ยนแปลงนิสัยได้..ใช่หรือไม่?.. ไม่เคยดูสถิติหรือว่า..คนที่ติดคุกจำนวนไม่น้อย,ที่ทำผิดเรื่องใด?,พอออกจากคุก,อีกไม่นานก็มักไปทำผิดเรื่องเดิมๆ,และต้องวนเข้ามาติดคุกอีกรอบ(?).. บางคนวนกลับมาเกินกว่า5รอบด้วยซ้ำไป,ชี้ว่าสันดานของคนบางคนนั้นแก้ยาก..นั่นล่ะ?.. มีพุทธพจน์2ข้อที่ต้องช่วยกันจำให้มั่น..ก็คือ.. คบคนเช่นไร..(ที่สุดก็จะ)เป็นคนเช่นนั้น,และคนพูดเท็จ..ที่จะไม่ทำชั่ว..(นั้น)ไม่มี..ประมาณนี้ครับ.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 23 สิงหาคม 2567 เวลา:17:03:25 น.
(เกร็ดตลกการเมือง)..
ฟังรายการจตุพรของช่องก้าวหน้า,ผู้คนฯ,23-8-67,ที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่มีดีล?,และจตุพรบอกอยากขอถามลุงป1ว่า(แล้ว)ไปรักกันตอนไหน?(มีเสียงฮาเป็นระยะๆ..ของผู้ร่วมรายการและพิธีกร).. เราฟังแล้วก็รู้สึกตลก,และได้ข้อคิดดังนี้.. ก็เหมือนหญิง,ชายนั่นแหละ,เวลาแอบนัดแนะ,พบปะ,แล้วลงเอยด้วยการได้-เสียกัน(มีความสุขตามอัตภาพ),ก็ไม่ค่อยบอกใครก่อนหรอก(?).. หลังจากนั้นก็ค่อยๆออกมาแสดงตัวคู่กันในที่สาธารณะมากขึ้น,ถี่ขึ้นเรื่อยๆ,เพื่อให้สังคมเริ่มชินตาว่า2คนนี้เป็นคู่กันแล้วนะ.. ผ่านไปอีกซักระยะ,พอมีเรื่องไม่เข้าใจกัน,มีการระหองระแหง,ทะเลาะตบตีกันถึงขั้นรุนแรง,ก็จึงค่อยออกมาเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากสังคม..นั่นแหละ.. แหม..เวลากำลังกินแซ่บ,ตกลงอะไรกันลับๆ?,เขาก็มักจะไม่บอกให้ใครรู้หรอก,คงกลัวว่าจะมีใครมาเป็นกขค..นั่นแหละ(?).. (เราคิดแบบเรานะ..อาจจะผิดก็ได้).. ซึ่งเราคิด(โดยเซ้นซ์ส่วนตัว)ว่า.. ก็ธรรมดา..สมมุติถ้าเราเคยถืออำนาจบริหาร,อาจมีกรณีนั่น,นี่,จริงบ้าง,ไม่จริงบ้าง,ที่เคยมีการกล่าวหาในสภาบ้าง,ตามหน้าสื่อบ้าง.. เมื่อมีคนใหม่จะมาคุมอำนาจแทน?.. ก็ประมาณว่า..คงไม่อยากให้เข้ามาขุดคุ้ย,เช็คบิลในสิ่งที่เคยทำพลาดไปบ้าง,ก็อาจต้องมีการคุยตกลงกันว่า.. ถ้าผมช่วยให้คุณได้มีอำนาจต่อจากผม?อย่างราบรื่น(?),คุณก็ต้องไม่มาขุดคุ้ยเรื่องต่างๆที่ผมอาจทำผิดพลาดไปบ้าง..ตกลงมั้ย?.. ประมาณนี้..นั่นแหละ(?)..เราว่า(?)..(ซึ่งเราอาจจะคิดไปเองก็ได้..ไม่ได้ยืนยันว่าจะคิดถูกนะ?)..(การบอกว่า..เพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้นั้น..เรามองว่าเป็นคำพูดที่โหลมากครับ?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 23 สิงหาคม 2567 เวลา:18:18:43 น.
เราได้ข้อสรุปทางการเมืองโดยเคล็ดวิชา(จากเซ้นซ์ส่วนตัว)แล้ว..ว่า..
ประเทศไทยนี้มีคนคนหนึ่ง.. ซึ่งเขาถือว่าเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด(?),ไม่มีใครที่จะฉลาดเท่าเขา?อีกแล้ว(?).. เป็นความเชื่อมั่นส่วนตัวของเขา,เหมือนที่เขาเคยบอกกับคนบางคนว่าคนตาบอดมันจะกลัวเสือรึ?..ประมาณนั้น.. ดังนั้น..เขามองเห็นคนที่อยู่ในวงจรที่เกี่ยวพัน,ใกล้ชิด,โยงใยกับกิจกรรมการเมืองของเขา.. เป็นเหมือนแค่หมาก,เบี้ย?ในกระดานหมากรุกหรือหมากฮ็อต(หรือเหมือนลูกสนุ้กเก้อร์หลากสีที่อยู่ในโต๊ะสนุ้กฯที่เขาเป็นคนแทงและวางสนุ้ก?ไว้ในจุดใดได้เสมอ?),ที่เขาจะขยับ,บงการให้หมาก,เบี้ยตัวใด?ไปอยู่ที่จุดใดตามที่เขาประสงค์?ก็ได้ทั้งนั้น(?).. เราคิดว่า..เขาน่าจะคิดว่า..เขามีความสามารถทางไหวพริบ?,เทคนิค?,และมุมกฎหมาย?ที่จะควบคุมเกมส์ต่างๆ?ไว้ได้ทั้งหมด(?),เขาจึงไม่มีความกลัวเกรงต่อบุคคลใดๆในสังคมเรา,แม้แต่สักคนเดียว?เลยนั่นไง(?).. และจุดเด่นที่น่ากลัวของเขา?คือ..เขายังเป็นคนที่คิดขยับ,ขับเคลื่อน,พลิกแพลงมุมเหลี่ยม,เพื่อแก้เกมส์ต่างๆที่พุ่งเข้ามาแบบผิดคาด?(แบบพลิกกลับไป,กลับมา?,ชนิดที่คนทั่วไปตามไม่ค่อยทัน?)ได้อย่างรวดเร็วแบบนาทีต่อนาที?,และยังสามารถสั่งการ,เพื่อขยับ,พลิกพลิ้วเกมส์?(เหมือนเด็กไฮเปอร์?ที่กำลังเล่นเกมส์ออนไลน์)ได้เลย(?)..ในทันทีอีกด้วย(?)..เราว่าขนาดนั้นเลยนะ(?)..สำหรับคนๆนี้.. และเราคาดว่า..เขายังนึกกระหยิ่ม,ภูมิใจ(เชื่อมั่น)ด้วยว่า.. ทุกคนในประเทศไทย(อาจจะทั้งโลก?ด้วยนะ)เป็นเพียงหมากในกระดาน?ของเขา,ที่เขาสามารถควบคุม,ชักใย,ขยับกลเกมส์?ให้เป็นไปตามที่เขาประสงค์?ได้ทั้งหมด(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 23 สิงหาคม 2567 เวลา:19:17:43 น.
(มุมการเมืองกับการนำเสนอของสื่อสารมวลชน..อาจทำให้ผู้ร้ายกลายร่างเป็นพระเอก?)..
ขอติงสื่อบางส่วนว่า.. ท่านอาจมีส่วนที่ทำให้สถานะของบางบุคคลเกิดความสับสนในสายตาประชาชนว่า..คนบางคนนั้น,เขาอยู่ในสถานะใดในสังคม?กันแน่?..(นี่จะกระทบไปถึงหลักการและจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชน?ด้วยหรือไม่?).. เพราะสื่อบางส่วนมุ่งไปห้อมล้อม,หรือจัดรายการ,เชิญบางบุคคลมาเป็นแขกรับเชิญ?,ทำให้บางบุคคลดูแล้วกลายเป็นบุคคลสำคัญ(เทียบเท่ากับบทบาทของพระเอกในละครซีรี่ส์)ในสายตาและเป้าหมาย?ในการแสวงหาคอนเท้นต์และเรตติ้ง?ของสื่อบางส่วน..นั่นเอง(?).. และทำให้นึกถึง(เพื่อเป็นอุทาหรณ์)ว่า.. สื่อทั้งหลายจำได้ไหม?ที่.. เรื่องราวที่บ้านกกกอกที่สื่อบางส่วนเล่นนำเสนอเรื่องราวของคดีสะเทือนขวัญให้เป็นเหมือนซีรี่ส์ละครหลังข่าว2ทุ่ม,จนทำให้ผู้ต้องสงสัยบางคน(ซึ่งตอนหลังกลายเป็นผู้ต้องหาในคดี)ในคดีน้องชมพู่กลายเป็นอินฟลูเอ็นเซ่อร์(หรือเป็นเหมือนพระเอกในละคร)ที่มีผู้ติดตาม,สนับสนุน,ให้กำลังใจอย่างมากมาย..(จนเป็นที่มาแห่งรายได้ที่หลั่งไหลเข้ามาสู่ผู้ต้องสงสัยในคดีอย่างมหาศาล),จนทำให้กระบวนการยธ.เกิดความละล้าละลัง(?),สับสนว่าจะจัดการกับคดีนี้อย่างไรกันดี?..ไปด้วย(?)..นั่นไง?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 23 สิงหาคม 2567 เวลา:21:30:43 น.
(เคล็ดวิชาในการดูคนหรืออ่านคน)..
คนที่มินิสัยชอบพูดจาโกหกพกลม(เช่น.. วันหนึ่งในอดีต,อาจพูดทำนองว่า..รัฐบาลไหนที่แจกเงินเป็นรัฐบาลปญอ... แต่พอมาอีกวันหนึ่ง,เมื่อได้เข้ามาอยู่เบื้องหลังอำนาจปกครอง,ก็กลับมาสนับสนุนนโยบายแจกเงิน?เสียเอง..เช่นนี้เป็นต้น)อยู่เสมอ,ซึ่งในที่สุด,มักจะลืมเลือนว่า..ในอดีตที่ผ่านมา,ตนเคยพูดหลักการที่บิดเบี้ยว?และตรรกะที่ผิดเพี้ยน?แบบพูดไปเป็นทีๆ?อะไรไว้บ้าง(?).. เพราะมักจะพูดแก้เกมส์?ไปตามสถานการณ์ที่เข้ามาได้อย่างรวดเร็ว,ฉับพลัน,ทันที?,และมากมาย,จนจำไม่ได้ว่า..เอ๊..วันนั้น..เราเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไรหนอ?..ประมาณนั้นครับ(?).. ปล.. วิบากกรรมของผู้ที่มักพูดโกหกเป็นประจำ.. ท่านว่า(เราฟังคนเขาว่ามานะ)..ที่สุดจะทำให้เซลสมองทำร้ายตัวเอง,จนทำให้อาจกลายเป็นอัลไซเม่อร์?ได้ในที่สุด(?)..นั่นเองครับ(?).. ดังนั้น.. ขอให้ทุกคนจงหัดเป็นคนที่พูดอะไรแบบตรงไปตรงมา..กันเถิดนะครับ.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 23 สิงหาคม 2567 เวลา:22:01:18 น.
(การวิเคราะห์สังคมไทย.. คือเจ็บนี้..อีกนาน?)..
