เมื่อเช้านี้ (ศุกร์ที่ 11 กันยายน 2552) ได้ดูทีวีช่อง UBC#1 หรือ ช่อง 3 (ไม่รู้ว่าจะเขียนให้อ่านแล้วงงทำไม 555) ได้เห็นภาพที่สุดจะงงมาก เพราะเป็นการถ่ายทอดสดและมีการสัมภาษณ์จาก สระน้ำ ด้านข้างวัดดอนไผ่ บ้านโนนแดง อ.บ้านเขว้า (ได้ยินเขาอ่านว่า ขะ+เหว่า ไอ้เราก็อ่านว่า เข+ว้า น่าอายจัง) จ.ชัยภูมิ อีสานบ้านเฮานี่เองครับพี่น้อง
ภาพที่เห็นคือมีคนไปยืนริมน้ำแล้วเรียกใครก็ไม่รู้จากกลางบึง ฉับพลันเขาก็มา ไม่ใช่ซิ ท่านก็มา ท่านมาจากใต้น้ำเลยหละ ท่านเป็นใครหรือ? ท่านเป็น จระเข้ ขอรับ ตัวยาวเกือบ 2 เมตร แหม! ช่วงนี้กระแสจระเข้กำลังมาแรง ที่เขาใหญ่ก็มีข่าวหน้าหนึ่งมาหลายวัน จนทำให้คนแห่ไปชมจระเข้ แทนที่จะขอยกเลิกทัวร์ไปที่นั้น มนุษย์เรานี้ก็แปลกดีนะ ไอ้ที่คิดว่าจะไม่เป็น กลับเป็นไปซะอีกทางได้อย่างนั้นทุกที
เมื่อผมสนใจก็เลยต้องขอค้นหาข้อมูลอย่างด่วนจี๋ ด้วยวิชา DSI + CIA + KGB + FBI = เปิดหาอ่านในเน็ทเอาเอง ห้าห้า
ผมก็ได้พบเรื่องราวที่อยากจะเอามาเขียนเอาไว้ เผื่อใครจะมองต่างมุมออกไปอีก (ผมเองนั้นมองต่างมุมออกไปตั้งแต่เห็นภาพครั้งแรกแล้ว เพราะว่า มันเกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอย่างผมจะคิดตามอย่างง่ายๆ) เขาเล่าว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2459 หรือ ร้อยกว่าปีมาแล้ว เดี๋ยว เบรกกันก่อน!!! พอผมตรวจสอบข้อมูลนี้อีกที กับแหล่งข่าวที่อื่นๆ ก็กลายเป็นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน (คิดดูเอาเถิดนะ 10 ปี กลายเป็น 100 ปี ไปได้อย่างไร?) เอาเป็นว่านานมาแล้ว ท่านเจ้าอาวาสองค์ก่อนของวัดดอนไผ่ คือ หลวงปู่คำ (ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรนอกลู่นอกทางนักก็ได้ครับ) ในอดีตนั้นหลวงปูได้นำลูกจระเข้มาเลี้ยงเอาไว้ในบ่อปูนในวัด จำนวนหลายตัว เรื่องจำนวนก็ไม่แน่นอน เอาเป็นว่า มากกว่า 1 ตัวก็แล้วกันครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นฟาร์มจระเข้หรอกขอรับ อยู่มาวันหนึ่งเกิดฝนตกหนักน้ำท่วมวัด จระเข้เลยหลุดหนีออกไปจนหมด ชาวบ้านก็ออกตามล่ากัน เพราะมีบางบ้านบอกว่า ได้ถูกสัตว์บุกเข้ามากินสัตว์เลี้ยงในบ้าน(ซึ่งอาศัยอยู่ริมบึง) ซึ่งก็น่าจะเป็นเหล่าจระเข้ที่หิวโหยแน่ๆ ในที่สุดก็ได้ตัวมาแค่เพียง 1 ตัวเท่านั้น หลวงปู่เลยทำพิธีสะกดไม่ให้มันหนีไปไหนอีก ว่ากันว่าท่านได้ทำการตัดปลายหางจระเข้ เอาเหล็กจารมาลงอักขระเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ แล้วฝังไว้ที่ใต้บันไดกุฏิของท่าน เราฟังเขาเล่าเป็นทอดๆมาสองสามรุ่นของอายุคน ต้องทำใจให้มั่นคงหน่อยนะครับ ไหนจะเรื่องพระซื้อจระเข้มาเลี้ยง ไหนจะพระเอามีดไปตัดหางสัตว์ที่มีชีวิต เราไม่ได้เห็นมากับตาจริง ก็อย่าเพิ่งไปวิจารณ์ว่าท่านทำไปได้อย่างไร ใช่กิจของสงฆ์หรือไม่? ผมเองก็เคยเห็นจระเข้ที่วัดดังแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อองค์นี้ คนทั้งประเทศก็น่าจะทราบ และอีกที่ซึ่งห่างไปอีกหน่อยที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นวัดติดกับภูเขาไฟ ที่นั้นก็มีพระเลี้ยงจระเข้ตัวใหญ่เอาไว้เหมือนกัน ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีกรมประมง หรือจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือหน่วยงานไหนๆ เข้าไปช่วยดูแลอะไรเลย แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่าวัดใหญ่ในกรุงเทพมหานครก็ยังเคยมีพระเลี้ยงจระเข้เอาไว้ให้คนไปดูกันเลย นี่ไม่นับเอกชนคนธรรมดาที่เลี้ยงเอาไว้ในบ้านที่มีพื้นที่กว้างๆนะ ใครเคยผ่านแถวสนามมวยลุมพินี เคยได้ยินชื่อ บ้านชาละวัน กันบ้างหรือเปล่า? สมัยก่อนฝรั่งแถวนั้นรู้จักกันดี แต่สมัยนี้คงไม่มีแล้วหละ ป่านนี้คงกลายเป็นตึกสูงไปหมดแล้ว เอาเป็นว่า เรื่องคนเลี้ยงจระเข้นั้น มีมาตั้งนานแล้วหละ แต่ผิดหรือถูกกฎหมายอย่างไร? อันนี้ผมไม่ทราบ
ต่อมาหลวงปู่จึงนำจระเข้ตัวนั้นมาปล่อยให้อาศัยอยู่ในสระน้ำ ชื่อว่า สระหนองแวง ซึ่งอยู่ด้านหลังวัดดอนไผ่นั่นเอง สระนี้มีขนาดใหญ่มาก โดยมีความกว้างนับเป็นกิโลเมตรกันเลยหละ ที่ตรงนี้จึงเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมาก คุณต้องเข้าใจให้ดีว่าในสมัยก่อน ทางอีสานเขาไม่มีประปาหรือโรงงานทำน้ำดื่มขายเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นชาวบ้านจึงต้องไปอาศัยตักน้ำในสระมาอาบ มาใช้บริโภคหรือทำประโยชน์ต่างๆ คู่กันไปกับน้ำฝน และภาพที่ชาวบ้านสมัยปู่ย่าตาทวดเห็นจนชินตานั้นก็คือ มีจระเข้ตัวหนึ่งชอบขึ้นมานอนอาบแดดที่ริมตลิ่ง บางวันก็ออกมานอนกลางถนนหนทางก็ยังเคยมีเลย คนในหมู่บ้านโนนแดงรู้ดีว่า เขาเป็นจระเข้ที่หลวงปู่เลี้ยงไว้ และเชื่อว่าถูกมนตร์สะกดให้เชื่อง ซึ่งก็ไม่เคยมีใครถูกจระเข้ตัวนี้ทำร้ายเลย นานวันเข้าผู้คนรุ่นลูก รุ่นหลานก็ให้ความเคารพจระเข้ตัวนี้ เพราะถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่คำ แห่งวัดดอนไผ่
ในทุกปี เมื่อถึงวันสงกรานต์ ชาวบ้านโนนแดง ก็จะไปเรียกจระเข้ขึ้นมาจากน้ำ แล้วพาขึ้นรถนำไปแห่รอบหมู่บ้าน แถมยังมีการจัดบ่อจระเข้ชั่วคราวเอาไว้บนบก เพื่อให้จระเข้ได้พักผ่อน และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้าชม แล้วก็มีหลายๆคนที่เมื่อได้เห็นจระเข้ตัวนี้อย่างชัดเจนกับตาตนเอง ก็อดที่จะแสดงความศรัทธาและระลึกถึงหลวงปูคำไม่ได้
ปัจจุบันทางท่านผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน ท่านก็ยังอนุรักษ์และให้การส่งเสริมกิจกรรมและการดูแลจระเข้ตัวนี้เป็นอย่างดี มีการให้ลูกศิษย์วัดและพระในวัด นำอาหารไปให้จระเข้กิน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโครงไก่ และปลาสด และยังมีชาวบ้านหลายคนนำอาหารอื่นๆ มาร่วมสมทบอีกด้วย เรียกว่า เจ้าจระเข้ตัวนี้ไม่อดไม่อยาก เลยอาจจะเป็นสาเหตุที่จระเข้ไม่ออกไปล่าหาอาหาร ซึ่งจะเป็นรบกวนชาวบ้านและสร้างความหวาดกลัวในหมู่บ้าน แต่จากการไปดูการแสดงจระเข้มาหลายแห่ง ผมเชื่อว่าเขาก็ให้อาหารพวกมันจนพุงกางแน่นอน แต่ทำไมพวกมันยังดุ และทำท่าจะงับขาของคนที่ทำการแสดง จึงทำให้แปลกใจว่า จระเข้ตัวนี้เชื่องมาก มากจนกระทั้งสามารถเอามือลูบตัว ลูบหัว ลูบจมูกของมันได้เลย แถมพูดคุยอะไรด้วยภาษามนุษย์นี่แหละ เขาก็เข้าใจ ราวกับเป็นคนๆหนึ่งเลยทีเดียว
