39.2 พระสูตรหลักถัดไป คือสิวสูตร [พระสูตรที่ 102] การสนทนาธรรมนี้ต่อเนื่องมาจาก 39.1 พระสูตรหลักถัดไป คือสิวสูตร [พระสูตรที่ 102] //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=08-07-2014&group=4&gblog=54 ความคิดเห็นที่ 12 ความคิดเห็นที่ 13 ฐานาฐานะ, 7 กรกฎาคม 2557 เวลา 10:49 น. GravityOfLove, 22 วินาทีที่แล้ว กรุณาอธิบายค่ะ ๑๐๔. เสรีสูตร //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1837&Z=1903&bgc=honeydew&pagebreak=0 เสรีเทพบุตรทูลเล่าเรื่องในอดีตของตนทำไมคะ อธิบายว่า สันนิษฐานว่า เสรีเทพบุตรทูลเล่าเรื่องของตน 1. น่าจะเป็นอัธยาศัยอย่างนั้น 2. เพื่อยืนยันพระพุทธดำรัสว่า จริงแท้ โดยมีกรณีของตนเป็นอุทาหรณ์. ความคิดเห็นที่ 14 GravityOfLove, 7 กรกฎาคม 2557 เวลา 10:54 น. เข้าใจแล้วค่ะ ขอบพระคุณค่ะ ความคิดเห็นที่ 15 GravityOfLove, 7 กรกฎาคม 2557 เวลา 10:57 น. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวปุตตสังยุต นานาติตถิยวรรคที่ ๓ . ๑๐๔. เสรีสูตร ว่าด้วยเสรีเทพบุตร //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1837&Z=1903&bgc=honeydew&pagebreak=0 เสรีเทพบุตร กล่าวคาถาทูลถวายพระผู้มีพระภาคว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหารด้วยกันทั้งนั้น (พอใจวิบากของการให้ทานในกาลก่อน เช่นได้อาหาร ด้วยการให้ทาน) ผู้ที่ไม่พอใจอาหารชื่อว่ายักษ์โดยแท้ (คือผู้ตระหนี่) พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบเสรีเทพบุตร ด้วยพระคาถาว่า . ชนเหล่าใดมีใจผ่องใส ให้อาหารด้วยศรัทธา . ย่อมมีวิบากเป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า . ดังนั้นควรเปลื้องความเหนียวแน่น ครอบงำมลทิน (ความตระหนี่) ของใจ . พึงให้ทาน เพราะบุญเท่านั้นย่อมเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า เสรีเทพบุตรทูลว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสนั้น น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา และแจ่มแจ้ง เสรีเทพบุตรทูลเล่าเรื่องในอดีตชาติของตนว่า ตนเคยได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีนามว่าเสรี เป็นทายก (ผู้ให้ทาน) เป็นทานบดี (เป็นนายของทาน คือผู้ที่ให้ทานด้วยของประณีตกว่าของที่ตนบริโภคเอง) เป็นผู้กล่าวชมการให้ทาน ตนได้ให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจก ทั้งหลายที่ประตูทั้ง ๔ ต่อมา พวกฝ่ายใน พวกกษัตริย์พระราชวงศ์ พวกพลกาย (ข้าราชการฝ่ายทหาร) และพวกพราหมณ์คฤหบดี (ข้าราชการฝ่ายพลเรือน) พากันเข้าไปหาตนแล้วพูดปรารภขึ้นว่า พระองค์ทรงให้ทาน แต่พวกหม่อมฉันไม่ได้ให้ทานเลย เป็นการชอบที่พวก หม่อมฉันจะได้อาศัยใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทานและทำบุญบ้าง ตนจึงมอบประตูทั้ง ๔ ให้ชนกลุ่มนั้นไป ชนกลุ่มนั้นก็พากันให้ทานที่ประตูนั้นๆ ทานของตนก็ลดไป เมื่อตนไม่ได้ให้ทานอย่างนี้แล้ว จึงให้นำรายได้กึ่งหนึ่งที่เกิดใน ท้องถิ่นชนบทนอกๆ ออกไป ให้ทานต่อไป ตนจึงยังไม่ถึงที่สิ้นสุดแห่งบุญที่ได้บำเพ็ญไว้ แห่งกุศลที่ได้ก่อสร้างไว้ ตลอดกาลนานอย่างนี้ โดยที่จะมาคำนึงถึงว่า เท่านี้เป็นบุญพอแล้ว เท่านี้เป็นผลของบุญพอแล้ว