สังคมไทยนี้แปลกมาก?.. เพราะจุดอ่อนแบบศาสนาพุทธ?จึงทำให้พุทธสูญสิ้นจากอินเดีย..เพราะอย่างนี้(?)..ใช่หรือไม่?.. คนไทยถูกย้อมด้วยศาสนาพุทธจนใจดีแบบสุดโต่ง?.. สมัยหนึ่ง..ก็มีขอทานเต็มเมือง(ขอทานรวยกว่าคนให้ทานเสียอีก?),จนภายหลังที่มีการออกกฎหมายขอทานมาจัดการ,จึงค่อยซาๆไปบ้าง(?).. ลัทธิสัทธรรมปฏิรูปสารพัด?(ที่ไม่ใช่พุทธ,แต่แอบแฝงว่าเป็นพุทธ)ก็แพร่ระบาดในสังคมพุทธไทยเต็มไปหมด(?).. สีกานอนกับพระ?ก็มีให้เห็นเกร่อ(ร่วมเพศกับสมีโล้นอย่างฉ่ำ?),จนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทย.. โดยไม่มีใครตั้งคำถามว่า..สีกา(จำนวนหนึ่ง)ทำไมจึงไม่มีความละอาย?,หิริ-โอตตัปปะ(ความละอายต่อบาป-เกรงกลัวต่อบาป)ใดๆเลย(?).. หญิงไทย(บางส่วน)มีใบหน้าที่หยิกไม่เจ็บ?กันมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?.. และทางรัฐก็ยังไม่รีบออกกฎหมายเพื่อเอาผิดกับสตรีบางส่วนที่ทำร้ายพุทธศาสนา,เพื่อให้เกรงกลัว?และหลาบจำ?..อีกด้วยนะ(?).. ส่วนสื่อบางส่วนรึ?.. ก็ชอบทำให้ผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก?(เพียงเพื่อหวังเรตติ้ง?ของผู้เข้าชม?).. และยังชอบนำเสนอการเสี่ยงโชค?(มอมเมาประชาชน?)ด้วยตัวเลขผ่านทะเบียนรถที่เกิดอุบัติเหตุ,และผ่านเลขที่บ้านที่มีเหตุการณ์เป็นข่าวอยู่เป็นประจำ(อย่างไร้จรรยาบรรณ?),ซึ่งทำให้ไม่แน่ใจว่า..สื่อสารมวลชนบางส่วน?มีความจริงใจต่อประชาชน?..แค่ไหน?.. จุดสำคัญของสื่อบางส่วนในสังคมไทยขณะนี้.. ก็คือ..การทำให้สังคมสับสนว่า.. การนำคนที่มีประวัติโกง,คอร์รัปชั่น?(บางคน)มาทำให้เหมือนเป็นไอด้อลของสังคม,ที่จะต้องนำเอาความฉลาดบางมุม?ของเขา(คนเคยคอร์รัปชั่น?)มานำเสนอเพื่อเป็นตัวอย่างความเก่ง?,หรือเพื่อให้เกิดการยอมรับในสังคม?ว่า..คนที่แม้มีประวัติโกง?มาก่อน,ก็สามารถนำมาโอ้อวด,โชว์ตัวได้?..ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายอะไร?..เสียอีก?.. ซึ่งถ้าเป็นเกาหลี,ผู้ที่ถูกจับได้ว่าโกงประเทศ?,ก็จะต้องอับอายจนต้องไปกระโดดหน้าผา?,หรือถ้าเป็นญี่ปุ่น,ถ้าถูกจับได้ว่าโกง,ก็จะต้องหลบซ่อนตัว,เหมือนว่าไม่มีตัวตนอยู่ในสังคม?ไปเลย(?).. หรือดาราจีนบางคนที่ไม่เคารพต่อวัฒนธรรมของจีนถึงกับถูกแบนด์(จากรัฐ)ไม่ให้มีตัวตนในโลกโซเชี่ยลไปเสียเลย(?).. ซึ่งเป็นข้อน่าคิดว่า..ที่ชาติดังกล่าวมีวัฒนธรรมที่มีความละอายอย่างเข้มข้น?.. จึงเป็นเหตุให้ทั้ง2-3ชาตินี้พัฒนาประเทศ,เจริญรุดหน้าไปกว่าประเทศไทยหลายร้อยเท่า(?)..ใช่หรือไม่?.. แม้แต่เวียดนาม.. ก็มีข่าวว่า..ผู้ถูกจับได้ว่าคอร์รัปชั่น(ขนาดเป็นหญิง)ก็ถึงกับถูกลงโทษให้ประหารชีวิต..ไปเสียเลย(?).. แต่ไทยกลับแปลก(?).. ที่ใครจะ(เคย)โกงยังไง?,ก็ยังสามารถลอยหน้าลอยตา,อวดโชว์ตัวตน,อวดโชว์วิสัยทัศน์ต่อสาธารณะได้ต่อไป,โดยไม่รู้สึกเคอะเขินอะไรเลย(?).. เรารู้สึกงงใจมาก?.. เราใจดีกันเกินไปหรือไม่?.. ต่อไปสังคมไทยคงมีเผ่าพันธุ์ที่มีDNAที่หน้าหยิกไม่เจ็บ?กันเต็มไปหมด(?)..หรือไม่?.. และเราจะสอนลูกหลานของเราว่าโตไปต้องไม่โกง?..ได้อย่างไร?..ใช่หรือไม่? (..ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 24 สิงหาคม 2567 เวลา:2:22:08 น.
(ข้อน่าคิดมากๆ)..
จะสังเกตว่า.. ในยุคพุทธกาล.. พระพุทธเจ้าจะไม่ได้ไปแทรกแซงในระบบปกครองแบบราชาธิปไตยอะไรมากนัก,เพราะถ้าผิดจังหวะมา,ถ้าพระราชาทรงกริ้วขึ้นมา,พระพุทธเจ้าอาจต้องโดนอาญา?เสียเองก็เป็นได้.. เช่นในสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู,ซึ่งไปสั่งขังพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพิสาร,เพราะถูกยุยงจากพระเทวทัต.. แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เข้าไปทักท้วงอะไร(?)(อาจมองว่าเป็นวิบากกรรมของพระเจ้าพิมพิสารด้วยก็เป็นได้)..เช่นนี้เป็นต้น.. จะเห็นว่า.. ที่พระพุทธเจ้าจะไปแทรกแซงบ้าง,ก็เฉพาะในขอบเขตเชื้อสายของพระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ..เท่านั้น(?).. แต่เราขออนุญาตเห็นต่างกับบางท่าน,ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ทางการเมืองที่มองว่า.. ควรให้โอกาสกับบางบุคคล?.. ประมาณว่า..รอให้ทำงานเสียก่อน?สักระยะ(?) ..ซึ่งเรากลับมองว่า.. เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องทดลองงาน?(แต่ต้องการผู้มีประสบการณ์จริงที่เชื่อถือได้ต่างหาก?).. จึงต้องระวังว่า..อาจตรงกับคำพังเพยว่า..กว่าถั่วจะสุก,,งาก็อาจจะไหม้หมด?แล้วก็เป็นได้(?).. เช่น..ประเทศไทยในอดีตเคยมีกรณีผักตบชวาซึ่งตอนแรกมีการนำเข้ามาในประเทศไทยเพียงเล็กน้อย,แต่ต่อมาก็แพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว,จนไม่มีทางที่จะกำจัดให้หมดสิ้นไปได้จนถึงปัจจุบัน(?).. และประเด็นล่าสุด.. เช่น..เรื่องปลาหมอคางดำซึ่งเป็นเอเลี่ยนสปีชี่ส์,ก็ไม่รู้ว่าหลุดออกจากค่ายไหน?,ด้วยประสงค์ใด?.. ที่สุด..ขยายพันธุ์อย่างมากมายและรวดเร็ว,จนต้องหาทางกำจัด(?),โดยต้องอนุมัติงบเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำนี้ถึง450ล้านบาทไปแล้ว(?)..นั่นไง?.. ดังนั้น.. กรณีเรื่องบางDNA?ซึ่งเป็นDNAของสมอง?ซึ่งเน้นเรื่องประโยชน์ทับซ้อน?นั้น.. เราเชื่อว่า..โอกาสจะเกิดการผ่าเหล่า?กลายเป็นDNAที่ดี?,ที่ทุ่มเททำเพื่อประเทศชาติและประชาชน?นั้น,ย่อมเป็นไปได้ยากมาก(?)..(เหมือนคำพังเพยว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น?..นั่นเอง?).. ซึ่งถ้าเรามัวรั้งรอ,มัวคิดแบบสุภาพบุรุษ(ซึ่งสุภาพบุรุษสูญพันธุ์มาเยอะแล้ว?),โดยให้โอกาสแพร่พันธ์แนวคิด?เหมือนปลาหมอคางดำ?ไปก่อน(?),ก็เกรงว่า..สังคมไทยอาจต้องประสบความลำบาก?ไปอีกเนิ่นนานได้นะครับ(?).. เพราะสังเกตว่า.. ต่อให้แม้แต่ฟ้าดิน,น้ำท่า?ก็เริ่มหลากไหลมาอย่างมากมาย,รุนแรง(?),เหมือนเช่นเมื่อปี54,ดังคำทำนายของฤาษีลิงดำ..ที่บอกว่า.. "จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ" ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้ จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ..(เครดิตจากเฟ้สบุ๊คของคุณปานเทพ พัวพงศ์พันธ์เมื่อ10ตุลา54ครับ).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 24 สิงหาคม 2567 เวลา:16:59:19 น.
(เคี่ยวให้คิด.. ว่า..ต้นเหตุปัญหาของDNAที่คดเคี้ยว?ของคนไทย?ในภาพรวม?..มาจากไหน?)..
เรามองว่า..สังคมไทยผิดตั้งแต่กลัดกระดุมเม็ดแรก?เลยล่ะ?.. คือประชาชน(โดยเฉพาะประชาชนที่เป็นสตรี?),ซึ่ง ต้องยอมรับว่า.. สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ตรงไปตรงมา?,และนิยมอะไรที่มีมุมปิดบัง?,ซ่อนเร้น?.. เช่น.. การไปออกกฎหมายว่า.. ให้สตรีที่สมรสแล้วสามารถใช้คำนำหน้านามว่านางสาว(รวมทั้งสามารถใช้นามสกุลเดิมของตน,ก่อนสมรส)ได้.. ซึ่งเราเชื่อว่า..ผู้หญิงเกือบทุกคนในประเทศไทยล้วนยินดีกับกฎหมายข้อนี้กันทั้งนั้น(?).. เพราะเธออาจรู้สึกว่าตัวเอง(ถูก)ด้อยค่า?กับการต้องถูกสแต๊มป์ว่านาง,ว่ามีสามีแล้ว?,ซึ่งอาจปิดโอกาสที่เธอจะมีโอกาสหาตัวเลือกใหม่(?)..ละกระมัง?.. จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้สตรีไทยรวมทั้งสังคมไทยโดยรวมเกิดการยอมรับภาวะไม่ตรงไปตรงมา?,และ/หรือนิยมการปกปิด,ซ่อนเร้น?ในสถานะสมรสของตัวเอง?กันทั้งนั้น(?).. แม้กระทั่ง..หัวหน้าหญิงทั้ง2คน(ซึ่งเป็นเหมือนนารีขี่ม้าขาว?)ของคนไทยก็พลอยมีรสนิยมในการใช้คำนำหน้านามว่านางสาวไปด้วย..เช่นกัน(?).. นี่ล่ะมั้ง?.. จึงเป็นเหตุผลต้นทาง?ที่สำคัญ,ที่ทำให้สังคมไทยนับเป็นเมืองแห่งลูกหลานศรีธนญชัย?ที่นิยมความซิกแซ็ก?,ไม่ตรงไปตรงมา?,มีช่องทางคว้าได้เป็นคว้าไว้ก่อน?,มีช่องทางให้คอร์รัปชั่นแม้เล็กๆน้อยๆ?ได้,ก็ต้องเอาไว้ก่อน?..เช่นกัน(?)..นี่กระมัง?.. ใช่หรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 24 สิงหาคม 2567 เวลา:20:38:25 น.
(ข้อท้วงติง)..
เราเห็นอยู่เรื่อยๆ.. มีภาพของคนที่เคยเป็นหัวหน้าของคนไทย(บางคน),ที่มีการแสดงออกที่อาจชื่นชม,หลงใหล?(หรืออาจอยากแสดงภาพของความเป็นคนสากล?)ในวัฒนธรรมที่ทักทายด้วยการโอบกอดกัน?ในแบบของชาติฝรั่ง..ซึ่งเราดูแล้ว,รู้สึกขัดสายตามาก(?).. ถ้าคุณเป็นบุคคลธรรมดาก็ว่าไปอย่างหนึ่ง.. แต่นี่..คุณเคยเป็นถึงหัวหน้าของคนไทยในสมัยหนึ่ง,จึงควรวางตัวหรือแสดงออกให้เป็นตัวอย่างแก่สังคมไทยว่าชื่นชม,ศรัทธาต่อวัฒนธรรมไทยที่สวยงาม,งดงาม,และมีคุณค่าตามแนวของพุทธธรรม,ให้ถูกต้องตรงกับหลักของวัฒนธรรมไทยจึงจะเหมาะสม(?).. โดยคุณน่าจะแนะนำให้ลูกสาว,หรือน้องสาว,หรือลูกชายด้วยก็ตาม.. ว่า..ไม่ต้องเข้ามากอดหรอก(?),แค่ยกมือไหว้แบบไทยก็เพียงพอแล้ว(?).. แต่ถ้าคุณต้องการให้กำลังใจกันจริงๆ.. ถ้าเป็นลูกสาว,คุณก็แค่ลูบหัวเบาๆ,แต่ถ้าเป็นลูกชาย,คุณก็อาจจะโอบไหล่จากด้านหลัง,หรือตบไหล่เบาๆก็ได้(?).. ประมาณนี้(?).. แต่สังเกตว่า.. การแสดงออกของคุณ.. เช่น.. โอบกอดน้องสาวบ้าง,โอบกอดลูกสาวบ้าง,โอบกอดลูกชายบ้าง,ในลักษณะของชาวฝรั่ง,โดยเฉพาะสังคมวัฒนธรรมไทยจะถือมากๆว่า.. ถ้าเป็นพ่อกับลูกสาว,และพี่ชายกับน้องสาวก็จะหลีกเลี่ยงการต้องโอบกอดกัน,เพราะสังคมไทยถือเรื่องเพศตรงข้ามกันที่จะระมัดระวัง,ไม่มา(โอบ)กอดกัน?โดยไม่จำเป็น(?),แม้จะเป็นญาติสนิท,เป็นลูกหลานกัน(?)..ก็ตาม(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 24 สิงหาคม 2567 เวลา:21:29:42 น.
