40403 เช็งเม้ง 2554
"ความสุขของมาร คือการทรมานผู้คน" - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - หุบเขาคนโฉด, หมู่ตึกมารสำราญ, เช็งเม้ง 2554 zOOmzerO, Mausoleum, Qing-Ming
เทศกาลเช็งเม้ง (ไหว้สุสานบรรพบุรุษ) Blog Issue นี้ เป็นแนว Topical เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องไม่ใกล้ไม่ไกลตัว เดือนนี้เริ่มต้นกันด้วยวันเมษาหน้าโง่ (April Fool Day) ที่เป็นวันพิลึกดีแท้ ตามด้วยเทศกาลไหว้เช็งเม้งของชาวจีน แล้วยังมีวันสงกรานต์ในตอนกลางเดือน นี่ไม่รวมวันต่างๆที่ตั้งกันขึ้นมาใหม่ ช่วงนี้ใครได้ไปไหว้เช็งเม่งบ้าง มาคุยกันหน่อยซิ คำว่า เช็งเม้ง สำหรับผม ไม่ได้หมายถึงความเศร้าอาลัย แต่หมายถึงความสำราญในการไปเที่ยว ไปไหว้บรรพชน และทานอาหารกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ในวันนั้นจะได้ไปเจอญาติพี่น้องพร้อมหน้าพร้อมตากัน บางคนปีหนึ่งถึงจะได้เจอหน้ากัน บรรยากาศแบบนี้ ต้องเม้าท์กัน เรื่องสุสาน มีทั้งสุสานของคนตาย และของคนที่ยังมีชีวิตอยู่, เรืองคนไทยเชื้อสายจีนที่กำลังเปลี่ยนไป, และภาพคนจีนรุ่นก่อนในความทรงจำของผม .... ฯ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมไปถึงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ผมมักจะเห็นกองคาราวานของลูกหลานชาวจีน ที่ตื่นนอนกันแต่เช้ามืด เร่งรีบขนอาหารและข้าวของ ส่งเสียงล้งเล้ง สรวลเสเฮฮา รวมพลเสร็จก็ขึ้นรถตู้ มุ่งหน้าสู่จังหวัดรอบๆเมืองหลวง เช่น ชลบุรี สระบุรี นครปฐม ฯ จุดหมายปลายทางของพวกมนุษย์เลือดมังกรเหล่านี้ ก็คือ สุสาน (ฮวงซุ้ย) ของบรรพบุรุษ อาจจะเป็นสุสานทั่วไป หรือสุสานประจำกลุ่มเชื้อสาย สุสานที่เห็นคนไปกันเยอะๆ เช่น สุสานฮกเกี้ยน, สุสานไหหนำ, ...ฯ ผมเป็นคนปากไม่ดี ชอบมองว่าวันเช็งเม้งเป็นเหมือนวัน ฮวงซุ้ยปาร์ตี้ ถ้าไม่มองนอกกรอบ ก็จะไม่ใช่เอกลักษณ์ของจอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด ดังนั้น มามองต่างมุมกันหน่อย ... คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่า มีสุสานอะไรบ้างที่คนเขาไปกัน บอกแล้วว่าต้องคิดนอกกรอบ ดังนั้นคำตอบของผมจึงนอกกรอบจริงๆ อันดับที่ ๕ คือ สุสานของ William Shakespeare ที่เมืองStratford ประเทศอังกฤษ อันดับที่ ๔ คือ สุสานของ Princess Diana อันดับที่ ๓ คือ สุสานของ Frank Sinatra อันดับที่ ๒ คือ สุสานของ Elvis Presley อันดับที่ ๑ คือ สุสานของ Marilyn Monroe นอกเรื่อง แล้วก็กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า 555เช็งเม้ง ความจริงต้องออกเสียงว่า ชิงหมิง (qing ming) หรือ เฉ่งเบ๋ง แต่ช่างเถอะ เรียก เช็งเม้ง นี่แหละ คุ้นปากดี คำว่า เช็ง ก็แปลว่า สะอาด บริสุทธิ์ ส่วนคำว่า เม้ง ไม่ได้แปลว่า เอาฝ่ามือฟาดกระบาลใคร แต่แปลว่า สว่าง โชติช่วง วันสารทเช็งเม้ง จึงแปลความหมายได้ว่า วันเวลาแห่งความแจ่มใส เป็นเรื่องของความสุขในฤดูใบไม้ผลิ นี่ก็แปลว่า แต่เดิมเขาไม่ได้คิดว่าเป็นวันระลึกถึงผู้จากไป แบบนี้คงต้องมีตำนานที่มา ซึ่งเอาไว้คุยกันช่วงต่อไป การไปไหว้หลุมศพบรรพบุรุษ สิ่งที่สัมผัสได้คือ การแสดงความกตัญญู อันนี้ต้องเครดิตท่านขงจื้อ ที่สอนลูกหลานชาวจีนมาเป็นพันๆปี ทำให้ประเพณีดีๆแบบนี้สืบทอดมาถึงวันนี้ ผมอ่านเจอในเว็บเกี่ยวกับฮวงซุ้ย เขาอธิบายไว้เป็นข้อๆ แต่ผมขอเอามาสรุปแนวที่ตัวเองเข้าใจก็แล้วกัน ก็เป็นแบบนี้ ... 1. เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ดั่งคำว่า พ่อแม่ลำบากเพื่อให้ลูกหลานได้สบาย 2. เป็นการรวมกลุ่มของคนในตระกูล เชื่อมความสัมพันธ์ทางสายเลือดให้เข้มข้นยิ่งขึ้น 3. สร้างกรอบจริยธรรม เน้นที่ความกตัญญู เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม 4. เป็นการสร้างมรณานุสติ เตือนให้เห็นว่า คนเราอยู่ใกล้ความตาย อย่าประมาท ต้องทำความดีต่อกัน เป็นเรื่องแปลกที่ต้องกำหนดวันไปไหว้บรรพบุรุษ ในเมื่อคนเราตายไม่พร้อมกัน แต่ทำไมต้องไปไหว้พร้อมๆกัน ทำให้สุสานเกิดความแออัด ไม่ทราบว่ามีครอบครัวไหน เปลี่ยนวันเดินทางไปไหว้วันที่สะดวกกายสบายใจกันทุกคน ตั้งแต่โบราณ คนจีนรุ่นก่อนๆ ได้มีการแบ่งช่วงวันไปไหว้สุสานบรรพบุรุษเอาไว้ เป็น 2 ช่วงในแต่ละปี คือ เช็งเม้ง (ตอนต้นปี) และ ตังโจ่ย (ตอนปลายปี ประมาณเดือนธันวาคม) ทีนี้...