หรือเท่านี้ที่เราพึงตั้งอยู่ใน สามัคคีธรรม (คือพร้อมเพรียงร่วมทำบุญกับเขาพอแล้ว) เสรีเทพบุตรทูลอีกว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสนั้น น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา และแจ่มแจ้ง อันนสูตรที่ ๓ //84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=934&Z=942 //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=09-06-2014&group=4&gblog=25 ---------------- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวปุตตสังยุต นานาติตถิยวรรคที่ ๓ . ๑๐๕. ฆฏิการสูตรที่ ๔ ว่าด้วยฆฏิการเทพบุตร //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1904&Z=1946&pagebreak=0 ฆฏิการเทพบุตร กล่าวคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุ ๗ รูป ผู้เข้าถึงพรหมโลกชื่อว่าอวิหา (ชั้นของพระอนาคามี) เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว (เป็นพระอรหันต์แล้ว) พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ภิกษุเหล่านั้นคือผู้ใดบ้าง ผู้ละกายของมนุษย์ (ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕) แล้วก้าวล่วงเครื่องประกอบอันเป็นทิพย์ (ทิพยโยคะ) (ละสังโยชน์เบื้องสูง ๕ เป็นพระอรหันต์) ฆฏิการเทพบุตรกราบทูลว่า คือ ท่านอุปกะ ๑ ท่านผลคัณฑะ ๑ ท่านปุกกุสาติ ๑ ท่านภัททิยะ ๑ ท่านขัณฑเทวะ ๑ ท่านพาหุรัคคิ ๑ ท่านลิงคิยะ ๑ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ภิกษุเหล่านั้นรู้ทั่วถึงธรรมของใคร (ตรัสรู้) จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฆฏิการเทพบุตรกราบทูลว่า ผู้นั้นคือพระผู้มีพระภาค และธรรมนั้นในพระศาสนาของพระองค์เท่านั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ท่านกล่าววาจาลึก รู้ได้ยาก ท่านรู้ทั่วถึงธรรมของใคร จึงกล่าววาจาเช่นนี้ได้ ฆฏิการเทพบุตรกราบทูลว่า เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นช่างหม้อ ทำหม้ออยู่ในเวภฬิงคชนบท เป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดา ได้เป็นอุบาสกของพระกัสสปพุทธเจ้า เว้นจากเมถุนธรรม ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีอามิส (เป็นพระอนาคามี) ได้เคยเป็นคนร่วมบ้านกับพระองค์ ทั้งเคยได้เป็นสหายของพระองค์ในปางก่อน (มาในฆฏิการสูตร) ข้าพระองค์รู้จักภิกษุ ๗ รูปเหล่านี้ ผู้หลุดพ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองเรื่องในกาลก่อนที่ฆฏิการพรหมกล่าว ว่าเป็นความจริง พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า สหายเก่าทั้งสอง ผู้มีตนอันอบรมแล้ว (ศึกษาจบแล้ว เป็นพระอเสขบุคคลแล้ว) ทรงไว้ซึ่งสรีระมีในที่สุด (ดำรงอยู่ในสรีระสุดท้ายแล้ว ไม่เกิดอีก) ได้มาพบกันด้วยอาการอย่างนี้ //84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อวิหา&detail=on //84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=สังโยชน์_10 ฆฏิการสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=6596&Z=6824&pagebreak=0&bgc=honeydew //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=13-12-2013&group=2&gblog=36 ฆฏิกรสูตรที่ ๑๐ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1024&Z=1074&bgc=honeydew&pagebreak=0 //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=09-06-2014&group=4&gblog=27 ความคิดเห็นที่ 16 ฐานาฐานะ, 10 กรกฎาคม 2557 เวลา 20:44 น. GravityOfLove, วันจันทร์ เวลา 10:57 น. ... ฆฏิกรสูตรที่ ๑๐ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1024&Z=1074&bgc=honeydew&pagebreak=0 //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=09-06-2014&group=4&gblog=27 สรุปความได้ดีครับ ความคิดเห็นที่ 17 ฐานาฐานะ, 10 กรกฎาคม 2557 เวลา 20:49 น. คำถามในพระสูตรทั้งสอง ๑๐๔. เสรีสูตรที่ ๓ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1837&Z=1903 ๑๐๕. ฆฏิการสูตรที่ ๔ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1904&Z=1946 1. เมื่อศึกษาแล้วได้อะไรบ้าง. 2. มีความเห็นอย่างไรต่อเนื้อความในประโยคว่า หม่อมฉันจึงยังไม่ถึงที่สุดแห่งบุญที่ได้บำเพ็ญไว้ แห่งกุศลที่ได้ ก่อสร้างไว้ตลอดกาลนานอย่างนี้ โดยที่จะมาคำนึงถึงว่า เท่านี้เป็นบุญพอแล้ว เท่านี้เป็นผลของบุญพอแล้ว หรือเท่านี้ที่เราพึงตั้งอยู่ในสามัคคีธรรม (คือพร้อมเพรียงร่วมทำบุญกับเขาพอแล้ว) ฯ ความคิดเห็นที่ 18 GravityOfLove, 10 กรกฎาคม 2557 เวลา 22:53 น. ตอบคำถามในพระสูตรทั้งสอง 1. เมื่อศึกษาแล้วได้อะไรบ้าง. ๑๐๔. เสรีสูตรที่ ๓ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1837&Z=1903 ๑. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชนเหล่าใดมีใจผ่องใส ให้ข้าวและน้ำด้วยศรัทธา ข้าวและน้ำนั้นแล ย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนั้น สมควรเปลื้องความเหนียวแน่นเสีย ครอบงำมลทินของใจเสีย พึงให้ทาน บุญเท่านั้นย่อมเป็นที่พึ่ง ของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า ๒. เสรีเทพบุตรเคยเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ได้ให้ทานที่ประตูทั้ง ๔ ต่อมามีคนมาปรารภทูลขอว่าพวกตนอยากทำทานบ้าง กษัตริย์เสรีจึงทรงยกประตูเมืองทั้ง ๔ แก่ชนพวกนั้นไปทำการให้ทาน กษัตริย์เสรีจึงทรงให้ทานจากรายได้ในชนบทแทน ได้ทำทานต่อไปตลอด ๘๐,๐๐๐ ปี ๓. ทายโก (ทายก) แปลว่า ผู้ให้ทานเป็นปกติ ผู้ใดบริโภคของอร่อยด้วยตนเอง และให้ของไม่อร่อยแก่คนอื่น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นทาสแห่งไทยธรรม กล่าวคือทาสให้ทาน (ทาสทาน) ผู้ใดบริโภคของใดด้วยตนเองให้ของนั้นนั่นแหละ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสหายให้ทาน (สหายทาน) ผู้ใดดำรงชีวิตด้วยของนั้นใดด้วยตนเอง และให้ของอร่อยแก่ผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นเจ้า เป็นใหญ่ เป็นนายให้ทาน (ทานปติ/ทานบดี) ๔. ผู้ถือบวชชื่อว่าสมณะ ผู้มีปกติทูลว่าผู้เจริญ ชื่อว่าพราหมณ์ แต่สมณพราหมณ์ที่ว่านี้ ไม่ได้ในสมณพราหมณ์ผู้สงบบาปและผู้ลอยบาป คนเข็ญใจ คนยากจนมีคนตาบอด คนง่อยเป็นต้น ชื่อว่ากปณะ. คนกำพร้า คนเดินทาง ชื่อว่าอัทธิกะ. คนเหล่าใดเที่ยวสรรเสริญทานโดยนัยว่า ให้ทานที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ให้ตามกาลให้ทานที่ไม่มีโทษ ทำจิตให้ผ่องใส ท่านผู้เจริญก็จะไปพรหมโลกดังนี้เป็นต้น ชนเหล่านั้น