หุบเขาคนโฉด ไม่ใช่ไอศครีม ไม่ต้องเข้ามาเลีย หรือเชียร์จนละเหี่ยใจ แต่ขอแค่ความจริงใจ ของคนกล้าคิด ไม่ติดอยู่ในกรอบ
40403 เช็งเม้ง 2554


"ความสุขของมาร คือการทรมานผู้คน"
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หุบเขาคนโฉด, หมู่ตึกมารสำราญ, เช็งเม้ง 2554
zOOmzerO, Mausoleum, Qing-Ming

เทศกาลเช็งเม้ง (ไหว้สุสานบรรพบุรุษ)





Blog Issue นี้ เป็นแนว Topical เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องไม่ใกล้ไม่ไกลตัว เดือนนี้เริ่มต้นกันด้วยวันเมษาหน้าโง่ (April Fool Day) ที่เป็นวันพิลึกดีแท้ ตามด้วยเทศกาลไหว้เช็งเม้งของชาวจีน แล้วยังมีวันสงกรานต์ในตอนกลางเดือน นี่ไม่รวมวันต่างๆที่ตั้งกันขึ้นมาใหม่ ช่วงนี้ใครได้ไปไหว้เช็งเม่งบ้าง มาคุยกันหน่อยซิ

คำว่า “เช็งเม้ง” สำหรับผม ไม่ได้หมายถึงความเศร้าอาลัย แต่หมายถึงความสำราญในการไปเที่ยว ไปไหว้บรรพชน และทานอาหารกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ในวันนั้นจะได้ไปเจอญาติพี่น้องพร้อมหน้าพร้อมตากัน บางคนปีหนึ่งถึงจะได้เจอหน้ากัน บรรยากาศแบบนี้ ต้องเม้าท์กัน เรื่องสุสาน มีทั้งสุสานของคนตาย และของคนที่ยังมีชีวิตอยู่, เรืองคนไทยเชื้อสายจีนที่กำลังเปลี่ยนไป, และภาพคนจีนรุ่นก่อนในความทรงจำของผม .... ฯ

ในช่วงปลายเดือนมีนาคมไปถึงต้นเดือนเมษายนของทุกปี ผมมักจะเห็นกองคาราวานของลูกหลานชาวจีน ที่ตื่นนอนกันแต่เช้ามืด เร่งรีบขนอาหารและข้าวของ ส่งเสียงล้งเล้ง สรวลเสเฮฮา รวมพลเสร็จก็ขึ้นรถตู้ มุ่งหน้าสู่จังหวัดรอบๆเมืองหลวง เช่น ชลบุรี สระบุรี นครปฐม ฯ จุดหมายปลายทางของพวกมนุษย์เลือดมังกรเหล่านี้ ก็คือ สุสาน (ฮวงซุ้ย) ของบรรพบุรุษ อาจจะเป็นสุสานทั่วไป หรือสุสานประจำกลุ่มเชื้อสาย สุสานที่เห็นคนไปกันเยอะๆ เช่น สุสานฮกเกี้ยน, สุสานไหหนำ, ...ฯ ผมเป็นคนปากไม่ดี ชอบมองว่าวันเช็งเม้งเป็นเหมือนวัน “ฮวงซุ้ยปาร์ตี้”

ถ้าไม่มองนอกกรอบ ก็จะไม่ใช่เอกลักษณ์ของจอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด ดังนั้น มามองต่างมุมกันหน่อย ...
คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่า มีสุสานอะไรบ้างที่คนเขาไปกัน บอกแล้วว่าต้องคิดนอกกรอบ
ดังนั้นคำตอบของผมจึงนอกกรอบจริงๆ
อันดับที่ ๕ คือ สุสานของ William Shakespeare ที่เมืองStratford ประเทศอังกฤษ
อันดับที่ ๔ คือ สุสานของ Princess Diana
อันดับที่ ๓ คือ สุสานของ Frank Sinatra
อันดับที่ ๒ คือ สุสานของ Elvis Presley
อันดับที่ ๑ คือ สุสานของ Marilyn Monroe
นอกเรื่อง แล้วก็กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า 555

เช็งเม้ง


ความจริงต้องออกเสียงว่า ชิงหมิง (qing ming) หรือ เฉ่งเบ๋ง แต่ช่างเถอะ เรียก เช็งเม้ง นี่แหละ คุ้นปากดี
คำว่า เช็ง ก็แปลว่า สะอาด บริสุทธิ์
ส่วนคำว่า เม้ง ไม่ได้แปลว่า เอาฝ่ามือฟาดกระบาลใคร แต่แปลว่า สว่าง โชติช่วง
วันสารทเช็งเม้ง จึงแปลความหมายได้ว่า วันเวลาแห่งความแจ่มใส เป็นเรื่องของความสุขในฤดูใบไม้ผลิ นี่ก็แปลว่า แต่เดิมเขาไม่ได้คิดว่าเป็นวันระลึกถึงผู้จากไป แบบนี้คงต้องมีตำนานที่มา ซึ่งเอาไว้คุยกันช่วงต่อไป

การไปไหว้หลุมศพบรรพบุรุษ สิ่งที่สัมผัสได้คือ การแสดงความกตัญญู อันนี้ต้องเครดิตท่านขงจื้อ ที่สอนลูกหลานชาวจีนมาเป็นพันๆปี ทำให้ประเพณีดีๆแบบนี้สืบทอดมาถึงวันนี้ ผมอ่านเจอในเว็บเกี่ยวกับฮวงซุ้ย เขาอธิบายไว้เป็นข้อๆ แต่ผมขอเอามาสรุปแนวที่ตัวเองเข้าใจก็แล้วกัน ก็เป็นแบบนี้ ...
1. เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ ดั่งคำว่า พ่อแม่ลำบากเพื่อให้ลูกหลานได้สบาย
2. เป็นการรวมกลุ่มของคนในตระกูล เชื่อมความสัมพันธ์ทางสายเลือดให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
3. สร้างกรอบจริยธรรม เน้นที่ความกตัญญู เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
4. เป็นการสร้างมรณานุสติ เตือนให้เห็นว่า คนเราอยู่ใกล้ความตาย อย่าประมาท ต้องทำความดีต่อกัน



เป็นเรื่องแปลกที่ต้องกำหนดวันไปไหว้บรรพบุรุษ ในเมื่อคนเราตายไม่พร้อมกัน แต่ทำไมต้องไปไหว้พร้อมๆกัน ทำให้สุสานเกิดความแออัด ไม่ทราบว่ามีครอบครัวไหน เปลี่ยนวันเดินทางไปไหว้วันที่สะดวกกายสบายใจกันทุกคน ตั้งแต่โบราณ คนจีนรุ่นก่อนๆ ได้มีการแบ่งช่วงวันไปไหว้สุสานบรรพบุรุษเอาไว้ เป็น 2 ช่วงในแต่ละปี คือ เช็งเม้ง (ตอนต้นปี) และ ตังโจ่ย (ตอนปลายปี ประมาณเดือนธันวาคม) ทีนี้...ใครเจ็บป่วย หรือติดธุระ ไปไหว้รอบปกติพร้อมคนอื่นๆไม่ทัน ก็ไปไหว้อีกรอบได้ในช่วงตังโจ่ย (มี 2 ทางเลือก) สำหรับช่วงเทศกาลตังโจ่ย ก็จะมีการทำขนมอี้ จึงถูกเรียกว่า วันไหว้ขนมบัวลอย สมัยก่อนเคยเป็นวันสำคัญ เป็นวันหยุดทำงานกันเลย แต่เดี๋ยวนี้เอาแค่ไหว้ขนม

ตำนานที่มาของวันเช็งเม้ง ถ้าเอาจากวิกิพีเดีย ก็จะได้ว่า กษัตริย์จีนพระนามว่า จิ้นเหวินกง ก่อนครองราชย์ เคยต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากไร้อยู่แดนไกลโพ้น โดยมีคนใช้ชื่อ เจี้ยจื่อทุย คอยดูแลรับใช้เป็นอย่างดี พอได้เป็นฮ่องเต้ พระองค์ก็ได้พระราชทานรางวัลมากมายให้ผู้มีพระคุณทั้งหลาย วันหนึ่งนึกขึ้นมาได้ว่า พระองค์ทรงลืมเจี่ยจื่อทุยไปเสียสนิท เลยรับสั่งสร้างบ้านให้ แต่เจ้าตัวบอกว่าขออยู่กับมารดา ตอนนี้ชอบอยู่แบบพอเพียงมากกว่า ฮ่องเต้เกิดคิดแผนพิเศษเพื่อใช้บีบบังคับ ด้วยการเผาภูเขาทั้งลูก (กะว่าถ้าไม่มีบ้าน ก็คงต้องยอม) แต่เกิดผิดพลาด ไฟไหม้แรงและเร็วมาก ทำให้เจี่ยจื่อทุยตายพร้อมมารดา พระองค์เสียพระทัย เลยสั่งให้ชาวบ้านทำการรำลึก ด้วยการห้ามก่อไฟทำอาหารในวันครบรอบวันตายของเขา ซึ่งจะเป็นวันก่อนวันเช็งเม้งหนึ่งวัน ต่อมาจึงรวมเอาสองวันมาเป็นวันเดียว อ่านมาตรงนี้ ชักจะไม่ค่อยเชื่อแล้วหละ เพราะแปลกๆยังไงๆอยู่

อีกตำนาน เอามาจากเว็บ fengshuitown บอกว่า ในสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๖๑๘) มีบันทึกว่า ฮ่องเต้จะต้องไปเซ่นไหว้บรรพกษัตริย์ ปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกก็ตรงกับเทศกาลเช็งเม้ง และอีกครั้งก็ตรงกับเทศกาลตังโจ่ย นี่!!! แบบนี้ค่อยน่าเชื่อหน่อย แต่ก็ไม่ทราบว่า จะใกล้ความจริงแค่ไหน?

สำหรับช่วงเช็งเม้งที่เราคุ้นๆกันนี้ เขายังสามารถแบ่งได้อีกเป็น 2 ช่วงเวลาได้อีก คือ
วันที่ 21 มีนาคม – 4 เมษายน เรียกว่า ชุนฮุน และ
วันที่ 5 – 20 เมษายน เรียกว่า เช็งเม้ง
ในประเทศไทย มีการกำหนดให้เทศกาลเช็งเม้ง นับวันที่ 5 เมษายนเป็นวันจริง และแถมวันก่อนวันจริง 3 วัน และหลังวันจริงอีก 3 วัน รวมแล้วเป็น 7 วัน

ซึ่งปัจจุบันคนจีน(ในไทย) มักจะหลบเลี่ยงการเดินทางในช่วงนี้ พวกเขากลัวเรื่องจราจรจะเป็นจลาจล ผมว่ารถติดไม่น่ากลัวเท่ารถที่วิ่งเร็วมากๆบนทางด่วน หรือมอเตอร์เวย์ ความคิดเรื่องเบื่อรถติด จึงทำให้มีหลายคนรีบชิงไปไหว้ในช่วงก่อนวันจริง และมีบางครอบครัวที่ไหว้ 2 รอบ คือไปไหว้ที่สุสานรอบหนึ่งก่อนวันจริง และในวันจริงก็ยังมีการตั้งโต๊ะไหว้แบบง่ายๆที่บ้าน บางบ้านก็ยังตื่นเช้ามาใส่บาตรกรวดน้ำส่งบุญให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ทำดีอย่างนี้ก็ขอชื่นชมครับ เรื่องฝังศพนี่ บางทีไม่ได้คิดเอาไว้ก่อน พอจะทำ มันก็วุ่นวายไปหมด พลาดท่าโดนซินแสกำมะลอหลอกเอาเงินก็ได้ บางครอบครัวตัดปัญหา แม้จะเป็นคนจีน จัดงานศพแบบจีน มีพิธีกงเต็ก แต่สุดท้ายใช้วิธีเผาศพที่วัด แล้วลอยเถ้ากระดูก คนเป็นพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่อยากให้ลูกเดือดร้อนเพราะตน แม้ตายไปแล้วก็ไม่อยากให้ลูกเสียเงิน คนจีนในสมัยก่อนมีความเชื่อที่ว่า คนเป็นต้องกตัญญูคนตาย คนตายจะได้คุ้มครองคนเป็นให้อยู่เย็นเป็นสุข หากทำพิธีได้ถูกต้อง ยิ่งทำให้วิญญาณบรรพชนมีพลังสูง สามารถช่วยให้ลูกหลานค้าขายประกอบการงานรุ่งเรืองร่ำรวย พิธีการไว้ทุกข์และพิธีการเซ่นไหว้ของคนจีน เมื่อก่อนมีรายละเอียดเยอะ พวกสะใภ้ใหม่ที่แต่งงานเข้าไป ต้องรู้ว่าบ้านนั้นๆ จะต้องทำแบบไหนให้ถูกตามธรรมเนียมปฏิบัติ (คนจีนถึงไม่อยากได้ลูกสะใภ้คนไทย เพราะไม่รู้เรื่อง) พอมาถึงลูกหลานรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๔ อะไรๆก็เปลี่ยน พิธียุ่งยากโดนเปลี่ยนแปลง ก็ขอเตือนว่าอย่าไปทำอะไรพิลึกๆ ถ้าผู้ใหญ่มาทราบ อาจจะโดนตำหนิรุนแรง จะโดนโทษว่าไปทำให้ตระกูลเขาโชคร้าย หากเชื่อมากไปก็พาลจะเครียดจนเป็นบ้าได้ หาทางอยู่สายกลางจะดีกว่า

โบราณว่า ฮวงซุ้ยดีๆ ไม่หันหน้าไปทางทิศเหนือหรือตะวันออก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป ซินแสจะต้องมาดูทิศว่าทิศไหนร้าย ทิศไหนดีให้เรา การเลือกทำเลเพื่อสร้างสุสานที่เหมาะสม เชื่อว่าจะเกิดพลังที่ดี แต่คงต้องแลกด้วยงบประมาณและเวลาอย่างมาก เพราะจุดดีๆก็โดนจับจองไปหมดแล้ว ที่ดินนั้นมีแต่ขึ้นราคาเรื่อยๆ ค่าวัสดุก่อสร้างก็แพง ปัจจัยสำคัญ คือ ปีเกิดของคนตายและคนเป็น(ญาติๆ) เป็นสิ่งที่ใช้คำนวนในการเลือกหาสถานที่และเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อคำว่า “ทำแล้วต้องเฮง”

ในประเทศไทย ผมเห็นว่า มีหลุมศพจำนวนไม่น้อยที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนใหญ่ก็เน้นว่าด้านหน้ามีน้ำ ด้านหลังมีภูเขา เวลาไหว้ตอนเช้าๆ แสงแดดไม่แยงตา หลุมศพญาติใครหันหน้าทางตะวันออก แล้วมีคนทักเรื่องทิศไม่ดี เรื่องนี้ซินแส zoom แก้ไขได้ คือ ถ้าหลุมศพหันหน้าสู่ทิศตะวันออกแล้วถูกทักว่าไม่ดี ก็ให้ไปไหว้เช็งเม้งก่อนวันที่ 5 เมษา (คือไปในช่วงวันชุนฮุน) รับรอง เฮง เฮง เฮง


สุสาน (Mausoleum)


สุสาน ตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ว่ากันว่า มีด้วยกันถึง 3 แบบ ได้แก่ เจ่าอุ้ง แซกี และ ฮกกี
สุสานเจ่าอุ่ง สร้างให้คนที่ยังไม่ตายเท่านั้น
สุสานแซกี สร้างให้ทั้งคนที่ยังไม่ตายและตายไปแล้ว
สุสานฮกกี สร้างให้คนที่ตายแล้วเท่านั้น
ตอนนี้ ผมขอเสนอคำใหม่ คำว่า “สุสานคนเป็น” ซึ่งไม่ใช่ละครที่บิลลี่เล่นกับสิเรียม นะครับ แล้วอะไรคือ สุสานคนเป็น ??? อย่าเพิ่งปวดหัวนะครับ เดี๋ยวมีเฮ แต่ไม่ฮา

ทำไมถึงมีสุสานถึง 3 แบบ?
ผมเข้าใจแบบนี้ ว่า สุสานเจ่าอุ่ง เป็นประเภทสุสานคนเป็น ทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเกิดจากความต้องการเสริมดวงบารมี หรือแก้ไขปีชง มักจะสร้างขนาดเล็กๆ (สิ้นเคราะห์แล้วก็จะรื้อทิ้งไป) ลองสังเกตดีๆ จะมีอยู่ทุกสุสาน มองแล้วคิดว่าสุสานเด็ก เพราะเป็นเนินดินเตี้ยๆ ผมคิดว่าไม่มีใครสร้างสุสานให้เด็กนะครับ ถ้าผิดก็ช่วยบอกกันด้วย

ส่วนสุสานฮกกี (หรืออาจจะออกเสียงว่า ซิ่วกี) อันนี้เป็นสุสานที่เราๆคุ้นเคย เพราะมีเต็มไปหมด ใช้สำหรับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น สุสานนี้คนเป็นสร้างให้คนตาย ส่วนใหญ่ก็ลูกสร้างให้พ่อแม่ หรือสามีภรรยาสร้างให้อีกฝ่าย

ที่น่าสนใจก็คือ สุสานแซกี เป็นสุสานลูกผสม ทำไมต้องสร้างแบบนี้? ผมว่า มันคือ 2 in 1 หรือ ใช้ได้แบบอเนกประสงค์ ในบรรดาสุสานทั้งหมดนี้ สุสานแซกี นี่แหละที่คุ้มกับการลงทุนมากที่สุด คือสร้างเอาไว้ให้ประโยชน์ได้ 2 ครั้ง ตอนแรกก็ตอนมีชีวิต เป็นสุสานคนเป็น เอาไว้เสริมดวงบารมี แก้เคราะห์ร้าย พอตายไปแล้ว ก็ให้ซินแสหาฤกษ์ดีๆ เอาศพไปบรรจุ ทำพิธีใหม่ (กลายเป็นสุสานฮกกี) ผู้ตายก็ทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองลูกหลานต่อไป

ผมไม่ค่อยทราบว่ามีใครบ้างที่ได้สร้างสุสานคนเป็นเอาไว้ในประเทศไทยบ้าง เห็น หนะ เคยเห็นครับ แต่ไม่รู้จักเขาซิครับ คิดว่าในแต่ละสุสานจะต้องมีทั้ง เจ่าอุ่ง และ แซกี ปะปนอยู่ด้วยแน่ๆ คนที่สร้างสุสานคนเป็นนั้น ผมขอเดาว่าน่าจะเป็น เจ้าสัว นักธุรกิจที่ร่ำรวย หรือคนมีอำนาจ อาจจะสร้างสุสานกันตั้งแต่ช่วงเข้าวัยกลางคน ไปจนวัยแก่เฒ่า เหตุผลก็คือ คนเราบางครั้งโชคลาภ มาลอยอยู่ตรงหน้า แต่ไม่สามารถคว้ามาได้ (แถมยังมีคนคอยจะแย่งเอาไปอีกด้วย) ทำการค้าก็ต้องแข่งขัน ดังนั้นซินแสเก่งๆจึงแนะนำให้เสริมบารมีด้วยการสร้างสุสานคนเป็น เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนชะตากรรมใหม่ ทำให้ดวงรุ่งโรจน์ งอกแขน งอกขา สามารถค้นฟ้าคว้าดาวมาครอบครองได้หมดจักรวาล

อย่างที่บอกไว้แล้ว สุสานคนเป็น เจ่าอุ่ง มักจะสร้างแค่ปีชง ปีนั้นปีเดียว แล้วทำการรื้อ (หรืออาจจะปล่อยทิ้งร้างไปเลย ซึ่งน่าจะไม่ดีถ้าทำแบบนั้น) จึงมีการเรียกสุสานแบบนี้ว่า สุสานวัยจร (หมายถึง ชะตาที่เคลื่อนหรือจรไปตามปีต่างๆ) คงต้องมีคำถามแน่นอนว่า เมื่อคนเป็นยังไม่ตาย แล้วในสุสานคนเป็น คุณจะใส่อะไรเข้าไป คำตอบคือ ไม่ใช่โลงเปล่าๆ ไม่ใช่ศพสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ไม่ใช่ว่างเปล่า!!! แต่เขาจะเอาเส้นผมของคนๆนั้น บรรจุเอาไว้ในโถอันสวยงาม (ทำให้นึกถึงโถแจกันใบใหญ่สูงเท่าคน แต่คนละเรื่องกันอย่าคิดตามนะครับ) เส้นผมนี้ต้องได้จากการกระตุกถอน เพื่อให้มีเลือดติดมาด้วย อุปมาว่า นี่คือ เนื้อ หนัง และเลือด ของผู้นั้น

ไม่ว่าจะเป็นสุสานแบบไหน ต้องเจอเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพง เพราะต้องเอาดวงคนตาย, ดวงคู่ครอง, ดวงบุตรหลาน ฯ นำมาพิจารณา อีกทั้งต้องหาฤกษ์ยาม ดูฮวงจุ้ย(ชัยภูมิ) ดูทิศทางโคจรของดวงดาว ดังนั้น ผู้จะสร้างสุสาน(ไม่ว่าแบบไหน) ถ้าคุณจะเดินเข้าไปสู่โลกของความเชื่อแนวนี้ คุณต้องหัดกำหนดว่า จะสร้างเพื่อเป้าประสงค์อะไร ถ้าอยากได้แค่ ลูกหลานสุขภาพดี ก็งบประมาณไม่มาก หากว่าจะเอาทั้ง ร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทองและที่ดิน ศัตรู(ทางการค้า)แพ้พ่าย ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ มิตรสหายบริวารมากมายคอยค้ำจุน แบบนี้ มีเป็นล้าน ก็เอาไม่อยู่ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมา คุณกลายเป็นเศรษฐีพันล้าน คุณว่า “คุ้มหรือไม่?” ผมเชื่อในเรื่องที่ว่า ถ้าเราเป็นคนดี ทำดี เมื่อต้องเผชิญกับภัยอะไร ก็ไม่ต้องไปหวั่น การยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ปอดของใคร ก็ปอดของมัน จริงไหมครับ?