(เราฝึกอ่านจิตมนุษย์.. แต่เราอาจอ่านผิดก็ได้นะ?)..
เราสังเกตว่า.. มีคนบางคน?เป็นคนที่มีภาวะความยึดมั่นส่วนตัวสูง?,อาจเป็นอัตตา,ศักดิ์ศรีส่วนตัว?,หรือความยึดถือว่า..จะต้องไม่มีประวัติว่าเป็นคนเคยติดคุก?(ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาอาจมองว่า..เป็นการเสียเกียรติประวัติส่วนตัว?)เป็นอันขาด(?)..ประมาณนี้ก็เป็นได้?.. ทั้งๆที่.. คนที่มีคุณงามความดีแก่สังคม.. เช่น..ลุงมหาจ.,ลุงกำนันส.,คุณส.พธม.,ล้วนแต่เคยเดินหน้าเข้าคุกอย่างองอาจ,กล้าหาญกันมาแล้วทั้งนั้น(?).. โดยที่คนเหล่านี้ไม่ได้มองว่า..เป็นการเสียเกียรติ?แต่อย่างใดเลย?.. รวมทั้งเพลงที่กลุ่มคปท.แต่งขึ้นมา.. ที่ว่า..เนลสัน แมนเดลา..โนเบลที่ได้มาก็ต้องผ่านคุกตาราง..ด้วยนั่นไง?.. ดังนั้น.. จะสังเกตว่า..เขาบางคนนี้?เป็นคนที่มีมุมลึกๆ?อยู่ภายในใจ?.. คือ..เมื่อมีคนในสังคมหลายกลุ่มมองว่า..เขายังไม่ได้เคยติดคุกเลย?(แม้แต่วันเดียว?),เขาก็ทำเฉยๆเสีย(?)(อาจนึกดีใจลึกๆ?ด้วย),ซึ่งไม่เคยเห็นเขาแสดงการโต้ตอบว่า..ตนเองเคยติดคุกแล้ว?..แต่อย่างใด?.. นั่นคือ.. เราวิเคราะห์(ส่วนตัว)ว่า.. ในทางกฎหมาย,เขาต้องการให้กฎหมายสรุปผล?(ให้ชัดเจน?)ว่า..เขาได้ติดคุก?ตามระเบียบ,ข้อกำหนดของกฎหมายตามความผิดต่างๆของเขา?(เป็นที่เรียบร้อยแล้ว?)แล้ว(?).. แต่ในมุมของภาพที่ออกมา?ในสายตาของสังคม?,เขาก็อาจกลับเห็นว่า..ก็ดีแล้ว,ที่คนส่วนมากมอง,ออกมาพูดกันมากมาย(?),และพากันสรุปว่า..เขาเป็นคนที่ยังไม่ได้เคยติดคุกมาเลย?,แม้แต่สักวันเดียว?.. เพราะนั่น.. อาจเป็นความนึกภูมิใจ?ในส่วนลึกของเขา?ว่า.. เขายังไม่เคยเสียประวัติ?ว่าเคยติดคุก?ในสายตาและความนึกคิด?ของประชาชนจำนวนมาก?เลย(?).. ดังนั้น..เราจึงไม่ค่อยจะเห็นเขาออกมาโต้ตอบกระแสว่า..เขาได้ผ่านการติดคุกจริงๆแล้ว?..หรือยัง?..นั่นไง?.. นี่แหละ..เราจึงมองว่า.. คือความซับซ้อนในจิตส่วนลึกของเขา?.. นั่นไงล่ะ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 24 สิงหาคม 2567 เวลา:22:42:32 น.
(เรามองแบบเรานะ)..
1.อย่างนักร้อง(เรียน)บางท่านที่มีกรณีเงินติดรั้ว?,ติดกำแพง?นั่นน่ะ?,เราก็มองว่า.. ขนาดว่า..มีหลักฐานเป็นคลิปเสียง?(ที่เรียกรับน้ำหนักวัตถุเป็นกิโลๆ?)ชัดๆขนาดนี้(ก็เห็นท่านหลบอยู่เงียบๆไปช่วงหนึ่ง),แต่ภายหลังก็เห็นออกมาร้องเรียนบางเรื่อง?ต่อไป(?)..(ซึ่งส่วนที่ร้องเรียนในเรื่องที่เข้าข่ายความผิดของบางบุคคล?,ที่สังคมเห็นด้วย,ก็ไม่มีปัญหา,ก็ขอให้ท่านทำต่อไปเถิด).. แต่ก็ต้องแยกกัน( =ผิด-ถูก,ต้องแยกกันพิจารณา?),คือ..ในส่วนที่มีหลักฐานส่วนตัวชัดเจนของนักร้อง(เรียน)บางคนนั้น,ซึ่งสังคมก็มองเห็นได้ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว(?).. แต่ทำไมกระบวนยธ.(บางส่วน),จึงมีสภาพที่ทุกคนมองเห็นว่าล่าช้ามาก?.. [ถ้าจะให้ดีทุกคดีที่สำคัญ?ที่ประชาชนให้ความสนใจ,ขอเสนอว่า.. ควรออกระเบียบหรือกฎกระทรวงว่า.. ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(ควร)ต้องออกมาชี้แจงเหตุผลผ่านสื่อมวลชนด้วยว่า..เหตุที่คดีดำเนินไปอย่างล่าช้า?นั้น,ด้วยเพราะสาเหตุอะไร?,ไปติดขัด,ขัดข้องที่ขั้นตอน?ตรงไหน?.. ประชาชนจะได้ไม่เกิดความสงสัย,แคลงใจ?ว่า.. มีกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากล?ระหว่างการดำเนินคดีนั้นๆ?..หรือไม่?].. และส่วนราชการโดยเฉพาะกระบวนยธ.ทั้งหลาย?ควรคิดเรื่องความเสียหายด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม?จากความเนิ่นช้า?ในกระบวนยธ.บางส่วน?ด้วยหรือไม่?..(ไม่ควรทำงานแบบลูทีน?ไปวันๆ?).. เพราะพวกท่านมีเงินเดือนกิน?(ทุกเดือน)จากภาษีปชช.นั้น,ท่านก็คงไม่เดือดร้อนอะไรหรอก(?).. แต่เศรษฐกิจในภาพรวม?จากการดำเนินคดีอย่างล่าช้า?ที่กระทบกับเศรษฐกิจของประชาชน?นี่สิ?.. บางท่าน?ได้คิดบ้างไหม?..ว่า.. มันเกิดความสูญเสียไปมากน้อยเท่าไหร่?จากการทำงานอย่างเนิ่นช้า?ของพวกท่านบางคน??.. ท่านต้องมอง(ฉุกคิดบ้าง?)ว่า.. ถ้าเป็นการบริหารแบบบริษัทเอกชนที่มีเจ้าของหรือCEOของบริษัท(ซึ่งมุ่งผลกำไรของบริษัทเป็นเป้าหมายสูงสุด?,และต้องป้องกันความสูญเสียที่เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ,หรือค่าใช้จ่าย?ให้รวดเร็วที่สุด?).. แล้วถ้ามีเหตุทุจริต?ที่มีหลักฐานชัดเจนขนาดนี้,เมื่อเขาเห็นหลักฐานชัดเจนแล้ว.. ทางเจ้าของบริษัทหรือCEO,เขาอาจตัดสินใจ,และสั่งการ,ให้ไล่ผู้ที่ทำความผิดออกจากบริษัทได้ในเวลาเพียง1-3นาที?ได้เลยนะ(?)..เราว่า(?)..(ใช่หรือไม่?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 25 สิงหาคม 2567 เวลา:14:45:20 น.
2.ในสายตาของเรา.. แม้เราเองจะมีเชื้อสายจีนเช่นกัน,แต่เราไม่เคยติดยึดว่า..เชื้อสายของเราต้องดีที่สุด(?),เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำว่าอั้งยี่?และจีนเทา?ในประเทศไทย(?)..ใช่หรือไม่?..
(เพราะเราเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง,ซี่งมีชื่อหนังสือว่าจีนอัปลักษณ์เมื่อราว50ปีมาแล้ว..เห็นจะได้,และเรายังเคยเรียนคำสอนจากท่านพุทธทาส,สวนโมกข์ฯ,ไชยา,สุราษฎร์ฯอีกด้วยว่า..อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูและการยึดชั่วหรือยึดดี,ก็ล้วนอัปรียทั้งนั้น..นั่นไง?).. แต่มีสื่อเก่าสื่อหนึ่ง?,เราก็ว่าการวิเคราะห์หลายเรื่องในสังคมไทยก็ดูค่อนข้างชัดเจน,และมีคุณภาพในการวิเคราะห์พอสมควรนะ.. แต่จะสังเกตว่า.. เจ้าของสื่อ(ซึ่งมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋วเช่นเดียวกันกับเรา,แต่มักจะแสดงออกในวิสัยทัศน์ที่เข้าข้างจีน?อย่างหัวปักหัวปำ(?),และนิยมการพูดโจมตีเมกาเป็นหลักอยู่ตลอดมา,ทั้งๆที่ตนเองก็เรียนจบจากเมกามาแท้ๆด้วยนะ(?)(ทั้งๆที่ก็รู้ว่า..เพราะเมกานั่นแหละ..ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ของไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2,โดยช่วยสนับสนุนการจัดการกับลัทธิคอมมิวนิสต์มาโดยตลอด).. แต่เขาก็ยังพากเพียรที่จะโจมตีเมกา?เป็นหลักมาโดยตลอด,เพราะ(อาจ)มองว่าเมกาไม่ถูกกับจีน?,เขาจึงต้องเข้าข้างจีน?,เพราะตนเองเป็นเชื้อสายจีน?..ประมาณนั้น?..หรือไม่?.. โดยไม่มองเรื่องราวให้รอบด้าน?,ซึ่งเป็นการแสดงตัวติดยึดในเชื้อสายของตัวเอง?ว่าดีเลิศประเสริฐศรีกว่าชาติใดๆ?อย่างสุดโต่งเกินไปนะ(?).. เราว่า(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 25 สิงหาคม 2567 เวลา:18:30:04 น.
3.เรามองว่า.. สังคมไทยก่อนจะเริ่มคิดทำอะไรต่อไป(?).. ก็ขอให้ไปร้องเรียนต่อกสทช.ให้ตรวจสอบว่า.. ควรให้ยกเลิกสัญญาหรือสัมปทาน?กับสื่อบางสื่อ?ที่อาจทำผิดจรรยาบรรณสื่อ?,ที่ตามหลัก..ต้องไม่ทำให้สิ่งผิดกลายเป็นสิ่งถูก?..หรือไม่?.. ในกรณีที่มีสื่อบางสื่อ?ที่ไปจัดงานอีเว้นท์บางอย่าง?เพื่อทำให้DNAที่เคยคอร์รัปชั่น?(บางDNA?)ให้กลายเป็นDNAที่มีคุณค่า,คุณประโยชน์อย่างมากมายต่อสังคม?ไปเสียแล้ว(?).. และขอให้ตรวจสอบอย่างรีบด่วนด้วยนะ?.. ก่อนที่สังคมไทยจะไปคิดแก้เกมส์ต่อปัญหาอื่นๆของประเทศ?ต่อไป(?).. เพราะจะเข้าประเด็นของภัยร้ายจากสื่อที่ไร้จรรยาบรรณ?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?..
(...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 25 สิงหาคม 2567 เวลา:19:59:09 น.
4.หลักการดูพฤติกรรมของคนโดยเฉพาะนักการเมืองบางจำพวก.. ตามหลัก.. ถ้าใครที่ชัดเจนว่า..ตัวเองไม่ได้โกง,แล้วมีสื่อมวลชนมาวิเคราะห์,ตั้งคำถามนั่น,นี่,นู่น,ว่า..เรื่องนั้น,เรื่องนี้,โครงการนั้น,โครงการนี้?น่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน?,อาจมีการหักหัวคิว?หรือหักเปอร์เซ็นต์?ใดๆหรือไม่?..
ก็แน่นอน..ตามหลักจิตวิทยา.. ถ้าคนดูแลโครงการนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆก็มักจะต้องรีบออกมาชี้แจงรายละเอียดอย่างด่วน,หาหลักฐานมาโชว์,และพูดจาอย่างแข็งขัน(?).. ซึ่งเราจำได้ว่า..เหมือนสมัยรบ.อภิสิทธิ์ที่รีบออกมาชี้แจง,แสดงแผนที่ของหลักเขตตามความเชื่อของตนเองอย่างบริสุทธิ์ใจ..เป็นต้น.. โดยผู้ที่ดูแลโครงการต่างๆ,ถ้าบริสุทธิ์จะต้องรีบออกมาพูดด้วยท่าทีอย่างแข็งขัน,แข็งแรงว่า..โครงการที่กำลังทำนั้นไม่มีการทุจริตแน่ๆ,ขอรับประกัน,จะให้ไปสาบานที่ไหนก็จะไป(?)..อะไรประมาณนี้(?).. แต่จะสังเกตตามหลักจิตวิทยามนุษย์ว่า.. ถ้าโครงการนั้นๆเริ่มมีนอกมีใน?,ที่ไม่ชอบมาพากล,ไม่บริสุทธิ์จริง(?).. ถ้าหัวหน้าโครงการถูกถาม,ก็จะพูดอย่างไม่หนักแน่น(เหมือนกรณีนาย....ที่เคยตอบคำถามเรื่องข้าวแบบเหม่อๆ,เป็นคนที่เคยพูดว่าใครจะเอาผิด,ให้มาเอาผิดที่ผม..นั่นน่ะ?..เป็นต้น).. ซึ่งโดยมาก..ถ้าไม่ถูกสื่อมวลชนจี้ถามจริงๆ,ก็มักจะทำเงียบๆไปเสีย,คือมักจะไม่อยากตอบคำถามใดๆกับสื่อ?,หรือถ้าตอบ,ก็จะตอบแบบอ้อมๆ,วกวน,ไม่ชัดเจน,แบบคำตอบไม่แข็งแรง?..นั่นล่ะ?.. คล้ายว่า.. ใครจะว่า,จะกล่าวหา,หรือวิเคราะห์ยังไง?,ก็ยอมให้เขาพูดไปฝ่ายเดียว(?).. ส่วนตัวเองก็ซุ่มเงียบ?,หาวิธีกระบวนการซิกแซ็กที่ซับซ้อน?,เพื่อวางแผนกินหัวคิว?หรือกินส่วนต่างของโครงการ?แบบเงียบๆ,เนียนๆ?,เพื่อไม่ให้มีหลักฐานใดๆ?ที่จะมาเอาผิดได้(?),จนกว่าจะสามารถยักย้ายส่วนต่าง?หรือหัวคิว?ออกไปต่างประเทศจนสำเร็จ(?)..นั่นแหละ(?).. ดูแล้วก็เหมือนคนใจกว้าง?ที่ยอมให้คนกล่าวหา?,หรือวิพากษ์วิจารณ์?อยู่ฝ่ายเดียว(?)..ประมาณนั้นครับ(?).. และนี่แหละ.. ยิ่งแสดงว่า..โอกาสที่โครงการนั้นๆ?จะมีการกินหัวคิว?ย่อมเป็นไปได้สูงมากครับ(?).. คือยิ่งเงียบ(?),ยิ่งไม่โต้ตอบ(?)..แต่เดินหน้าลูกเดียว?มากเท่าไหร่?..ยิ่งชี้ว่าใช่?เท่านั้น.. คำพังเพยไทยจึงมีคำว่า..ซื่อเหมือนแมวนอนหวด? .นั่นไงครับ?.. ปล.. ผู้ที่เป็นอดีตหัวหน้าบริหารสังคม(บางท่าน),ที่เริ่มมีการเพ่งเล็งว่า..มีส่วนในดีลต่างๆ?กับคณะบริหารสังคมกลุ่มใหม่หรือไม่?.. ก็มีบุคลิกที่วางตัวเงียบๆเฉยๆ?,ไม่ค่อยเห็นออกมาโต้ตอบใดๆกับสื่อ?,กับสังคม?..แต่อย่างใด?..เช่นกัน(?).. จึงควรจับสังเกตให้ดีๆว่า.. เป็นผู้ที่บริสุทธิ์?.. จริงๆ?..หรือไม่?.. เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนหลักของคนดี,คนบริสุทธิ์ในอบายมุข6ข้อที่5ว่า..คนดีย่อมจะไม่คบคนชั่วเป็นมิตร?(หรือจะไม่ต้องการไปสัมพันธ์ใดๆด้วย?)..นั่นไงล่ะครับ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 25 สิงหาคม 2567 เวลา:21:55:50 น.
5.กรณีของบางบุคคล?,จะพูดแก้ต่างให้ตัวเอง?ในคำพูดแบบไหนๆ?ก็ดูจะลำบากแล้ว(เข้ากับสำนวนไทยว่าน้ำท่วมปากนั่นแหละ?),พูดไม่ออก,เพราะคำพูดจะเป็นนาย,ฟ้องผิดตัวเอง?นั่นเอง?).. เช่น..
(1)หญิงลักลอบค้าบริการทางเพศ?จะไปแจ้งความว่าถูกโกงค่าบริการ?ได้มั้ย?.. ตอบว่า..ได้,แต่คุณก็ต้องมีความผิดฐานค้าบริการผิดกฎหมาย?ด้วยนะ,นั้น1,และยังต้องอับอายต่อสังคม?อย่างน้อยก็ต่อเจ้าหน้าที่รับเรื่อง?และเจ้าหน้าที่สอบสวน?นั้นอีก1..(ยิ่งถ้าเป็นข่าว,ออกสื่อ?ก็ยิ่งจะหนักไปใหญ่),และยังไม่รู้ว่าการถูกโกง?ในเรื่องที่ตนก็ทำผิดกฎหมายด้วย?นั้น?,จะสามารถเรียกร้องให้เขาชดใช้เงินให้?ได้หรือไม่?,อีก1ด้วย(?).. (2)การลักลอบเล่นการพนัน?แล้วไปแจ้งความว่า..ถูกโกงในวงพนัน?นั้น,ก็มีนัยยะคล้ายกับในข้อ(1)เช่นเดียวกัน(?).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 26 สิงหาคม 2567 เวลา:14:15:29 น.
(3)กรณีโจรปล้นบ้านข้าราชการชั้นสูง?(บางท่าน),ได้เงินไปเป็นจำนวนมาก?,ที่ไม่รู้ที่มาของเงินนั้น,และเจ้าของบ้าน,หรือเจ้าของเงินก็คล้ายว่าจะไม่ยอมไปแจ้งความเอาเรื่องใดๆ?(เท่าที่ทราบมาประมาณนี้,ไม่รู้ว่าคืบหน้าไปถึงไหน?,เราไม่ได้ติดตามต่อ?)นั้น?,ก็เป็นลักษณะเดียวกัน?คล้ายข้อ(1)และข้อ(2)เช่นเดียวกัน(?)..
คือถ้าไปแจ้งความว่า..ถูกโจรปล้นเอาเงินไปจำนวนเท่านั้น,เท่านี้?ตามตรง?,ก็ต้องถูกไล่เบี้ย?,หรือตามสืบสวนต่อว่า..แล้วเงินจำนวนมาก?ที่เก็บ(ซ่อน?)ไว้ในบ้าน?(ไม่ยอมไปฝากไว้ที่ธนาคาร?)นั้น?.. ท่านได้มาจากไหน?,เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย?หรือไม่?..ไปโน่นเลย(?).. และยังมีเรื่องที่ต้องอับอาย?,เพราะอาจถูกตั้งข้อสงสัย?ว่า..เป็นเงินที่คอร์รัปชั่นมา?หรือไม่?..นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย?,น่าจะต้องเอาปี๊บคลุมหัว?,และรีบไปให้ช่างติดฟิล์มกรองแสงแบบสีดำสนิท?,และต้องใส่แม้ซ,สวมแว่นตาดำสนิท?,เวลาที่จะต้องออกไปนอกบ้านแน่ๆ(?)..อย่างแน่นอนเลย?..ใช่หรือไม่?.. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 26 สิงหาคม 2567 เวลา:14:19:39 น.
(4)เรื่องสมมุตินะ.. ถ้ามีคนบางคน?อ้างกับ.....ว่า..ตนเองยอมรับว่าตนเองผิดเรื่องคอร์รัปชั่นจริง.. แต่ในความคิดส่วนตัว(ของเขา)นั้น,เขาอาจจะคิดว่าตนเองไม่ได้ผิด?,แต่ถูกยัดข้อหาให้?(และไปพูดบอกใครต่อใคร?ในที่สาธารณะ?ว่า..ตนถูกยัดข้อหาซะเยอะเลย?..ประมาณนี้?)..
จริงๆอาจเป็นว่า.. เพราะคนบางคนนี้?เพื่อต้องการการอภัยโทษ?(คล้ายหลักยธ.ไทย,ที่ถ้ายอมรับสารภาพ?ก็จะลดโทษให้กึ่งหนึ่ง?..ประมาณนั้น?).. จึงไปทำหนังสือยอมรับว่าทำผิดจริง?,เพื่อหวังเพียงได้รับการอภัยโทษ?จาก.......เท่านั้น(?).. จึงวิเคราะห์ได้2กรณี..คือ.. (ก)ถ้ามีการทำผิดจริง?ตามที่ทำหนังสือรับสารภาพ?,ก็ตามนั้นเลย?..(แสดงว่า..เคยทำผิดฐานคอร์รัปชั่นต่อประเทศ?จริง?).. (ข)แต่ถ้าตัวเองคิดว่า.. ตัวเองไม่ได้ผิด?,แต่ถูกยัดข้อหา?,ซึ่งแม้ต่อให้ถ้าพิสูจน์ได้จริงๆ?.. ก็ยังคงทำผิดอยู่ดี?,ฐานยื่นหนังสือเป็นเท็จ?เพื่อหลอกลวง.....(เพื่อหวังผลประโยชน์ทางคดี?)ว่า..ตนได้สำนึกแล้วว่าตนทำผิดจริง?.. ซึ่งก็จะเป็นข้อหาใหม่ฐานหลอกลวงต่อ.....ขึ้นมาอีก(?)..อยู่ดี(?)(ซึ่งเป็นข้อหาหนัก?และเป็นข้อหาใหม่?สดๆ?,ขึ้นมาใหม่อีกคดี?..อีกด้วย(?)..ใช่หรือไม่?.. ปล.. แค่ช่วยวิเคราะห์,เพื่อช่วยแก้เกมส์?กับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมที่มากไปด้วยลูกหลานศรีธนญชัย?..เท่านั้นครับ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 26 สิงหาคม 2567 เวลา:14:36:00 น.
(6)เมื่อ26-8-67,ได้ฟังวาทะคุณจตุพร(ในคลิปทางยูทู้ป).. คุณจตุพรพูดว่า..เก่ง..แต่โกง..ไม่มีประโยชน์(คำสั้นๆ..แต่ซึ้งชะมัดเลย).. อยากขอนำเสนอแง่คิดบางอย่างขำๆ(?).. วิธีกำจัดDNAโกง.. ก็คือ..
(ก)เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด..แต่ทำให้สำเร็จได้ยากที่สุด(?)..[เพราะอาจไม่ได้รับความร่วมมือ(?).. เพราะคนส่วนมากยังติดอยู่ในผลประโยชน์?ของอาชีพตนเอง?..นั่นเอง?].. ก็คือ.. ขอให้สื่อทุกค่ายเลิกนำเสนอเรื่องราว,ความเคลื่อนไหว?ของDNAโกง?ในทุกบริบท?.. เมื่อสื่อทั้งหมด?ตกลงกัน,ไม่ให้ความสนใดๆทั้งสิ้น(?).. DNAโกง?ก็จะเริ่มรู้ตัวว่า..สังคมนี้ไม่ต้อนรับ?.. และDNAโกง?ก็จะหายเข้ากลีบเมฆไป(?)..ในที่สุด?.. (ข)เคยได้รับคำแนะนำจากผู้นำค่ายสีกรัก,คลองกุ่ม(ผู้เคยถูกหลอกให้เชียร์DNAโกง?เข้าสู่งานการเมือง?มาแล้ว)มาว่า.. วิธีจัดการกับผู้ไม่พึงปรารถนา?ก็คือ..เราไม่ต้องไปไล่เขาออกไปจากกลุ่มเราใดๆทั้งสิ้น.. แค่ใช้วิธี(เชิงจิตวิทยา)คือ..ถ้าเขาเดินมาใกล้กับเรา.. เราแค่ช่วยกันมองดูเขาแบบยืนมองนิ่งๆ?.. เขาเดินไปทางไหน?,เราก็แค่มองตามเขาไปเรื่อยๆ..โดยไม่ต้องไปพูดอะไรกับเขาเลย.. สักหน่อยเขาก็จะเริ่มอยู่ไม่ได้.. และต้องรีบเดินจากไป(?).. ประมาณนี้ครับ?.. สรุป.. สื่อมวลชนไทย?(บางส่วน)ล้มเหลวในการช่วยต่อต้านคนโกง?,ก็เพราะสื่อส่วนมาก?ยังต้องการคอนเท้นต์?และเรตติ้ง?ในการนำเสนอเรื่องราวและความเคลื่อนไหว?ของคนบางคน?โดยไม่ยอมสละผลประโยชน์?ที่เป็นงานอาชีพสื่อ?ของตนเองเลย(?)..นั่นเอง?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.97.73.128 วันที่: 26 สิงหาคม 2567 เวลา:17:47:16 น.