ชื่อว่าวณิพก. ชนเหล่าใดกล่าวว่า โปรดให้สักฟายมือเถิด โปรดให้สักขันจอกเกิด ดังนี้เป็นต้น เที่ยวขอไป ชนเหล่านั้นชื่อว่ายาจก. ................... ๑๐๕. ฆฏิการสูตรที่ ๔ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1904&Z=1946 ๑. ฆฏิการพรหมกราบทูลพระผู้มีพระภาคถึงภิกษุ ๗ รูป ผู้เข้าถึง อวิหาพรหมโลก (พระอนาคามี) ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ๒. ในอดีตกาล (เรื่องในฆฎิการสูตร) พระโพธิสัตว์คือโชติปาลมาณพ เป็นเพื่อนกับฆฏิการะช่างหม้อๆ ได้เป็นพระอนาคามีในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ในพระสูตรนี้ ช่างหม้อผู้นั้น (ฆฏิการพรหม) เป็นพระอรหันต์แล้ว ------------ 2. มีความเห็นอย่างไรต่อเนื้อความในประโยคว่า ... มีความเห็นว่า เมื่อยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็จงเพียรพยายามต่อไป ไม่คิดว่า เท่านี้เป็นอันพอแล้ว ทำให้นึกถึงคำว่า อุปัญญาตธรรม ๒ [65] อุปัญญาตธรรม 2 (ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติเห็นคุณประจักษ์กับพระองค์เอง คือ พระองค์ได้ทรงอาศัยธรรม 2 อย่างนี้ดำเนินอริยมรรคจนบรรลุจุดหมายสูงสุด คือ สัมมาสัมโพธิญาณ two virtues realized or ascertained by the Buddha himself) 1. อสนฺตุฏฺฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ (ความไม่สันโดษในกุศลธรรม, ความไม่รู้อิ่มไม่รู้พอในการสร้างความดีและสิ่งที่ดี discontent in moral states; discontent with good achievements) 2. อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ (ความไม่ระย่อในการพากเพียร, การเพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปไม่ยอมถอยหลัง perseverance in exertion; unfaltering effort) //84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=อุปัญญาตธรรม_2 และทำให้นึกถึงกระทู้ //pantip.com/topic/31076204 ความคิดเห็นที่ 19 ฐานาฐานะ, 11 กรกฎาคม 2557 เวลา 09:57 น. GravityOfLove, 11 ชั่วโมงที่แล้ว ... 10:53 PM 7/10/2014 10:54 PM 7/10/2014 ตอบคำถามได้ดีครับ. ๓. ทายโก (ทายก) แปลว่า ผู้ให้ทานเป็นปกติ ผู้ใดบริโภคของอร่อยด้วยตนเอง และให้ของไม่อร่อยแก่คนอื่น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นทาสแห่งไทยธรรม กล่าวคือทาสให้ทาน (ทาสทาน) ผู้ใดบริโภคของใดด้วยตนเองให้ของนั้นนั่นแหละ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสหายให้ทาน (สหายทาน) ผู้ใดดำรงชีวิตด้วยของนั้นใดด้วยตนเอง และให้ของอร่อยแก่ผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นเจ้า เป็นใหญ่ เป็นนายให้ทาน (ทานปติ/ทานบดี) - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ผมมักจะจำแบบสลับกัน เพื่อช่วยจำ คือ - ทาสให้ทาน (ทาสทาน) ผมจะจดจำเป็นทานที่ให้แก่ทาส ซึ่งมักจะเป็นของไม่ประณีต เพราะเหตุว่า ทาสมักมีอานุภาพน้อย (ต่อนาย ของจึงไม่ประณีต) - สหายให้ทาน (สหายทาน) ผมจะจดจำเป็นทานที่ให้แก่สหาย เพราะสหายเสมอกัน จึงให้ของที่เสมอกัน คือบริโภคอย่างไร ก็ให้ผู้เสมอกันอย่างนั้น - นายให้ทาน (ทานปติ/ทานบดี) ผมจะจดจำเป็นทานที่ให้แก่ผู้เป็นนาย หรือผู้มีอานุภาพมาก เพราะเหตุที่ผู้รับมีอานุภาพมาก