สุสานแซกี ในวันนี้มีข่าวว่า เริ่มเป็นที่นิยมของคนไทยเชื้อสายจีนหลายคน บางคนไม่เรียกว่า สุสานคนเป็น แต่เรียกว่า สุสานฝังหลอก (ทำยังกับเผาหลอก เผาจริง) แน่นอนครับ ย่อมมีหลายคนไม่สนใจ ไม่เคยสนใจ บางคนรำคาญ บางคนถึงกับเกลียดเพราะคิดว่าเป็นการหลอกลวงของหมอดูหมอเดา แต่ถ้าคุณเป็นคนจีนแล้วยังทำเป็น เอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ ไม่แน่นะครับ วันหนึ่งข้างหน้า เรื่องนี้อาจจะเดินเข้ามาหาคุณ และกดดันคุณ จนคุณหาทางออกไม่เจอ เมื่อ....
- หมอดูหลายคนพากันทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่า ดวงคุณตกสุดขีด ชะตาขาด
- คุณป่วยแบบว่า หมอไม่ให้ความหวังอีกแล้ว ไล่กลับบ้านไปรอมัจจุราช
- คุณไม่ได้ป่วย แต่คุณอยู่อย่างไม่เป็นสุข ทรมาน จิตตก ขี้หงุดหงิด ทำอะไรก็ซวยตลอด
- หรือ อาจจะไม่ใช่คุณ แต่กลายเป็นพ่อแม่ของคุณ ที่เข้าข่าย 3 อย่างข้างบน
- ไม่มีทายาท หรือมี แต่เหมือนได้วัชพืชมาสืบตระกูล อยากได้ลูกคนมากกว่าลูกฟาย
- คนในบ้านมีแต่เรื่องเคราะห์ร้าย เสียแต่ทรัพย์ เจ็บตัว เสียรู้คน ของหาย ฯ
- อันนี้มาใหม่สุด...กำลังฮ๊อต คือ โดนคดีความ เขาจะฟ้องจนหมดตัวอยู่แล้ว
ฯลฯ

เรื่องราวของสุสานนั้น อาจจะไม่มีใครเขาเอามาคุยกัน อย่าเบื่อเลยนะ ผมมันคนไม่ปกติ สำหรับผมนะ เรื่องนี้มีมุมมองมากมาย แบบว่าเอา Harddisk ขนาดร้อยเทราไบท์มาเก็บก็ยังไม่หมด ธรรมเนียมบางอย่างก็น่าสนใจ น่าคิด ว่าเขาให้เราทำไปทำไม ซ่อนกุศโลบายอะไรไว้หรือเปล่า บางเรื่องมีเหตุผลลึกซึ้งจนมึนตึบ บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็ยากที่จะเชื่อ อย่างเช่นเรื่องที่ผมจะเอามาเล่าต่อไปนี้

ที่ไต้หวันมีคหบดีท่านหนึ่งชื่อ หยังจื่อเหอ เขาเป็นคนดี มีครอบครัวแล้ว (แหม...เหมือนใครนะ) มีภรรยาเพียง 1 คน มีลูกสาว 6 คน ว้า... (ทำไมต้อง ว้า) ปัญหาคือ เขาอยากได้ลูกชายมาสืบทอดกิจการ เขาจึงไปหาซินแสชื่อ จางจื่อนำ เพื่อให้ช่วยสร้างสุสานแซกี เพื่อให้เปลี่ยนดวงชะตา ซินแสถามว่าอยากได้ลูกชายกี่คน คุณจางบอกว่า เอาเยอะๆ ซินแสจึงเขียนชื่อคุณจาง และตั้งชื่อลูกชายให้อีก 5 คน แล้วเขียนชื่อเหล่านั้น รวมไว้บนป้ายหลุมสุสานแซกีที่สร้างใหม่อันนั้น ต่อมาคุณนายจางคลอดลูกชายให้คุณจางจื่อนำจนครบ 5 คนได้จริงๆ (สรุปมีลูกเกือบโหล) กิจการงานของครอบครัวนี้ก็เจริญรุ่งเรือง (ว๊าว!! ยิ่งกว่าเรื่องใน forward mail เสียอีก)

เมื่อย้อนไปในอดีต การไปไหว้เช็งเม้งไม่ใช่เรื่องสนุกๆ ไหนจะต้องจัดเตรียมอาหาร ต้องหาพาหนะ(กรณีที่ไปกันหลายคน ต้องหารถตู้ หรือรถกระบะ) ต้องติดต่อญาติ นัดเวลากันให้ลงตัว บางตำราบอกว่า ก่อนไปเช็งเม้งหนึ่งวัน ต้องทานอาหารเจ เรื่องนี้ก็มีแค่ไม่กี่ครอบครัวทำกัน เหตุผลก็คงคิดว่า เป็นการทำบุญสร้างกุศลให้บรรพบุรุษ การไปไหว้เช้งเม็งนี่เป็นการถือปฏิบัติตามขงจื้อก็จริง แต่คงไม่แปลกถ้าจะแทรกการทำกุศลแบบอื่นๆนะครับ วัฒนธรรมของคนจีนหรือคนไทยที่เติบโตในประเทศไทย มักจะเป็นวัฒนธรรมแบบผสมผสาน

เรื่องของเซ่นไหว้ ก็ต้องเตรียมไว้ 2 ชุด ชุดแรกสำหรับไหว้เจ้าที่ และอีกชุดสำหรับไหว้หน้าหลุมศพ ของที่ใช้ไหว้ก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกตามใจ(ปาก)คนเป็น คุณต้องทราบกันบ้างว่า ควรจะมีน้ำชา กระดาษเงิน กระดาษทอง ขนม ผลไม้ เทียนแดง ธูป เส้นหวาย(หรือไม้ไผ่) สายรุ้งหลากสี และที่เห็นแล้วต้องขอบอกว่า มันอาจจะไม่ดี คือ ธงเล็กๆ และการจุดประทัด

ใครที่ได้ไปไหว้เช็งเม้ง จะเห็นว่า มีการโรยด้านบนหลุมศพด้วยดอกไม้ และมีสายรุ้งหลากสี มีช่วงหนึ่งที่ชอบเอาธงเล็กๆมาปักเต็มไปหมด พอมีคนบอกว่าเขาห้ามเอาของแหลมปักบนเนินหลุมศพ เพราะเปรียบเหมือนหลังคาบ้าน หลังคาเขาจะทะลุ ทีนี้เลยเลิกทำกันไปเลย


ชาวไทยเชื้อสายจีน


ในประเทศไทย มีชาวจีนโพ้นทะเลอพยพเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย พวกเขาได้ร่วมมือกับคนไทยสร้างบ้านแปลงเมืองมาโดยตลอด (แต่ในพงศาวดารมักจะเขียนให้คนจีนไปอยู่ฝ่ายที่ไม่ค่อยจะดีเลย) วัฒนธรรมของคนไทยและคนจีนต่างก็หล่อหลอมในตัวตนของคนจีนในไทยรุ่นต่อๆมา เชื่อว่าในประเทศไทยมีคนที่มีเชื้อสายจีนอยู่ไม่น้อยกว่า 25% เท่าที่ทราบ ก็มี จีนแต้จิ๋วหรือกวางตุ้ง จีนแคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ โดยมีคนแต้จิ๋วอยู่ในสัดส่วนมากที่สุด นอกจากนี้ ก็ยังมีจีนอีกกลุ่มที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยทางบก (มาทางพม่าและลาว) ได้แก่ พวกจีนฮ่อ คนจีนอาจจะเข้ามาประกอบอาชีพต่างมากมาย แต่ที่โดดเด่นน่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินนี่แหละ ว่ากันว่าคนจีนที่เข้ามาประกอบอาชีพขายอาหารรสเลิศ สามารถสร้างชื่อเสียงมาแต่รุ่นอากงอาม่าโน่น ก็เห็นจะเป็น จีนไหหลำและฮกเกี้ยน แต่ผมว่า จีนกลุ่มไหนๆก็ทำอาหารได้อร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง

ทุกวันนี้ เด็กๆหน้าตาตี๋หมวยในประเทศไทย ควรจะเรียกว่า “ลูกครึ่ง” แต่ทำไมเราไม่เรียกแบบนั้น คำว่าลูกครึ่ง กลายเป็นคำเรียกพวกเด็กเลือดไทยผสมฝรั่ง แล้วยิ่งแปลกนะ คนที่มีพ่อก็จีน แม่ก็จีน ถ้ามีลูกออกมา เด็กเกิดในไทย ก็ถูกเรียกว่า “ชาวไทยเชื้อสายจีน” ไม่นิยมเรียกว่า ลูกจีนเกิดในไทย หรือ เด็กจีนสัญชาติไทย พวกเขาได้สัญชาติไทยเพราะเกิดในเมืองไทย แต่ผมไม่แน่ใจว่าในข้อมูลส่วนตัว เช่น ในบัตรประชาชน เขาจะเขียนว่า เชื้อชาติไทย+สัญชาติไทย หรือเปล่า? เด็กจีนรุ่นใหม่พวกนี้ พอโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว อาจจะกลายเป็นคนไทยสมบูรณ์แบบไปเลยก็ได้ ผมมองว่าคนรุ่นหลานเหลนของชาวจีนโพ้นทะเลที่มาเกิดในเมืองไทยนั้น พอได้เติบโตที่เมืองไทย ก็ไม่อยากจะเป็นคนจีน บางคนพูดจีนไม่ได้ อ่านภาษาจีนไม่ได้ ไม่คิดจะไปเที่ยวเมืองจีน ไม่รู้จักท่านประทานเหมา และบางคนถูกอิทธิพลของวัฒนธรรมของชาติต่างๆหุ้มห่อเอาไว้ จนบางคนหลงลืมความเป็นจีนของเลือดในกายตนเอง เผลอๆคิดว่าตัวเองเป็นคนเกาหลีไปเสียอีก ผมเชื่อว่ามีลูกหลานจีนในไทยหลายคนที่ไม่เคยสัมผัสกับเทศกาลเช็งเม้ง อาจจะด้วยเหตุผลว่า ครอบครัวไม่ได้มีสุสานของบรรพบุรุษ หรือ มี แต่พยายามเลี่ยงที่จะไม่ไป (สุดแล้วแต่สาเหตุส่วนตัว ไม่อยากแขวะคนที่ครอบครัวแตกแยก เดี๋ยวจะโกรธเอา) ส่วนคนเชื้อสายจีนที่เป็นระดับพ่อแม่ ทุกวันนี้ก็เริ่มจะไม่ค่อยยึดกับธรรมเนียมจีนของเดิมๆกันแล้ว มีวิธีจัดการไหว้บรรพบุรุษแบบง่ายๆสบายๆ คนจีนแก่ๆบางคน บอกลูกๆว่าขอให้จัดงานศพแบบคนไทยก็ได้ ไม่อยากรบกวนลูกหลาน ผมว่าแกคงไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงินทองมากกว่า หรือไม่ก็คงกลัวว่าในอนาคต จะไม่มีใครไปไหว้ที่หลุมศพ เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว การมีสุสานก็เป็นภาระของคนรุ่นต่อๆไปจริงๆนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ ใครๆ อะไรๆ ก็ดูจะเอาแต่ใจตัวเองมากยิ่งขึ้น(แปลว่า เห็นแก่ตัว ครับ) เลยทำให้เช็งเม้งกลายเป็นเรื่อง ที่เหมือนกับการไปไหว้อะไรสักอย่าง ที่คิดว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ ไปไหว้แล้วจะโชคดี คนอื่นๆจะได้มองว่าเราเป็นคนดีมีความกตัญญู แต่..เอาหละ...การยอมเสียสละเวลาไปไหว้พร้อมหน้ากันนี่ก็เรียกว่า ทำดีระดับหนึ่งแล้ว คิดแบบนั้นก็ได้นะ ไม่ปวดหัวดี

ในประเทศไทย โรงเรียนที่มีการสอนระดับมัธยม จะมีการสอนในภาควิชาที่เรียกว่า ศิลป์ภาษา และในวันนี้ วิชาภาษาจีน ก็เริ่มเป็นวิชาที่มีคนอยากเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะว่าการค้าขายระดับชาติ ย่อมหลีกเลี่ยงคนที่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาพูดในทางธุรกิจไม่ได้ แต่จะมีลูกหลานคนจีนกี่คนที่เรียนภาษาจีน เพราะเข้าใจว่าบรรพบุรุษของตนมาจากประเทศจีน เมื่อเอ่ยถึงการเรียนภาษาจีน ผมเชื่อว่ามีโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาจีนหลายแห่งในประเทศไทย และส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ ก็เห็นจะมีโรงเรียนที่โด่งดังมาก ชื่อ โรงเรียนเผยอิง (หรือ ป้วยเอง) อยู่ที่เยาวราช เปิดมานานถึง 90 ปีกว่าๆ ศิษย์เก่าที่นี่ ได้แก่ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์, เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี, อากู๋ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ฯ

คงต้องถามกันหน่อยว่า เคยเห็นคนจีนแก่ๆ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษาจีนกันหรือเปล่า? แล้วคุณคิดว่าในเมืองไทยมีหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์เป็นภาษาจีนกี่ฉบับ ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ อาจจะมีถึง 8 ฉบับ แต่เท่าที่ทราบ ก็เป็น ซิงเสียนเยอะเป้า, ตงฮั้วเยอะเป้า, และ สากล(ชื่อแบบนี้จริงๆ)

ผมเป็นเด็กที่โตมาในย่านคลองเตย เป็นถิ่นของคนจีนที่มีความขยันขันแข็งอาศัยอยู่มาก (ถึงจะมีจำนวนประชากรน้อยกว่าแถวย่านเยาวราชก็เถอะ) ที่ตลาดคลองเตยนั้น ตอนนั้นมีอาหารจีนอร่อยๆให้เลือกทานเยอะแยะมากมาย ที่นี่ผมได้เห็นพวกพ่อค้าคนจีนรุ่นบุกเบิกและรุ่นที่สองหรือสาม ส่วนใหญ่เป็นคนขายอาหาร ที่ต้องมีหาบและแบกมาขาย ลูกค้าไม่ต้องเดินไปไหน นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ก็มีของกินอร่อยๆมาเสิร์ฟที่หัวบันได รูสึกว่าจะไม่เคยมีแม่ค้าคนจีนแบกของเร่ขาย พวกหาบขนมหรือข้าวราดแกงมักจะเป็นคนไทย ส่วนพวกแม่ค้าผิวขาวๆ จะพบเห็นก็แต่ในตลาดสดกับร้านโชห่วย ตอนเด็กๆ ผมมักจะนึกสงสารคนจีนที่โดนจำกัดเรื่องงาน เพราะวุฒิการศึกษา และการพูดการใช้ภาษาไทย ไม่มีคนจีนได้ทำงานรับราชการ ต้องรอให้รุ่นลูกหลานที่เรียนจบโรงเรียนไทยเสียก่อน แล้วอีกเรื่องนะครับ คือ ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมเคยมีคุณครูสอนหนังสือที่เป็นคนจีนตอนเป็นเด็กเล็กๆบ้างหรือเปล่า? จำได้ว่ามีแต่ครูคนไทย ซึ่งดุมากๆ พอตอนเรียนมัธยมปลายนี่แหละ ถึงจะได้เป็นลูกศิษย์คุณครูเชื้อสายจีนหลายท่าน คุณว่ามั๊ย!!! ในวันนี้คุณพ่อคุณแม่เชื้อสายจีน ที่เข้าสู่ยุคดิจิตอล พวกเขากลายเป็นมนุษย์เงินเดือนกันเกินครึ่งไปแล้ว? ย้อนไปในอดีต ผมยังนึกภาพอาแป๊ะหรืออาเฮีย ใส่เสื้อกล้ามสีขาว(ตราแมวลอดห่วง) เป็นเสื้อตัวใน แล้วสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวตัวหลวมๆ ใช้เชือกผูกแทนกระดุม สวมกางเกงขาก๊วย ขาลอยนิดๆ ใส่รองเท้าแตะ(หรือเกี๊ยะไม้) สวมหมวกทรงแฮรี่ พอตเตอร์ ที่ทำจากไม้ไผ่สาน มีคานและหาบคู่ ส่วนน้อยที่ค้าขายด้วยจักรยานสองล้อหรือรถเข็น เท่าที่นึกได้ คนที่ขายก๋วยเตี๋ยวบางคนถึงจะใช้รถจักรยานสามล้อ และก็เป็นเตาถ่าน

ขอลอง นั่งนึกอีกที (ทำท่าแบบเณรน้อยเจ้าปัญญา) อาหารที่คุณแม่ผมเคยซื้อจากพ่อค้าคนจีนในย่านคลองเตย (ในสมัยก่อนโน้นนนน...) ผมว่า ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ กุ๋ยฉ่าย จุ๋ยก้วย กระเพาะปลา ขนมจีบ-ซาละเปา ตือฮวนเกี่ยมฉ่าย ห่านพะโล้ เปาะเปี้ยสด ฯ นอกจากของกิน ก็มีอย่างอื่นอีก เช่น ย้อมผ้า ขายขวด(รับซื้อขวดเหล้า) ซ่อมรองเท้า ส่วนอาชีพที่พ่อค้าคนจีนทำแล้ว กลายเป็นเศรษฐี เห็นจะมี พวกร้านขายยา เจ้าของโรงงาน โรงสีข้าว ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า และร้านขายทอง ฯ

เอกลักษณ์ของพ่อค้าชาวจีนที่ผมชอบ คือ การร้องเสนอขายสินค้าเสียงดังๆ ส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีน ฟังแล้วไม่ชัดเจน แต่รู้ว่าจะมาขายอะไร ชีวิตในวัยเด็กของผม พอสายๆก็ได้ยินเสียงพ่อค้าคนจีนร้องขายของ ผมยังไม่ลืมขนมจีบที่อร่อยมาก และกระเพาะปลาที่แถมเส้นหมี่ขาวให้ด้วย ว่าแล้วก็หิวอีกแล้ว

เมื่อประมาณปี ๒๕๒๖ ผมเคยไปนอนค้างที่บ้านคุณหมอสามีภรรยา (เป็นหมอทั้งสองคนเลย) บ้านท่านอยู่แถวสมุทรปราการ ในบ้านนั้น ตรงห้องรับแขก จะมีหาบขายกระเพาะปลาเป็นทองเหลืองแท้ๆ เมื่อได้ถามคุณหมอหญิง ท่านบอกว่าท่านเป็นคนย่านโบ้เบ้ มีคุณพ่อเป็นคนจีนแบกหาบกระเพาะปลาขาย คนแถวนั้นรู้จักกันดี ตอนนี้คุณพ่อของท่านได้เสียไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องมือหากินก็สูญหายขายทิ้งไปนานแล้ว ท่านบอกว่า พอไปตรงไหนแล้วได้เห็นร้านขายกระเพาะปลา ก็อดคิดถึงพ่อผู้มีพระคุณไม่ได้ เลยให้คนไปหาซื้อหาบขายกระเพาะปลามาไว้ เพื่อเตือนให้นึกถึงที่มาของตนเอง ผมเอง...ถ้ามีพ่อเป็นคนขายขวด ก็ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าได้ยินคนร้องตะโกนว่า “ขวดมาขาย” แล้วจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้หรือเปล่า?



zOOmzERo2009


พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ (酒干倘卖无 )

จิ๊วกั๊นทังโบ้ยบ่อ



ข้ามไปอ่านของใหม่(อันถัดไป)
Link ไปที่ blog 40417 ผู้หญิงขับรถ (ทำไมต้องว่า)


ย้อนกลับไปอ่านของเก่า
Link ไปที่ blog 40314 ไปดวงจันทร์
Link ไปที่ blog 40301 Broken Bed ...
Link ไปที่ blog 40214 ความรักในวันแห่งความรัก
Link ไปที่ blog 40129 ไท้ส่วยเอี้ย เทพแก้ไขเคราะห์กรรม
Link ไปที่ blog 40108 วัดเก่าบนเขาบางทราย
Link ไปที่ blog 31231 สิ้นปี ๒๕๕๓ ทิ้งความทุกข์






Create Date : 03 เมษายน 2554
Last Update : 17 มิถุนายน 2554 19:07:08 น. 60 comments
Counter : 5262 Pageviews.