7.เรามองว่า.. ถ้าพิธีกรบางคน?,ถ้ามีไหวพริบ(?).. จะต้องถามบางคน?ว่า.. เอ๊..แล้วในขณะ(ยุค)นั้น.. ท่านสามารถขับเคลื่อนบางตำแหน่ง?ในสนง.(ที่ดูไม่ค่อย)อิสระ?(บางสนง.)(?)ได้ด้วยหรือครับ?.. แล้วถ้ามีใครไปร้องเรียน?,ท่านจะเจอ157ย้อนหลัง?ได้หรือเปล่าครับ?..(มันหมดอายุความ?หรือยังครับ?)..
และบางคนนี้?ยังมีการพูดอ้อมๆโยงๆทำนองให้เข้าใจว่า.. ตนเอง?เป็นผู้แต่งตั้งบางตำแหน่งสำคัญ?ให้กับบางท่าน?(ที่คล้ายเคยมาขอตำแหน่ง?),และโยงอ้อมๆให้ผู้ฟังเข้าใจเสมือนว่า..บางท่านนี้?หลังเกษียณแล้ว?,อาจต้องการให้ตนเอง?ดำเนินการบางเรื่อง?ให้?.. อย่างนั้นหรือไม่?.. และพิธีกรบางคน?ก็ควรถามรุกอีกว่า.. แล้วทำไมบางท่านนี้?ที่เมื่อต้องการตำแหน่งใด?,ทำไมต้องมาพูดสื่อสารผ่านท่าน?,หรือให้ท่านทราบความประสงค์ของตน?ไม่ว่าจะโดยตรง?หรือโดยอ้อม?ก็ตาม?..ด้วยล่ะครับ?.. ซึ่งสมมุติว่า.. ถ้าเราได้เป็นพิธีกร(แทนพิธีกรคนนั้น?).. เราก็จะต้องถามประมาณนี้ครับ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.96.158.27 วันที่: 27 สิงหาคม 2567 เวลา:18:09:44 น.
8.(แง่คิดสังคมไทย)(ฟังรายการของช่องสถาบันทิศทางไทย,27-8-67).. แล้วประมวลผลได้ดังนี้..
เพราะปชช.ทุกคน"กินข้าวเป็นอาหารหลัก.. ดังนั้น..กระบวนยธ.(บางช่วงน้ำ),ต้องพึงระวังว่า..ต้องให้เกียรติ,หรือต้องไม่ให้ค้านต่อสายตาหรือสติปัญญาของปชช.ครับ(?).. และคดีที่สำคัญที่ปชช.สนใจ,ควรต้องสื่อสารให้ปชช.ได้รับรู้รายละเอียดการทำงานทุกครั้งที่มีความคืบหน้าของคดี,โดยไม่นิ่งเฉยครับ(?).. เพื่อป้องกันการวิ่งเต้นทางคดี?ด้วยอำนาจพิเศษต่างๆ?ของบางฝ่าย?ครับ(?).. (ข้อสังเกต).. ปกติ..ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องกฎหมาย.. ถ้าทำผิด,ก็มักจะสารภาพไปเลย,ทำให้คดีไม่เนิ่นช้า(?).. หรือถ้าไม่ได้ทำผิด,ก็มักจะหาหลักฐานต่างๆ?มาชี้แจงในทันที(?)..โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ?เป็นพิเศษ?.. แต่คำพูดบางคำ.. จะชี้ว่า..ผู้นั้นน่าจะต้องรู้เรื่องเทคนิคทางกฎหมาย?,หรืออาจมีนักกฎหมายเป็นผู้แนะนำว่า..ควรใช้คำพูดที่เป็นเทคนิคทางกฎหมาย?อย่างไร?.. คำพูดที่ว่า..ก็เช่น.. 1.คำว่า.. ขอให้การในชั้นศาลครับ.. 2.คำว่า.. ผมไม่มีเจตนาครับ.. 3.คำว่า.. ผม(แค่)บันดาลโทสะครับ.. 4.คำว่า.. ผมบกพร่อง(สะเพร่า)โดยสุจริตครับ.. 5.คำว่า.. ผมอยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ผมไม่ได้เป็นผู้กระทำครับ..( =ตอบแบบภาคเสธ).. 6.คำว่า.. ไม่ขอตอบใดๆ(ซึ่งผู้นำสำนักสีกรัก,คลองกุ่มเคยใช้คำนี้ตอบกับเจ้าหน้าที่ศาสนามาแล้ว).. หรือคำว่า.. ขอไม่ให้การใดๆครับ.. 7.คำว่า.. ผมไม่เคยพูดคำนี้,หรือผมไม่เคยพูดประโยคนี้,หรือผมไม่ได้พูดประโยคนี้.. แต่ก็ไม่บอกว่า..แล้วพูดประโยคใดล่ะ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...) โดย: สมจิต IP: 171.96.158.27 วันที่: 28 สิงหาคม 2567 เวลา:2:09:35 น.
9.[ปัญหาในสังคมไทย?(ที่ใครๆก็อาจจะรู้เช่นเดียวกัน?).. ก็คือ ผู้ดูแลสังคม?(บางส่วน)ทั้งในอดีตและปัจจุบัน?,อาจมีส่วนยุ่งเกี่ยว,พัวพันกัน?ในเรื่องบางเรื่อง?แทบทั้งหมด?..เลยหรือไม่?]..
ถามว่า..มีประชาชนคนไหน?ที่คิดหรือเชื่อว่าพี่ชายของบางคน?และน้องสาวของบางคน?จะไม่รู้เรื่องใดๆ?มาก่อนเลย(?),ก่อนที่จะมีข้อสรุปผิดถูก?จากคนในสนง.บางคน?(ที่รู้เรื่องภายใน?)มาก่อนเลย?..หรือไม่?.. ใช่หรือไม่?.. เช่น.. 1.พี่ชายของบางคน?ที่ขออนุญาตไปดูงานกีฬาบางชนิด?ที่ตปท.?ก่อนที่จะมีคำสรุปถูกผิด?ในบางเรื่อง?..นั่นไง?..(หรือไม่?).. ใช่หรือไม่?.. 2.น้องสาวของบางคน?ที่หลอกลูกน้องบางคน?ว่ากำลังจะไปถึงแล้วนะ?(จ้าา..)ก่อนการสรุปผิดถูก?ด้วยเช่นกัน?(นั่นไง?).. แต่กลับไปโผล่อีกทีที่ตปท.?โดยช่องทางธรรมชาติ?.. โดยใครจะเชื่อว่า.. ไม่ได้มีการยินยอม?(หรือตกลงกันมาก่อน?)หรือไม่ก็อาจมีการช่วยเหลือ?จากคนดูแลสังคมในขณะนั้น?(แบบลับ,ลวง,พราง?)แต่อย่างใดเลย?..หรือไม่?..ใช่หรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.96.158.27 วันที่: 28 สิงหาคม 2567 เวลา:11:35:29 น.
11.[ทริคของสังคมไทย..คือ..ขับเคลื่อนทุกสิ่งด้วยพลังเงิน?..(ยอมเสียเงิน?เพื่อเข้าสู่อำนาจ?.. และเมื่อมีอำนาจ?ก็เพื่อไปแสวงหาเงินในทางมิชอบ?มาเพื่อรองรับการที่จะมีอำนาจ?ได้อย่างต่อเนื่องตลอดไป?..ใช่หรือไม่?).. ซึ่งมีคนช่างสังเกตบางคนก็ดันไปแปลคำว่าP.M.ว่า..Primeฯ to Money,และไปแปลคำว่าM.P.ก็คือMoney to Primeฯ..นั่นเอง(?)]..
ซึ่งเราจะสังเกตว่า.. บรรดานักร้อง(เรียน)ทั้งหลาย?(บางส่วนนะ..จำนวนไม่น้อย?)(น่าจะมีมิจฉาทิฐิ?,เห็นแก่ได้เรื่องเงินๆทองๆ?เป็นรากฐานของจิต?).. (ที่)มักจะออกมาโวยวาย,ร้องเรียน?,ทำตัวเสมือนว่า..ตนเองเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ,ประชาชน?อย่างมากมาย(?),ไม่ได้มุ่งหวังผลปย.ส่วนตัวใดๆ?เลย(?)..(ใครที่ไม่ได้เป็นดังที่เราตั้งข้อสังเกต?..ก็ขออภัย?..อย่าเดือดร้อนนะครับ?).. แต่พอสักหน่อย,ก็จะเงียบๆไประยะหนึ่ง(?)..[คาดว่า..เพื่อให้เรื่องที่ตนร้องไป?นั้นซาๆไปจากหน้าสื่อสารมวลชน?ไปเสียก่อน(?).. จึงจะค่อยมาทำท่าร้องเรียนเรื่องใหม่?อีกต่อไป(?)..].. จนมีคนมองว่า.. เพราะอาจได้รับวัตถุ(บางอย่าง)ที่มีน้ำหนักเป็นกิโล?จนอิ่มหนำ,สำราญ?จนพอใจแล้วหรือไม่?,จึงเงียบๆไปในคดีที่ร้องเรียนนั้นๆ?,หรือบางทีก็(แอบ)ไปถอนคำร้องนั้นๆ?แบบเงียบๆไปเสียเลย(?),ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย?..ใช่หรือไม่?(?).. หรืออีกบางกรณี.. จะสังเกตว่า.. มักจะมีอินฟลูเอ๊นซ์?หรือคนดัง?(บางคน?,บางสถานะ?),ที่มักนิยมออกมาพูด(ไว้ก่อนล่วงหน้าสักระยะหนึ่ง?)ทำนองว่า.. วันนั้น,วันนี้,จะออกมาแถลงเรื่องสำคัญนั่น,นี่?.. ก็ทำไมไม่รวบรวมหลักฐาน?ให้แล้วเสร็จสมมูรณ์?เสียก่อน(?),แล้วจึงค่อยออกมาแถลงพร้อมกับแจ้งความ?หรือร้องเรียน?ในวันนั้นๆทีเดียว?,วันเดียวกัน?..ไปเสียเลยล่ะ?(?),โดยไม่ต้องทำเหมือนว่า..จะต้องการตี(หรือตก)ปลาหน้าไซ?เพื่อหวังการติดต่อมาเพื่อเคลียริ่ง?ในบางสิ่ง?เสียก่อน(?)..ใช่หรือไม่?(?).. และที่ผ่านๆมา.จำได้ว่า.. จะมีบางคน?ที่พอถีงวันที่นัดหมาย?,ก็กลับไม่มีงานแถลงต่อสื่อ?ที่ได้นัดหมายไว้ก่อน?ซะอย่างงั้น(?).. และก็ไม่มีสื่อใดๆ?ไปตามถามว่า.. ทำไมจึงยุติการแถลง?นั้นล่ะ?.. ก็เพราะสื่อบางส่วน?ก็เกรงใจคนดัง?ที่ปากจัดและช่างฟ้อง?อยู่ด้วย(?),จึงเหมือนขนมพอผสมกับน้ำยา?,จึงไม่ได้ไปตามจับผิดอะไร?..เช่นนี้เป็นต้น(?).. ซึ่งอาจอนุมานได้หรือไม่?..ว่า.. การที่มาบอกว่าจะแถลงนั่น,นี่?ล่วงหน้าสัก2-3-4วัน?นั้น,ก็เพื่อจะทิ้งช่วงเวลา(?),เพื่อให้มีการติดต่อทางโทรศัพท์?หรือช่องทางอื่นๆ?,ที่มาจากผู้ที่ตนกำลังจะร้องเรียน?[ซึ่งมีการส่งสัญญาณไว้ล่วงหน้าแบบอ้อมๆ?แล้วนั้น(?)..],เพื่อหวังให้เขามาเคลียร์วัตถุที่มีน้ำหนักเป็นกิโลๆ?ให้ก่อนหรือไม่?(?).. ซึ่งถ้าถูกใจ?,พอใจ?หรือโอเคกับวัตถุนั้นๆ?,ก็อาจจะหาวิธีระงับเรื่อง?ที่ตนตั้งใจจะร้องเรียน?ดังกล่าว(?),ไปแบบเนียนๆไปเลย(?)..เช่นนั้นหรือไม่?(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.96.158.27 วันที่: 28 สิงหาคม 2567 เวลา:15:55:22 น.