จึงให้ของที่ประณีต แม้กว่าที่ตนเองบริโภค. --------------------------------------------------------------------------------------- 2. มีความเห็นอย่างไรต่อเนื้อความในประโยคว่า หม่อมฉันจึงยังไม่ถึงที่สุดแห่งบุญที่ได้บำเพ็ญไว้ แห่งกุศลที่ได้ ก่อสร้างไว้ตลอดกาลนานอย่างนี้ โดยที่จะมาคำนึงถึงว่า เท่านี้เป็นบุญพอแล้ว เท่านี้เป็นผลของบุญพอแล้ว หรือเท่านี้ที่เราพึงตั้งอยู่ในสามัคคีธรรม (คือพร้อมเพรียงร่วมทำบุญกับเขาพอแล้ว) ฯ 2. มีความเห็นอย่างไรต่อเนื้อความในประโยคว่า ... มีความเห็นว่า เมื่อยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็จงเพียรพยายามต่อไป ไม่คิดว่า เท่านี้เป็นอันพอแล้ว ทำให้นึกถึงคำว่า อุปัญญาตธรรม ๒ ไม่คิดว่า เท่านี้เป็นอันพอแล้ว ? ควรแก้ไขเป็น ไม่ควรคิดว่า เท่านี้เป็นอันพอแล้ว ตอบได้ดี เลือกหมวดธรรมอุปัญญาตธรรม ๒ ได้เหมาะสมครับ. ในความเห็นของผมนั้น เห็นว่า เทพบุตรนั้น เหมือนตัดพ้อต่อการกระทำของตัวเอง โดยนัยว่า 1. เมื่อยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ กลับไปเห็นว่า เท่านี้เป็นบุญพอแล้ว เท่านี้เป็นผลของบุญพอแล้ว 2. เห็นแก่สามัคคีธรรม หรือความพร้อมเพรียง (เกรงใจ) จึงแบ่งโอกาสการทำบุญอันเป็นที่พึ่งของตนให้ผู้อื่นเสียหมดสิ้น. ปกติแล้ว แม้จะเห็นแก่สามัคคีธรรมก็ตาม ก็ไม่ควรตัดโอกาส ในการที่พึ่งของตนหมดสิ้นอย่างนั้น ควรแบ่งให้บางส่วน หรือควรจัดการให้ทานในที่กลางใจเมืองก็ได้. เห็นเนื้อความในประโยคนี้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องของบุคคล ที่เมื่อทำบุญบางส่วนแล้ว ได้รับอานิสงส์ของบุญแล้ว บ้างก็มีทำบุญอัน เป็นที่พึ่งของตนให้แข็งแกร่งแน่นหนา บ้างก็เห็นว่า ทำบุญสำเร็จแล้ว จะมีอานิสงส์ยิ่งกว่านี้เป็นแน่. ๓. เรื่องนางลาชเทวธิดา [๙๗] บางส่วน นางคิดว่า "เราได้สมบัติเห็นปานนี้ เพราะกรรมนิดหน่อยอย่างนี้ บัดนี้ เราไม่ควรประมาท, เราจักทำวัตรปฏิบัติแก่พระผู้เป็นเจ้า ทำสมบัตินี้ให้ถาวร" จึงถือไม้กวาด และกระเช้าสำหรับเทมูลฝอยสำเร็จด้วยทอง ไปกวาดบริเวณ ของพระเถระ แล้วตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้แต่เช้าตรู่. //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=3 อรรถกถาปีตวิมาน //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=47 ความคิดเห็นที่ 20 ฐานาฐานะ, 11 กรกฎาคม 2557 เวลา 10:16 น. เป็นอันว่า พระสูตรชื่อว่า เสรีสูตรและฆฏิการสูตร จบบริบูรณ์. //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1837&Z=1946 พระสูตรหลักถัดไป คือ ชันตุสูตร [พระสูตรที่ 106]. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ชันตุสูตรที่ ๕ //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1947&Z=1965 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=293 ย้ายไปที สารบัญ ๑ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=gravity-of-love&month=12-03-2013&group=1&gblog=1 |
บทความทั้งหมด
|
กรุณาอธิบายค่ะ
๑๐๔. เสรีสูตร
//84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=1837&Z=1903&bgc=honeydew&pagebreak=0
เสรีเทพบุตรทูลเล่าเรื่องในอดีตของตนทำไมคะ
ขอบพระคุณค่ะ