เป็นการหลีกเลี่ยงไม่พ้น เนื่องจากคนเรานั้นเกิดมาก็ย่อมมีทุกข์และสุขปนกันไป แต่ส่วนใหญ่อัตราส่วนของทุกข์จะมากกว่าสุขอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีคนมาขอพรและขอความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปูคำ ผ่านทางจระเข้ตัวนี้ หลายคนก็พ้นเคราะห์ หลายคนสมประสงค์ดั่งที่ขอเอาไว้ และหลายที่ได้ทำการ บน เอาไว้ แล้วก็สำเร็จ จึงมีภาพกิจกรรมการแก้บ่น ให้เห็นอยู่ที่ริมสระแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ว่าไปแล้วก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงอำนาจหรือความเร้นลับในพื้นที่ภาคอีสานให้เราได้เห็นกันจะจะแบบนี้ ผมยังทราบว่ามีเสียงลือเสียงกระซิบกันอีก เป็นการเล่าบอกกันต่อๆมา เหมือนนิยายปรัมปรา โดยกล่าวอ้างกันด้วยความสงสัยว่า ใต้น้ำนั้น มีอะไรกันแน่ที่น่าฉงน จะเป็นเส้นทางไปวังบาดาล ไปถ้ำวิมานจระเข้ หรือไปยังขุมทรัพย์นับค่ามิได้กันแน่ ดั่งนิทานโบราณบางเรื่องเล่าให้เด็กๆฟังว่า มีคนมาเสียชีวิตในน้ำเพราะเรือลำใหญ่ล่มลง ทำให้เพชรนิลจินดามากมายจมลงไปใต้น้ำ แต่ด้วยความที่ตัดกิเลสเรื่องทรัพย์สมบัติไม่ขาด จึงกลายมาเป็นจระเข้ที่ต้องเฝ้าของที่มูลค่ามากมาย บางเรื่องก็ว่าเป็นดวงวิญญาณทหารที่รับผิดชอบเรื่องคลังสมบัติ เมื่อสมบัติหลวงตกอยู่ที่ใด วิญญาณก็ต้องดูแลอยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็ว่าเป็นคำสาบ หรือกรรมเก่า ที่ว่า ได้ทำอะไรๆไว้กับพระพุทธศาสนา กรรมจึงฉุดรั้งมิให้ไปเกิดในภพภูมิอื่น อีกเรื่องก็คงจะเป็นเพราะมีใจเมตตาหรือใฝ่ธรรมมะจึงวนเวียนอยู่ท่าน้ำหน้าวัด เรื่องเล่าต่างๆมากมายเกี่ยวกับจระเข้ ใช้เป็นคติสอนใจคนได้ดี ถ้าคิดจะเอาดีจากเรื่องเหล่านี้
การมีจระเข้ศักดิ์สิทธิ์ หรือลูกศิษย์หลวงปู่คำ คอยดูแลน้ำในสระหนองแวงแห่งนี้ ด้วยความเชื่อในเรื่องลึกลับแบบนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือ ไม่มีใครกล้าทำความสกปรก หรือก่อเรื่องไม่ดีกับแหล่งน้ำแห่งนี้ มีคนเคยลองดีมาแล้วหลายราย สุดท้ายก็ไม่มีความสุขและส่วนมากก็ไม่มีชีวิตให้อยู่ลองดีอีกต่อไป มีเรื่องเล่าว่า มีคนนำเหล็กปลายแหลมแทงดวงตาข้างขวาของจระเข้ตัวนี้จนบอด แล้วอีกไม่นานคนที่แทงตาจระเข้ก็ต้องกลายมาเป็นคนตาบอด โดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ชาวบ้านไม่คิดอย่างนั้น เพราะพวกเขาเชื่อว่า กรรมตามสนองชายคนนั้น
สำหรับผม ผมได้ข้อมูลที่พอจะเชื่อว่าทำไม จระเข้ตัวนี้ถึงเชื่อง หรือเชื่อฟังคนเลี้ยงหรือผู้ดูแลได้ขนาดนี้ แต่ก็ได้แต่คิดเพราะ ถ้าเขียนอะไรโดยไม่เคยไปดูสถานที่จริง ไม่เคยไปสัมผัสกับเหตุการณ์จริง ข้อมูลก็เอามาจาการเล่าๆกันต่อๆมาอีกที จริงบ้าง เท็จบ้าง ก็อาจจะเป็นการลบหลู่กันเปล่าๆ และมีอีกเรื่องที่ผมต้องไปหาข้อมูลเพิ่มก็คือ เรื่องอายุของจระเข้ ว่า เขาจะสามารถอยู่ได้นานกี่ปีกันแน่