 
คู่มือนำเที่ยววันเช็งเม้ง โดย zoomzero

ข้อที่หนึ่ง เตรียมของ
ต้องเตรียมอาหารต่างๆ เน้นแห้งๆเอาไว้ จะได้ไม่หกเลอะเทอะ
ต้องเตรียมของไหว้ พวกธูป เทียน
เส้นหวาย สายรุ้งหลาก กลีบดอกไม้หลากชนิด
เสื่อ ผ้าพลาสติก ร่ม กระติกน้ำแข็ง กระติกน้ำร้อน กาชงชา ถ้วยชา ถ้วยน้ำ น้ำดื่ม เครื่องดื่ม
ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปทำความสะอาด อาจจะต้องมีไม้กวาด ถังน้ำ ผ้าเช็ดพื้น
มีดหรือกรรไกรตัดหญ้า แปรง สีทาป้ายชื่อ

มีกฏว่า ป้ายชื่อคนตาย ใช้สีเขียว หรือสีทองขลิบขอบเขียว
ส่วนสุสานคนเป็น ใช้สีแดง เท่านั้น

ส่วนใหญ่ จะมีการโทรศัพท์ไปบอกให้เจ้าหน้าที่สุสานมาทำความสะอาด
ไปถึงก็จ่ายเงิน ไม่ต้องเหนื่อย
อ้อ...ตอนเช้า ถ้าเอากระติกน้ำแข็งไป ก็อย่าลืมแวะซื้อน้ำแข็งด้วย
เกิดเจอวันแดดแรงๆ จะหิวน้ำจนตาลาย


ข้อที่สอง ไหว้เจ้าที่
เรื่องแรกเมื่อเข้าพื้นที่ ก็ต้องหา ศาลเจ้าที่ ให้เจอก่อน
ใช้เทียน 1 คู่
ธูป 5 ดอก
อาหาร ควรไหว้แต่ผลไม้และขนม (เน้นว่าเป็นของเจ ดีที่สุด)
ชา 5 ถ้วย
เหล้า 5 ถ้วย
กระดาษเงิน
กระดาษทอง


ข้อที่สาม กองทัพเดินด้วยท้อง
สุสานใหญ่ๆ มักจะมีโรงทาน มีข้าวต้มให้ทานฟรี
มีอาหารเจ เช่น ผักดองเปรี้ยว ผักดองหวาน ถั่วทอด หัวผักกาดดอง
สุสานที่ผมไปนั้น มีอาหารตามสั่ง เช่น ไข่เจียว ผัดผักบุ้ง
ด้านหน้ามีก๋วยเตี๋ยวร้อนๆขายด้วย
ด้านในโรงทานก็มีห้องน้ำสะอาด ใช้ล้างหน้า ล้างมือ
แนะนำว่า ควรทานอะไรเพื่อรองท้อง และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย
ถ้ามีคนแก่ไปด้วย จำเป็นที่จะต้องให้ท่านทานอะไรบ้าง
เกิดฝนตก หรือรถเสีย จะได้ไม่วุ่นวายกลางพื้นที่แบบนั้น
บางที่เขามีน้ำร้อน เราจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ได้
หรือชงชา กาแฟ แบบ 3 in 1
ถ้าไม่ได้เตรียมน้ำร้อนมาชงชา ก็ต้องไปถามโรงครัวดู
รับรองว่า ในสุสานแถวหลุมฝังศพ ไม่มีน้ำร้อนให้แน่ๆ


ข้อที่สี ทำความสะอาดหลุมศพ
บางที่ เช่น งสุสานไหหนำ เขาเอารถยนต์ รถตู้ รถทัวร์ แล่นไปใกล้ๆหลุมได้เลย
บางที่ อันที่ผมไปไหว้ เอารถเข้าไปได้ แต่ต้องจอดริมถนนลูกรัง
แล้วแบกของเดินเท้าเข้าไปตามทางเดินแคบอีกสองสามร้อยเมตร

ตอนนี้ ถ้าไม่ได้ทำความสะอาดหลุมศพ ก็ต้องทำ
แต่ถ้ามีความพร้อม คือโทรศัพท์มาบอกเขาก่อน
เขาก็จะมีคนมาดูแลให้
เดี๋ยวนี้มีค่าปลูกหญ้า จ่ายกันเป็นรายปี
และมีค่ากางผ้าใบ กันแดดกันฝน (ทุกอย่างเป็นเงินหมด)
ส่วนใหญ่ก็ต้องทาสีป้ายหินหน้าหลุมศพ ภาษาจีนเรียกป้ายนี้ว่า เจียะปี
ห้ามไปนั่งทับ นั่งบัง หรือเอาของไหว้มาวางปิดหน้าป้ายนี้ (ไม่รู้ไม่เป็นไร)
ควรเตรียมกระถางธูปมา ห้ามปักกับพื้นดิน
อาจจะใช้ฟักหั่นเป็นแว่นใหญ่ๆ ซึ่งหน้าสุสานจะมีขาย


ข้อที่ห้า ตกแต่ง
ถ้ามีดอกไม้ ให้โปรยบนหลังเต่า หรือด้านบนหลุมศพ
ถ้ามีสายรุ้ง ก็ช่วยกันโยงและวางพาด
กำหนดว่าจะวางของที่เตรียมมาตรงไหน
กำหนดว่าจะวางของไหว้ตรงไหน จัดการปูเสื่อ หรือผ้ายาง


ข้อที่หก จัดวางของไหว้
เทียน 1 คู่
ธูป ...
ชา
เหล้า
ข้าว
กับข้าว เช่น หมู เป็ด ไก่ ไข่ต้ม ผัดผัก ผัดหมี่ แกงจืด แกงเผ็ด พะโล้ ซาละเปา ไส้กรอกทอด ...
ผลไม้
ขนม ขนมเค้ก ขนมอี๋ ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่
กระดาษเงิน
กระดาษทอง

เรื่องธูปนั้น เป็นเรื่องสับสนนิดหน่อย
ตามตำรา บอกว่า จุดเท่าจำนวนชื่อในป้าย
ตามคนชรา บอกว่า จุดเท่าจำนวนคนตาย เท่าที่ตั้งใจเชิญเขามารับของเซ่นไหว้
แต่ที่เห็นๆทำกันอยู่ คือ แจกธูปให้คนเป็นทีไปไหว้ด้วยกัน คนละ 1 ดอก


ข้อที่เจ็ด ต้องมีผู้นำ
ในการไหว้บรรพชน จะต้องผู้อาวุโสเป็นคนจุดเทียน ธูป
เทน้ำชา
กล่าวคำเชิญ
ต้องไหว้ 3 ครั้ง (จุดธูปครั้งเดียว)
พอธูปใกล้หมด ให้ทำการเผากระดาษเงิน กระดาษทอง
ต้องเอาหวายมาล้อมเป็นวงกลม และเผาของในวงนั้น
ซึ่งทางปฏิบัติทำไม่ได้ เพราะลมจะพัดกระดาษติดไฟให้ปลิวว่อน
ปัจจุบัน มีถังน้ำมันตัดครึ่งเอามาให้ แค่เอาหวายล้อมรอบฐานของถังก็พอ



แค่นี่ก็เสร็จแล้ว แต่มีบางที่ ไม่จบแค่นั้น
ว่ากันว่า เคยมีคน ทานอาหารกันหน้าหลุมศพกันเลย
ถ้ามีหอยแครงลวก ก็จะเอาเปลือกโยนไว้บนหลังเต่า
ความหมายคือให้มีลูกหลานมากๆ
ปัจจุบัน คงไม่มีใครอยากมีลูกมาก
ไม่มีใครทนนั่งยองทานอาหาร
ไม่มีใครกล้าทานท่ามกลางหลุมศพ
และเปลือกหอยก็เป็นเศษเหลือจากอาหาร น่าจะไม่สะอาดถ้าโยนทิ้งเอาไว้
จีงไม่เห็นมีการกระทำแบบนี้

เมื่อก่อน จะมีการมาดายหญ้า และโกยดินขึ้นบนหลังเต่า
เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำกันแล้ว

เมื่อก่อน จะปลูกดอกไม้ หรือเอากระถางต้นไม้สวยงามวางไว้
ซึ่งถ้าไม่รดน้ำ มันก็ตาย
ทุกวันนี้ไม่มีใครทำ เว้นแต่จ้างเขาทำเป็นสวนเล็กๆไปเลย

เรื่องจุดประทัด
คนที่จุดก็เชื่อว่า เป็นเรื่องดี ก็จะอ้างเหตุผลกันไป
คนที่ไม่ชอบจุด ก็ว่า มันเสียงดังรบกวนคนอื่น มันสิ้นเปลือง
มีเรื่องเล่าว่า ที่สุสานแห่งหนึ่ง มีการจุดประทัดแล้วเกิดไฟไหม้ผ้าใบบังแดด
ต่อมาครอบครัวนั้นเสียชีวิตหมด ญาติไปดูดวงมา
ต้องมาย้ายสุสานไปสร้างกันที่ใหม่
ซินแสบอกว่า จุดประทัดต้องดูทิศ จุดผิดตำแหน่ง ภัยร้ายมาถึงตัว
เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องหลอกกัน เพราะคนเราเกิดแก่เจ็บตาย
คงไม่ได้อยู่ที่ประทัดไม่กี่ดอก

เนื่องจากความเชื่อเรื่องสร้างสุสานหรือฮวงซุ้ย เป็นของลัทธิเต๋า
สุสานจีน จึงไม่มีหลวงจีน ไม่มีวัด ไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีนักบวช
ต่างกับศาสนาพุทธที่มักจะบรรจุอัฐิบรรพชนเอาไว้ในเจดีย์ หรือช่องกำแพงวัด
ซึ่งเมื่อไปไหว้ ก็มักจะนิมนต์พระมาทำพิธีบังสุกุลให้
รูปแบบแตกต่าง แต่ความกตัญญู ไม่มีใครน้อยกว่าใคร


โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:0:38:29 น.  

 
จิ๊ว กั๊น ทัง โบ้ย บ่อ

ตั่ว เมอ โซว ซี ตี เซิง อิน
เผ่ย หว่อ ตัว เซา เหนี่ยน ฟง เหอ อวี
ฉ่ง ไหล่ ปู ซวี เหย่า เซียง ซี
หย่ง เยวียน เยีย ปู หุ่ย วาง จี
เหม่ย โย้ว เที้ยน นา โย่ว ตี่
เหม่ย โย้ว ตี๊ นา โย่ว เจีย
เหม่ย โย้ว เจีย นา โย่ว หนี่
เหม่ย โย้ว นี่ นา โย่ว วอ

เจี่ย ยู นี ปู เฉิ่ง ยัง อวี๋ วอ
เก่ย หว่อ เวิน หน่วน ตี่ เซิ่ง ฮัว
เจี่ย ยู นี ปู เฉิง เปา ฮู้ วอ
หว่อ ตี มิง ยวิ่น เจียง ฮุย สื่อ เสิน เมอ
สื่อ หนี ฟู เย่า วอ จัง ต่า
เผ่ย ว้อ ซัว ตี อี จวี้ ฮวา
สื่อ นี้ เก๊ย ว้อ อี เก้อ เจีย
หยั่ง หว่อ อวี นี กง ทง หย่ง โยว ทา

สุ่ย ยัน นี ปู เหนิ่ง ไค โคว สั่ว อี จวี๊ ฮวา
เซวี่ย เกิ๊ง เนิง มิง ไป เยิน สื่อ เจียน ตี เห่ย ไป่ อวี เจี๋น เจีย
ซุ้ย ยัน นี ปู หุ่ย เปียว ตา หนี ตี เจิ๊น ชิง
เซวี่ย ฟู่ ชู เหลี่ยว เหย่อ เชิน ตี เซิง มิง
เหยวี่ยน ชู ชวน ไล หนี่ ตัว เมอ โซว ซี ตี เซิง อิน
หยั่ง วอ เซียง ชี หนี่ ตัว เมอ ซือ เซียง ตี่ สิน ลิง
เสิ่น เมอ ซือ โฮ่ว หนี่ ไจ้ ฮุ่ย เต่า วอ ตี่ เติน พัง
หยั่ง วอ ไจ เห่อ หนี่ อี ฉี ชาง


จิ๊ว กั๊น ทัง โบ้ย บ่อ...


ตั่ว เมอ โซว ซี ตี เซิง อิน
เผ่ย หว่อ ตัว เซา เหนี่ยน ฟง เหอ อวี
ฉ่ง ไหล่ ปู ซวี เหย่า เซียง ซี
หย่ง เยวียน เยีย ปู หุ่ย วาง จี
เหม่ย โย้ว เที้ยน นา โย่ว ตี่
เหม่ย โย้ว ตี๊ นา โย่ว เจีย
เหม่ย โย้ว เจีย นา โย่ว หนี่
เหม่ย โย้ว นี่ นา โย่ว วอ
ตั่ว เมอ โซว ซี ตี เซิง อิน
เผ่ย หว่อ ตัว เซา เหนี่ยน ฟง เหอ อวี
ฉ่ง ไหล่ ปู ซวี เหย่า เซียง ซี
หย่ง เยวียน เยีย ปู หุ่ย วาง จี

จิ๊ว กั๊น ทัง โบ้ย บ่อ...


เสียงร้องคนขายขวด ช้ำลึกในดวงใจ
เสียงนี้ดังเมื่อใด ร้าว.หัวใจทุกครา

นี่คือเสียง.ที่เราฟังคุ้นเคย
โอ้อกเอ๋ย.ความล่วงเลยพ้นมา
ให้จดจำ.แต่รอยน้ำตา
เมื่อชีวา.เขาล่องลอยลับไป
เสียงร้องคนขายขวด ช้ำลึกในดวงใจ
เสียงนี้ดังเมื่อใด ร้าว.หัวใจทุกครา
โอ้บุญคุณ.พ่อการุณเลี้ยงดู เฝ้าทนสู้.ถึงจนเหลือใจ
ไหล่แบกหาม.ไม่ยอมง้อใคร ขวดมาขาย.เลี้ยงเราเรื่อยมา
ขาดฟ้าไหนเลยจะมีดิน ขาดดินดุจสิ้นร่มชายคา
ฉันได้ลุกยืนขึ้นมา ด้วยบุญคุณ ที่ท่วมฟ้า ไม่อาจลืม

เมื่อสิ้นบุญ คุณพ่อไป ใครเล่าเอยคุ้มครอง
ฉันนี้คง ลอยล่องไป สิ้นจุดหมาย คล้ายลม
แสนระทม ยามขื่นขม ไม่เห็นพ่อ.ฉันมา
เช็ดน้ำตา ให้กับฉัน ดังความหลัง นั้นมี
.แต่ต่อนี้ คงไม่มี คำพ่อสอน ให้จำ
เปรียบเทียบนำ ดำกับขาว ว่าสิ่งไหน นั้นดี
แหละไม่มี ใครกอดฉัน ยามลมหนาว พัดมา
สุดบูชา พ่อยิ่งกว่า.ฟ้าดิน

เสียงร้องคนขายขวด (เสียงร้องคนขายขวด)
ช้ำลึกในดวงใจ ( ช้ำลึกในดวงใจ)
เสียงนี้ดังเมื่อใด (เสียงนี้ดังเมื่อใด)
ร้าว.หัวใจทุกครา (ร้าว.หัวใจทุกครา)
เสียงร้องคนขายขวด



โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:0:38:57 น.  

 
ผมขอยกข้อความจาก issue ก่อนหน้ามาไว้ตรงนี้นะครับ

เสาร์สนุก..enjoy eat ...eat แล้วก็ อ้วน อ้วน อ้วน ค่ะคุณซูม
เรื่องเล่าย้อนอดีต เราน่าจะเป็นคนยุคสมัยอพอลโล่ 11 ทีวี ขาวดำ กระทงใบตองเข็มกลัดจากทางมะพร้าว หรือ ไม้ไผ่เสี้ยมแหลม หรือบางทีจะเหลาบาง ๆ แช่ทิ้งน้ำ เอาไปทำข้าวต้มมัดสำหรับมัดเพื่อเพิ่มความหนึบให้กับข้าวเหนียว เคยมีบริษัทผู้ผลิตอาหารจับข้าวต้มมัด(ข้าวต้มผัดมัดใบตอง) แพคพลาสติกแทนใบตอง ออกวางตลาด แต่ก็ต้องพับกระดานไป เค้าคงไม่เข้าถึงเนื้อแท้ของขนมไทย ๆ เก่งแต่การตลาดทำให้ได้มากทำให้เก็บได้นานเพียงเท่านั้น ลืมคิดไปว่า เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เค้าใช้ใบตองห่อ คือทำให้มีกลิ่นหอมของใบตอง ทานแล้วอร่อยห่อหมก (ที่ดอนหวายมีเจ้าอร่อย แม่ประทิน แม่ระย้า คุณซูมน่าจะเคยได้เห็นในอดีต ที่ยังไม่ย้ายบ้านไปฝั่ง ตวอ.) ขนมหวานหลายอย่าง ถ้านำไปใส่บรรจุหีบห่ออย่างอื่นที่ไม่ใช่ใบตอง ขนุนว่าจะขาด ๆ ความหอมนุ่มนวล

อืมส์..เอือก ๆ ๆ อิ่มแ้ล้วแต่ก็อยากได้จานในรูปคุณซูม เดี๋ยว
เก็บไว้เป็นเมนูพรุ่งนี้ ขนุนชอบซื้อเส้นมาทำ ใช่เลยจะให้เด็ด
อยู่ที่น้ำราด ขนุนใช้ซีอิ๊วดำหวาน+น้ำส้มสายชู+ซีอิ๊วขาว+
พริกสด+น้ำตาลทรายแดง เคี่ยวพอข้น ๆ ไม่ถึงกับเหนียว
จะโรยถั่งลิสงต้มเพิ่มไปอีกหนึ่งอย่าง..หร่อยจังฮู้...อืม.

พูดถึงเรื่องกิน...ก็นึกถึงพุง วันนี้เปิดวิทยุฟังตอนขับรถ ได้
ยิน อ.สง่า ดามาพงศ์ ผู้เขียนหนังสือ อ้วนอันตรายไม่อยาก
ตายต้องลดพุง อาจารย์เป็นผู้เชียวชาญอาหารและสุขภาพ
ตอบผู้ฟังในรายการ ถามมาว่า พระที่ท่านอ้วน ๆ จะให้
ท่านลดน้ำหนักลดพุงได้วิธีใด อ.สง่า ตอบว่า ให้ท่านถอดสบง
วิ่งรอบโบสถ์ (แบบฮาขำ ๆ) ก็กลัวว่าเดี๋ยวที่นุ่งห่มอยู่จะไม่
เหลือ ครั้นจะให้ท่านทำ อัพ แอนด์ ดาวน์ ก็กระไรอยู่...ให้
ท่านกวาดใบไม้ลานวัด น่าจะเป็นการออกกำลัีงที่ดีและได้
ประโยชน์ ...พลันก็มีอีกสายแทรกเข้ามา "อาจารย์พระที่
บ้านผม ไม่ต้องออกกำลัง เพราะท่านขึ้น-ลง เขาบิณฑบาตร
ก็เหนื่อยจะแย่แล้วครับ" เก็บมาเ่ล่าสู่กันฟังเพราะเห็นว่าน่า
จะร่วมขบวนคนคิดนอกกรอบได้ เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี
ใครคิดถึงพุงกระทิของพระท่าน ...เคล็ดลับที่ อ.สง่าให้สำหรับ
ผู้ควบคุมน้ำหนักตัว คือ ให้ทาน 3 มื้อ ข้าวหนึ่งทัพพี หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด และให้ทานผลไม้ไม่หวาน 3-4 ชิ้น ในทุก
มื้อ เพราะเป็นกากใย และกวาดขยะเสียในลำไส้ และขยับกาย วันละ 30 นาที เป็นอย่างน้อย เท่านี้ก็จะลดได้ 2กก./เดือน เป็นวิธีที่ไม่อันตราย และมีผู้ทดลองได้ผล
เป็นจำนวนมาก จากการเก็บสถิติของทางสาธารณสุข

โดย : jampada วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา: 21:57:22 น.