ใครเจ็บป่วย หรือติดธุระ ไปไหว้รอบปกติพร้อมคนอื่นๆไม่ทัน ก็ไปไหว้อีกรอบได้ในช่วงตังโจ่ย (มี 2 ทางเลือก) สำหรับช่วงเทศกาลตังโจ่ย ก็จะมีการทำขนมอี้ จึงถูกเรียกว่า วันไหว้ขนมบัวลอย สมัยก่อนเคยเป็นวันสำคัญ เป็นวันหยุดทำงานกันเลย แต่เดี๋ยวนี้เอาแค่ไหว้ขนม ตำนานที่มาของวันเช็งเม้ง ถ้าเอาจากวิกิพีเดีย ก็จะได้ว่า กษัตริย์จีนพระนามว่า จิ้นเหวินกง ก่อนครองราชย์ เคยต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากไร้อยู่แดนไกลโพ้น โดยมีคนใช้ชื่อ เจี้ยจื่อทุย คอยดูแลรับใช้เป็นอย่างดี พอได้เป็นฮ่องเต้ พระองค์ก็ได้พระราชทานรางวัลมากมายให้ผู้มีพระคุณทั้งหลาย วันหนึ่งนึกขึ้นมาได้ว่า พระองค์ทรงลืมเจี่ยจื่อทุยไปเสียสนิท เลยรับสั่งสร้างบ้านให้ แต่เจ้าตัวบอกว่าขออยู่กับมารดา ตอนนี้ชอบอยู่แบบพอเพียงมากกว่า ฮ่องเต้เกิดคิดแผนพิเศษเพื่อใช้บีบบังคับ ด้วยการเผาภูเขาทั้งลูก (กะว่าถ้าไม่มีบ้าน ก็คงต้องยอม) แต่เกิดผิดพลาด ไฟไหม้แรงและเร็วมาก ทำให้เจี่ยจื่อทุยตายพร้อมมารดา พระองค์เสียพระทัย เลยสั่งให้ชาวบ้านทำการรำลึก ด้วยการห้ามก่อไฟทำอาหารในวันครบรอบวันตายของเขา ซึ่งจะเป็นวันก่อนวันเช็งเม้งหนึ่งวัน ต่อมาจึงรวมเอาสองวันมาเป็นวันเดียว อ่านมาตรงนี้ ชักจะไม่ค่อยเชื่อแล้วหละ เพราะแปลกๆยังไงๆอยู่ อีกตำนาน เอามาจากเว็บ fengshuitown บอกว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๖๑๘) มีบันทึกว่า ฮ่องเต้จะต้องไปเซ่นไหว้บรรพกษัตริย์ ปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกก็ตรงกับเทศกาลเช็งเม้ง และอีกครั้งก็ตรงกับเทศกาลตังโจ่ย นี่!!! แบบนี้ค่อยน่าเชื่อหน่อย แต่ก็ไม่ทราบว่า จะใกล้ความจริงแค่ไหน? สำหรับช่วงเช็งเม้งที่เราคุ้นๆกันนี้ เขายังสามารถแบ่งได้อีกเป็น 2 ช่วงเวลาได้อีก คือ วันที่ 21 มีนาคม 4 เมษายน เรียกว่า ชุนฮุน และ วันที่ 5 20 เมษายน เรียกว่า เช็งเม้ง ในประเทศไทย มีการกำหนดให้เทศกาลเช็งเม้ง นับวันที่ 5 เมษายนเป็นวันจริง และแถมวันก่อนวันจริง 3 วัน และหลังวันจริงอีก 3 วัน รวมแล้วเป็น 7 วัน ซึ่งปัจจุบันคนจีน(ในไทย) มักจะหลบเลี่ยงการเดินทางในช่วงนี้ พวกเขากลัวเรื่องจราจรจะเป็นจลาจล ผมว่ารถติดไม่น่ากลัวเท่ารถที่วิ่งเร็วมากๆบนทางด่วน หรือมอเตอร์เวย์ ความคิดเรื่องเบื่อรถติด จึงทำให้มีหลายคนรีบชิงไปไหว้ในช่วงก่อนวันจริง และมีบางครอบครัวที่ไหว้ 2 รอบ คือไปไหว้ที่สุสานรอบหนึ่งก่อนวันจริง และในวันจริงก็ยังมีการตั้งโต๊ะไหว้แบบง่ายๆที่บ้าน บางบ้านก็ยังตื่นเช้ามาใส่บาตรกรวดน้ำส่งบุญให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ทำดีอย่างนี้ก็ขอชื่นชมครับ เรื่องฝังศพนี่ บางทีไม่ได้คิดเอาไว้ก่อน พอจะทำ มันก็วุ่นวายไปหมด พลาดท่าโดนซินแสกำมะลอหลอกเอาเงินก็ได้ บางครอบครัวตัดปัญหา แม้จะเป็นคนจีน จัดงานศพแบบจีน มีพิธีกงเต็ก แต่สุดท้ายใช้วิธีเผาศพที่วัด แล้วลอยเถ้ากระดูก คนเป็นพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อนเพราะตน แม้ตายไปแล้วก็ไม่อยากให้ลูกเสียเงิน คนจีนในสมัยก่อนมีความเชื่อที่ว่า คนเป็นต้องกตัญญูคนตาย คนตายจะได้คุ้มครองคนเป็นให้อยู่เย็นเป็นสุข หากทำพิธีได้ถูกต้อง ยิ่งทำให้วิญญาณบรรพชนมีพลังสูง สามารถช่วยให้ลูกหลานค้าขายประกอบการงานรุ่งเรืองร่ำรวย พิธีการไว้ทุกข์และพิธีการเซ่นไหว้ของคนจีน เมื่อก่อนมีรายละเอียดเยอะ พวกสะใภ้ใหม่ที่แต่งงานเข้าไป ต้องรู้ว่าบ้านนั้นๆ จะต้องทำแบบไหนให้ถูกตามธรรมเนียมปฏิบัติ (คนจีนถึงไม่อยากได้ลูกสะใภ้คนไทย เพราะไม่รู้เรื่อง) พอมาถึงลูกหลานรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๔ อะไรๆก็เปลี่ยน พิธียุ่งยากโดนเปลี่ยนแปลง ก็ขอเตือนว่าอย่าไปทำอะไรพิลึกๆ ถ้าผู้ใหญ่มาทราบ อาจจะโดนตำหนิรุนแรง จะโดนโทษว่าไปทำให้ตระกูลเขาโชคร้าย หากเชื่อมากไปก็พาลจะเครียดจนเป็นบ้าได้ หาทางอยู่สายกลางจะดีกว่า โบราณว่า ฮวงซุ้ยดีๆ ไม่หันหน้าไปทางทิศเหนือหรือตะวันออก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป ซินแสจะต้องมาดูทิศว่าทิศไหนร้าย ทิศไหนดีให้เรา การเลือกทำเลเพื่อสร้างสุสานที่เหมาะสม เชื่อว่าจะเกิดพลังที่ดี แต่คงต้องแลกด้วยงบประมาณและเวลาอย่างมาก เพราะจุดดีๆก็โดนจับจองไปหมดแล้ว ที่ดินนั้นมีแต่ขึ้นราคาเรื่อยๆ ค่าวัสดุก่อสร้างก็แพง ปัจจัยสำคัญ คือ ปีเกิดของคนตายและคนเป็น(ญาติๆ) เป็นสิ่งที่ใช้คำนวนในการเลือกหาสถานที่และเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อคำว่า ทำแล้วต้องเฮง ในประเทศไทย ผมเห็นว่า มีหลุมศพจำนวนไม่น้อยที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนใหญ่ก็เน้นว่าด้านหน้ามีน้ำ ด้านหลังมีภูเขา เวลาไหว้ตอนเช้าๆ แสงแดดไม่แยงตา หลุมศพญาติใครหันหน้าทางตะวันออก แล้วมีคนทักเรื่องทิศไม่ดี เรื่องนี้ซินแส zoom แก้ไขได้ คือ ถ้าหลุมศพหันหน้าสู่ทิศตะวันออกแล้วถูกทักว่าไม่ดี ก็ให้ไปไหว้เช็งเม้งก่อนวันที่ 5 เมษา (คือไปในช่วงวันชุนฮุน) รับรอง เฮง เฮง เฮง สุสาน (Mausoleum) สุสาน ตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ว่ากันว่า มีด้วยกันถึง 3 แบบ ได้แก่ เจ่าอุ้ง แซกี และ ฮกกี สุสานเจ่าอุ่ง สร้างให้คนที่ยังไม่ตายเท่านั้น สุสานแซกี สร้างให้ทั้งคนที่ยังไม่ตายและตายไปแล้ว สุสานฮกกี สร้างให้คนที่ตายแล้วเท่านั้น ตอนนี้ ผมขอเสนอคำใหม่ คำว่า สุสานคนเป็น ซึ่งไม่ใช่ละครที่บิลลี่เล่นกับสิเรียม นะครับ แล้วอะไรคือ สุสานคนเป็น ??? อย่าเพิ่งปวดหัวนะครับ เดี๋ยวมีเฮ แต่ไม่ฮาทำไมถึงมีสุสานถึง 3 แบบ? ผมเข้าใจแบบนี้ ว่า สุสานเจ่าอุ่ง เป็นประเภทสุสานคนเป็น ทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเกิดจากความต้องการเสริมดวงบารมี หรือแก้ไขปีชง มักจะสร้างขนาดเล็กๆ (สิ้นเคราะห์แล้วก็จะรื้อทิ้งไป) ลองสังเกตดีๆ จะมีอยู่ทุกสุสาน มองแล้วคิดว่าสุสานเด็ก เพราะเป็นเนินดินเตี้ยๆ ผมคิดว่าไม่มีใครสร้างสุสานให้เด็กนะครับ ถ้าผิดก็ช่วยบอกกันด้วย ส่วนสุสานฮกกี (หรืออาจจะออกเสียงว่า ซิ่วกี) อันนี้เป็นสุสานที่เราๆคุ้นเคย เพราะมีเต็มไปหมด ใช้สำหรับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น สุสานนี้คนเป็นสร้างให้คนตาย ส่วนใหญ่ก็ลูกสร้างให้พ่อแม่ หรือสามีภรรยาสร้างให้อีกฝ่าย ที่น่าสนใจก็คือ สุสานแซกี เป็นสุสานลูกผสม ทำไมต้องสร้างแบบนี้? ผมว่า มันคือ 2 in 1 หรือ ใช้ได้แบบอเนกประสงค์ ในบรรดาสุสานทั้งหมดนี้ สุสานแซกี นี่แหละที่คุ้มกับการลงทุนมากที่สุด คือสร้างเอาไว้ให้ประโยชน์ได้ 2 ครั้ง ตอนแรกก็ตอนมีชีวิต เป็นสุสานคนเป็น เอาไว้เสริมดวงบารมี แก้เคราะห์ร้าย พอตายไปแล้ว ก็ให้ซินแสหาฤกษ์ดีๆ เอาศพไปบรรจุ ทำพิธีใหม่ (กลายเป็นสุสานฮกกี) ผู้ตายก็ทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองลูกหลานต่อไป ผมไม่ค่อยทราบว่ามีใครบ้างที่ได้สร้างสุสานคนเป็นเอาไว้ในประเทศไทยบ้าง เห็น หนะ เคยเห็นครับ แต่ไม่รู้จักเขาซิครับ คิดว่าในแต่ละสุสานจะต้องมีทั้ง เจ่าอุ่ง และ แซกี ปะปนอยู่ด้วยแน่ๆ คนที่สร้างสุสานคนเป็นนั้น ผมขอเดาว่าน่าจะเป็น เจ้าสัว นักธุรกิจที่ร่ำรวย หรือคนมีอำนาจ อาจจะสร้างสุสานกันตั้งแต่ช่วงเข้าวัยกลางคน ไปจนวัยแก่เฒ่า เหตุผลก็คือ คนเราบางครั้งโชคลาภ มาลอยอยู่ตรงหน้า แต่ไม่สามารถคว้ามาได้ (แถมยังมีคนคอยจะแย่งเอาไปอีกด้วย) ทำการค้าก็ต้องแข่งขัน ดังนั้นซินแสเก่งๆจึงแนะนำให้เสริมบารมีด้วยการสร้างสุสานคนเป็น เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนชะตากรรมใหม่ ทำให้ดวงรุ่งโรจน์ งอกแขน งอกขา สามารถค้นฟ้าคว้าดาวมาครอบครองได้หมดจักรวาล อย่างที่บอกไว้แล้ว สุสานคนเป็น เจ่าอุ่ง มักจะสร้างแค่ปีชง ปีนั้นปีเดียว แล้วทำการรื้อ (หรืออาจจะปล่อยทิ้งร้างไปเลย ซึ่งน่าจะไม่ดีถ้าทำแบบนั้น) จึงมีการเรียกสุสานแบบนี้ว่า สุสานวัยจร (หมายถึง ชะตาที่เคลื่อนหรือจรไปตามปีต่างๆ) คงต้องมีคำถามแน่นอนว่า เมื่อคนเป็นยังไม่ตาย แล้วในสุสานคนเป็น คุณจะใส่อะไรเข้าไป คำตอบคือ ไม่ใช่โลงเปล่าๆ ไม่ใช่ศพสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ไม่ใช่ว่างเปล่า!!! แต่เขาจะเอาเส้นผมของคนๆนั้น บรรจุเอาไว้ในโถอันสวยงาม (ทำให้นึกถึงโถแจกันใบใหญ่สูงเท่าคน แต่คนละเรื่องกันอย่าคิดตามนะครับ) เส้นผมนี้ต้องได้จากการกระตุกถอน เพื่อให้มีเลือดติดมาด้วย อุปมาว่า นี่คือ เนื้อ หนัง และเลือด ของผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสุสานแบบไหน ต้องเจอเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพง เพราะต้องเอาดวงคนตาย, ดวงคู่ครอง, ดวงบุตรหลาน ฯ นำมาพิจารณา อีกทั้งต้องหาฤกษ์ยาม ดูฮวงจุ้ย(ชัยภูมิ) ดูทิศทางโคจรของดวงดาว ดังนั้น ผู้จะสร้างสุสาน(ไม่ว่าแบบไหน) ถ้าคุณจะเดินเข้าไปสู่โลกของความเชื่อแนวนี้ คุณต้องหัดกำหนดว่า จะสร้างเพื่อเป้าประสงค์อะไร ถ้าอยากได้แค่ ลูกหลานสุขภาพดี ก็งบประมาณไม่มาก หากว่าจะเอาทั้ง ร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองและที่ดิน ศัตรู(ทางการค้า)แพ้พ่าย ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ มิตรสหายบริวารมากมายคอยค้ำจุน แบบนี้ มีเป็นล้าน