สำหรับแฟนคลับหุบเขาคนโฉดที่ทนอ่านมาจนถึงตรงนี้ได้ก็ต้องขอขอบคุณ และมีโบนัสแถมให้อีกด้วย โดยเรื่องแรก เรื่องที่ว่าเลี้ยงจระเข้นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ อันนี้ต้องไปดูกฎหมายว่าด้วยสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งปัจจุบันเราใช้ อันที่ประกาศเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2535 ซึ่งมีการพยายามแก้ไขกันมาตั้งแต่ ฉบับปี 2490 ดังนั้นจึงมีเรื่องที่ว่าเคยมีคนเอาจระเข้มาเลี้ยงที่บ้าน หรือสถานที่ส่วนตัวได้ แต่ถ้าเป็นวันนี้ ปี พ.ศ.2552 ก็คงไม่ได้อีกแล้ว เพราะกฎหมาย ได้กำหนดการจัดการควบคุมการครอบครองจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทย จระเข้น้ำเค็ม และตะโขง (รวมเป็น สามเกลอ 3 ชนิด) โดย ห้ามล่า ห้ามค้า ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธ์ ห้ามนำเข้า ห้ามส่งออก และครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์จากจระเข้ด้วย (ไม่ใช่คุมเฉพาะสัตว์ที่ตัวเป็นๆ) แต่ใครว่าคนอย่างเราๆท่านๆจะเลี้ยงจระเข้ไม่ได้ กฎหมายก็มีช่องเอาไว้ให้ด้วย (เราทำได้ 555) แต่คุณต้องไปศึกษาเรื่องอื่นอีกมาก อย่างน้อยก็ต้องหัดรู้จัก IUCN หรือ International Union for Conservation of Natural Resource และอีกคำก็คือ ไซเตส (CITES = Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) เพราะถ้าไม่รู้จักอะไรเลย เวลาเลี้ยงๆ จระเข้ไป อาจจถูกตำรวจมาเชิญไปคุยก็ได้
วิธีแรกก็คือ ลงทุนสร้างสวนสัตว์ หรือไม่ก็ไปสมัครทำงานที่สวนสัตว์ใหญ่ๆในเมืองไทย หรือไม่ถ้าอยากเป็นเจ้าของจระเข้จริง เราก็ต้องลงทุนเป็นหุ้นส่วนของธุรกิจทำฟาร์มจระเข้กัน วิธีนี้ก็คือ ไปซื้อหุ้นของฟาร์มใหญ่ 5 แห่ง ของประเทศไทย ได้แก่
1. ศรีราชาฟาร์ม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
2. ฟาร์มจระเข้สวนสัตว์รีสอร์ท หรือที่เรียกกันว่า ฟาร์มจระเข้หนองใหญ่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
3. ฟาร์มจระเข้พัทยา เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
4. ฟาร์มจระเข้วสันต์ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
5. ฟาร์มจระเข้สามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม
แน๊ะ ท่านคิดว่าหายไปอีก 1 แห่งหรือเปล่า? คำตอบก็คือ ใช่ครับ อันที่ 6 ก็คือ ฟาร์มจระเข้ สมุทรปราการ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ อันนี้ต้องขอบอกว่า ต้องเอาไว้เป็นรายการพิเศษทีเดียว เพราะฟาร์มจระเข้สมุทรปราการนั้น เป็นฟาร์มแห่งแรกของประเทศไทย (จดทะเบียนเมื่อ พ.ศ.2493) เขาว่าทุกวันนี้เป็นฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใครไม่เคยไปก็น่าจะลองไปดูซะหน่อยนะ เรามีเพื่อนอย่างน้อยที่สุด 40,000 ตัว รอต้อนรับท่านอยู่ ใครที่อยากจะเลิกกับแฟน หรืออยากดีลีท (delete) กิ๊กเก่า ผมในฐานะ เจ้าพ่อแห่งหุบเขาคนโฉด ขอแนะนำให้พาไปที่นี้ แล้วแกล้งผลักให้กิ๊กเก่าเราลงไปนอนในปากตะเข้ซะเลย 555