12.(ข่าวใหญ่)..
ความร้าย(กาจ)?ของนกม.(บางคน).. คือ.. (1)คนที่หนึ่ง?ไม่นิยมควักเงินตัวเอง?จ่าย,เพื่อซื้อใจ?หรือตอบแทนลูกน้อง?เป็นส่วนตัว(?),แต่มักใช้วิธีตอบแทนความภักดีต่อตน?(แบบฉลาดแกมโกง?)ด้วยการให้ผลปย.?เกี่ยวกับการให้ตำแหน่งต่างๆ?,ซึ่งเป็นของส่วนรวม?,หรือเป็นของประเทศชาติ?,เพื่อตอบแทนที่เขามารับใช้?ยอมทำเรื่องที่ผิดๆ?ให้กับท่าน(?)..(ซึ่งบางกระแสจะพูดกันว่า..เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างจัด?หรือขี้เหนียวมาก?..ว่างั้นเถอะ?).. (2)แต่คนที่2นั้น,สังคม(ส่วนมาก,ซึ่งก็ไม่ค่อยกล้าพูดอะไร?ที่เกี่ยวกับตัวท่าน?)ก็ไม่เข้าใจว่า.. ทำไมท่านจึงนิยมคบหา?,คล้ายรักใคร่,ผูกสัมพันธ์ลึกๆ?,กับคนที่1,ที่สังคมมองว่า..น่าจะเป็นDNAที่ใช้ไม่ได้เลย?(?)..[คือแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังสอนว่าคบคนเช่นไร?.ก็(จะ)เป็นคนเช่นนั้น..นั่นไง?.. เช่น.. ถ้าไปคบหาคนเหลี่ยมเยอะ?..ในที่สุดตนเองก็จะกลายเป็นคนเหลี่ยมเยอะ?ไปด้วย..ประมาณนั้นครับ?).. ซึ่งน่าแปลกมาก?.. ที่ใครๆก็นิยมยกย่องว่า..ท่าน(คนที่2)มีประวัติของความเป็นฮีโร่?ในบางสมรภูมิ?ที่รบกับข้าศึกของประเทศ?อย่างแข็งขัน(?).. ซึ่งแม้ดูว่า..ท่านเป็นคนที่กล้า(มาก,ไม่ค่อยกลัวใคร?,ใดๆ,จนแม้แต่สื่อมวลชนยังไม่กล้าที่จะไปตอแย,หรือล้วงลึกอะไรกับท่าน?),และเก่ง(มาก),แต่ก็มีจุดอ่อนที่สังคมเพ่งเล็งว่า.. ทำไมท่านชอบกั๊ก(มากเช่นกัน?),ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ?,ทั้งๆที่เมื่อท่านทราบความไม่ถูกต้อง?,ไม่ชอบมาพากลใดๆ?,ท่านก็ควรรีบเปิดเผยต่อสังคม,สาธารณะ?ในทันที(?)..เลยหรือไม่?,โดยไม่อิดออด?,หรือประวิงเวลา?..ใดๆเลย(?).. จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า(?),ที่ประเทศไทยจะมองหาคนกล้า,และเก่งที่เป็นคนดีจริงๆ(ไม่มีผลปย.ทับซ้อนส่วนตัว?ใดๆเลย?..ได้ยากมาก?).. บางคน(คนที่2)ที่เรากล่าวถึง.. เรายอมรับว่า..(ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานนัก)เราเคยศรัทธาอยากให้ท่านผู้นี้ได้เป็นนายกฯของคนไทยสักครั้งหนึ่ง..ด้วยนะ.. เพราะเห็นว่า..ท่านเป็นคนที่กล้าชนกับสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้องในวงการการเมืองและวงการราชการเสมอมา..(ซึ่งจะหาคนที่กล้าเหมือนท่าน..ได้น้อยมากๆ).. และเรายังเคยเขียนคอมเม้นท์เชียรท่านในบางแพล็ตฟอร์ม(แถวๆสำนักสีกรักคลองกุ่ม)ที่เมื่อเลือกตั้งครั้งที่แล้ว,ลูกศิษย์ของสำนักนี้,พากันเชียร์คุณป1อย่างหัวปักหัวปำ?(แต่เราค้าน),จนเราถูกบล็อคคอมเม้นท์ไปหลายครั้งด้วยนะ.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.96.158.27 วันที่: 29 สิงหาคม 2567 เวลา:19:50:41 น.
13.(ลองคิดดูเล่นๆ,เพื่อฝึกสมอง?,หรือลับสมองประลองเชาว์?กันดู?..ดีมั้ยครับ?)..
เป็นไปได้มั้ย?..ว่า..คนบางคน?เป็นคนที่ใครๆก็มองว่าเป็นคนที่แค้นฝังหุ่น?,หรือแค้นฝังใจ?,หรือ20ปีแก้แค้นไม่สาย?,หรือถ้าฉันไม่มีความสุข,ก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุข?,และ/หรือเขาอาจกำลังยึดตามสำนวนไทยที่ว่าหมูไม่กลัวน้ำร้อน?(ไปซะแล้ว?)..ก็เป็นได้?..หรือไม่?.. ซึ่งเขาอาจมาเชิงสูง?(เราลองคิดเล่นๆ,ลับคมสมองนะ?).. คือ.. อาจต้องการยืมหูและยืมปาก?ของคนคนหนึ่ง?(โดยทำทีเป็นหลุดคำพูดบางอย่าง?),เพื่อคาดว่า..ในที่สุด..วันใดวันหนึ่ง.. คนบางคนนี้?น่าจะต้องเอาไปพูดต่อ(?).. ว่า..มีบางคน?(ที่ชั้น18)ขอร้องให้ถอนฟ้องบางเรื่อง?ให้ก่อน(?),แล้วเขา(ที่อยู่ชั้น18)จะไปเล่นกรีฑาวิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง?ที่สนง.ที่มีหน้าที่ตรวจความผิด?เสียเอง(?).. เพราะแต่เก่ามา.. สนง.ดังกล่าว?ก็เคยเล่นเขามาหลายคดีความ?,ก็อย่ากระนั้นเลย,ก็เล่นสนง.ดังกล่าว?คืนบ้าง(?).. คือยืมหูและปาก?ของคนคนหนึ่ง?เพื่อการแก้แค้น?ให้ไปกระจายให้มวลชนและสาธารณะ?ได้รับรู้ร่วมกัน?,ทำนองว่า..บางสนง.ที่ตรวจสอบความผิด?นี่ไม่ได้น่าเชื่อถือ?..หรอกนะ(?),เพราะสามารถไปเล่นกรีฑาวิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง?ได้เสมอ(?)..ประมาณนั้น?..หรือไม่?.. คือคล้ายว่า.. เท่ากับต้องการดี๊สเครดิต?ต่อบางสนง.?,และพร้อมกันนั้น,ยังชอบใช้กระสุนนัดเดียวได้นก2ตัว?( =คิดแบบนักธุรกิจ?,หรือพ่อค้า?,ที่ต้องให้ได้กำไรให้มากที่สุด?..นั่นล่ะ?).. คือในเวลาเดียวกัน?,ยังได้ดี๊สเครดิต?ต่อผู้ที่สังคมเชิดชู?ว่า..เป็นวีรบุรุษบางสมรภูมิ?ให้พลอยหมดอนาคต?หรือเสียเครดิตทางการเมือง?[คือเป็นผู้ยอมทำตามการขอร้องบางเรื่องที่ดูเทาๆ?กับบางคน?,เพราะเพียงแค่เห็นว่าสนิทสนมกัน?,ทั้งๆที่เคยแสดงตัวว่า..เป็นคนที่ทำเพื่อบ้านเมือง?,แบบข้าราชการตงฉิน?,มาตลอดชีวิต?,แต่อาจไม่จริงตามที่เคยโฆษณาตนเองต่อสังคม?มาหลายครั้งมาก(?)..มาก่อน(?)..นั่นไง?]พร้อมๆกันไปในคราวเดียวกัน?..นั้นอีกด้วย(?).. นี่เราแค่คิดเล่นๆ..คิดขำๆ?เพื่อลองตามความนึกคิด?ของคนบางคน?เท่านั้นนะ?.. เพราะต้องยอมรับว่าคนบางคน?(ที่เคยมีอาชีพนกม.?ในอดีตมาก่อน)นั้น,สังคมไทยจะจับทางความคิดของเขา?ได้ยากเหลือเกิน(?).. คาดว่า..เขาอาจชอบอ่านและจดจำ?เรื่องตำนานศรีธนญชัย?และตำนาน3ก๊ก?มาอย่างช่ำชองเหลือเกิน(?)..ก็เป็นได้นะ(?)..จึงทำให้เขาเป็นคนที่มีกลเม็ดที่แพรวพราว?จนไม่มีใครตามทันได้มากขนาดนี้(?)..ใช่หรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 171.96.158.27 วันที่: 29 สิงหาคม 2567 เวลา:21:56:47 น.
10.(ต่อจากข้อ9นะ)..
(โอ้ละหนอ?..ดวงเดือนเอย?).. สังคมไทยนี่ประหลาดมาก(?).. ในภาคศาสนา.. ก็มีกรณีเอาเด็ก8-9ขวบบางคนมายึดถือเป็นสรณะ?,เป็นดุจที่พึ่งทางใจ?(สอนพุทธธรรมแบบผิดๆถูกๆ?,ตามจินตนาการส่วนตัว?ของตนเอง,จับแพะชนแกะไปเรื่อยๆ?),โดยปชช.ส่วนหนึ่งก็จัดการวิพากษ์วิจารณ์กันทางโลกโซเชี่ยล?เป็นหลักเท่านั้น(?).. ดูจะไม่ค่อยเดือดร้อนกับความไม่ถูกต้อง?ในเรื่องพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันหลักของประเทศ?กันเท่าใดนัก(?).. ส่วนในภาคการเมือง.. ก็ไม่ต่างกัน(?)..(ที่สมัยก่อน,ก็จะนิยมพูดคำพังเพยที่ว่าคบเด็กสร้างบ้าน...?นั่นน่ะ?).. ที่สมัยหนึ่ง,ที่ยังไม่เคยมีผู้ดูแลสังคมที่เป็นญ.?,ก็พยายามจะโปรปากันด้า?,โปรโมต?ให้กับบางท่านในมุมที่มองแค่รูปธรรมภายนอก?ว่าเป็นญ.คนแรกนะ?(นี่แหละ..เราว่า..สังคมไทยดูนิยายละครแบบดรามาติก?กันมากเกินไปนะ(?)..แล้วผลสุดท้าย..สังคมโดยรวม?ได้อะไรขึ้นมาบ้าง?).. พอมาอีกสมัย.. ก็ฉวยเอารูปธรรม?ของผู้ดูแลสังคมอีกบางท่าน?ขึ้นมาเชิดชูว่า.. นี่เป็นญ.ที่มีอายุน้อยที่สุด(อีก)นะ?..อีกเช่นเดิมอีกแล้ว(?)(สื่อมวลชนบางส่วน?ไม่มีคอนเท้นต์อะไร?จะเล่น?..แล้วหรือไง?).. เราไม่เข้าใจว่า.. เมื่อไหร่?สังคมไทยจะยุติเรื่องการใช้รูปธรรมภายนอกนั่น,นี่,นู่น?มาเป็นดรามาติก,จิตวิทยา?เพื่อสร้างการยอมรับ?การเข้ามาทำหน้าที่บางอย่างของบางท่าน(?),ซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติที่สำคัญ?ในการดูแลสังคม?(แต่อย่างใด?)กันเสียที(?).. ซึ่งเรามองว่า..ก็อาจมีบริบทที่ไม่ต่างกัน?จากกรณีของเชื่อมกล้วยการละคร?..ละกระมัง?.. ขออภัย..ที่เรารู้สึกเป็นห่วงสังคมไทยนะ?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...)... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 8 กันยายน 2567 เวลา:20:54:57 น.
14.เราได้ฟังช่องยูทู้ปของไดเร็คเตอร์ ศิลปะชัย,6-9-67แล้ว.. มีข้อเสริมเพิ่มเติมดังนี้ครับ...
โดยหลักทางกฎหมายไทยแล้ว,เท่าที่ทราบคือ..ผู้ที่มีอายุครบ20ปีขึ้นไปย่อมถูกคุ้มครองโดยหลักกฎหมายของประเทศ,และหลักสิทธิมนุษยชนสากล,และไม่อยู่ภายใต้อาณัติ,สิทธิ์ขาด,หรือการครอบครองของบุคคลใด?ทั้งสิ้น,แม้แต่พ่อแม่ของตนเองด้วยก็ตาม.. เว้นแต่เป็นการสมยอมให้พ่อแม่ครอบครองโดยความยินยอมของตนเอง..เท่านั้นครับ.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...)... โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 9 กันยายน 2567 เวลา:1:32:02 น.