ก็เอาไม่อยู่ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมา คุณกลายเป็นเศรษฐีพันล้าน คุณว่า คุ้มหรือไม่? ผมเชื่อในเรื่องที่ว่า ถ้าเราเป็นคนดี ทำดี เมื่อต้องเผชิญกับภัยอะไร ก็ไม่ต้องไปหวั่น การยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ปอดของใคร ก็ปอดของมัน จริงไหมครับ? สุสานแซกี ในวันนี้มีข่าวว่า เริ่มเป็นที่นิยมของคนไทยเชื้อสายจีนหลายคน บางคนไม่เรียกว่า สุสานคนเป็น แต่เรียกว่า สุสานฝังหลอก (ทำยังกับเผาหลอก เผาจริง) แน่นอนครับ ย่อมมีหลายคนไม่สนใจ ไม่เคยสนใจ บางคนรำคาญ บางคนถึงกับเกลียดเพราะคิดว่าเป็นการหลอกลวงของหมอดูหมอเดา แต่ถ้าคุณเป็นคนจีนแล้วยังทำเป็น เอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ ไม่แน่นะครับ วันหนึ่งข้างหน้า เรื่องนี้อาจจะเดินเข้ามาหาคุณ และกดดันคุณ จนคุณหาทางออกไม่เจอ เมื่อ.... - หมอดูหลายคนพากันทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่า ดวงคุณตกสุดขีด ชะตาขาด - คุณป่วยแบบว่า หมอไม่ให้ความหวังอีกแล้ว ไล่กลับบ้านไปรอมัจจุราช - คุณไม่ได้ป่วย แต่คุณอยู่อย่างไม่เป็นสุข ทรมาน จิตตก ขี้หงุดหงิด ทำอะไรก็ซวยตลอด - หรือ อาจจะไม่ใช่คุณ แต่กลายเป็นพ่อแม่ของคุณ ที่เข้าข่าย 3 อย่างข้างบน - ไม่มีทายาท หรือมี แต่เหมือนได้วัชพืชมาสืบตระกูล อยากได้ลูกคนมากกว่าลูกฟาย - คนในบ้านมีแต่เรื่องเคราะห์ร้าย เสียแต่ทรัพย์ เจ็บตัว เสียรู้คน ของหาย ฯ - อันนี้มาใหม่สุด...กำลังฮ๊อต คือ โดนคดีความ เขาจะฟ้องจนหมดตัวอยู่แล้ว ฯลฯ เรื่องราวของสุสานนั้น อาจจะไม่มีใครเขาเอามาคุยกัน อย่าเบื่อเลยนะ ผมมันคนไม่ปกติ สำหรับผมนะ เรื่องนี้มีมุมมองมากมาย แบบว่าเอา Harddisk ขนาดร้อยเทราไบท์มาเก็บก็ยังไม่หมด ธรรมเนียมบางอย่างก็น่าสนใจ น่าคิด ว่าเขาให้เราทำไปทำไม ซ่อนกุศโลบายอะไรไว้หรือเปล่า บางเรื่องมีเหตุผลลึกซึ้งจนมึนตึบ บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็ยากที่จะเชื่อ อย่างเช่นเรื่องที่ผมจะเอามาเล่าต่อไปนี้ ที่ไต้หวันมีคหบดีท่านหนึ่งชื่อ หยังจื่อเหอ เขาเป็นคนดี มีครอบครัวแล้ว (แหม...เหมือนใครนะ) มีภรรยาเพียง 1 คน มีลูกสาว 6 คน ว้า... (ทำไมต้อง ว้า) ปัญหาคือ เขาอยากได้ลูกชายมาสืบทอดกิจการ เขาจึงไปหาซินแสชื่อ จางจื่อนำ เพื่อให้ช่วยสร้างสุสานแซกี เพื่อให้เปลี่ยนดวงชะตา ซินแสถามว่าอยากได้ลูกชายกี่คน คุณจางบอกว่า เอาเยอะๆ ซินแสจึงเขียนชื่อคุณจาง และตั้งชื่อลูกชายให้อีก 5 คน แล้วเขียนชื่อเหล่านั้น รวมไว้บนป้ายหลุมสุสานแซกีที่สร้างใหม่อันนั้น ต่อมาคุณนายจางคลอดลูกชายให้คุณจางจื่อนำจนครบ 5 คนได้จริงๆ (สรุปมีลูกเกือบโหล) กิจการงานของครอบครัวนี้ก็เจริญรุ่งเรือง (ว๊าว!! ยิ่งกว่าเรื่องใน forward mail เสียอีก) เมื่อย้อนไปในอดีต การไปไหว้เช็งเม้งไม่ใช่เรื่องสนุกๆ ไหนจะต้องจัดเตรียมอาหาร ต้องหาพาหนะ(กรณีที่ไปกันหลายคน ต้องหารถตู้ หรือรถกระบะ) ต้องติดต่อญาติ นัดเวลากันให้ลงตัว บางตำราบอกว่า ก่อนไปเช็งเม้งหนึ่งวัน ต้องทานอาหารเจ เรื่องนี้ก็มีแค่ไม่กี่ครอบครัวทำกัน เหตุผลก็คงคิดว่า เป็นการทำบุญสร้างกุศลให้บรรพบุรุษ การไปไหว้เช้งเม็งนี่เป็นการถือปฏิบัติตามขงจื้อก็จริง แต่คงไม่แปลกถ้าจะแทรกการทำกุศลแบบอื่นๆนะครับ วัฒนธรรมของคนจีนหรือคนไทยที่เติบโตในประเทศไทย มักจะเป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน เรื่องของเซ่นไหว้ ก็ต้องเตรียมไว้ 2 ชุด ชุดแรกสำหรับไหว้เจ้าที่ และอีกชุดสำหรับไหว้หน้าหลุมศพ ของที่ใช้ไหว้ก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกตามใจ(ปาก)คนเป็น คุณต้องทราบกันบ้างว่า ควรจะมีน้ำชา กระดาษเงิน กระดาษทอง ขนม ผลไม้ เทียนแดง ธูป เส้นหวาย(หรือไม้ไผ่) สายรุ้งหลากสี และที่เห็นแล้วต้องขอบอกว่า มันอาจจะไม่ดี คือ ธงเล็กๆ และการจุดประทัด ใครที่ได้ไปไหว้เช็งเม้ง จะเห็นว่า มีการโรยด้านบนหลุมศพด้วยดอกไม้ และมีสายรุ้งหลากสี มีช่วงหนึ่งที่ชอบเอาธงเล็กๆมาปักเต็มไปหมด พอมีคนบอกว่าเขาห้ามเอาของแหลมปักบนเนินหลุมศพ เพราะเปรียบเหมือนหลังคาบ้าน หลังคาเขาจะทะลุ ทีนี้เลยเลิกทำกันไปเลยชาวไทยเชื้อสายจีน ในประเทศไทย มีชาวจีนโพ้นทะเลอพยพเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย พวกเขาได้ร่วมมือกับคนไทยสร้างบ้านแปลงเมืองมาโดยตลอด (แต่ในพงศาวดารมักจะเขียนให้คนจีนไปอยู่ฝ่ายที่ไม่ค่อยจะดีเลย) วัฒนธรรมของคนไทยและคนจีนต่างก็หล่อหลอมในตัวตนของคนจีนในไทยรุ่นต่อๆมา เชื่อว่าในประเทศไทยมีคนที่มีเชื้อสายจีนอยู่ไม่น้อยกว่า 