โดย: << Jampada >> (zoomzero ) วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:0:45:05 น.  

 



อรุณสวัสดิ์ค่ะเฮีย
เมื่อวานนี้ได้ไปซื้อปลาที่ตลาดปล่อยไปอีก 5 ตัวค่ะ
มินขอให้แม่ค้าเลือกตัวที่มีไข่ทุกตัวเลย
อธิษฐานเผื่อเฮียและครอบครัวด้วยนะคะ
ขากลับเพิ่งรู้ว่าวันนี้ วันพระ
แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ วันไหนก็ได้ที่เราสะดวกอ่ะมินว่า
มีเรื่องสุดเซ็งกับสุดฮา เล่าให้ฟังค่ะ
วันก่อน เด็กที่บริษัทฯ มาถามพี่ซื้อหวยป่าว
วันนี้ออกแล้วนะ มินก็ไม่รู้จะซื้อเลขอาไร
ก็เลยอยากซื้อ 41 กับ 31 บน ล่าง
เด็กก็ทักขึ้นบอกพี่ 31 เพิ่งออกไปงวดที่แล้วนะ
มินก็ อ้าว เหรอ งั๊นตัดออกไป เอาแต่ 41 14 แล้วก็ 13 พอ
แต่ เฮียเชื่อไม๊ว่า มันออกเลข 31 เฉยเลยค่ะ
แล้วเป็นตัวที่มินบอกให้เค้าตัดออกไปด้วยอ่ะนะ ฮ่า ๆ ๆ
อาไร๊..มันจะมาพอดีเป๊ะแบบนี้ก็ไม่รู้อ่ะนะเนี่ย ฮ่า ๆ ๆ
ทั้งเซ็ง ทั้งขำปน ๆ เฮ๊อ..นะเรา..เนี่ยน๊า
ไอ้เด็กมันก็บอก หนูไม่น่าทักพี่เลยอ่ะ ไม่งั๊นพี่ก็ถูกแล้ว
แต่ มินว่าไม่เกี่ยวหรอก ถึงมินซื้อมันอาจไม่ออกเลขนี้ก็ได้...

มินก็ชอบก๋วยเตี๋ยวหลอดแบบตอนเด็ก ๆ เหมือนกันค่ะ
ที่มีแค่ เส้น ถั่วงอก กุ้งแห้ง เต้าหู้นิดหน่อย และกากหมูอ่ะ
สมัยนี้ทำกันแบบอลังการงานสร้าง หมูสับ กุ้งสด กุนเชียง
เห็ดหอม แครอท ..และอื่น ๆ อีกมากมายใส่กันเข้าไป ไม่ทานเลยค่ะ ฮ่า ๆ ๆ

ที่บ้านมินไม่ได้เช็งเม้งค่ะ เพราะไม่มีสุสาน ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษก็มาจากจีนเหมือนกัน
แต่มากลายเป็นคนไทยไปหมดแล้วมั๊ง แต่รุ่นพ่อยังเรียกพี่สาวว่าเจ๊อยู่เลยค่ะ
เด็ก ๆ บางทีคนชอบเรียกหมวย ๆ ๆ ไม่ชอบเลยค่ะ
เพราะรู้สึกว่า เราไม่ได้ตาชั้นเดียว ตาโตจะตาย
แล้วสมัยก่อนเค้าไม่ฮิตแบบหมวย ๆ เหมือนเดี๋ยวนี้นี่นาเน๊อะ ฮ่า ๆ ๆ (น้ำหมากกระเด็นอีกแล้วอ่ะ)

ปล. Beautiful Sunday นะคะเฮีย


โดย: มินทิวา วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:7:30:26 น.  

 
คุณขนุน

2011 04 03

ผมว่ารุ่นเรานี่แหละเกิดมาคุ้มสุดๆ
ได้เห็นของเก่าๆ และสิ่งที่เกิดใหม่ๆ มากมาย
เวลาเจอเพื่อนฝูง หลังจากทักทายถามไถ่ทุกข์สุขกันแบบละครน้ำเน่า
(คือคนถามก็ถามไปอย่างนั้น คนตอบก็ตอบไปอย่างโน้น)
ก็จะต้องมาคุยเรื่องประเภทน้ำหมากกระจาย
แล้วเราก็จะมีคำถามว่า เฮ้ย...เดี๋ยวนี้เขาไม่มี...(ของ)...แล้วเหรอ
กับอีกคำถามว่า เฮ้ย...มันมีของแบบนี้ด้วยหรือฟระ?

ผมเคยคิดว่าจะเขียนเรื่อง ของเก่าที่หวนให้คิดถึง
แต่เขียนไม่เคยสำเร็จ เพราะเนื้อหามันมากมายเหลือเกิน
และอีกอย่างจะหารูปมาประกอบก็หายากมาก

อย่างสินค้าในตำนานที่หายสาบสูญไปแล้ว เช่น
ถ่านไฟฉายตรากบ

หรือของบางอย่างไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ
เช่น ผงซักฟอกเปาปุ้นจิ้น ตอนนี้กลายเป็น เปา ชื่อสั้นๆ
หรือรถของเพื่อนมีระบบ GPS ซึ่งไม่คิดว่าเขาจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน
เรื่องพวกนี้ มันมีมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเรา
แค่นั่งใต้ร่มไม้ยามบ่ายๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็แสนจะเพลิน ไม่ต้องออกไปไหนให้เปลืองสตางค์

คุณขนุนเอ่ยถึงเข็มกลัดไม่ไผ่ หรือทางมะพร้าว
ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เดี๋ยวนี้เขาใช้ลวดเย็บกระดาษ
ซึ่งมันอันตรายมากสำหรับเด็กเล็กๆ เพราะเขาไม่ค่อยระวังตอนทาน
ส่วนเรื่องใบตองนี่ เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษของพวกเราเลยเน๊อะ
เมื่อก่อน หาง่าย ราคาถูก และทำให้อาหารมีกลิ่นหอม
เฮ้อ...ข้าวต้มผัด ข้าวต้มมัด ใส่ถุงพลาสติก ก็น่าจะไปไม่รอดหละคุณขา

ความจริงก๋วยเตี๋ยวหลอดเป็นของทำง่าย
แต่ไหง หาทานยากมาก ร้านข้างถนน ตามตรอกซอกซอย ไม่มีขายแล้ว
โน่น...มันไปมีขายในห้างฯติดแอร์
ผมว่าน้ำราดก๋วยเตี๋ยวหลอดที่อร่อยนี่ ต้องใช้น้ำตาลทรายแดง กระมังครับ

เรื่องพระลดความอ้วน
ยอมรับเข้าขบวนคนบ้าคิดนอกกรอบได้เลยครับ
เอ้...หรือว่าพวกที่เกิดวันที่ 13 จะเป็นพวกเพี้ยนๆคิดนอกลู่นอกทางได้แบบนี้
คุณขนุนรู้หรือเปล่าว่า ผมหนะพอเห็นพระอ้วนๆแล้ว มันคิดทะลุออกไปโน้น
ครั้งหนึ่งเคยไปทำบุญกับคนในครอบครัว
ผมก็เห็นพระอ้วนนี่แหละ เลยคุยกับน้องชายว่า
เอ้ย...ดูซิ พระอ้วนก็มีด้วย เอ้..ฉันวันละ 2 มื้อ ทำไมอ้วนได้
สงสัยกลางคืนแอบต้มมาม่าหรือเปล่าฟระ?
พอดีคุณลุงที่เป็นทหารอยู่ค่ายสุรนารี ได้ไปทำบุญด้วย
เกิดมาได้ยิน เลยโดนโบกหัวกระโหลกไปหนึ่งป๊าบ
ข้อหา พูดจานินทาพระ
แต่คุณขนุนเคยเห็นพระในกรุงเทพฯกวาดลานวัดบ้างหรือเปล่า
ผมเองไม่เคยเห็นเลย มันคงหมดสมัยไปแล้วหละ

เรื่องจะให้ทานข้าวแค่ 1 ทัพพี นี่ต่อมื้อหรือต่อวัน โอ้ย...impossible
เมนูอาหารที่บ้านผม มันแปลกมาก มันมีแต่อาหารไร้ผัก
ขนาดผัดผัก คุณแม่บ้านก็ใส่หมูพอๆกับผัก
เมื่อถามไถ่ เขาก็บอกว่า ผักแพงมาก เช่น
วันนี้ซื้อ บล๊อคคอลี่ (Broccoli) มา เจ้ก็บ่นว่า กิโลตั้งร้อย เมื่อสองสามเดือนก่อนแค่ห้าสิบบาทเอง
เลยซื้อมาสามขีดกว่าๆ
ขนาดร้านข้าวหมูแดง ถ้าไม่ถามหาต้นหอม ก็ไม่เอามาให้ทาน แย่จัง

วันหยุดสุดสนุกหรือเปล่าครับ
พรุ่งนี้เตรียมตัวลุยงานกันได้แล้ว

ref: Sienna Jampada A0 52 2D


โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:16:32:48 น.  

 
สวัสดีค่ะ.
แวะมาทักทายคร้า-

ขอบคุนสำหรับบทความความรุดีดี นะค่ะ
ชอบเพลงจังค่ะ เคยฟังมาหลายครั้ง+
แต่เพิ่งรุความหมายภาษาไทยก้อวันนี้เอง. "พ่อจ้าอย่าร้องไห้"
ยิ่งรุความหมายเพลงยิ่งชอบจัง :]]


โดย: enjoydvd วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:21:56:38 น.  

 
Mintiva

หวย...
มีเรื่อง ก็คล้ายๆกันนั่นแหละ แต่เพี้ยนนิดหน่อย
ธรรมดาเฮียชอบซื้อ 13 เพราะเป็นเลขวันเกิด
ถ้าไม่มีก็เปลี่ยนเป็น 31 สลับกัน
หรือถ้าไม่ได้จริงก็ทะเบียนรถที่ลงท้ายด้วย 33
เมื่อสามวันก่อนได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล (ไม่ได้ซื้อหวยมาเป็นปีแล้ว มันไม่เคยถูก)
วันนั้นก็หาซื้อไม่ได้ นอกจากเลข 33
พอวันหวยออก มีคนบอกว่า ออก 31
ตอนนั้นไม่ทราบหรอกว่าเป็นรางวัลอะไร แต่ใจนั้นคิดว่าเป็นเลขท้ายสองตัวข้างล่าง
แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า โชคไม่เข้าข้างเราอีกแล้ว
แต่พอมาตรวจผลการออกรางวัลจาก internet ก็พบว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
เมื่อตรวจแบบอัติโนมัติกับคอมฯ ก็ไม่ถูกรางวัลอะไรเลย
โธ่...นึกว่าจะได้เงินพากิ๊กไปเที่ยวซะแล้ว หุหุ
เมื่ออาหมวยคิดได้ว่า มันยังไม่ถึงเวลาถูกหวย คิดแบบนี้ก็ดีแล้วครับ
ไม่โทษเด็ก ดีแล้ว แหม...ใจดีเหมือนนางเอกเลยนะ (ใครนะ จะได้เป็นพระเอก)

ก๋วยเตียวหลอด...
เออ มันน่าจะเป็น simple noodle นะสำหรับเจ้าก๋วยเตี๋ยวหลอด
ทำทานกันง่ายๆ พอๆผัดหมี่สีแดงๆ ที่ทำง่าย อร่อย
แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็น ก๋วยเตี๋ยวท่านลอร์ดออฟเดอะริง ไปแล้ว
สงสัยเราสองคนจะเป็นพวกลิ้นคนจนนะ
เขาอุตส่าห์คิดค้นการใส่หมูแดง กุ้งสด เห็ดหอมเกรดเอ กุนเชียง ...ฯ
พวกเรากลับเขี่ยมันทิ้ง
เออ...กุ้งแห้งตัวจิ๋วๆนี่ เขายังทำขายกันอยู่หรือเปล่านะ?

ขอบคุณ...
สำหรับผลบุญที่ส่งผ่านมาให้
เอ้...ทำไมปล่อยปลา 5 ตัว ปล่อยเป็นเลขคี่หรือจ๊ะ
เรื่องนี้ก็มึนๆนะ บางคนบอกว่าให้ปล่อยเป็นคู่ๆ
บางคนบอกว่าให้ปล่อย 9 ตัว
บางคนเจ๋งกว่านั้น บอกให้ปล่อยเท่าอายุ
ถ้าเฮียเชื่อแบบอันหลัง คงต้องเหมาปลาหมดตลาดแน่ๆ
อือ...ไอเดียนิวไอคิวไบรท จัง ปล่อยแม่ปลาที่มีไข่
เท่ากับช่วยชีวิตได้เยอะเลยนะ
โมทนาสาธุด้วยจ้า ขอให้น้องมินมีความสุขยิ่งๆขึ้นไป

สุสาน...
ครอบครัวของเฮียเอง ในสายทางพ่อแม่ เราก็ไม่มีสุสานเหมือนกัน
เฮียก็งงๆว่า ตกลงเรามีเชื้อสายจีนหรือเปล่า
เคยจำได้ว่า พ่อของพ่อของพ่อของเฮีย ท่านเป็นคนจีนแซ่เล้า หรือ เหลา นี่แหละ
แต่โดนพวกบรรพชนเขาตัดความสัมพันธุ์
สาเหตุก็เพราะตอนท่านแก่เฒ่า ดันไปแต่งงานใหม่อีกรอบกับใครก็ไม่รู้
ท่านเอาทรัพย์สินไปให้ทางโน้นหมดเลย ภาษาชาวบ้านเขาว่า โดนหลอกเอาสมบัติ
บรรพบุรุษของเฮียนี่เป็นเจ้าพ่อแห่งวงการน้ำเมา
มีร้านและบ้านอยู่ในอำเภอหนึ่ง เมืองโคราช (พวกลุงๆเขาบอกอย่างนั้น)
เขาว่าท่านเป็นคนจีนที่ต้มเหล้าขายจนรวยเละ แต่กรรมคงตามมาทันปานสายฟ้าแล็บ
ไม่ทันข้ามคนอีกรุ่น ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ก็สูญสลายกลายเป็นของคนอื่นไปหมด
พวกญาติๆรุ่นลำดับต่อมาก็พากันโกรธ ไม่ยอมติดต่อกันเลย
ขนาดเฮียพยายามสอบถามหลายๆท่าน ยังไม่มีใครทราบเลยว่า ท่านชื่อจริงอะไร
เมื่อตายแล้ว มีการนำร่างไปเผาทีวัดไหน หรือฝังที่สุสานแห่งไหน
ไม่มีใครในกลุ่มพวกปู่ย่าเขาจะอยากคุยเรื่องนี้ แล้วก็กลายเป็นเรื่องที่ลืมเลือนกันไป
เท่าที่รู้ ก็เคยมีร้านเหล้าที่นั่น มีชื่อขึ้นต้นด้วยแซ่ของท่านตั่วเหล่าก๋ง ว่า เหล่า...อะไรนี่แหละ
เฮ้อ...เฮียอาจจะไม่ได้แซ่เล้า แซ่เหล่า ก็ได้ เพราะเรื่องมันอาจจะมั่วก็ได้
ที่แน่ๆ ไม่มีใครในสายตระกูลนี้พูดภาษาจีนเลย
แถมหน้าตา ผิวพรรณ ก็ออกไปทางมนุษย์ชนบททุกคน
ส่วนอาชีพก็มีทั้งรับราชการและทำนา
สรุปว่า กลายร่างเป็นคนไทยแท้ไปหมดแล้ว
เฮียเคยไปสืบจากบ้านญาติที่ฐานะดีที่สุด และเก่าแก่ที่สุด
ในบ้านเขามีรูปถ่ายโบราณมากมายแขวนเต็มบ้านเหมือนในหนังละครย้อนยุค
ไปถามไถ่อะไร ก็บอกว่าไม่มีใครรู้ รูปพวกนั้นถ่ายเมื่อไหร่ ใครเป็นใครก็ไม่รู้
แล้วพอมีคนในบ้านเขาเสียชีวิต เขาก็ทำหนังสือเล่าย้อนอดีตบรรพบุรุษ
เอารูปที่อยู่ข้างฝาบ้านนั้นแหละเอามาลงพิมพ์
และสามารถอธิบายได้ว่าใครเป็นใคร ใครชื่ออะไร
ใครแต่งงานกับใคร มีลูกหลานชื่ออะไร
งานศพนั้นจัดที่กรุงเทพฯ มีแขกมากันมากมาย
ก็ไม่รู้ว่าเขามั่วหรือชัวร์กับข้อมูล
เพราะเรื่องราวของตระกูลเขาดูดีจัง
อ้อ...เขาคนละนามสกุลกับเฮียนะ ผู้ตายเป็นคนที่เฮียเรียกว่า คุณย่าใหญ่ (พี่สาวคนโตของรุ่นของเขา)
ในหนังสือแจกงานศพนั้นกล่าวว่า สายตระกูลนั้น ย้อนกลับไปแล้ว พวกเขาเป็นถึง.....
555 ไม่เล่าต่อแล้วหละ เอิ๊กๆๆๆๆๆ
เพราะมันไม่น่าเชื่อเลย ครอบครัวเขาร่ำรวย เขาก็เขียนประวัติอะไรก็ได้ที่ดูดี
ส่วนพวกเรา ปู่ย่าตายายมีแต่ชาวนายากจน
แต่ละคนมีที่ดินแค่ไม่กี่แปลง (ในกรุงเทพฯไม่เคยมีใครมีบ้านที่นี่เลย นอกจากบ้านคุณพ่อของเฮีย)
บางคนมีแค่กระท่อมเล็กๆ เลี้ยงควายอยู่ใต้ถุนบ้าน
เฮ้อ...โลกเรานี้มีเรื่องประหลาดๆให้เจอเยอะแยะไปหมด

เดี๋ยวนะ ขอส่องกระจกก่อน
เออ...เฮียก็ตาสองชั้น
แต่อยากได้ ตาแบบ ชั้นรักเธอ มากกว่า

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:22:17:58 น.  

 

จิ๊ว กั๊น ทัง โบ้ย บ่อ...

สียงร้องคนขายขวด ช้ำลึกในดวงใจ
เสียงนี้ดังเมื่อใด ร้าว.หัวใจทุกครา

ประทับใจและชอบฟังเพลงนี้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยก่อน
เป็นละครทีวีช่วงเย็น .....เมื่อได้ฟังคราใด ร้าวหัวใจทุกครา
เหมือนกันพาลน้ำตาจะไหล

วันหยุดสนุกกับ ช้อป แมคโคร ได้ปลา เทร้าส์ แสนถูก
สีสันไม่ต่างจากแซลมอล ต่างที่ไม่มีกลิ่นคาว 1.5 กก./แพค
175 บาท แล่ชิ้นพร้อมปรุง เอามาทอดใส่น้ำมันนิดหน่อย สีสัน
หน้าต่างคล้ายย่าง (เทคนิคไม่ให้หนังติดกระทะ เอาเกลือลูบ
ให้ทั่วชิ้น เข้าไมโครเวฟ 2 นาที แล้วไปทอด แปล๊บเดียวสุก
ราดซอลพริกไทยดำ เป็นอัีนเสร็จ ขั้นตอนต่อไปเข้าปากได้ค่ะ

Jay Chou 听妈妈的话 ting mama de hua
Jay Chou - Rosemary

นี่เป็นสองเพลงจีนของอาตี๋เจย์ ที่เกี่ยวกับแม่ (หาของพ่อไม่มี)
ขนุนชอบดนตรี เสียงร้อง แถมความหมายดี



โดย: Jampada IP: 115.87.131.143 วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:22:54:47 น.  

 



Morning ค่ะเฮีย
เดี๋ยวสาย ๆ มาคุยนะคะ
ขอออกจากบ้านก่อน กลัวรถติดค่ะ
breakfast ให้อร่อย ๆ นะคะ


โดย: มินทิวา วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:5:53:16 น.  