15.เราได้ดูคลิปยูทู้ปช่องไบ๊รท์ทีวี,9-9-67ตอนจตุพรเผย นักร้องเปิดศึกฯแล้ว.. รู้สึกประทับใจกับแนวคิดของคุณจตุพรในช่วงหลังๆนี้มาก.. รู้สึกว่าจะมีคำพูดหลายคำ,หลายประโยคที่แหลมคมที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน.. เช่น..
(1)คนบางคนมีวันกล้าและวันกลัว วันกล้าก็บ้าบิ่น วันกลัวก็หัวหด.. (2)จึงต้องพลิกแพลงวิธีโจรมาใช้กับโจร..(ด้วย)เหมือนกัน.. (3)การให้โอกาสคนไม่ดีแค่วินาทีเดียว ก็จะเกิดความเสียหาย ดังนั้น ปชช.ต้องเปลี่ยนหลักคิด อะไรที่ผิดกฎหมาย,ผิดจริยธรรม,หรือการตระบัดสัตย์ ต้องไม่ให้โอกาสอย่างเด็ดขาด.. (4)ในทางการเมือง การประกาศถอย,หรือประกาศรบ มันเป็นคำ(ความหมาย)เดียวกันนะ.. (5)(คำว่า)ไม่พร้อมจะเช็คบิลใคร ซึ่งวันหนึ่งถ้าพร้อม,อาจจะเช็คบิล(กับใคร?)ก็ได้นะ..[ซึ่งทางสำนักสีกรักคลองกุ่มก็มักจะนิยมพูดคำว่าเสียง(ที่)สองแทนคำพูดที่ซ่อนอยู่ภายในกับเสียงที่หนึ่งนั้นเอง.. คือคำว่าไม่พร้อมจะเช็คบิลใครนั่นคือเสียงที่หนึ่ง,แต่เสียงสองที่ซ่อนอยู่ในใจก็คือ..แต่ถ้าวันไหนเกิดพร้อมขึ้นมา,ก็อาจจะเช็คบิลกับใครก็ได้นะ..ประมาณนี้ครับ.. คนที่ฝึกปฏิบัติธรรมแบบอ่านจิตตนเองเป็น(ของสำนักนี้)..มักจะสามารถอ่านเสียงสองจากคำพูดของคนอื่นได้ไปในตัวด้วยครับ].. ปล.. ต้องยอมรับว่าคุณจตุพร(ซึ่งเรื่องในอดีตขออนุญาตไม่พูดถึง,และอนาคตก็ยังไม่รู้) ณ วันนี้.. ท่านเป็นผู้ที่ใช้ศัพท์แสง,ภาษา,คำพูดที่นุ่มนวล,สละสลวย,ถูกต้อง,ทั้งสำเนียงและอักขระมากกว่าพิธีกรในช่องต่างๆ,หลายๆช่อง,ในทีวีสาธารณะเสียอีก.. ท่านสามารถใช้,เรียบเรียงคำพูดต่างๆ,ที่แสดงความสันทัด(รู้หลักการใช้ภาษาไทย)ได้อย่างดีเด่นมาก,น่าชื่นชมมากเลยทีเดียวครับ.. และยังแทบจะเป็นบุคคลเดียวที่พูดเรื่องราวโดยการตอบคำถามกับพิธีกรได้อย่างต่อเนื่อง,ไหลลื่น,ลงตัว,โดยไม่ต้องมีสคริปติดตัว,ไว้คอยลำดับเรื่องราว,ตามสคริปที่เตรียมมาแต่อย่างใดเลย..(ฝากใครก็ได้ช่วยสื่อสารข้อความเราเพื่อให้กำลังใจถึงคุณจตุพรด้วยครับ.. เพราะเราไม่ได้เล่นโซเชี่ยลในแพล็ตฟอร์มอื่นๆเลยครับ).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 9 กันยายน 2567 เวลา:17:06:36 น.
16.(ความเห็นของเรา)..
มันไม่ผิดหรอกที่ถ้าบางท่านจะอ้างว่า.. เพียงเพราะอยากเห็นความยุติธรรมในครั้งกระนั้น,เมื่อ6ตค.19,จึงหนีเข้าป่า,จับปืน,ต่อสู้กับอำนาจรัฐด้วยเพราะไม่มีทางเลือก,เพราะอำนาจรัฐในช่วงนั้นก็ถูกมองจากบางฝ่ายหรือบางกลุ่มในสังคมว่า..ก็ไม่สู้จะมีความเป็นธรรม?เท่าใดนัก(?).. แต่ประเด็นสำคัญที่สังคมพากันรุมต่อต้านบางท่านนั้น,ก็เนื่องมาจากว่า.. เขาพากันไม่เข้าใจว่า..อุดมการณ์ของกลุ่มที่เคยหนีเข้าป่าในสมัยนั้น,ดูจะมีเจตนาที่บริสุทธิ์,ที่ต้องการต่อสู้ทางอุดมการณ์ด้วยเจตนาที่ต้องการความเป็นธรรมอย่างบริสุทธิ์ใจกันเป็นส่วนมาก.. แต่อยากบอกว่า.. ประชาชนบางส่วนก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่า.. ทำไมคนที่เคยมีอุดมการณ์ที่บริสุทธิ์ใจในสมัยหนึ่ง.. แต่ไฉนเมื่อได้รับการต้อนรับให้กลับเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยด้วยนโยบาย66/23(ของป๋าป.),แล้วไฉนต่อมาภายหลังท่านบางคน?(ซึ่งมีหลายคน?)กลับไปยอมรับ,สวามิภักดิ์กับระบบทุนนิยมสามานย์?ที่เต็มไปด้วยการรวมกลุ่มของพวกที่มีค่านิยมความคิด?ที่มุ่งเข้ามาเล่นการเมือง?ด้วยจุดประสงค์ที่หวังเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน?และคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย?(ที่แทบไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติกันเลย?)อย่างที่ทุกท่านก็รู้ๆเห็นๆกันอยู่ในราว20กว่าปีที่ผ่านมา,อย่างกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ,เหมือนว่าพวกท่านบางคน?ไม่เคยเป็นคนที่เคยแสวงหาการทำเพื่ออุดมการณ์?เพื่อความถูกต้องชอบธรรม?มาก่อนกันเลย?..ด้วยเล่า?.. นั่นต่างหากที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่ข้องใจในตัวท่านบางคน?.. จึงอยากขอถามว่า.. ท่านจะตอบข้อข้องใจเหล่านี้ได้อย่างไร?.. หรืออาจเพราะว่า..ท่านบางคน?น่าจะเป็นผู้ไม่ได้นับถือหลักศาสนาใดๆเลย?อย่างนั้นหรือเปล่า?.. เพราะว่าโดยเฉพาะหลักศาสนาพุทธซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นับถือ,ศรัทธานั้นก็สอนชัดๆว่า..ต้องไม่คบคนพาล,ให้คบแต่บัณฑิต(ทางธรรม),และในหลักอบายมุข6ข้อที่5ก็ยังเสริมด้วยว่าไม่ให้คบคนชั่วเป็นมิตรนั่นอีกไม่ใช่หรือ?..และยังถูกกำกับด้วยคำสอนที่ว่า..คบคนเช่นไร..ก็เป็นคนเช่นนั้น,และคนโกหก..ไม่ทำชั่ว(เป็น)ไม่มี..นั่นอีกด้วย(?).. หรือว่าพวกท่านบางคนอาจเข้าข่ายที่ตรงกับสำนวน,คำพังเพยไทยที่ว่าแก่เกินแกงและไม้อ่อนดัดง่าย,ไม้แก่ดัดยากไปเสียแล้วหรือกระมัง?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 10 กันยายน 2567 เวลา:1:15:56 น.
17.(ข้อสังเกต)..
(1)การที่สังคมใด?ก็ตาม,จะยินยอมให้มีบ่อนการพนันที่ถูกกฎหมาย?.. ย่อมแปลว่า..สังคมนั้น?ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า.. แสดงว่า..ผู้ที่ขับเคลื่อนเรื่องบ่อนการพนันถูกกฎหมาย?นั้นน่าจะไม่ใช่ชาวพุทธแท้?.. เพราะชนชาวพุทธแท้ย่อมต้องมีหลักการที่ชัดเจนตามแนวทางของพุทธเรื่องอบายมุข6.. คือต้องไม่สนับสนุนหรือข้องแวะ,ยุ่งเกี่ยวเรื่องการพนันหรือเรื่องบ่อนการพนันโดยเด็ดขาด(?)..ครับ(?).. (2)การตระบัดสัตย์ตอนหาเสียง?โดยอ้างว่า.. เป็นแค่เทคนิคการหาเสียง?เท่านั้น(?),ซึ่งประชาชนไม่เคยลืม(อ้างแบบนี้..คือ..ทำยังกับว่า..สังคมไทยเต็มไปด้วยมนุษย์กินหญ้า?อย่างนั้นแหละ?),แม้จะเป็นสิ่งที่วิญญูชนรับไม่ได้?ก็ตาม.. แต่สิ่งที่วิญญูชนรับไม่ได้ยิ่งกว่า?ก็คือ.. คนบางคน,บางท่าน?ที่เคยแสดงออกในที่สาธารณะในความรู้สึกต่อบางคน,บางท่าน?,ประมาณว่า..(ศรศิลป์ไม่กินกัน)อย่าพูดชื่อบางชื่อให้ได้ยินอีกนะ,แต่ภายหลังก็ไปเดินเกมส์แบบเนียนๆ?(ซึ่งมีข่าวลือจากบางฝ่าย?ว่ามีดีล?),โดยคล้ายมีการส่งสัญญาณ?ให้สมัครพรรคพวก?ไปโหวตให้กับพวกกลุ่มที่ศรศิลป์ไม่กินกัน?นั้น,และยังให้ลูกทีมทางการเมืองของกลุ่มตน?ไปเข้าร่วมงาน,ร่วมเป็นทีมเวิ้ร์คกับพวกกลุ่มนั้น?ด้วยเสียอีก(?)(โดยอ้างเหตุผลสารพัด?,โดยไม่แคร์ต่อความรู้สึกของปชช.?สักนิดเลย?)นั้น,นับว่าเป็นการตระบัดความรู้สึกของตัวเอง?อย่างที่น่าตำหนิ?,และไม่น่าให้อภัย?เป็นที่สุด(?)..นะครับ(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 10 กันยายน 2567 เวลา:13:51:08 น.
18.(ข้อสรุปของเรา)..
หลักกรรม(ของพุทธ)เท่ากับหลักการกระทำ(ของวิทยาศาสตร์)ซึ่งเป็นหลักของเหตุและผลเช่นเดียวกัน.. แต่หลักการกระทำของวิทยาศาสตร์เน้นเฉพาะรูปธรรม,หรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุ,แท่งก้อนหรือหลักพลังงาน,ซึ่งสามารถพิสูจน์คำนวณสิ่งที่เข้า=สิ่งที่ออกได้อย่างชัดเจน(สามารถพิสูจน์ตามได้).. แต่หลักกรรมของพุทธนั้น..จะเน้นไปในเรื่องนามธรรมที่เชื่อมสัมพันธ์มายังรูปธรรมของความเป็นชีวะของสัตว์โลกต่างๆ(โดยเฉพาะจะเน้นที่มนุษย์เป็นหลักใหญ่),ซึ่งมักจะอิงกับหลักธรรมชาติ(หรือกฎธรรมชาติ),แต่กลับไม่สามารถพิสูจน์แบบ1+1=2ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้(?).. ซึ่งบางครั้ง(หรือหลายๆครั้ง).. หลักพุทธก็คล้ายจะปัดเรื่องที่อธิบายได้ยาก.. ว่า..เป็นเรื่องของกรรมที่ตนเองได้กระทำมาแต่ชาติปางก่อน?เพื่อให้เกิดการยอมรับ,ปลงใจ,แล้วลดความทุกข์ลงไปได้บ้างเท่านั้น(?).. แต่ที่สุด..ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า.. ทำไมกฎธรรมชาติที่ทางพุทธต้องอ้างอิงถึง(เพื่อเชื่อมกับเรื่องกรรม?)ต่างๆนั้น.. แต่ทำไมจึงไม่มีความเป็นธรรม?ตามเซ้นซ์ของมนุษย์?แต่อย่างใดเลย(?).. เช่น.. ทำไมสัตว์กินสัตว์จึงต้องเบียดเบียน,ทำร้ายสัตว์กินพืชอื่นๆ(เพื่อเป็นอาหารของตน)ได้อยู่ฝ่ายเดียวจนตลอดชีวิต?..เช่นนั้นด้วย?..เป็นต้น(?).. หรือทำไมสัตว์กินพืชต้องเป็นฝ่ายแบกรับความทุกข์ทรมาน?จากสัตว์กินสัตว์ที่มาเบียดเบียนตนได้อยู่เสมอ?,จนตลอดชีวิต?..อยู่แต่ถ่ายเดียว?,โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นบริบทอื่น?ที่ตีตื้นขึ้นมาได้บ้าง?ใดๆได้เลย?..อะไรปานนั้น?.. จะมีกรรมเก่าอะไร?ที่หนักหนาของสัตว์กินพืชแต่ละตัว?มากมายได้ปานฉะนั้นเชียวหรือ?.. หรือทำไมคนที่มีเงินมาก?(บางคน)จึงอาศัยอำนาจเงิน?(แล้วจ้างทนายแบบเป็นทีม?)เพื่อหลีกเลี่ยงกรรม?ที่ตนเองทำบาป?(เอาเปรียบมนุษย์คนอื่น)ได้จนตลอดชีวิต(?),กระทั่งถึงวาระที่ตนเองเสียชีวิตตามอายุขัย?ไปเลย(?)..ก็ยังมี(?).. ซึ่งดูแล้วมันช่างหาความเป็นธรรม?(ในสังคมโลกเบี้ยวๆใบนี้?)ตามกฎแห่งกรรม?ที่ทางพุทธสอน?(หรือมักอ้างถึง?)ให้เห็นเป็นประจักษ์ได้ยากเหลือเกิน(?).. ใช่หรือไม่?.. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:0:31:23 น.