25% เท่าที่ทราบ ก็มี จีนแต้จิ๋วหรือกวางตุ้ง จีนแคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ โดยมีคนแต้จิ๋วอยู่ในสัดส่วนมากที่สุด นอกจากนี้ ก็ยังมีจีนอีกกลุ่มที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยทางบก (มาทางพม่าและลาว) ได้แก่ พวกจีนฮ่อ คนจีนอาจจะเข้ามาประกอบอาชีพต่างมากมาย แต่ที่โดดเด่นน่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินนี่แหละ ว่ากันว่าคนจีนที่เข้ามาประกอบอาชีพขายอาหารรสเลิศ สามารถสร้างชื่อเสียงมาแต่รุ่นอากงอาม่าโน่น ก็เห็นจะเป็น จีนไหหลำและฮกเกี้ยน แต่ผมว่า จีนกลุ่มไหนๆก็ทำอาหารได้อร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ทุกวันนี้ เด็กๆหน้าตาตี๋หมวยในประเทศไทย ควรจะเรียกว่า ลูกครึ่ง แต่ทำไมเราไม่เรียกแบบนั้น คำว่าลูกครึ่ง กลายเป็นคำเรียกพวกเด็กเลือดไทยผสมฝรั่ง แล้วยิ่งแปลกนะ คนที่มีพ่อก็จีน แม่ก็จีน ถ้ามีลูกออกมา เด็กเกิดในไทย ก็ถูกเรียกว่า ชาวไทยเชื้อสายจีน ไม่นิยมเรียกว่า ลูกจีนเกิดในไทย หรือ เด็กจีนสัญชาติไทย พวกเขาได้สัญชาติไทยเพราะเกิดในเมืองไทย แต่ผมไม่แน่ใจว่าในข้อมูลส่วนตัว เช่น ในบัตรประชาชน เขาจะเขียนว่า เชื้อชาติไทย+สัญชาติไทย หรือเปล่า? เด็กจีนรุ่นใหม่พวกนี้ พอโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว อาจจะกลายเป็นคนไทยสมบูรณ์แบบไปเลยก็ได้ ผมมองว่าคนรุ่นหลานเหลนของชาวจีนโพ้นทะเลที่มาเกิดในเมืองไทยนั้น พอได้เติบโตที่เมืองไทย ก็ไม่อยากจะเป็นคนจีน บางคนพูดจีนไม่ได้ อ่านภาษาจีนไม่ได้ ไม่คิดจะไปเที่ยวเมืองจีน ไม่รู้จักท่านประทานเหมา และบางคนถูกอิทธิพลของวัฒนธรรมของชาติต่างๆหุ้มห่อเอาไว้ จนบางคนหลงลืมความเป็นจีนของเลือดในกายตนเอง เผลอๆคิดว่าตัวเองเป็นคนเกาหลีไปเสียอีก ผมเชื่อว่ามีลูกหลานจีนในไทยหลายคนที่ไม่เคยสัมผัสกับเทศกาลเช็งเม้ง อาจจะด้วยเหตุผลว่า ครอบครัวไม่ได้มีสุสานของบรรพบุรุษ หรือ มี แต่พยายามเลี่ยงที่จะไม่ไป (สุดแล้วแต่สาเหตุส่วนตัว ไม่อยากแขวะคนที่ครอบครัวแตกแยก เดี๋ยวจะโกรธเอา) ส่วนคนเชื้อสายจีนที่เป็นระดับพ่อแม่ ทุกวันนี้ก็เริ่มจะไม่ค่อยยึดกับธรรมเนียมจีนของเดิมๆกันแล้ว มีวิธีจัดการไหว้บรรพบุรุษแบบง่ายๆสบายๆ คนจีนแก่ๆบางคน บอกลูกๆว่าขอให้จัดงานศพแบบคนไทยก็ได้ ไม่อยากรบกวนลูกหลาน ผมว่าแกคงไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงินทองมากกว่า หรือไม่ก็คงกลัวว่าในอนาคต จะไม่มีใครไปไหว้ที่หลุมศพ เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว การมีสุสานก็เป็นภาระของคนรุ่นต่อๆไปจริงๆนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ ใครๆ อะไรๆ ก็ดูจะเอาแต่ใจตัวเองมากยิ่งขึ้น(แปลว่า เห็นแก่ตัว ครับ) เลยทำให้เช็งเม้งกลายเป็นเรื่อง ที่เหมือนกับการไปไหว้อะไรสักอย่าง ที่คิดว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ ไปไหว้แล้วจะโชคดี คนอื่นๆจะได้มองว่าเราเป็นคนดีมีความกตัญญู แต่..เอาหละ...การยอมเสียสละเวลาไปไหว้พร้อมหน้ากันนี่ก็เรียกว่า ทำดีระดับหนึ่งแล้ว คิดแบบนั้นก็ได้นะ ไม่ปวดหัวดี ในประเทศไทย โรงเรียนที่มีการสอนระดับมัธยม จะมีการสอนในภาควิชาที่เรียกว่า ศิลป์ภาษา และในวันนี้ วิชาภาษาจีน ก็เริ่มเป็นวิชาที่มีคนอยากเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะว่าการค้าขายระดับชาติ ย่อมหลีกเลี่ยงคนที่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาพูดในทางธุรกิจไม่ได้ แต่จะมีลูกหลานคนจีนกี่คนที่เรียนภาษาจีน เพราะเข้าใจว่าบรรพบุรุษของตนมาจากประเทศจีน เมื่อเอ่ยถึงการเรียนภาษาจีน ผมเชื่อว่ามีโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาจีนหลายแห่งในประเทศไทย และส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ ก็เห็นจะมีโรงเรียนที่โด่งดังมาก ชื่อ โรงเรียนเผยอิง (หรือ ป้วยเอง) อยู่ที่เยาวราช เปิดมานานถึง 90 ปีกว่าๆ ศิษย์เก่าที่นี่ ได้แก่ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์, เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี, อากู๋ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ฯ คงต้องถามกันหน่อยว่า เคยเห็นคนจีนแก่ๆ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษาจีนกันหรือเปล่า? แล้วคุณคิดว่าในเมืองไทยมีหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์เป็นภาษาจีนกี่ฉบับ ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ อาจจะมีถึง 8 ฉบับ แต่เท่าที่ทราบ ก็เป็น ซิงเสียนเยอะเป้า, ตงฮั้วเยอะเป้า, และ สากล(ชื่อแบบนี้จริงๆ) ผมเป็นเด็กที่โตมาในย่านคลองเตย เป็นถิ่นของคนจีนที่มีความขยันขันแข็งอาศัยอยู่มาก (ถึงจะมีจำนวนประชากรน้อยกว่าแถวย่านเยาวราชก็เถอะ) ที่ตลาดคลองเตยนั้น ตอนนั้นมีอาหารจีนอร่อยๆให้เลือกทานเยอะแยะมากมาย ที่นี่ผมได้เห็นพวกพ่อค้าคนจีนรุ่นบุกเบิกและรุ่นที่สองหรือสาม ส่วนใหญ่เป็นคนขายอาหาร ที่ต้องมีหาบและแบกมาขาย ลูกค้าไม่ต้องเดินไปไหน นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ก็มีของกินอร่อยๆมาเสิร์ฟที่หัวบันได รูสึกว่าจะไม่เคยมีแม่ค้าคนจีนแบกของเร่ขาย พวกหาบขนมหรือข้าวราดแกงมักจะเป็นคนไทย ส่วนพวกแม่ค้าผิวขาวๆ จะพบเห็นก็แต่ในตลาดสดกับร้านโชห่วย ตอนเด็กๆ ผมมักจะนึกสงสารคนจีนที่โดนจำกัดเรื่องงาน เพราะวุฒิการศึกษา และการพูดการใช้ภาษาไทย ไม่มีคนจีนได้ทำงานรับราชการ ต้องรอให้รุ่นลูกหลานที่เรียนจบโรงเรียนไทยเสียก่อน แล้วอีกเรื่องนะครับ คือ ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมเคยมีคุณครูสอนหนังสือที่เป็นคนจีนตอนเป็นเด็กเล็กๆบ้างหรือเปล่า? จำได้ว่ามีแต่ครูคนไทย ซึ่งดุมากๆ พอตอนเรียนมัธยมปลายนี่แหละ ถึงจะได้เป็นลูกศิษย์คุณครูเชื้อสายจีนหลายท่าน คุณว่ามั๊ย!!! ในวันนี้คุณพ่อคุณแม่เชื้อสายจีน ที่เข้าสู่ยุคดิจิตอล พวกเขากลายเป็นมนุษย์เงินเดือนกันเกินครึ่งไปแล้ว? ย้อนไปในอดีต ผมยังนึกภาพอาแป๊ะหรืออาเฮีย ใส่เสื้อกล้ามสีขาว(ตราแมวลอดห่วง) เป็นเสื้อตัวใน แล้วสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวตัวหลวมๆ ใช้เชือกผูกแทนกระดุม สวมกางเกงขาก๊วย ขาลอยนิดๆ ใส่รองเท้าแตะ(หรือเกี๊ยะไม้) สวมหมวกทรงแฮรี่ พอตเตอร์ ที่ทำจากไม้ไผ่สาน มีคานและหาบคู่ ส่วนน้อยที่ค้าขายด้วยจักรยานสองล้อหรือรถเข็น เท่าที่นึกได้ คนที่ขายก๋วยเตี๋ยวบางคนถึงจะใช้รถจักรยานสามล้อ และก็เป็นเตาถ่าน ขอลอง นั่งนึกอีกที (ทำท่าแบบเณรน้อยเจ้าปัญญา) อาหารที่คุณแม่ผมเคยซื้อจากพ่อค้าคนจีนในย่านคลองเตย (ในสมัยก่อนโน้นนนน...) ผมว่า ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ กุ๋ยฉ่าย จุ๋ยก้วย กระเพาะปลา ขนมจีบ-ซาละเปา ตือฮวนเกี่ยมฉ่าย ห่านพะโล้ เปาะเปี้ยสด ฯ นอกจากของกิน ก็มีอย่างอื่นอีก เช่น ย้อมผ้า ขายขวด(รับซื้อขวดเหล้า) ซ่อมรองเท้า ส่วนอาชีพที่พ่อค้าคนจีนทำแล้ว กลายเป็นเศรษฐี เห็นจะมี พวกร้านขายยา เจ้าของโรงงาน โรงสีข้าว ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า และร้านขายทอง ฯ เอกลักษณ์ของพ่อค้าชาวจีนที่ผมชอบ คือ การร้องเสนอขายสินค้าเสียงดังๆ ส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีน ฟังแล้วไม่ชัดเจน แต่รู้ว่าจะมาขายอะไร ชีวิตในวัยเด็กของผม พอสายๆก็ได้ยินเสียงพ่อค้าคนจีนร้องขายของ ผมยังไม่ลืมขนมจีบที่อร่อยมาก และกระเพาะปลาที่แถมเส้นหมี่ขาวให้ด้วย ว่าแล้วก็หิวอีกแล้ว เมื่อประมาณปี ๒๕๒๖ ผมเคยไปนอนค้างที่บ้านคุณหมอสามีภรรยา (เป็นหมอทั้งสองคนเลย) บ้านท่านอยู่แถวสมุทรปราการ ในบ้านนั้น ตรงห้องรับแขก จะมีหาบขายกระเพาะปลาเป็นทองเหลืองแท้ๆ เมื่อได้ถามคุณหมอหญิง ท่านบอกว่าท่านเป็นคนย่านโบ้เบ้ มีคุณพ่อเป็นคนจีนแบกหาบกระเพาะปลาขาย คนแถวนั้นรู้จักกันดี ตอนนี้คุณพ่อของท่านได้เสียไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องมือหากินก็สูญหายขายทิ้งไปนานแล้ว ท่านบอกว่า พอไปตรงไหนแล้วได้เห็นร้านขายกระเพาะปลา ก็อดคิดถึงพ่อผู้มีพระคุณไม่ได้ เลยให้คนไปหาซื้อหาบขายกระเพาะปลามาไว้ เพื่อเตือนให้นึกถึงที่มาของตนเอง ผมเอง...ถ้ามีพ่อเป็นคนขายขวด ก็ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าได้ยินคนร้องตะโกนว่า ขวดมาขาย แล้วจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้หรือเปล่า?VIDEO พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ (酒干倘卖无 )จิ๊วกั๊นทังโบ้ยบ่อ ข้ามไปอ่านของใหม่(อันถัดไป)Link ไปที่ blog 40417 ผู้หญิงขับรถ (ทำไมต้องว่า) ย้อนกลับไปอ่านของเก่าLink ไปที่ blog 40314 ไปดวงจันทร์ Link ไปที่ blog 40301 Broken Bed ... Link ไปที่ blog 40214 ความรักในวันแห่งความรัก Link ไปที่ blog 40129 ไท้ส่วยเอี้ย เทพแก้ไขเคราะห์กรรม Link ไปที่ blog 40108 วัดเก่าบนเขาบางทราย Link ไปที่ blog 31231 สิ้นปี ๒๕๕๓ ทิ้งความทุกข์
Create Date : 03 เมษายน 2554
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 19:07:08 น.