 

ขอโทษค่ะลืมตอบไปเรื่่องลดน้ำหนัก สำหรับข้าว 1 ทัพพี ต่อ มื้อ
ค่ะให้ทาน 3 มื้อ (1 ทัพพี เค้าบอกว่าได้ประมาณ 5 ช้อน ...เราก็ตักให้
มันเป็นช้อนพูน ๆ ก็ได้ค่ะ ...อิิอิ) เทคนิคอีกอย่างอันนี้ไม่ใฃ่ของ อ.สง่า
ไปเก็บตกมาจากพวกดาราฝาหรั่ง ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหาร ..หรือ
ชามะนาว หลังอาหาร นัยว่าสกัดไขมันเบื้องต้น ... มันเดย์กู๊ดดรีมค่ะ


โดย: jampada IP: 58.9.141.211 วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:21:20:37 น.  

 
คุณขนุน

2011 04 04





สองเพลงของ Jay Chou นี้ ไม่เคยได้ยินเลยครับ
ทำนองเพลงทั้งสองก็ออกแนวตะวันตกมากกว่าตะวันออก
ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ชอบอันไหนเลย
คุณขนุนว่าความหมายดี ผมแปลไม่เป็น แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเพลงคุณภาพของตี๋เจย์
ผมลองมานึกดูแล้ว เพลงเกี่ยวกับพ่อหรือแม่ ของคนไทยเราก็มีเพราะหลายเพลง
แค่ทำนองก็เรียกน้ำตาได้แล้ว ผมว่าถ้าต่างชาติมาฟัง ถึงไม่เข้าใจเนื้อเพลง
ก็น่าจะซึบซับความสุนทรีของเพลงได้บ้าง (เอ้...วันนี้ชักจะเมาๆภาษาตัวเอง)

ปลาเทร่าส์
โอ้...มายก๊าร์ด เกิดมาไม่เคยทานเลย
ทำอย่างไรดีหละ อยากลองทาน ไม่เหม็นคาวจริงหรือ?
แต่ยายเจ้กิมลั๊ง ผู้ควบคุมวิถีชีวิตของเหล่าบริวารในบ้านของผม
แกเป็นคนไม่ชอบลองอาหารใหม่ๆเลยครับ
พ่อแม่ของคุณเธอ เลี้ยงเธอด้วยต้นไม้ใบหญ้าอะไร หล่อนก็ทานอยู่แค่นั้น
มีข้อแม้ตรงที่ถ้าเป็นของแพง และมีเพื่อนยุ แบบนี้เจ้แกถึงจะกล้าลองทาน

ผมเห็นหลายคนเอาปลาเข้าไมโครเวฟก่อน แล้วพอทอดก็น่าทาน รสชาดก็ดี
แต่มีแม่ครัวอีกหลายคนที่ไม่เชื่อ ไม่ยอมทำ หาว่า บ้า
คนเรานี่ คนที่เชื่อยาก ก็ยากจริงๆเลย

ผมมีเทคนิคการเอาเกลือหรือแป้งทาปลาเพื่อทอด
เห็นมาจากทีวีครับ
เป็นวิธีประหยัดแบบหนึ่ง แต่ไม่รู้นะ ผมว่ามันสะดวกมากกว่าประหยัด
เงื่อนไขคือเราต้องหาถุงพลาสติกใสๆใบใหญ่กว่าตัวปลามาหนึ่งใบ
ผมว่ามันจะมาเปลืองตังค์ ก็ตอนไปซื้อถุงใบใหญ่นี่แหละ
อ้อ...ใช้ถุงก๊อบแก็บนี่แหละครับ เวิร์คที่สุด
เอาแป้งโกกิ หรือ เกลือผง ใส่ในถุงพลาสติก เน้นว่า ใส่แค่นิดเดียว
เอาปลาใส่
เป่าลมนิดหน่อย
แล้วเขย่าเบาๆ ทำให้ปลากลิ้งๆๆ ในถุง
เดี๋ยวเดียวแป้งหรือเกลือก็เคลือบทั่วตัวปลาแล้วครับ
เป็นการประหยัดของดีครับ
แต่ถ้าเป็นปลาช่อนเผาเกลือ อันนี้ต้องโป๊ะเกลือเยอะ คงไม่ใช้วิธีนี้
เวลาไปเดินโซนอาหารทะเลที่แมคโคร
เห็นปลาอะไรแปลกๆเยอะไปหมด
ไม่อยากบอกเลยว่า เกิดมาไม่เคยได้ทาน
อย่างปลาน้ำดอกไม้ ก็เพิ่งจะได้ทานเมื่อปีที่แล้ว (อร่อยจัง)
และก็ยังไม่ได้ทานเป็นมื้อที่สองเลย
แค่เมืองไทย เกิดมาจนป่านนี้ยังทานของที่ขายในตลาดไม่หมดทุกชนิดเลย

อ้า...เรื่อง พ่อจ๋าฯ เคยเป็นละครทีวีด้วยหรือครับ
ว้า...ทำไมผมไม่ทราบ หรือว่าผมเกิดไม่ทัน
แบบนี้เป็นเครื่องวัดได้เลยว่าใครแก่กว่ากัน อิอิ
ผมอยากให้เขาเอาหนังจีนสมัยบุกเบิก กลับมาฉายอีกรอบจริงๆ
อย่างเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ตอนนั้นได้ดูบ้างไม่ได้ดูบ้างเพราะเรียนหนัก อดดูทีวี

เมื่อตะกี้โพสต์ไปแล้ว
พอดีมาเห็นอีกคอมเมนท์ของคุณขนุนเลยต้องเอาคุยต่อ

อ้อ...ตกลงเป็นวันละ 3 ทัพพี รวมสรุปยอดเป็น 15-20 ช้อน ต่อวัน
คุณขนุนครับ เมื่อเช้าผมลองทานข้าวแค่หนึ่งทัพพี
พอตอนสิบเอ็ดโมง ไปหิวเดินโซเซที่บริษัทเพื่อน
พนักงานสาวๆต้องมาประคอง
เพื่อนผมมันถามเด็กว่า แรงดีนี่เธอ เฮียเขาตัวหนักมั๊ย?
น้องเขาบอกว่า เรื่องน้ำหนักตัวไม่ใช่ปัญหา
แต่มือของเพื่อนเจ้านายที่คอยจะแกะตะขอเสื้อชั้นในของหนูนี่ซิ น่ากลัวกว่า
เฮ้ย...เปล่าหรอกครับ ผมล้อเล่น
เมื่อเช้าทานหนึ่งทัพพีเป็นเรื่องจริง พอสิบเอ็ดโมงไปประกันสังคม
พอจอดรถเสร็จเดินออกมาเจออากาศร้อน ก็วูบๆนิดๆ เลยหาร้านกาแฟ
ซื้อโกโก้เย็นทานเพิ่มพลัง พอมื้อเที่ยงเลยฟาดก๋วยเตี๋ยวหมูตั้ง(หมูปั้นแบนๆ) 2 ชาม
มื้อเย็นข้าว 2 จานทานกับผัดเผ็ดปลาดุกกับหมู(สามชั้น)หวาน
ไม่มีผลไม้ตกถึงท้องในวันนี้เลยครับ
ตอนนี้ก็เล่นคอมฯไป หยิบเลย์ทานไปแล้ว 1 ซอง
ตกลงไขมันไม่ลดแต่สะสมเป็นสองเท่า 555

อือ...ผมได้ยินมาว่า (มาแชร์ความรู้กันหน่อย)
ก่อนทานอาหาร หรือระหว่างมื้ออาหาร ห้ามทานน้ำ ให้ทานได้นิดหน่อย
เพราะว่าน้ำจะทำให้น้ำย่อยทำงานได้ไม่เต็มที่ อาหารจะย่อยยาก ท้องจะอืด
พวกฝรั่งทานแค่ไวน์แก้วสองแก้วในมื้ออาหาร หลังจากนั้นถึงไปทานชา และน้ำเปล่า
ผมเองเป็นโรคกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะอาหารเสื่อม หมอเอากล้องส่องดูทั้งระบบย่อยอาหาร
ท่านเลยบอกว่า อย่าทานน้ำเยอะก่อนหรือระหว่างมื้ออาหาร
ต้องเว้นประมาณ 10 นาทีแล้วค่อยทานน้ำเยอะๆได้

พวกชาหรือกาแฟ นี่ก็ห้ามทานก่อนอาหาร
เพราะมันจะเป็นตัวไปกระตุ้นการปัสสาวะ
ร่างกายจะพยายามขับมันออกมาให้เร็วที่สุด (เพราะมันไม่ใช่ของดีที่ร่างกายชอบ)
น้ำในร่างกายก็จะหายไป ทำให้กระหายน้ำเวลาทานอาหาร เราก็จะทานน้ำเยอะ

พวกโซดาหรือน้ำอัดลม ก็ไม่ควรทานพร้อมมื้ออาหาร
โซดานั้นมีเกลือเยอะ น้ำอัดลมมีน้ำตาลเยอะ
ในอาหารก็มีทั้งเกลือและน้ำตาล มันเลยจะทำให้สารอาหารล้นเกินความพอดี

ผมทำเป็นรู้ดีเรื่องอาหารการกิน
แท้จริงแล้ว ก็ใช้ชีวิตแบบตามใจปากครับ
แหม...คิดว่า ทานให้อิ่มเอาไว้ก่อน
อีกหน่อยก็ต้องนอนให้เขาป้อนอาหารปั่นไร้รสชาด
ตอนนี้ฟันกับลิ้น ยังโอเค เลยต้องรีบเอามาใช้งานเยอะๆ
คนเราพอแก่ไปแล้ว ลิ้นก็ไม่รู้รสอาหาร ฟันก็เคี้ยวอาหารได้ไม่กี่อย่าง
มองโลกแบบนี้ เลยไม่เคยห้ามใจตัวเองเรื่องการกิน 555 555

ref: Sienna Jampada A0 52 2D


โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:22:59:15 น.  

 
ป่านนี้คนสวยคนนั้น คงนิทราไปแล้วมั๋ง?


โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:23:00:33 น.  

 
เมื่อกี้ดูข่าวช่องสาม
โรงงานยางในภาคใต้ น้ำท่วมสูงเกิน 3 เมตร
เจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น สูญเสียเงินเป็นสิบๆล้าน หรืออาจจะร้อยล้าน
แผ่นยางอัดแล้ว และแผ่นยางดิบ ลอยน้ำออกไปนอกโกดัง

ชาวบ้านทราบข่าว
เอาเรือมาขนยางที่ลอยอยู่รอบนอกกำแพงโรงงาน
ชาวบ้านกลุ่มแรกเอาไปขาย
ชาวบ้านอีกสิบกว่ากลุ่มรู้ ก็มาแย่งกันเก็บ
ยางอัดอย่างดีราคาก้อนละเป็นพัน ขนาดใหญ่กว่ากล่องทิชชูประมาณสองเท่า
เจ้าของโรงงานออกมายืนมองที่ถนน เห็นกองยางมากมายวางอยู่ริมถนน
คนญี่ปุ่นนั่งดูคนไทยเอารถกระบะมาขนไปขาย
คนญี่ปุ่นไปตามเจ้าหน้าที่มาดู
คนเก็บของบอกว่าของมันลอย ใครเก็บได้ก็เก็บไป
เพราะถ้าทิ้งไว้มันก็จะลอยออกแม่น้ำ
ตำรวจไม่จับชาวบ้าน ทำไม??
มองอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง
ถ้าของในบ้านเราโดนน้ำพัดออกมานอกบ้าน
คนข้างบ้านมาเก็บ เรามองเห็น
เราไม่มีสิทธิ์ทวงของเราคืนหรือ?
งานนี้มีตำรวจช่วยเจรจาแทน
บางคนก็ยอมคืน บางคนก็....

พูดแล้ว เหมือนไม่ใช่คน
ที่ประเทศญี่ปุ่น บ้านเมืองเกิดสึนามิเมื่อสัปดาห์ก่อนโน้น
บ้านเรือน รถยนต์ ข้าวของ ลอยไปจากที่เดิมห่างเป็นสิบๆกิโล
ไม่มีใครมาเก็บเอาไปขาย
ถ้าเก็บเขาเรียกว่า ขโมย
นี่เมืองไทย น้ำท่วม ก็เหมือนสึนามิ
พวกเรา บอกว่า ของลอยน้ำ ไม่มีเจ้าของ เป็นของอิสระเสรี
ข่าวนี้คงแพร่ไปถึงญี่ปุ่นแล้วหละ
ดีว่าเด็กๆเข้านอนหมดแล้ว เลยไม่ทราบ


โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:23:19:54 น.  

 
เพลงไทย ที่เกี่ยวกับ พ่อ

- พ่อจ๋าอย่าร้องไห้ (เกษรา สุดประเสริฐ)
- ของขวัญจากก้อนดิน (นิติพงษ์ ห่อนาค)
- ต้นไม้ของพ่อ (นิติพงษ์ ห่อนาค)
- พ่อ (ปั่น ไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้ว)
- พ่อ (นาตาลี สตีเบิร์ท อัลบัม มะลึกกึ๊กกื๋ยย์)
- พ่อ (เสนาหอย เกียรติศักดิ์ อุดมนาค)
- พ่อ (รุ่ง สุริยา)
- พ่อครับ (น้องพลับ พัดลมยังไม่ส่ายหน้า)
- พ่อแห่งชาติ (นคร ถนอมทรัพย์)
- พระพ่อภูมิพล (โฉมฉาย อรุณฉาน และ จิตรกร ตั้งตรงจิต)
- บ้านของพ่อ (กมลพร ขำนวล)
- พ่อ (ศรีสุภางค์ อินทร์ไทร)
- แด่พ่อ (ปิติ พลังวชิรา)
- พุทธรักษาบูชาพ่อ (ภัทรพร บัวก้านทอง)
- ร้องเพลงให้พ่อฟัง (ยุ้ย ปัทมาวรรณ เค้ามูลคดี)
...



โดย: zoomzero วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:23:45:38 น.  

 
สวัสดีวันเช็งเม้ง (ตรงวัน)
ปฏิทินจีนบอว่า เป็นวันธงไชย
เป็นวันดี ทำแต่สิ่งดีๆก็แล้วกัน
วันดีๆแบบนี้ น่าจะบอกรักใครสักคน
หันไปหันมา อยู่คนเดียวนี่หว่า....555

กรมอุตุฯบอกว่าวันนี้จะเย็น
แต่นี่กลับอบอ้าว
อุณหภูมิตั้ง 29 องศา
รู้สึกว่าทำได้แค่อธิบายว่าได้เกิดอะไรไปแล้ว
มากกว่าพยากรณ์ล่วงหน้า


โดย: zoomzero วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:7:33:29 น.  

 




หวัดดีตอนเย็น ๆ ค่ะเฮีย
เพิ่งกลับถึงบ้านค่ะ วันนี้รถติดสุด ๆ เลยอ่ะมินว่า
ส่วนมากจะติดขาออกจากกรุงเทพเนี่ยแหละ
2 วันนี้ ไม่มีเวลามาคุยเล่นเลยค่ะ
งานตรึม เดี๋ยวนี้ต้องคอยดูตามเรื่องการเก็บเงินของบัญชี
เอาไว้รายงานอัพเดทกับเจ้านายอีกด้วยอ่ะ
เฮ๊อ...อาไร ๆ ก็มาลงที่มินหมด คนเดียวเลยค่ะ

บางทีก็เบื่อ ๆ เหมือนกันค่ะ เพราะบางเรื่อง
ถ้าเราพูดออกไป มีหวังพวกนั้นโดนเด้งแน่ ๆ
ที่บริษัทฯ เนี่ย จะโดนต่อว่ามากที่สุดก็แผนกบัญชีนี่หล่ะ
ลูกค้าฟ้องประจำ...พอมินลงมารื้อบัญชีดูนะ
โอว..แม่เจ้า รถบางคันไม่ได้วางบิลเก็บเงินลูกค้าทั้งปียังมีเลยค่ะ เชื่อเค้าเลยอ่ะ...
ยิ่งรื้อ ยิ่งเจอ ยิ่งโผล่ออกมาเรื่อย ๆ
ดีที่ว่า ไม่ได้เป็นการคอรัปชั่นหรือโกงบริษัทฯ นะ
แต่เป็นการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพและไม่ต่อเนื่องมากกว่า

ทำไม..ต้องปล่อยปลาเป็นเลขคี่ 5 ตัวด้วย
มินไม่ได้กะหรือว่าจะต้อง 4 5 หรือกี่ตัวก็แล้วแต่ค่ะ
มินจะบอกขอปลาที่กำลังท้องหรือมีไข่อ่ะ
แม่ค้าเลือกมาได้กี่ตัว ก็ตามนั้นค่ะ
ช่วงนี้ยังดีนะคะ ช่วงปลายปีอ่ะ เป็นหน้าไข่หรือไงไม่รู้
เคยเลือกมาให้มินทีนึง เกือบ 20 ตัวก็เคยมาแล้ว
ดีที่ว่าปลาดุกมันไม่ค่อยแพงนะ ถ้าเป็นปลาช่อน
มีหวัง ..มินตายก่อนปลาแน่ ๆ เลยมั๊งคะ ฮ่า ๆ ๆ

เรื่องโรงงานยางพาราที่เฮียเล่าให้ฟังอ่ะ
อายเค้าจังเลยค่ะ ...แต่ ก็ไม่รู้จะทำไง
มินว่า เราต้องปลูกฝังกันไปตั้งแต่เล็ก ๆ เลย
เรื่องความถูกต้อง ระเบียบ วินัย การเสียสละอาไรก็ตามแต่
อยากให้มันแบบอยู่ในสายเลือดเลยว่า
สิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี ควรทำหรือไม่ควรทำอย่างไรอ่ะค่ะ...

วันนี้ ร้อนอบอ้าวจริง ๆ ค่ะ
แถว ๆ รามอินทรา มินยังเจอฝนตกอีกด้วยอ่ะค่ะ
รักษาสุขภาพมั่งนะคะ เดี๋ยวไม่สบาย สงกรานต์จะไม่สดชื่นนะ


โดย: มินทิวา วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:18:15:55 น.  

 

ที่คุณซูมเล่นเรื่องโรงงานยางมี สองความรู้สึก
น่าสงสาร เจ้าของโรงงานญี่ปุ่นที่ได้แต่ดู (นี่หรือ สมายแลนด์)
สมเพช คนแย่งเก็บ นี่แหละนิสัยดิบ ของไทยบางพวก มักง่าย
หน้าด้าน มันเหมือนขโมยกันซึ่งหน้า แทนที่จะมีน้ำใจ ช่วยเก็บคืนเค้า ขนุนไม่ได้ดูถูกคนไทยด้วยกันเองนะ แต่มันเป็นเรื่องจริงในหลายเรื่องของคนปท.เรา(ที่แย่ไม่เข้าท่าเอาเลย)

เรื่องละครพ่อจ๋าอย่าร้องไห้ ลองค้นดูแล้ว tbbs นำมาให้ดู ปี 2008
แต่ก่อนหน้านั้นราว 20 ปี (ถ้าจำไม่ผิดเป็น ช่อง 3 ช่วงเย็น เข้าไปหา
ข้อมูลดู ส่วนใหญ่จะพบกับคำว่า "เคยดูตอนเด็ก ๆ") 555...ขนุนก็จำได้ลางเลือน ตามประสาสูงวัย จับหลักสี่ สี่ จั๊บ ก่า ๆ เลี้ยวอ่ะ อาคุงซูม แต่ ก่า ๆ เยี่ยะ โจ่ย โบ่ย ต้า ลีก่า เป็น อาเจ๊ หรือ อาหมวย อาคุง
ซูม ไม่รุง่า รู้แต่ว่า น้อยก่าป๋าเบิร์ด 5 ปี พี่นาโย้ก 1 ขวบ อิิ..อิ..อิ

www.youtube.com/watch?v=b3Gb69rVZ9Y

พูดถึงเพลงของตี๋เจย์ ที่ใส่ดนตรีจีน ก็ต้องเพลงนี้เลยค่ะ (เพลงโปรด)
ตี๋เจย์ แต่งเอง และเล่นเองในหนังเรื่อง "ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง(Curse of the Golden Flower) ชื่อเพลง ju hua tai




โดย: jampada IP: 61.90.75.198 วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:19:57:35 น.  