19.(ความนึกคิดของเรา)..
(1)เราอยากบอก(ส่วนตัว)ว่า..สื่อมวลชน(บางส่วน)ไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง?(แบบเถรตรง?,หรือพลิกแพลงแบบศรีธนญชัย?)ก็ได้(?).. คือมักไปคิดว่าจะต้องนำเสนอให้เนื้อหาเป็นคุณ?ทั้งฝ่ายลบ?และฝ่ายบวก?ให้เท่าๆกันหรอก?.. เหมือนสมมุติว่า.. เวลาที่เราเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าโจรกำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่(ก็ต้องสนับสนุนฝ่ายเจ้าหน้าที่..ใช่หรือไม่?).. ซึ่งไม่ใช่ว่า..จะต้องไปยื่นดาบ,ยื่นอาวุธ?ให้กับทั้ง2ฝ่าย?ให้เท่าๆกัน(?),เพื่อให้ต่อสู้กันอย่างยุติธรรม?(แบบเถรตรง?)ปานฉะนั้น(?).. ซึ่งอย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าจรรยาบรรณในการทำสื่อ?,แต่น่าจะเรียกว่าเป็นปัญญาที่ไม่ถ้วนถี่?,ไม่เต็มร้อย?มากกว่าละกระมัง?.. [เพราะแม้แต่ในหลวงร.9,(ที่ทุกฝ่ายบอกว่าตนจงรักภักดีอยู่เสมอ).. พระองค์ท่านก็ยังเคยทรงตรัสเตือน,โดยสรุปความประมาณว่า.. สังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี,แต่ต้องสนับสนุนคนดีให้ได้ปกครองบ้านเมือง,และต้องควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ.. สรุปได้ประมาณนี้.. นั่นไง?.. แล้วขอถามว่าพิธีกรสื่อบางส่วน?ที่ชอบไปสวามิภักดิ์,ยอมจำนนกับกลุ่มทุน?ได้ประสบกับภาวะความจำไม่ยาว?ไปแล้วหรือ?].. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:10:55:50 น.
(2)ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของรัชกาลที9เรื่องการส่งเสริมคนดี.. ดังนี้ครับ..
..."ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"... (พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512) (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:11:04:33 น.
(3)เรามองว่า.. ขณะนี้สังคมเรากำลังไขว้เขวในจุดยืนของตัวเอง.. ขอให้จับตาดูการแปรสี?ของสื่อบางสื่อ,บางค่าย?[เช่น.. จากสีซึ่งลัทธิเชื่อมกล้วยเคยอ้างว่า..พระพุทธเจ้าไม่ชอบสีนั้น?,ก็ยังเริ่มเห็นมีร่องรอยโทนสีชาด?แซมขึ้นมาหรอมแหรมเรื่อยๆ?..
ซึ่งแม้แต่พิธีกรสื่อ?(บางคน)ที่อยู่ในค่ายนั้น?ก็อาจยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป,ว่า..ตนเองกำลังปรับเปลี่ยนสี?(ตามฉากหลัง?ที่หนุนอยู่?)อยู่นั่นเลย?],ซึ่งดูคล้ายว่า..กำลังมีการปรับ,แปลง,เปลี่ยนจุดยืน?ของพิธีกรเล่าข่าว,วิเคราะห์ข่าว?(บางคน,บางท่าน)มาโดยตลอด(?),หลายครั้งหลายหนแล้ว(?)..(หรือไม่?).. จนกระทั่งผู้ที่เคยร่วมทำสื่อคนสำคัญ?กับคณะพิธีกร?(บางส่วน)ของบางค่ายนี้?ถึงขนาดต้องแยกทางกัน(?),และหลังจากนั้น,ยังมีการกล่าวถึงภูเขาลูกหนึ่ง(ที่สนิทสนมกับกลุ่มผู้ดูแลสังคม?),ที่เริ่มเข้ามามีผลกับทิศทางข่าว?ของช่องดังกล่าว?,เพื่อจะไม่(ให้)มีภาพของการไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อผู้ที่ผู้นั้นไปสนับสนุน?ให้มากนัก(?)..หรือไม่?..(ใช่หรือไม่?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:11:34:40 น.
(4)และคล้ายช่วงหลังๆ.. จะเริ่มมีการตั้งคำถามเนียนๆ?ในเชิงอ้างว่า..ขออนุญาตถามแย้ง,นั่น,นี่?,หรือพูดด้วยคำถามเชิงประนีประนอม?,ทำนองว่า.. ถ้าคุณเป็นเขา,คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?..
[เหมือนว่า..แทนที่จะให้เขาได้พูดมุมต่อต้าน?ตามทัศนะและประสงค์ส่วนตัว?ของแขกรับเชิญนั้นๆ(?).. ก็กลับพยายามสร้างทางเบี่ยงเฉพาะกิจ?,โดยสร้างคำถาม?แบบพยายามให้แขกรับเชิญไปช่วยคิดวิธีหลบหลีกปัญหา?(ที่กำลังถูกโจมตี?)ให้กับอีกฝ่าย?,ที่แขกรับเชิญก็กำลังขับเคี่ยวกันกับเขาอยู่?ในทางคุณธรรมหรือจริยธรรม..ซะอย่างงั้นแหละ?].. หรือพิธีกรบางคน?มักจะพูด(เชิงประนีประนอม?)ประมาณว่า.. จะมีคำแนะนำแก่อีกฝ่ายนั้นอย่างไร?.. เพื่อให้ผ่านพ้นปัญหาได้?.. ประมาณนี้(?)..(คล้ายๆว่า..จะพยายามเกลี้ยกล่อม,โน้มใจ?ให้ศัตรูมาเป็นมิตร?,เพื่อหวังผลลัพธ์บางอย่างทางการเมือง?ให้ได้?..อย่างนั้นแหละ?..ประมาณนั้นแหละ?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:12:01:57 น.
(5)ซึ่งพิธีกรบางกลุ่มเหล่านี้?คงลืมที่เคยเรียนเรื่องอบายมุข6,ข้อที่5?(สมัยชั้นมัธยมศึกษามาแล้ว),ที่ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน?ในความเป็นชาวพุทธแท้?ที่ว่า..ต้องไม่คบคนชั่วเป็นมิตร?..นั่นไง?..ไปแล้ว?..(หรือไม่?)..
และยิ่งไม่ควรตั้งคำถาม?ต่อผู้ที่ออกมาต่อต้านกลุ่มผู้ดูแลสังคม?ในเชิง,ลีลาที่จะพยายามถามนำเพื่อจะให้โอกาส?กับDNAโกง?ได้ทำงานก่อนสักระยะ?..(ตามลีลารีบๆขุดหาวัตถุเป็นกิโลๆ?,หรือค่าส่วนต่าง?,หรือค่าคอมฯ?,หรือค่าสัญญา(ดีลล่วงหน้า?)นู่น,นี่สารพัด?ให้ลุล่วงโดยเร็วที่สุด(?)(เพราะอาจมองว่าอนาคตทางการเมืองไม่แน่นอน?),แล้วค่อยหาทางเผ่น?(ถ้ามีปชช.เริ่มรู้ทัน?),ที่คนฉลาดแกม...?มักสามารถหาช่องว่างทางกฎหมาย?ได้อยู่เสมอ?.. ซึ่งจริงๆนั้น..ก็ไม่ควรให้โอกาสก่อน?กับเรื่องที่ดูว่าน่าจะเกิดผลเสียหาย?แก่บ้านเมือง,สังคม?ตามสำนึกปกติของวิญญูชน,คนมีหลักศาสนา,แม้จะแค่วินาทีเดียวก็ไม่ควร?(ดังที่คุณจตุพรได้พูดไว้อย่างน่าคิดนั้นด้วย?).. [หรือว่า..สื่อบางส่วน?อาจคิดว่า..ปชช.พากันกินหญ้า?,แล้วจะอ่านอาการเปลี่ยนสี?ของพิธีกรสื่อบางส่วน?ไม่ออก(?)..กระมังนะ(?)..เพราะเท่าที่เราลองอ่านคอมเม้นท์ต่างๆ?ทางโซเชี่ยล.. เราดูว่าประชาชนส่วนมาก(ที่มาคอมเม้นท์),เขาต่างพากันฉลาดรู้เท่าทัน?ทั้งมุมของนักการเมือง?และมุมของพิธีกรสื่อบางส่วน?กันเกือบหมดแล้วจ้าา..].. เพราะปชช.เขาจะคอยตามสังเกตว่า..พิธีกรสื่อบางส่วน?จะเริ่มมีวีธีการเปลี่ยนท่าที?,จุดยืน?อย่างไร?,เพื่อจะค่อยๆปรับไปตามแนวคิด?หรือทิศทางทางการเมือง?ของผู้ที่สนับสนุนช่องสื่อ?,หรือมีหุ้นส่วนสำคัญ?อยู่ในค่ายสื่อบางสื่อเหล่านั้น?ว่าท่านผู้นั้นๆ?อยู่ทางฝ่ายการเมือง?ทิศไหน?..ก็จะเริ่มปรับไปตาม(?).. อยู่นะ(?)..เราว่า(?).. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:13:06:29 น.
20.(เราชอบปกป้องคนที่ทำเพื่อสังคมส่วนรวมนะครับ)..
(1)เรามองว่า.. ขณะนี้.. เริ่มมีพิธีกรสื่อบางส่วน?ของบางค่าย?(ซึ่งเคยมีอดีตผู้ดูแลสังคมบางท่าน?อุตส่าห์มาช่วยเกาหลังให้?,โดยโปรโมตให้เชิงๆคล้ายๆว่าเป๊บซ่านี้..ดีที่สุด?..ประมาณนั้น?..นั่นไง?).. แต่ระยะหลังๆ.. ดูแล้วชักอึดอัดว่า..จุดยืนของบางช่องนี้?..อยู่ที่ไหน?..(ตอนที่ช่องนี้ทำเนื้อหาข่าวเรื่องสำนักจานบิน?เมื่อหลายๆปีก่อน..นั่นน่ะ.. เราชอบดูมากๆเลยนะ.. เราว่าเขาทำเนื้อหาได้ดีนะในขณะนั้น..เราว่านะ).. ว่า.. ทำไมจึงพยายามมาตั้งคำถามเพื่อจุดประเด็น?ต่อคุณจตุพร.. ประมาณว่า.. อ้างว่ามีคนสงสัยว่า..มีรายได้จากอะไร?.. จึงมาออกรายการเพื่อต่อต้านอดีตนกม.คนดังบางคน?ได้อย่างยาวนานขนาดนี้?.. มีสปอนเซ่อร์จากไหน?หรือเปล่า?.. ความหมายทำนองนี้?.. ซึ่งถ้าคุณจตุพรตอบได้ไม่ดีนัก.. ก็จะทำให้เสียเครดิต?ไปเลยก็เป็นได้?..[หรืออาจเล็งผลว่า เมื่อสื่อค่ายตน?ได้จุดประเด็นเหล่านี้?ขึ้นมา.. ก็อาจมีนักร้องเรียน,นักสืบเสาะ?(บางคน,บางท่าน)มาช่วยรับไม่ต่อ?เพื่อไปดำเนินเรื่องต่อ(?)..เช่นนั้นหรือไม่?.. ใช่หรือไม่?].. (...ด้วยความเคารพทุกๆท่านครับ...).. โดย: สมจิต IP: 27.145.113.117 วันที่: 11 กันยายน 2567 เวลา:14:25:49 น.
|
บทความทั้งหมด
|