60 comments
Counter : 5262 Pageviews.
โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:0:38:29 น.
โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:0:38:57 น.
โดย: << Jampada >> (zoomzero ) วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:0:45:05 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:7:30:26 น.
โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:16:32:48 น.
โดย: enjoydvd วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:21:56:38 น.
โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:22:17:58 น.
โดย: Jampada IP: 115.87.131.143 วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:22:54:47 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:5:53:16 น.
โดย: jampada IP: 58.9.141.211 วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:21:20:37 น.
โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:22:59:15 น.
โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:23:00:33 น.
โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:23:19:54 น.
โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:23:45:38 น.
โดย: zoomzero วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:7:33:29 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:18:15:55 น.
โดย: jampada IP: 61.90.75.198 วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:19:57:35 น.
โดย: zoomzero วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:22:43:48 น.
โดย: zoomzero วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:23:35:21 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:4:25:28 น.
โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:6:51:41 น.
โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:16:48:33 น.
โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:18:01:36 น.
โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:21:33:14 น.
โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:23:06:20 น.
โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:23:55:05 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:18:51:19 น.
โดย: conio.h วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:20:32:01 น.
โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:0:03:23 น.
โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:0:03:49 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:7:20:07 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:19:48:56 น.
โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:20:52:12 น.
โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:21:07:59 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:3:59:48 น.
โดย: zoomzero วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:12:55:40 น.
โดย: zoomzero วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:21:52:47 น.
โดย: ่jampada IP: 115.87.155.71 วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:22:07:36 น.
โดย: zoomzero วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:23:10:01 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:6:37:59 น.
โดย: zoomzero วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:13:55:09 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:20:03:44 น.
โดย: zoomzero วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:21:15:17 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:5:25:59 น.
โดย: zoomzero วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:17:44:20 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:19:07:56 น.
โดย: zoomzero วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:0:03:54 น.
โดย: zoomzero วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:20:01:43 น.
โดย: haiku วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:11:38:37 น.
โดย: นู๋ Beee น้องสาวคิวทอง IP: 124.121.14.130 วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:14:34:20 น.
โดย: zoomzero วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:17:02:43 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:7:45:57 น.
โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:11:04:11 น.
โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:11:06:59 น.
โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:21:28:29 น.
โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:23:09:52 น.
โดย: zoomzero วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:22:47:24 น.
โดย: มินทิวา วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:7:11:54 น.
โดย: zoomzero วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:18:34:01 น.
โดย: zoomzero วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:21:07:02 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
ของทุกอย่างในโลกมี 2 ด้าน ถ้าเริ่มต้นก็คิดแต่ว่า สิ่งนั้นมีแต่ด้านดีด้านเดียว หรือเลวสุดขีด ต่อให้ศึกษาสิ่งนั้นไปอีกพันๆปี ก็ไม่มีวันเข้าใจ แต่ถ้าเปิดใจมองให้เห็นทั้งสองด้าน และหาความพอดีกับการอยู่กับสิ่งนั้นได้ ... ความสุขย่อมมาคู่กับความทุกข์ เพราะสุขเป็นของไม่เที่ยง เมื่อติดสุข แล้วไม่มีสุขมาให้ชื่นใจ จิตก็จะเป็นทุกข์ ความสงบจึงเป็นของที่เราท่านควรปฏิบัติ ... การตั้งตัวเป็นจอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด จึงไม่หวังให้ผู้ใดมีสุข ไม่อยากให้คนยึดติดกับสุข หากแต่อยากให้พ้นทุกข์ และได้พบกับธรรมมะของจริง ดั่งคำว่า "ไม่มีมาร อรหันต์ไม่เกิด" 555 ...