 
คุณขนุน

2011 04 05

สุขสวัสดิ์วันเช็งเม้งครับ น้องขนุน
เรื่องอายุ เอาไว้เหยียบบบบกันแค่นี่ดีกว่า คุยแล้วเศร้า 555



เพลงนี้เพราะครับ ให้ 9 เต็ม 10 เลย
ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง
ตอนแรกที่ดูก็คิดว่า แค่ลูกชายแย่งเมียพ่อ
แต่พอได้ดูไปกลางเรื่อง กลับรู้สึกสนุกตื่นเต้น เดินเรื่องน่าติดตาม
ฉากโชว์ศิลป์กำลังภายในและเพลงอาวุธ แจ๋วมาก
ผมชอบที่มีฉากนางสนมเยอะแยะไปหมด แถมมีฉากแต่งตัวอีกด้วย ว๊าวววว

เรื่องสถานีที่เอาหนังเรื่องพ่อจ๋าฯมาฉายในปี 2008
น้องขนุนครับ ใช่สถานี tpbs ใช่หรือเปล่าครับ (บ้านเราไม่มีช่อง tbbs ผมว่าพิมพ์ผิดไปเน๊อะ)
เชื่อหรือเปล่าครับผมยังสับสนคิดว่า มันคือ สถานีช่อง 11 อยู่เลย
ต้องเปิดทีวีเมื่อตะกี้ อ้าว...ไม่ใช่นี่หว่า
ช่อง11 กลายมาเป็น NBT ไม่รู้ว่าจะใช้ชื่อฝรั่งทำไม ในเมื่ออยากเน้นความเป็นไทย
อ้อ....จะโกอินเตอร์ โอเค แบบนี้เข้าใจได้ไม่ยาก
ส่วน tpbs หรือ Thai PBS นี่ก็เหมือนกัน ต้องเดาตั้งนานว่า
PBS มาจากอะไร กว่าจะทราบ แหม...Public Broadcasting Service
มองโลโก้ตั้งนาน อ้อ...นกสีส้ม นกอะไรหว่า นกแลหรือเปล่า ???
แล้วก็สับสนอีกว่า TPBS มีอีกชื่อว่า สสท
ส่วนช่อง 11 เรียกว่า สทท เขียนไม่เหมือนกัน แต่ใกล้เคียงกันมาก
โลโก้ของ สทท นี่ก็เปลี่ยนมาแล้ว 5 ครั้ง ดูตั้งนานอีกแล้วว่าคืออะไร
เขาว่า เป็นรูป หอยสังข์ปาญจนันท์ของพระอินทร์ โอ้...มายกร๊อด ใครจะไปรู้หละนี่
ทำไมเรื่องราวมันซับซ้อนไปหมด แค่ทีวี 2 ช่อง
หรือว่าสมองของผมมันจะชราก่อนวัยอันควร 555

นี่ยังไม่รวมเรื่อง ITV หรือ TITV
เสียดายทีวีดีๆ(ในสายตาของผมนะ)
....ใครว่าการเมืองเป็นเรื่องที่จำเป็น
ไอทีวีหรือทีไอทีวี โดนกระแสการเมืองเล่นงานจนถึงแก่การอวสาน
ไม่อยากเขียนมาก เดี๋ยวโดน "แบน" อีกหนึ่งยูสเซอร์
ของเก่าโดนขังตายมาเป็นปีแล้ว เพราะเรื่องการเมืองนี่แหละครับ


ref: Sienna Jampada A0 52 2D


โดย: zoomzero วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:22:43:48 น.  

 
Mintiva

รถติด...
ใช่ วันนี้รถติดหนักมาก ติดตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ยิ่งเมื่อตอนเย็นบนทางด่วน ติดมากกกกกกก

งานบัญชี
อันนี้เข้าใจและเห็นใจ คนที่เข้าไปตรวจงานของฝ่ายบัญชี
แล้วดันไปเจอกรณี "ขยะใต้พรม"
ถ้าเอาไปบอกเจ้านาย คนในแผนกบัญชีต้องเดือดร้อนแน่นอน
แต่ถ้าเป็นพวกเส้นแข็ง เราเองก็จะกลายเป็นเป้าให้คนพวกนี้เล่นงาน(ล้างแค้น)
ถ้าเราเรียกเขามาคุยดีๆ ช่วยกันเคลียร์ กลายเป็นเราเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำผิดไปด้วย อ้าวววว
พอเรื่องแดงออกมา นายรู้ กลับกลายเป็นว่าพวกนั้นใส่ไฟกับเรา ฟู่ๆๆๆ งานนี้ซวยอย่างเดียว
เฮียก็ขอให้อาหมวย คิดดีๆ รอบคอบ
ก่อนทำอะไรไป ระวังเอาไว้บ้างนะ
เรื่องเงิน เรื่องรายได้ มันเหมือนดาบสองคม
ใจเรา เราคิดว่าเพื่อบริษัท แต่พอมันผิดพลาด นายอาจจะมองว่าเราบกพร่องก็ได้
เออ...แล้วฝ่ายบัญชีเขาไม่ทำงบวิเคราะห์ลูกหนี้ให้เจ้านายอ่านทุกเดือนหรือยังไง
อย่างน้อยเจ้านายก็จะได้ตรวจให้อีกทางหนึ่ง

ปล่อยปลา
ใช่ใช่ใช่ ปลาดุกตัวละ 15-25 บาท
ถ้าเป็นปลาช่อน ตัวหนึ่งเกินครึ่งร้อยกระมัง
ปล่อยปลาดุก แล้วทานปลาดุกหรือเปล่า?
บางคนเขาว่าปล่อยปลาอะไร ก็ห้ามกินปลานั้น
ถ้าถามว่า ทำไม ก็คงตอบแบบข้างๆคูๆ
เพราะคิดยังไง มันก็ไม่เกี่ยวกันเลย

อาหมวยก็พักผ่อนให้มากๆ
เครียดกับงานมาก ก็ต้องหาเรื่องสบายใจมาบำบัด
กลางคืนไม่ต้องมาเข้าฝันกวนใจเฮียทุกวันก็ได้
แล้วอย่าลืมดื่มน้ำสะอาดเยอะๆด้วย

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 5 เมษายน 2554 เวลา:23:35:21 น.  

 



ไม่ได้ไปเข้าฝันเฮียหรอกค่ะ
มานั่งเฝ้าดูเฉย ๆ ค่ะ ก็มันนอนไม่หลับนี่นา ฮ่า ๆ ๆ
เปล่าหรอกค่ะ ล้อเล่น นี่คือเวลาตื่นของยามประจำหมู่บ้านนี้ต่างหากอ่ะ
เมื่อคืนวันจันทร์ มินก็ตื่นตีสามแล้วไปนอนต่อตอนตีห้าค่ะ
ยาวเลยทีนี้ตื่นมาอีกทีเกือบเก้าโมงอ่ะ
รถติดด้วยถึงที่ทำงานเกือบ 11 โมง ได้เวลาไปทานข้าวพอดีเลยค่ะ ฮ่า ๆ ๆ

เรื่องบัญชีบริษัทฯ ปกติมินไม่เคยไปยุ่งหรอก
งานตัวเองทุกวันนี้ ก็ไม่รู้อาไรแน่อ่ะนะ
จริง ๆ แล้วมินมาทำงานที่นี่ในตำแหน่งเลขาส่วนตัวนะคะ
ในสมัยแรก ๆ อ่ะ อยู่ไป ๆ ๆ ๆ ไหงกลายมาเป็นฝ่ายขายก็ไม่รู้
ตอนแรก ๆ ก็แค่เข้ามาคอยดูรีพอร์ทฝ่ายขาย
อ้าว ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นต้องรับผิดชอบฝ่ายขายไปซะแล้วค่ะ
แถมเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของนายก็ต้องคอยดูแลอีก
เคยรับเลขามาใหม่เหมือนกัน แต่อยู่ได้ไม่นานก็ไปไม่รู้กี่คนแล้ว
ถึงจะมีเลขามา แต่มันก็ไม่พ้นมินอยู่ดีแหละค่ะ
ตามนามบัตรมินอ่ะ senior sales & marketing manager นะคะ
แต่งานจริง ๆ คือ general เบ๊ และอาจควบตำแหน่งกระโถนประจำบริษัทฯ ด้วยอีกต่างหากอ่ะนะคะ ฮ่า ๆ ๆ

เรื่องบัญชี ที่ต้องกลายเป็นมาคอยตามดูเนี่ย
ถ้าเล่าแล้วมันเป็นหนังม้วนยาวค่ะ.. เฮ๊อ ...
จริง ๆ มินก็ซี้กับ ไอ้ผจก.บัญชีมันนะ ถ้าวันไหนอยู่บริษัทฯ ก็กินข้าวกับมันแทบทุกครั้ง
แต่ เรื่องงานเนี่ย มินไม่รู้ว่า เค้าไว้ใจลูกน้องหรือปล่อยลูกน้องมากเกินไป...
อยู่ตรงนี้จะเซ็นต์ พรู๊บ หรือ เซ็นต์รับทราบอย่างเดียว มินว่าไม่ได้นะ มันต้องดูให้รู้ชัด ๆ จริง ๆ ด้วย
ไม่ใช่เด็กเอาเอกสารมาให้เซ็นต์ก็เซ็นต์...
โชคดีนะที่เป็นคนอย่างนายมิน และอยู่ที่นี่มาเป็นสิบกว่าปีแล้ว
ถ้าเป็นบริษัทฯ อื่น ๆ นะ.. นอกจากจะโดนให้ออกแล้ว
เผลอ ๆ ถ้าเป็นบริษัทฯ เขี้ยว ๆ ยังอาจจะต้องชดใช้ความเสียหายอันนี้ด้วยอีกนะมินว่า
เพราะมันหลายล้านอยู่นะคะ นี่ขนาดนายรู้แค่ครึ่งเดียวนะ
ถ้ารู้ว่า มีมากกว่านี้อีกเยอะ มีหวังนายลมใส่แน่ ๆ
เรื่องนี้ มารื้อเอกสารดูกันตอนปลายปีที่แล้วค่ะ
นี่ขนาดว่า มกรา มินป่วย และไม่ได้มาทำงานเกือบเดือนนะเนี่ย...

ขนาดงานผิดพลาดแบบนี้ นายยังให้โบนัสเลยค่ะ
ตอนแรกมีข่าวว่า จะไม่จ่ายให้แผนกบัญชีแล้ว
เพราะทำให้บริษัทฯ เสียหาย ขาดรายได้ไปจม..
แต่นายก็ยังจ่าย แต่แผนกนี้เป็นกรณีพิเศษค่ะ
เพราะเรียกไปรับในห้องเย็นทีละคน
ไม่เหมือนแผนกอื่นที่เข้าธนาคารไปพร้อมเงินเดือนเลยอ่ะนะ ฮ่า ๆ ๆ
เอ้อ..เบ๊มินก็ด้วยอีกคนนึง ที่ต้องเข้าไปรับในห้องเย็นอ่ะ
แต่ เรียกเข้าไปให้งานเพิ่ม คือต้องคอยตรวจสอบการเก็บเงินของบัญชีอีกทีนึงอ่ะค่ะ
เข้าตำราใครทำอาไรไม่ดีไว้ กระโถนใบนี้ต้องซวยอีกแล้วอ่ะนะ ฮ่า ๆ ๆ

อ้าว..วันนี้ง่วงเร็วจังแค่ตีสี่กว่า ๆ อยากกลับไปนอนแล้วค่ะ
หรือว่าจะเป็นที่ได้ยินเสียงหมามันหอนรับกันเกรียวก็ไม่รู้
ไอ้พวกนี้ก็แปลกนะมินว่า อยู่คนละบ้านแท้ ๆ ตัวไหนหอนขึ้นมานะ
มันรับกันต่อเป็นช่วง ๆ เลยค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ มินกลัวขึ้นสมองแล้ว
แต่ เดี๋ยวนี้เป็นไรไม่รู้ ไม่กลัวเลย..เฮ่ย..นี่ไม่ได้ท้าทายกันนะเว๊ย
เค้าเล่าให้เฮียเค้าฟังเฉย ๆ นะ อย่าทะลึ่งทำบ้า ๆ มาให้รู้สึกอาไรนะ
อ๋อ..หมามันเห่ามันหอน พวกรถเก็บขยะค่ะ ไอ้พวกนี้ก็ขยันเกิน ตีสี่มากันแล้วค่ะ
บ้านมินไม่เคยมีขยะทิ้งซักถุงนึงก็ไม่มี เพราะมินไม่ได้ทำกับข้าวค่ะ
บางทีมีขยะพวกถุงพลาสติกหรืออาไรเนี่ย มินจะเอาใส่รถไปทิ้งที่ทำงานทุกครั้งค่ะ..
ค่าสาธารณูปโภคเดือนนึงเป็นพันของมินเนี่ย จริง ๆ จำเป็นใช้แค่สมาร์ทการ์ดเข้าออกหมู่บ้าน แค่นั้นเองอ่ะ..
บ่นไป บ่นมา จะตีสี่ครึ่งอยู่แล้ว ไปนอนก่อนนะคะ
ฟังมั่ง ไม่ฟังมั่งก็ได้นะ ก็นู๋ไม่มีคนคุยด้วยนี่คะ คุยเก่งแต่ในนี้หรอก เจอกันจริง ๆ เผลอ ๆ อาจนั่งยิ้มอย่างเดียวก็ได้ค่ะ ฮ่า ๆ ๆ


โดย: มินทิวา วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:4:25:28 น.  

 
Mintiva

ตื่นอีกรอบหรือยังนี่ ยามสาวแสนสวยแห่งหมู่บ้านคานทองสยองขวัญ

เออ..นะ..เล่ายืดดดดยาวววว มา "แปล่งแป่ง" ตอนปลายทาง
ทำไมจะไม่อยากอ่าน คนอ่านคนนี้เองก็มีเพื่อนคุยกับเขาที่ไหน
ถ้ามีป่านนี้เอาคอมฯไปชั่งกิโลขายแล้วหละ
คนรอบตัวนี่เข้ารำคาญที่จะคุยด้วย เพราะชอบคุยเรื่องหนัก(แผ่นดิน)มากกว่าเรื่องสรวลเสเฮฮา
คุณอะไรนะ ที่เป็นเจ้าของอมตะ ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมหนะ
ท่านเคยเขียนเอาไว้ว่า ให้นอนเมื่ออยากนอน ให้ทานเมื่ออยากทาน
นอนให้พอดี ทานให้พอดี ออกกำลังกาย เคลื่อนย้านตัวให้พอๆกับที่นั่งนิ่งๆ
ดังนั้นเรื่องนอนเรื่องตื่นของสาววัยสองพันปี ทำแบบนี้ สุขภาพกายน่าจะดี
เฮียว่ามินไปทำงานสายก็เฉพาะวันที่เจ้านายไม่อยู่
ไม่คิดว่า ยายคนนี้มันนอนตูดโด่ง แถมไปถึงที่ทำงานตอนชาวบ้านเขาออกไปทานมื้อเที่ยง
ที่เขียน เขียนให้อ่านได้ อ่านทุกตัวอักษร
แต่ไม่เคยคล้อยตามตัวหนังสือ เพราะอ่านด้วย "หัวจายยยย"
อาหมวยนั้น...บางทีเขียนเหมือนจะฮา แต่อ่านแล้วก็เข้าใจว่า คนเขียน หงาวววววใจ มากกว่านั้น

เรื่องอื่น...
เดี๋ยวมาคุยต่อ
ตอนนี้ต้องไปเข้าห้องน้ำแล้ว ต้องเอารถออกไปทำงาน
เช้านี้อากาศร้อนอีกแล้ว
ไปนอนแช่อ่างฯ ดีกว่า เออ...ความเคยชินหนะ ยืนอาบน้ำไม่ค่อยเป็น
ชอบนอนแช่น้ำเป็นลูกจรเข้มากกว่า
เอ้...อยากได้สาวๆมาถูหลังจัง 555

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:6:51:41 น.  

 


วันนี้รถไม่ค่อยติดเลย
แน่นอนก็เป็นวันหยุด วันจักรี นี่หน่า
เมื่อเช้าถามลูกสาวคนสวยของเจ้กิมลั้งไปว่า วันจักรี สำคัญอย่างไร
เขาตอบทันทีภายใน 0.2 วินาทีว่า "ไม่รู้"
โธ่, เด็กไทยทำไมถึงบ้านเกาหลีญีปุ่นจนเลอะเลือนบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองได้ขนาดนี้
เลยจำเป็นต้องสวมบทบาทอาจารย์ซูมสอนลูกไปว่า
วันจักรี คือวันที่ตรงกับวันที่เคยเป็นวันที่ ร.๑ ขึ้นครองราชย์ (พ.ศ. ๒๓๒๕)
เป็นวันเกิดของกรุงเทพฯ (แต่ทำไมไม่มีใครพูดว่า Happy Birthday Bangkok กันเลย)
และที่สำคัญที่สุด คือ วันก่อตั้งราชวงศ์จักรี
สิ่งที่เป็นเครื่องหมายหรือสัญญลักษณ์ประกอบกับวันนี้ ก็คือ
รูปหล่อพระบูรพกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทั้ง ๘ พระองค์
ซึ่งตอนแรกมี ๕ พระองค์, ร.๖ ทรงซ่อมแซมพุทธปรางค์ปราสาท
แล้วเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น ปราสาทพระเทพบิดร ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑
จีงนับว่าร.๖ ทรงเป็นผู้ริเริ่มกำหนดวันจักรี
และให้มีการทำพิธีถวายบังคมพระบรมรูปทุกปี

ความจริงยังมีอีก ๒ วันที่มีพิธีถวายบังคมในปราสาทพระเทพบิดร
ได้แก่ วันฉัตรมงคล(๕ พฤษภาคม) และวันสงกรานต์ (๑๓-๑๕ เมษายน)
เรื่องปราสาทพระเทพบิดร คืออะไร? อยู่ที่ไหน?
คุณหนูผู้น่ารักก็ตอบได้ชัดเจนเหมือนเดิมว่า ไม่รู้
เฮ้อ...ไม่อยากจะบ่น

อย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่า เดือนเมษายน นั้นมีวันสำคัญเกิดขึ้นหลายๆวันจริง
สมกับเป็นเดือนแห่งการพักร้อนจริงๆ
อย่างวันแรก ๑ เมษายน ก็เป็นวันเมษาหน้าโง่ และวันข้าราชการพลเรือนในประเทศไทย

วันที ๒ เมษา เป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี,
เป็นวัน สายใจไทย, วันอนุรักษ์มรดกไทย, วันหนังสือเด็กแห่งชาติของไทย
และวันที่สองนี้ยังเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๓ อีกด้วย

วันที่ ๕ เมษา เป็นวันคล้ายวันประสูติของ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
ในวันที่ ๕ นี้เป็นวันที่แปลกมากเพราะเป็นคล้ายวันเกิดของอดีตนายกถึง 3 ท่าน คือ นายกศาสตรา สัญญาธรรมศักดิ์,
นายก พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ, และนายก นายธานินท์ กรัยวิเชียร

วันนี้ วันที่ ๖ เมษา เป็นวันจักรี เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์

วันที่ ๗ เมษา เป็นวัน อนามัยโลก

ช่วงวันที่ ๑๓-๑๕ เมษา เป็นวัน สงกรานต์ของไทย

วันที่ ๑๔ เมษา เป็นวัน ครอบครัว, วันประมงแห่งชาติไทย

วันที่ ๒๒ เมษา เป็นวัน คุ้มครองโลก

วันที่ ๒๓ เมษา เป็นวัน หนังสือและลิขสิทธิ์สากล

วันที่ ๒๔ เมษา เป็นวัน เทศบาลไทย

วันที่ ๒๙ เมษา เป็นวันประสูติของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ

วันที่ ๓๐ เมษา เป็นวันคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศไทย

เชื่อหรือยังว่าเดือนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ



โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:16:48:33 น.  