ขอขอบพระคุณแหล่งข้อมูลจาก
โอเคเนชั่นไทยฟี๊ดมหาชนพลังจิตMthaiเดลินิวส์และคุณไวพจน์ เพชรสุพรรณ
In the Northeast of Thailand or in Thai it is called Eee-Sarn area. There is a curious and strange story of an animal which, you know, is not a lovely and attractive pet. With no doubt, it is a beast. People (in Thailand) are talking about a story of friendly crocodile who lives in the big lake placid very near the village (if I say in the middle of the village, Will you believe me?).There are many films or movies both in Thai and other countries about crocodiles and alligators, most of them told people that crocodile is a very dangerous, dreadful, and bloodcurdling hunter. But this real story in Thailand is showing me in the other side of the point of view.
Before I tell you about the original of this story. Let me tell and update you the big news in my country. For many years ago, people, more and more than thousand, went to see the truth and most of them asked for hopes and extraordinary assistance. They believe that the spirit in the crocodile, a spirit of an ex-abbot of Wat Don-Pai, Noendaeng village, Chaiyaphum province. This crocodile is very friendly. Monks in the temple (Wat Don-Pai) can call for it anytime. Just only hit one hand on the surface of the water in the marsh. Then, in a few minutes, two-meter reptile will show his face (or head) to your eyes. Then, it will walk up to the marsh bank. Like normal animal, it can do as the routine if you give it a gift. In this case, there are ribcages of chicken, fresh fish for it. The more quickly showing itself quickly, the more quickly food for serving. In normal day, gambles walked in and asked for the lucky number for the lottery from the magic crocodile. Some people came from the pained and suffering problems. They wanted the magic spirit to help them and their folks. Most of them are poor, lack of educations and underdeveloped life.
Nobody was hurt by this crocodile (But I am not sure). It often roams and promenades on the street. After lunch time, it has a sunbathe in the middle of the village while villagers spent their life in the simple way. People in the village see these pictures day after day, big car and small car have to drive detour or change the direction. This story looks like a single simple wild animals story with was grubbed by human. Until now, it changes itself to be an obedient pet.