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
ข้อที่หนึ่ง เตรียมของ
ต้องเตรียมอาหารต่างๆ เน้นแห้งๆเอาไว้ จะได้ไม่หกเลอะเทอะ
ต้องเตรียมของไหว้ พวกธูป เทียน
เส้นหวาย สายรุ้งหลาก กลีบดอกไม้หลากชนิด
เสื่อ ผ้าพลาสติก ร่ม กระติกน้ำแข็ง กระติกน้ำร้อน กาชงชา ถ้วยชา ถ้วยน้ำ น้ำดื่ม เครื่องดื่ม
ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปทำความสะอาด อาจจะต้องมีไม้กวาด ถังน้ำ ผ้าเช็ดพื้น
มีดหรือกรรไกรตัดหญ้า แปรง สีทาป้ายชื่อ
มีกฏว่า ป้ายชื่อคนตาย ใช้สีเขียว หรือสีทองขลิบขอบเขียว
ส่วนสุสานคนเป็น ใช้สีแดง เท่านั้น
ส่วนใหญ่ จะมีการโทรศัพท์ไปบอกให้เจ้าหน้าที่สุสานมาทำความสะอาด
ไปถึงก็จ่ายเงิน ไม่ต้องเหนื่อย
อ้อ...ตอนเช้า ถ้าเอากระติกน้ำแข็งไป ก็อย่าลืมแวะซื้อน้ำแข็งด้วย
เกิดเจอวันแดดแรงๆ จะหิวน้ำจนตาลาย
ข้อที่สอง ไหว้เจ้าที่
เรื่องแรกเมื่อเข้าพื้นที่ ก็ต้องหา ศาลเจ้าที่ ให้เจอก่อน
ใช้เทียน 1 คู่
ธูป 5 ดอก
อาหาร ควรไหว้แต่ผลไม้และขนม (เน้นว่าเป็นของเจ ดีที่สุด)
ชา 5 ถ้วย
เหล้า 5 ถ้วย
กระดาษเงิน
กระดาษทอง
ข้อที่สาม กองทัพเดินด้วยท้อง
สุสานใหญ่ๆ มักจะมีโรงทาน มีข้าวต้มให้ทานฟรี
มีอาหารเจ เช่น ผักดองเปรี้ยว ผักดองหวาน ถั่วทอด หัวผักกาดดอง
สุสานที่ผมไปนั้น มีอาหารตามสั่ง เช่น ไข่เจียว ผัดผักบุ้ง
ด้านหน้ามีก๋วยเตี๋ยวร้อนๆขายด้วย
ด้านในโรงทานก็มีห้องน้ำสะอาด ใช้ล้างหน้า ล้างมือ
แนะนำว่า ควรทานอะไรเพื่อรองท้อง และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
ถ้ามีคนแก่ไปด้วย จำเป็นที่จะต้องให้ท่านทานอะไรบ้าง
เกิดฝนตก หรือรถเสีย จะได้ไม่วุ่นวายกลางพื้นที่แบบนั้น
บางที่เขามีน้ำร้อน เราจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้
หรือชงชา กาแฟ แบบ 3 in 1
ถ้าไม่ได้เตรียมน้ำร้อนมาชงชา ก็ต้องไปถามโรงครัวดู
รับรองว่า ในสุสานแถวหลุมฝังศพ ไม่มีน้ำร้อนให้แน่ๆ
ข้อที่สี ทำความสะอาดหลุมศพ
บางที่ เช่น งสุสานไหหนำ เขาเอารถยนต์ รถตู้ รถทัวร์ แล่นไปใกล้ๆหลุมได้เลย
บางที่ อันที่ผมไปไหว้ เอารถเข้าไปได้ แต่ต้องจอดริมถนนลูกรัง
แล้วแบกของเดินเท้าเข้าไปตามทางเดินแคบอีกสองสามร้อยเมตร
ตอนนี้ ถ้าไม่ได้ทำความสะอาดหลุมศพ ก็ต้องทำ
แต่ถ้ามีความพร้อม คือโทรศัพท์มาบอกเขาก่อน
เขาก็จะมีคนมาดูแลให้
เดี๋ยวนี้มีค่าปลูกหญ้า จ่ายกันเป็นรายปี
และมีค่ากางผ้าใบ กันแดดกันฝน (ทุกอย่างเป็นเงินหมด)
ส่วนใหญ่ก็ต้องทาสีป้ายหินหน้าหลุมศพ ภาษาจีนเรียกป้ายนี้ว่า เจียะปี
ห้ามไปนั่งทับ นั่งบัง หรือเอาของไหว้มาวางปิดหน้าป้ายนี้ (ไม่รู้ไม่เป็นไร)
ควรเตรียมกระถางธูปมา ห้ามปักกับพื้นดิน
อาจจะใช้ฟักหั่นเป็นแว่นใหญ่ๆ ซึ่งหน้าสุสานจะมีขาย
ข้อที่ห้า ตกแต่ง
ถ้ามีดอกไม้ ให้โปรยบนหลังเต่า หรือด้านบนหลุมศพ
ถ้ามีสายรุ้ง ก็ช่วยกันโยงและวางพาด
กำหนดว่าจะวางของที่เตรียมมาตรงไหน
กำหนดว่าจะวางของไหว้ตรงไหน จัดการปูเสื่อ หรือผ้ายาง
ข้อที่หก จัดวางของไหว้
เทียน 1 คู่
ธูป ...
ชา
เหล้า
ข้าว
กับข้าว เช่น หมู เป็ด ไก่ ไข่ต้ม ผัดผัก ผัดหมี่ แกงจืด แกงเผ็ด พะโล้ ซาละเปา ไส้กรอกทอด ...
ผลไม้
ขนม ขนมเค้ก ขนมอี๋ ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่
กระดาษเงิน
กระดาษทอง
เรื่องธูปนั้น เป็นเรื่องสับสนนิดหน่อย
ตามตำรา บอกว่า จุดเท่าจำนวนชื่อในป้าย
ตามคนชรา บอกว่า จุดเท่าจำนวนคนตาย เท่าที่ตั้งใจเชิญเขามารับของเซ่นไหว้
แต่ที่เห็นๆทำกันอยู่ คือ แจกธูปให้คนเป็นทีไปไหว้ด้วยกัน คนละ 1 ดอก
ข้อที่เจ็ด ต้องมีผู้นำ
ในการไหว้บรรพชน จะต้องผู้อาวุโสเป็นคนจุดเทียน ธูป
เทน้ำชา
กล่าวคำเชิญ
ต้องไหว้ 3 ครั้ง (จุดธูปครั้งเดียว)
พอธูปใกล้หมด ให้ทำการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง
ต้องเอาหวายมาล้อมเป็นวงกลม และเผาของในวงนั้น
ซึ่งทางปฏิบัติทำไม่ได้ เพราะลมจะพัดกระดาษติดไฟให้ปลิวว่อน
ปัจจุบัน มีถังน้ำมันตัดครึ่งเอามาให้ แค่เอาหวายล้อมรอบฐานของถังก็พอ
แค่นี่ก็เสร็จแล้ว แต่มีบางที่ ไม่จบแค่นั้น
ว่ากันว่า เคยมีคน ทานอาหารกันหน้าหลุมศพกันเลย
ถ้ามีหอยแครงลวก ก็จะเอาเปลือกโยนไว้บนหลังเต่า
ความหมายคือให้มีลูกหลานมากๆ
ปัจจุบัน คงไม่มีใครอยากมีลูกมาก
ไม่มีใครทนนั่งยองทานอาหาร
ไม่มีใครกล้าทานท่ามกลางหลุมศพ
และเปลือกหอยก็เป็นเศษเหลือจากอาหาร น่าจะไม่สะอาดถ้าโยนทิ้งเอาไว้
จีงไม่เห็นมีการกระทำแบบนี้
เมื่อก่อน จะมีการมาดายหญ้า และโกยดินขึ้นบนหลังเต่า
เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำกันแล้ว
เมื่อก่อน จะปลูกดอกไม้ หรือเอากระถางต้นไม้สวยงามวางไว้
ซึ่งถ้าไม่รดน้ำ มันก็ตาย
ทุกวันนี้ไม่มีใครทำ เว้นแต่จ้างเขาทำเป็นสวนเล็กๆไปเลย
เรื่องจุดประทัด
คนที่จุดก็เชื่อว่า เป็นเรื่องดี ก็จะอ้างเหตุผลกันไป
คนที่ไม่ชอบจุด ก็ว่า มันเสียงดังรบกวนคนอื่น มันสิ้นเปลือง
มีเรื่องเล่าว่า ที่สุสานแห่งหนึ่ง มีการจุดประทัดแล้วเกิดไฟไหม้ผ้าใบบังแดด
ต่อมาครอบครัวนั้นเสียชีวิตหมด ญาติไปดูดวงมา
ต้องมาย้ายสุสานไปสร้างกันที่ใหม่
ซินแสบอกว่า จุดประทัดต้องดูทิศ จุดผิดตำแหน่ง ภัยร้ายมาถึงตัว
เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องหลอกกัน เพราะคนเราเกิดแก่เจ็บตาย
คงไม่ได้อยู่ที่ประทัดไม่กี่ดอก
เนื่องจากความเชื่อเรื่องสร้างสุสานหรือฮวงซุ้ย เป็นของลัทธิเต๋า
สุสานจีน จึงไม่มีหลวงจีน ไม่มีวัด ไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีนักบวช
ต่างกับศาสนาพุทธที่มักจะบรรจุอัฐิบรรพชนเอาไว้ในเจดีย์ หรือช่องกำแพงวัด
ซึ่งเมื่อไปไหว้ ก็มักจะนิมนต์พระมาทำพิธีบังสุกุลให้
รูปแบบแตกต่าง แต่ความกตัญญู ไม่มีใครน้อยกว่าใคร