 
Mintiva

เรื่องแผนกบัญชี
อย่าเล่ายาวววเลย บัญชีทุกที่ มันน่าปวดหัวด้วยกันทั้งนั้น
นี่เป็นความเห็นของคนที่คลุกคลีอยู่กับหน่วยงานชื่อนี้มานานนนน

ปัญหาใหญ่ๆในการทำงานในรูปบริษัท ก็ได้แก่ เงินลงทุนและเงินสดหมุนเวียน
การหารายได้ การเรียกเก็บเงิน การจัดการเรื่องบุคคล การทำบัญชี และการควบคุมต้นทุน
บางบริษัทอาจจะมีปัญหาหนักที่การจัดซื้อ หรือฝ่ายกฏหมาย อันนี้ก็แล้วแต่ว่าทำมาหากินเรื่องอะไร
แต่สุดท้ายแล้ว แผนกบัญชีนี่แหละตัวสำคัญที่สุด
คนที่ทราบดีว่าบริษัทไหนมีแผนกบัญชีที่ห่วยมาก คือ ผู้สอบบัญชี
แต่ผู้สอบบัญชี มี 2 กลุ่ม คือพวกสีขาวกับพวกสีเทา สองพวกนี้ต่างกันที่จรรยาบรรณ (ethics)

สมัยหนึ่งบริษัทรับตรวจสอบบัญชี จะมีแผนกรับวางระบบบัญชีแทรกอยู่ด้วย
ถ้าผู้บริหารกล้าลงทุนเรื่องบัญชีก่อน ให้คนมาวางวิธีการออกเอกสาร เก็บข้อมูล
ลงบัญชี ทำรายงาน วิเคราะห์งบการเงินต่างๆ
แบบนี้บริษัทจะสามารถเดินหน้าได้ในระยะเวลาที่ก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ
แต่ส่วนใหญ แผนกบัญชีเป็นเหมือนกระโถนลำดับต่อจากแผนก admin
ใครอยู่ admin นี่ เท่ากับเป็น หมากตัวเล็กที่สุด อยู่แถวหน้าของกระดานหมากรุก
อัตราการเข้าใหม่ ลาออก สูงกว่าแผนกอื่น
แต่ถ้าบริษัทไหน เจ้าหน้าที่ในแผนกบัญชีชิงกันลาออกเข้าใหม่ จนหัวบันไดไม่ทันแห้ง
แบบนี้มีแนวทางว่า จะเจ๊ง ในเร็ววัน

ผู้บริหารส่วนใหญ่ มักไม่สนใจ คำว่า แผนกการเงิน
แถมคิดว่า บัญชี ก็คือ การเงิน
ทั้งๆที่คนเรียนหนังสือ เขาแยกสาย แยกคณะ แยกวิชากันไปเลยว่า
เรียน accounting หรือเรียน finance management
แต่ตามประสบการณ์ พระเอกขี่ม้าขาวนี่ ต้องเป็นพวกการเงิน
พวกที่สามารถทำ cash flow และ bank reconcile
เอารายงานต่างๆมาหาทางแก้ปัญหาบริษัทมีรายได้ แต่ไม่มีเงินจ่ายหนี้
เขียนแบบนี้ อาหมวยคงเบื่อที่จะอ่านแล้วกระมัง 555

ปัญหาเรืองบัญชี เล่ามาได้เลย มีไอเดียมาช่วยแชร์เยอะแยะ
เรื่องที่อาหมวยเล่ามานี่ มันเกี่ยวกับ เรื่องบริหารจัดการขายและเรื่องบัญชีลูกหนี้
ถ้าบริษัทไม่รู้ตัวว่า การขายเกิดขึ้นตอนไหน
การออกบิลล์หรืออินวอยซ์จะเกิดตอนไหน
เรื่องเก็บเงินนั้นก็เป็นความฝันอันสูงสุด

ในธุรกิจทนายความ เขาขายบริการให้คำปรึกษา รับทำงานด้านเอกสาร ติดต่อผู้คนให้ ...
งานของทนายความส่วนใหญ่เป็นความลับ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องซับซ้อน
ที่นี้แผนกบัญชี จะทำอย่างไร จะเข้าไปล้วงลูกเลยหรือ เป็นไปไม่ได้
เจ้าของบริษัททนายก็คือทนาย ทนายก็รักทนาย เข้าข้างทนาย มากกว่าพวกบัญชี
แผนกบัญชี คือ ลูกจ้าง เป็นชนชั้นล่าง เวลางัดข้อกัน ฝ่ายบัญชีเป็นศพก่อนใคร

แล้วบริษัททนายระดับอินเตอร์เขาทำงานกันอย่างไร
เขาทำแบบนี้ ถ้าเป็นงานใหญ่ เขาจะให้ลูกความเอาเงินมากองเป็นเงินทุนก่อน
คล้ายๆกับเงิน Petty Cash หรือกองทุนสำรองจ่าย
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เขาจะทำเป็นรายงานเพื่อเบิกเงินเข้าบริษัทโดยตรง
ส่วนค่าบริการของทนาย ก็เรียกเก็บอีกส่วน ซึ่งทนายจะเขียนเป็น time sheet
แล้วมีคนเอามาสรุปเป็น narrative
จัดเย็บเป็นรายงานให้ลูกความ
แผนกบัญชีก็จะดูว่าทนายคนไหนทำงานกี่ชั่วโมง ชาร์จที่อัตราเท่าไหร่
เคสนั้น มีทนายคนไหนเกี่ยวข้อง ก็คำนวนออกมาเป็นค่าบริการ
ส่วนค่าใช่จ่ายก็จะมากับรายงาน ก็เอามาเบิกจากกองทุนสำรองจ่าย
แล้วทำเป็นรายงานให้ลูกความอ่าน และมีอินวอยซ์ตามประกบไปด้วย

ซึ่งบริษัททนายแบบบ้านๆเขาไม่กล้าทำ ต้องทำงานเสร็จถึงจะเรียกเก็บเงิน
สู้บริษัททนายอินเตอร์หรือพวกข้ามชาติไม่ได้ ยิ่งทำยิ่งรวย
ทีแรก ตอนเฮียทำงานใหม่ๆ ก็ไม่เชื่อว่าเขาทำกันแบบนี้
พอไปเจอบริษัทที่เขาจ่ายทนายแบบนี้ ต้องยอมรับเลยว่าเขาฉลาดจริงๆ
ลูกค้ามาจ้างเราให้ทำงานบริการ
เรายังไม่ได้ทำงานอะไร แต่ขอเงินมาตั้งเพื่อเบิกเป็นค่าใช้จ่ายเอาไว้ก่อน
พอเราจ่ายอะไรไป เราก็เบิกตัดเงินออกมา ซึ่งเท่ากับว่า เราไม่ได้ควักเนื้อ
ทำแบบนี้ ระบบเงินสดหมุนเวียนในบริษัทจะได้ไม่ขาดมือ

สำหรับธุรกิจให้เช่า อสังหาริมทรัพย์ หรือยานพาหนะ
เท่าที่ทราบ เขาต้องมีการวางมัดจำ เพื่อเป็นการเปิดระบบบัญชีรายได้และลูกหนี้ให้ฝ่ายบัญชี
อย่างเช่น เฮียขอเช่ารถอาหมวยจำนวน 1 คัน เป็นเวลา 1 ปี
อาหมวยก็ต้องเรียกเงินมัดจำหรือค่าใช้จ่าย จ่ายล่วงหน้า สัก 2 งวด
ให้กันเมื่อเซ็นสัญญากันเลย
อาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าประกันภัย ค่าอะไรต่อมิอะไร ก็เรียกเก็บเงินวันส่งมอบรถกันเลย
ทีนี้ พอมีรายได้เข้ามา บัญชีก็จะรู้เองว่ามันเป็นรายได้ประจำงวด หรือรายได้รับล่วงหน้า
แล้วเขาก็ต้องตั้งบัญชีลูกค้าขึ้นมา มันก็จะเกิดการตรวจสอบการเคลื่อนไหวรายได้จากลูกค้าคนนี้
ซึ่งมันต้องเกิดรายได้ทุกเดือน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเฮียเช่ารถหลายคัน หลายประเภท และเช่าต่างวัน ต่างเดือน ต่างเงือนไข
ทีนี้ลูกค้าคือเฮีย มีคนเดียว แต่การเรียกเก็บรายได้มันแยกย่อย จึงเป็นกรณีพิเศษ
แบบนี้ก็ต้องตั้งเป็นรหัสคุมงาน ใช้อ้างอิงตามหนังสือสัญญาเช่าบริการ
และควรจะแยกเป็นพาหนะแต่ละคัน เพื่อใช้วิเคราะห์เรื่องค่าซ่อมบำรุงรักษา
เท่าที่เฮียเจอมาคือ มีคนเขาทำให้มันเป็นรายได้นอกระบบ มันเป็นการเลี่ยงภาษี
พอมันเป็นงานสีเทาๆ เอกสารมันก็มั่วๆ เผลอๆไม่มีการทำเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้จัดการบัญชีคนก่อนมีการจดบันทึกลับเอาไว้ รายได้ก็เลยไม่หลุด เพราะเขาแม่นเรื่องนี้
แต่พอเธอลาออกไปแต่งงานกับเอสกีโม เธอก็ไม่ได้บอกกับใครเอาไว้
ตอนนี้เธอก็ไปเป็นแม่บ้านเลี้ยงแมวน้ำอยู่ทีไหนก็ตามตัวไม่ได้อีกแล้ว
แต่ของ ของบริษัท มันออกไปอยู่กับลูกค้า มันเกิดเป็นรายได้ค่าเช่า
บริษัทไม่ออกอินวอยซ์ ไม่ไปทวงเงิน
ลูกค้าทราบ แต่ก็แกล้งไม่สนใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่เดือดร้อน
เผลอๆพวกบัญชีลาออกยกยวง กลายเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเก่าเลย
แบบนี้จะไปด่าใคร
อันนี้ไม่ได้หมายถึงบริษัทอาหมวยนะ
หมายถึงบริษัทที่เฮียไปเจอมาต่างหาก

เรื่องหมาหอน
แน่นอน มันไม่ได้เห็นผีหรือวิญญาณ
มีสัตว์ที่จิตสะอาดกว่าหมาอีกเยอะ ทำไมมันไม่เห็น
หมาป่าอยู่แต่ในป่า ไม่มีใครไปตายแถวนั้น
มันก็ยังหอนกันเป็นงานปาร์ตี้กันได้เลย
แถวบ้านเฮีย หมามันเห่าเพราะมันออกหาตัวเมียมาเชยชม
พวกที่เร่ร่อนเป็นตัวผู้ พวกที่อยู่ในบ้านหรือตามซอกมุมมืดเป็นตัวเมีย
มันก็เลยมาร้องเพลงจีบกัน
เรื่องที่คนโบราณเล่ามา บางทีก็ไม่อยากว่าพวกท่าน
แต่หลายเรื่องที่ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องบอกแบบนั้น
แล้วทีแปลกใจ คือทำไมต้องเชื่อกันมากมายขนาดนั้น
อย่างเช่น อย่าชี้รุ้งกินน้ำ, แมวมีเก้าชีวิต, บนดวงจันทร์มีกระต่าย,
เดินลอดราวตากผ้าถุงแล้วของขลังจะเสื่อม, ฯ

ถึงบ้านหรือยังเนี๊ยะ

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:18:01:36 น.  

 
เรื่องสุสานกับคำถามดีๆ

เมื่อถูกถามว่า สุสานที่ไหนใหญ่ที่สุดในโลก?
อุ้ย...ถามมาแบบนี้ ก็มีคนตอบได้หลายคนนะซิ
ถึงจะตอบไม่ได้ก็คงจะมีคนเดาคำตอบได้ไม่ยาก
อ้าว...แล้วอะไรคือคำตอบที่ถูกต้อง

ถ้าจะให้เดานะครับ ผมว่า สุสานที่เมืองจีนนี่แหละต้องใหญ่ที่สุด
เพราะประเทศจีนมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีประชากรหรือแรงงานเหลือเฟือ
แต่ก่อนที่จะเฉลยกัน ต้องบอกก่อนว่า ประเทศที่มีสุสานมากที่สุดในโลกนี่คือ ประเทศจีน แน่นอน
เรียกว่า มีสุสานหลายประเภท เช่นของกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ เสนาฯ ขุนนาง ข้าราชการ ไปจนถึงประชาชน ขอบอกว่า นับไม่ถ้วน
ดังนั้นความน่าจะเป็นที่จะมีสุสานขนาดใหญ่ย่อมมีความเป็นไปได้สูงจริงๆ
ว่าก็ว่านะคุณ ขนาดตามหน้าผา ภูเขาสูง คนจีนก็ยังไปสร้างเป็นสุสานกันได้
มีอะไรบ้างที่คนจีนทำไม่ได้ ???

มาเฉลยคำตอบกันดีกว่า
สุสานที่ใหญ่โตมากที่สุดในโลก คือ สุสานฉินซีฮ่องเต้ (จักรพรรดิฉินที่ 1)
สุสานแห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สุสานฉินชื่อหวง (หรือ ฉินสื่อหวง)
ฉินชื่อห่วง หรือ ฉินซีฮ่องเต้ ก็คือ บรรพพระกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฉิน
ส่วนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมักจะเรียกว่า สุสานกองทัพทหารดินเผาแห่งเมืองซีอาน
ความจริงสุสานนี้อยู่ห่างจากเมืองซีอานไปไกลถึง 35 กม. พื้นที่ตรงนั้นคือ ตำบลหลินถง
เนื่องจากว่าอยู่ไกลเมืองซีอานมาก จึงทำให้ไม่มีคนทราบในตอนแรกว่ามีสุสาน (สุสานทั้งอันลืมกันได้อย่างไร?)
อาณาเขตสุสานโดยรวมแล้วประมาณ 25,000 ตารางเมตร มีบางส่วนได้ขุดสำรวจ และบางส่วนยังไม่ได้ทำการขุดสำรวจ
สุสานแห่งนี้ คาดว่าใช้เวลาก่อสร้างนานประมาณ 38 ปี และสร้างเสร็จก่อนฮ่องเต้ฉินซีจะสิ้นพระชนม์
การขุดสุสานนี้ทำให้พบกองทัพทหารที่ทำด้วยดินเผา มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ยืนเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก
และยังพบวัตถุโบราณ อาวุธ รถม้า ทรัพย์สิน โบราณวัตถุอันเป็นศิลปจีนล้ำค่า หลายชิ้น
สำหรับการสำรวจสุสานทหารดินเผา มีการพบ 3 หลุม แต่ละหลุมให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมาย
หลุมหมายเลข3 มีขนาดเล็กกว่าหลุมอื่นๆ แต่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นเหมือนกองบัญชาการในประวัติศาสตร์
ถึงแม้รัฐบาลจะเปิดให้คนในประเทศและต่างชาติเข้าไปเดินชมสุสานแห่งนี้มานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
หลายคนยังไม่ทราบว่า รัฐบาลจีนยังหาหลุมฝังพระศพฮ่องเต้ฉินซีของจริงไม่เจอ
แปลว่า คนที่ไปนั้น ไม่ได้ไปดูสุสานฉินซี แต่ไปดูหลุมฝังตุ๊กตาดินเผาต่างหาก

ตอนนี้นักโบราณคดีของจีนพอจะทราบจุดฝังสุสานจริงกันแล้ว
คาดว่าอยู่ลึกลงไปใต้ดินอีก 21 เมตร จะมีสิ่งก่อสร้างเหมือนอาคารที่สูงถึง 30 เมตร กว้าง 125 เมตร ยาว 145 เมตร
แต่เนื่องจากเป็นการคาดเดาด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ไฮเทคเพียงพอ
รัฐบาลจีนจึงยังไม่ยอมเชื่อ และห้ามทำการขุดเด็ดขาด

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสุสานของจีนเรื่องหนึ่ง อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ห้ามเอาไปเล่าต่อนะ
คือเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ สหรัฐฯส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ด้วยยานอพอลโล่ 11
นิล อาร์มสตรองค์ เป็นคนใช้กล้องส่องสำรวจมายังโลก และได้ภาพที่น่าสนใจมากมาย
หลังจากนั้น เขาได้รายงานเรื่องการเห็นปิรามิด กำแพงเมืองจีน และอีกหลายๆเรื่องกับนาซ่า
และมีเรื่องที่เป็นรายงานที่ลับที่สุด (แต่ตอนนี้ไม่ลับ เพราะผมเองยังรู้เลย มันจึงไม่ลับยังไงหละ)
นิล เข้าไปรายงานโดยตรง รายงานกับคนๆเดียว นั่นคือ ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน
ในรายงานนั้นนิล เล่าว่า เขาเห็นจุดดำๆขนาดใหญ่ เรียงรายไปตามริมฝั่งแม่น้ำฮวงโห ประมาณอย่างน้อย 9 แห่ง
เขาเชื่อว่า น่าจะเป็นศูนย์ยิงอาวุธนิวเคลียร์ของจีน หรือโรงงานสร้างคลังแสงขนาดใหญ่ก็ได้
หลังจากนั้นอเมริกาคงหนาวๆร้อนๆว่า เมืองจีนมีอะไรที่พวกเขาไม่รู้อีกบ้าง
และนี่อาจจะเป็นเหตุผลจริงๆหรือเปล่า ที่ประธานาธิบดีนิกสันรีบไปเยือนจีนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกจริงๆที่อเมริกาได้เปิดสัมพันธไมตรีกับจีนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ต่อมามีการแลกเปลี่ยนหลายๆอย่างกัน เช่น ความรู้ทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ ...ฯ
ส่วนนิล อาร์มสตรองค์ ได้รอต่อมาอีก 10 ปี จึงได้มีโอกาสเข้าไปในประเทศจีน
เขาไปในงานของนาซ่า หรืองานความมั่นคง ก็สุดที่จะคาดเดา
คณะของนิล ได้ขอทำการเข้าไปดูพื้นที่ พิกัด รุ้ง107 องศา 38 ลิบดาตะวันออก ตัดกับแวง 34 องศาเหนือ
ในใจของนิล ก็คาดว่า คราวนี้เราจะได้เห็นฐานทัพนิวเคลียร์ของจีนแน่ๆ
คนของจีนไม่ได้ปฏิเสธคำขอ แถมอนุญาต และพาไปดู
ตรงพิกัดที่นิลถามนั้น คือ บริเวณที่ราบหวงถู ในมณฑลซานซี
สิ่งที่พวกเขาพบคือ สุสานบรรพกษัตริย์จีนขนาดใหญ่ที่เรียงรายกันมากกว่า 20 แห่ง
ไม่ใช่ฐานทัพ หรือกองกำลังทางทหารแต่อย่างใด
เหลือเชื่อเลยว่า ขนาดของสุสานแต่ละแห่งจะใหญ่โตได้ขนาดนั้น

คำที่คนไทยเรียก ฉินซีฮ่องเต้ (หรือ จิ๋นซี) ส่วนสากลเรียก ฉินชื่อหวง
เป็นกษัตริย์ที่มาจากสามัญชน ประสูติเมื่อ 260 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงเป็นจักรพรรดิ (หรือ หวงตี้) พระองค์แรก ของประเทศจีน
เป็นผู้ริเริ่มการรวมแคว้นต่างๆเข้าด้วยกัน สมัยนั้นประเทศจีนยังแบ่งเป็นแคว้นต่างๆมากมาย
ในหนังจีนที่ทำมาขายเป็นวีดีโอ ซีดีและดีวีดี ที่เป็นหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจีนในยุคฉินซีนั้น
จะมีบุคคลที่มีบทบาทโดดเด่นอีกคนคือ เสนาหลี่ หรือ เสนาบดี หลี่ซื่อ
คนๆนี่แหละที่เก่งมาก (อาจจะมากกว่าฮ่องเต้ก็ได้ เฮ้ย...เดี๋ยวหัวหลุดจากบ่า)
ฮ่องเต้จะทำอะไรก็จะไปปรึกษาคนๆนี้แหละ
ประเทศจีนจึงถูกพลิกผันด้วยสติปัญญาของฮ่องเต้และขุนนางคู่พระทัย

ฉินซีฮ่องเต้ ได้สร้างสิ่งที่มหัศจรรย์ให้โลกชิ้นหนึ่ง คือ กำแพงเมืองจีน
การรวมชาติ ต้องใช้สงครามปราบปรามและกำหราบผู้ต่อต้าน และผู้แข็งขืน
การสลายกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เมื่อปราบได้
ก็ต้องเผาบ้าน เผาตำรา ฆ่านักบวช สังหารครูอาจารย์ ของแต่ละเผาพันธุ์ให้สิ้นซาก
ผลงานนี้ทำให้พระองค์ได้รับการบันทึกด้วยชนรุ่นหลังว่า จักรพรรดิทรราชย์ หรือ ฉินซีผู้โหดเห...ม
แต่ทรราชย์คนนี้แหละที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์จีนให้มีความเจริญยิ่งกว่าการก้าวกระโดกครั้งไหนๆ

มีคำพูดประชดประชัน ดูเหมือนตลก แต่คนจีนไม่คงไม่ตลกด้วย
คือ คำถามที่ว่า สุสานอะไรมีความยาวที่สุดในโลก
คำตอบ คือ กำแพงเมืองจีน
เพราะเป็นกำแพงที่สร้างแล้วมีคนตายเป็นแสนเป็นล้านๆคน
ความจริงกำแพงนี้ไม่ใช่กำแพงปูนเท่านั้น แต่จะรวมทั้งส่วนที่เป็นดินอีกยาวเฟื้อยเลยหละ
ดังนั้นใครที่คิดว่ากำแพงปูนนั้นยาวแล้ว ของจริงยาวกว่านั้นมาก
ในการสร้างกำแพงแต่ละลี้ ล้วนต้องมีคนงานเสียชีวิตเพราะความเหน็ดเหนื่อย
ผู้คนที่ถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงมักจะไม่ได้กลับมาบ้านเกิดอีกเลย

มีเรื่องที่อาจเข้าใจผิด ขอบอกว่าอย่าไปเชื่อ....
คือ เขาว่านักบินอวกาศที่เดินอยู่บนดวงจันทร์สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้ด้วยตาเปล่า
เรื่องนี้ อดีตเจ้าหน้าที่นาซ่าอย่างผม ขอบอกว่า เป็นไปไม่ได้
บนดวงจันทร์มองอะไรบนโลกไม่ชัดเจนหรอกครับ มันเบลอๆไปหมด
ยิ่งกำแพงเมืองจีน สีมันจะกลมกลืนไปหมดกับภูมิประเทศ
ที่มองเห็นด้วยตาๆได้คือ ระดับ LOW EARTH ORBIT
หรือระยะบินรอบโลกขั้นต่ำของยานอวกาศเท่านั้น

เรื่องสุสาน ยังไม่หมดประเด็นง่ายๆ



โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:21:33:14 น.  