This story began from many years ago, the abbot named Luang Por Kam (Long Por means monk and Kam means gold) bought a group of small crocodiles and put them in a cement aquarium. One bad day in the rainy season, all crocodiles escaped from their cage. Many men in the village found only one escaped prisoner. The abbot cut its tails tag and hypnotized the crocodile. Crocodiles tag was entombed in. It was buried under his parsonage. After the dead of abbot, villagers believed that his spirit or magic power was possessed in the body of his pet (= crocodile). In the middle of April of each year, there is a Songkran day. Songkran is a Thai traditional New Year which starts from April 13 15 (some area they have this festival until the end of the month). For the foreigner, Songkran means Water Festival. Villagers will call the crocodile and carry it on the truck, drive that truck around the village to show the other villages and tourists. There are many reason for doing this, people believe that the magic of crocodile will protect all people in that area. Religion followers will donate their money and these will transfer for crocodiles expenses (lets say crocodile fund). Of course, some money should go to the religions activities and monks need. Nobody will take money for their own, because they are afraid of mysterious power.
It is not different from the open-zoo. But, listen to me carefully. Can we leave it in the nature?
โอ้โห อ่านจนจบแล้ว เพิ๋งเห็นว่าพี่ชายมี Logo ประจำดีแล้วเหรอคะนี่ อิอิ Zoomzero Follow me! อารัยเนี่ยะ อุอุ
ว่าแต่ credit ที่เขียนมันแปลก ๆ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ มาให้สัมภาษณ์ด้วยเหรอคะนี่ โอ้ ^_^
เรื่องตะเข้นี่ก้อน่าสนใจ เพราะอยู่คู่บ้านคู่เมืองไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีหนังเกี่ยวกับจระเข้มากมาย ตั้งแต่โครตไอ้เขี้ยม หรือสารพัดชื่อมากมาย ดูกันไม่หวาดไม่ไหว ที่โด่งดังและรู้จักตั้งแต่เด็กจนโตก็คงหนีไม่พ้นไกรทอง และชาละวัน งิงิ เห็นม้า ว่าจระเข้สมัยก่อนเค้าแปลงร่างเป็นคนได้ด้วย แถมเจ้าชู้มีกิ๊กที 3-4-5 คนอีกต่างหาก หุหุ
จะว่าไปเรื่องแปลกของพี่ชายนี่ ถ้าคิดในทางวิทยาศาสตร์ธรรมด๊า ธรรมดาทั่วไปเลยนะคะ ก็น่าจะเหมือนสัตว์เลี้ยงปรกติทั่วไป ที่ถ้าเราเลี้ยงและอยู่จนชิน สนิทสนมกันมาก ๆ แล้วก็จะเชื่องแบบนั้นแล ขนาดเสือกับหมูเขายังเลี้ยงด้วยกันได้เลย หรือแมวกับหมาก็ไม่กัดกัน อะไรแบบนี้ งู ก็เห็นออกจะบ่อย ถึงขนาดเป็นข่าวแต่งงานกันคนเลยเชียว แต่ประเด็นน่าจะเป็นที่ให้โชคให้ลาภอีกต่างหาก อุอุ ก็ธรรมดาคนไทยแหล่ะเน๊อะ บนเป็นพัน ถูกเป็นสิบ ก้อดังแร๊ ว่าแล้วเดี๋ยวเราไปเปิดสำนักกันมั่งดีกว่า เอามะพี่ชาย งิงิ คนมาหา 10 คน ก็บอกเลขไป 0-9 สิบคนสิบเลขพอดี ต้องถูกซักคนแน่นอน เดี๋ยวรวย งิงิ
ง้าย คุยอารัยเนี่ยะ วันโกนม่ายละ วันพระม่ายเว้นเรย ม่ายอาวแระ วันนี้วันโกน พรุ่งนี้วันพระ สงบปากสงบคำดีฝ่า งุงิ (นี่สงบแล้วหรือนี่ *-*)
แวะมาเจิม แล้วก็ไปวิ่งเล่นต่อคร้า จุ๊บ ๆ ๆ