 
เรื่องโรงงานยางในภาคใต้ที่น้ำท่วม
วานนี้และวันนี้ มีชาวบ้านอีกกลุ่มได้ไปตามหาแผ่นยางมาคืนให้
เจ้าของโรงงานที่เป็นชาวญี่ปุ่น
ขณะนี้ได้ตรวจนับดูแล้ว ปรากฏว่าเกือบๆสามหมื่นตัน

เอ้า...คนเลวก็มี คนดีก็มา
เจ้าของโรงงานชาวญี่ปุ่นได้กล่าวขอบคุณชาวบ้านด้วยรอยยิ้มเจือน้ำตา
แต่ขอบอกว่า คนที่เอามาคืนไม่ใช่คนที่เอาใส่เรือแล้วบึ่งหนีไปขายเมื่อวานก่อนแน่ๆ

เชื่อว่า คนเอาแผ่นยางไปทราบดีว่าเป็นอาชญากรรม
คนที่กล้าก็เอาไปขายโดยไม่สนใจใคร
คนที่กลัวก็เอาไปเก็บซ่อนเอาไว้ก่อน
แล้วในที่สุด ก็มีพลเมืองดีไปตามขอคืนมาให้เจ้าของ
กลุ่มคนที่เอายางมาคืนนั้น ไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าของโรงงานเลย
นับว่า เป็นการกระทำด้วยหัวใจ

กรุงศรีฯไม่สิ้นคนดี
แต่ผมยังเชื่อว่า ยังมีคนเลวอีกมากในสังคมไทย
อย่างไรก็ดี การกระทำดีแบบนี้ ผมขอกราบเท้าพวกท่านทุกคน
ประเทศเราจะได้ไม่โดนด่าว่า เลวซ้ำซ้อน


โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:23:06:20 น.  

 
สุสานซุนยัดเซน

ถ้าคุณเชื่อว่า สุสานของฉินซีฮ่องเต้ มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
อันนั้นเป็นคำตอบในแง่ตัวอาคาร และความอลังการ
แต่ถ้าจะคิดจากขนาดความกว้างยาวของสุสาน
คำตอบที่น่าจะถูกต้องที่สุด สำหรับคำถามที่ว่า สุสานของใครมีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในโลก
คือ สุสานของ ดร. ซุน ยัด เซน (Dr. Sun Yat-Sen's Mausoleum)

สุสานนี้มีขนาด 80,000 ตรม. ปกคลุมไปด้วยป่าสนถึง 70%
ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของภูเขาจงซาน จึงมีคำเรียกว่า จงซานหลิง
นอกจากเป็นสุสานของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีน
ยังเสมือนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพรรคการเมือง ก๊กมินตั๋ง
สำหรับคนไทย เราอาจจะคิดว่า ประธานเหมาเจ๋อตุง คือ บุคคลหมายเลข 1 ของจีน
แต่ในประเทศจีน เขานับถือ ดร.ซุนยัดเซน เป็น บิดาของประเทศจีน

ซุนยัดเซน นี่ไม่ใช่ชื่อจริงๆของคนผู้นี้
เขาเกิดมา บิดาตั้งชื่อให้ว่า ซุนเหวิน
ต่อมาเขาใช้ชื่อว่า ซุนเต๋อหมิง ซึ่งนับเป็นชื่ออย่างเป็นทางการครั้งแรก
ต่อมาอีกที ก็เปลี่ยนใหม่เป็น ซุน อี้เซียน แปลว่า เทพเจ้าอิสระ
คำว่า ซุนอี้เซียน ในภาษากวางตุ้ง อ่านออกเสียงว่า ซุนยัดเซน
และท่านยังมีอีกชื่อว่า ซุน จางซาน และนามปากกาว่า รื่อซิน

ที่เรียกว่า ดร. นั้นน่าจะมา Doctor ที่แปลว่า หมอ
เพราะซุนยัดเซนเรียนจบด้านการแพทย์จากฮ่องกง (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง)
เขาเริ่มสร้างคุณงามความดีโดยเป็นแพทย์ที่มาเก๊าและกวางโจว (ถ้าคนไข้จนเขาจะรักษาให้ฟรี)

ในยุคก่อนการเปลี่ยนระบบการปกครองของจีน
ประเทศจีนโดนปกครองโดยราชวงศ์ชิง ซึ่งไม่ใช่ชาวฮั่น พวกนี้มาจากแมนจูเรีย
จังหวะที่ราชวงศ์ก่อนหน้าคือ ราชวงศ์หมิง เกิดจลาจล แผ่นดินลุกเป็นไฟ
ราชวงศ์ชิง ก็แย่งชิงประเทศมาได้ และสถาปนาอาณาจักรต้าชิง

เมื่อราชวงศ์ชิงทราบว่า ซุนยัดเซน เป็นภัย เพราะรวบรวมกำลังเพื่อสลายอำนาจของราชวงศ์
จึงมีคำสั่งตามล่า ดร.ซุน
ซุนยัดเซนต้องหนีไปอังกฤษ แล้วก็โดนสายลับจับตัวในประเทศอังกฤษ
มีการประท้วงอย่างหนัก จนทำให้ต้องมีการยอมปล่อยตัวเขา
ดร.ซุน หนีไปญี่ปุ่น วางแผนปฏิวัติหลายครั้ง จนสุดท้ายก็สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๕๔
ทั้งนี้เพราะยอมให้นายพลหยวนซื่อไข่ ผู้กุมกำลังทางภาคเหนือ เข้าร่วมด้วย
ราชวงศ์ชิงถูกโค่นล้ม นับเป็นการสิ้นระบบกษัตริย์โดยมีพระจักรพรรดิ ผู่อี้ เป็นพระองค์สุดท้าย

การเมืองการปกครองของจีนตอนนั้นวุ่นวายสับสนมาก
สภาพเหมือนมี 2 รัฐบาล
บางคนก็บอกว่า ซุนยัดเซน เป็นประธานาธิบดีคนแรก
บางคนบอกว่า หยวนซื่อไข่ ต่างหากเป็นประธานาธิบดีคนแรก
บางตำราบอกว่า ซุนยัดเซน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกก่อน แล้วเจรจากัน ซุนยัดเซน ขอลาออก
หยวนซื่อไข่ ปกครองประเทศเป็นประธานาธิบดีคนที่2
แต่หยวนซื่อไข่คนนี้ กลับสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ ทำให้พวกที่ร่วมปฏิวัติเกิดความสับสนวุ่นวาย แบ่งฝ่ายกัน
ต่อมาหยวนซื่อไข่เสียชีวิต ซุนยัดเซน ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีคนที่3
ครั้นเมื่อซุนยัดเซนเสียชีวิต รัฐบาลจึงสร้างสุสานให้สมกับคำว่า บิดาแห่งประเทศจีน



โดย: zoomzero วันที่: 6 เมษายน 2554 เวลา:23:55:05 น.  

 



เพิ่งถึงบ้านค่ะ
เป็นอีกวันนึง ที่มาถึงด้วยอาการแบบนี้อ่ะ
ขออาบน้ำนอนก่อนนะคะ
เดี๋ยวตีสามค่อยลุกมาคุยกันนะ
ปล. วันนี้ได้ไปคริสตัลมาด้วยค่ะ
ที่อยู่ประดิษฐ์มนูธรรมอ่ะใช่ป่าวคะ...


โดย: มินทิวา วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:18:51:19 น.  

 
แวะมาทักทายนะคะ..


โดย: conio.h วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:20:32:01 น.  

 
Mintiva

อือ...เอาหนะ เหนื่อยนัก ก็พักนอน
ก็ขอให้เหนื่อยแต่กายอย่างเดียวก็แล้วกันนะ

ใช่...คริสตัลปาร์ค
ที่จอดรถเยอะดี
ผู้คนก็แต่งกายดี มีระดับ มาเดิน มาทาน มาโชว์ มานัดพบ ....

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่นี่แหละที่เคยเล่าว่าโดนเขา ห้ามถ่ายรูป นะค่ะ
ซึ่งทำให้นึกถึงภาพคนที่พาเพื่อนมาเลี้ยงอาหารวันเกิด
พอจะเป่าเค้กแฮปปี้เบิร์ดเดย์แล้วถ่ายรูป
คงต้องวิ่งเอาเค้กออกไปถือนอกร้าน
เป่ากันนอกร้าน ถ่ายรูปนอกร้าน
แล้ววางเค้กไว้ข้างประตูหน้าร้าน
จากนั้นก็วิ่งเข้ามาทานอาหารกันต่อ
พอทานเสร็จก็ออกไปเก็บเค้กใส่ถุงหิ้วกลับบ้าน
อ้าว..ก็ห้ามนำอาหารเข้ามาทานในร้านยังไงหละ
อย่าให้เห็นนะว่าวันไหนมีลูกค้าเอาเค้กจากข้างนอกเข้าไปทานในร้านนี้
เฮียจะแหกปากตะโกนประนามเลยหละ หุหุ

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:0:03:23 น.  

 
Taj Mahal

คำว่า สุสาน น่าจะเป็นสถานที่เต็มไปด้วยความเศร้า
และคงจะไม่มนุษย์คนไหนอยากไปเยี่ยมชมเพื่อความบันเทิงใจ
แต่ในโลกนี้ ยังมีสุสานที่มีคนอยากไปเดินชม
เพราะว่า เป็นสุสานที่ได้ชื่อว่า สวยงามที่สุดในโลก

ทัชมาฮาล(Taj Mahal) คือ สุสานที่ได้ชื่อว่ามีความสวยงามที่สุดในโลก
วัตถุประสงค์ในการสร้าง เชื่อว่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก
และเป็นที่เก็บพระศพของมเหสีของกษัตริย์พระองค์หนึ่งของอินเดีย
กษัตริย์พระองค์นั้นชื่อว่า ชาห์ ชหาน
ส่วนพระมเหสีมีชื่อว่า มุมตัชมาฮาล
ที่ว่าสวยงามเพราะ เป็นสุสานหินอ่อน ที่มีรูปทรงสถาปัตยกรรมที่งดงามที่สุดในโลก

ทัชมาฮาล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ที่เมืองอัครา ประเทศอินเดีย
เป็นสุสานที่สร้างด้วย หินอ่อนหลายสี ศิลาแลง อิฐหินปูน
ประดับและตกแต่งด้วยอัญมณี กระเบื้องที่งดงามมาก
ใช่เวลาก่อสร้าง 17 ปี (ค.ศ. 1632 - 1648)
เป็นการเฟ้นหาสถาปนิกเอกทั่วอินเดียและประเทศต่างๆ เช่นตุรกี, เปอร์เซีย, ลาฮอร์, อิหร่าน, ฯ
และมีการบันทึกเอาไว้ว่ามีคนงานมากถึง 20,000 คน ใช้ช้าง 1,000 เชือกเพื่อขนลากวัสดุต่างๆ

พวกไกด์ทัวร์ชอบพูดว่า ทัชมาฮาล คือ หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆก็คงฟังแล้วเชื่อบ้างหรือไม่เชื่อก็เฉยๆไป
แต่ผมเกิดความกังขามากเพราะว่าจำได้ว่าไม่มีชื่อนี้เลย
ครั้นไปตรวจสอบจากวิกิพีเดีย ก็พบว่ามีการเรียกที่สับสนอยู่เล็กน้อย
ตรงนี้ต้องเว้นข้อแม้เอาไว้ว่า มีการจัดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่หลายสถาบัน
สำหรับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่คนมักจะทราบ ได้แบ่งออกเป็น 3 ยุค
ได้แก่ ยุคโบราณ บุคกลาง และยุคปัจจุบัน ซึ่งจะไม่มีทัชมาฮาลรวมอยู่ด้วย
แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีองค์กรชื่อ NOWC ได้ออกมาจัด เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
เมื่อวันที่ ๗ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีการแถลงผลการคัดเลือก ได้แก่
1. พิรามิดเอลกัสติโยแห่งชิเชนอิตซา ของชาวมายา ประเทศเม็กซิโก
2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล
3. กำแพงเมืองจีน
4. มาชูปิกชู นครที่สาบสูญแห่งอินคา ประเทศเปรู
5. นครเปตรา นครหินแกะสลัก อยู่ในหุบเขาวาดี มูซา ประเทศจอร์แดน
6. โคลอสเซียม สนามกีฬาเก่าแก่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี
7. ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อน เมืองอัครา ประเทศอินเดีย

ของแถม
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้ง 3 ยุค

ยุคโบราณ
1. มหาพีระมิดแห่งกีซ่า ประเทศอียิปต์
2. สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน ประเทศอีรัก (ปัจจุบันไม่มีซากให้เห็นอีกแล้ว)
3. เทวรูปเทพซุส ประเทศกรีก (ภายหลังถูกไฟไหม้เสียหายหมดสิ้น)
4. วิหารอาร์ทีมิส หรือวิหารไดอานา ประเทศตุรกี
5. สุสานแห่งกษัตริย์มอโซลัส ประเทศตุรกี
6. เทวรูปเฮลิออส (เทพแห่งพระอาทิตย์) ประเทศกรีก (ปัจจุบันไม่เหลือซากให้เห็นแล้ว)
7. ประภาคารฟาโรส แห่งอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์

ยุคกลาง (เป็นช่วงเวลาที่มีคนจัดอยู่หลายที่ บางรายการไม่ตรงกัน)
1. โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งโรม อิตาลี
2. หลุ่มฝังศพแห่งอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
3. กำแพงเมืองจีน
4. สโตนเฮนจ์ อังกฤษ
5. เจดีย์กระเบื้องเคลือบ หนานกิง จีน
6. หอเอนเมืองปิซา อิตาลี
7. สุเหร่าโซเฟีย อีสตัลบูล ตุรกี

ยุคปัจจุบัน (กลุ่มวิศกรโยธาของอเมริกาเป็นผู้ประกาศชื่อสถานที่ต่างๆเหล่านี้)
1. อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส
2. ซีเอ็น ทาวเวอร์ แคนาดา
3. เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิลและปารากวัย
4. ตึกเอ็มไพร์สเตต สหรัฐฯ
5. เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ประกอบด้วย เขื่อน ประตูน้ำ ที่กั้นเขื่อน)
6. สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐฯ
7. คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้


ตามประสาคนชอบนินทา ขอทิ้งท้าย...
พระนางมุมทัช มาฮาล (Mumtaz Mahal) นั้น ก่อนแต่งงานทรงมีชื่อว่า Arjumand Banu Begum
เป็นคนที่งามทั้งกายและใจ มีเมตตาจิตสูง ชอบแจกทานให้คนจน
และให้กำเนิดโอรสและธิดามากถึง 14 พระองค์ แล้วเมื่อคลอดคนที่ 14 ก็ตกเลือดสิ้นพระชนม์
พระนางเป็นผู้ทำให้กษัตริย์ชาห์ ชหาน (Shah Jahan) กลายเป็นคนอ่อนโยน ทั้งๆที่นักรบที่เก่งกล้า
หลังจากกษัตริย์ชาห์สร้างสุสานเสร็จ ก็สั่งให้ช่างไปสร้างสุสานของพระองค์ตรงฝั่งตรงกันข้าม
แต่สร้างไม่สำเร็จ เพราะมีพระโอรสชื่อ Aurangzeb ได้จับตัวพระราชบิดาไปขังจนสิ้นพระชนม์

เรื่องที่จะนินทาก็คือ มีคนเล่าว่ากษัตริย์ชาห์ได้สั่งประหารผู้ออกแบบและคนงานทั้งหมด
เรื่องนี้คงจะไม่จริง เพราะมียอดฝีมือมาสร้างกันหลายคน
คงไม่มีใครบ้า กล้าทำลายทรัพยากรมนุษย์อันล้ำค่าของประเทศตนเอง
และยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะมีช่างฝีมือมาจากต่างประเทศ
ถ้าไปฆ่าเขา ก็อาจจะเกิดสงคราม
อีกเหตุผลคือ พระนางมุมทัชและกษัตริย์ชาห์ ทรงเป็นพวกที่ชอบทำบุญทำทานมานานเป็นสิบๆปี
จึงเป็นการยากที่จะสั่งฆ่าคนบริสุทธิ์
การสังหารคนเป็นหมื่น ต้องมีผลต่อขวัญและความศรัทธาของประชาชน อาจจะนำไปสู่การล้มราชบัลลังก์
อีกเรื่องคือ การสร้างสุสาน ต้องสร้าง 2 แห่ง จึงไร้เหตุผลที่ว่าสั่งฆ่าคนที่จะมาสร้างงานที่สองจนหมดสิ้น
ถ้าฆ่าเขาตายหมด หรือฆ่าเฉพาะระดับหัวหน้า แล้วใครจะมาสร้างสุสานแห่งที่สอง
ในนิทานโบราณสมัยก่อน มักจะมีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระราชาสร้างวังอันสวยงามเสร็จ
ก็ไม่ต้องการให้มีใครสร้างวังอื่นได้เหมือนกัน
จึงต้องสั่งควักลูกตา ตัดลิ้น ตัดมือ ตัดแขน ของผู้ออกแบบและหัวหน้าช่างทุกคน
ดังนั้นเรื่องพวกนี้ก็อาจจะมีคนเอามาสวมรอยเล่าเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับเรื่องนี้ก็ได้
และถ้าหากคิดว่ามีคนตายไม่ว่าจะหนึ่งคน สิบคน หรือสองหมื่นคน
สุสานนี้น่าจะโดนสาปแช่ง ก่นด่า ว่าเป็น สุสานเลือด ไม่ใช่สุสานแห่งความรักอาลัย
คงต้องมีสุสานคนงานอยู่ในพื้นที่นั้นอีกแห่ง ซึ่งจะการสำรวจพบกันบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย
หรือคงจะมีเรื่องเล่าว่า แม่น้ำยมุนาเป็นสีแดงและมีแต่ศพลอยน้ำมากมาย
และทางคณะกรรมการคัดเลือกสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คงไม่หน้ามืดเอามาใส่เอาไว้แน่ๆ
ถ้าเบื้องหลังสิ่งสวยงามนี้มีความโหดร้ายปนเปื้อนอยู่ด้วย

พระนางมุมตัสมาฮาลเป็นพระมเหสีคนที่ 3 ไม่ใช่หมายเลข 1
กษัตริย์ชาห์จะมีนางสนมเป็นร้อยหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
แต่เมื่อมาพบรักแท้กับพระมเหสีคนที่ 3 นี้ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีใครอีกเลย

พระโอรสที่จับกษัตริย์ชาห์ไปคุมขัง ทรงมีพระนามว่า โอรังเซบ (Aurangzeb)
เป็นพระโอรสที่เกิดจากพระนางมุมตัสมาฮาล เป็นบุตรคนที่ 6 จาก 14 พระองค์
แต่เป็นพระโอรสคนที่ 3 และขึ้นครองราชย์ต่อจากกษัตริย์ ชาห์ ชหาน
เป็นกษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์โมกูล มีมเหสี 5 พระองค์ (น่าอิจฉาจัง)



โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:0:03:49 น.  

 



อรุณสวัสดิ์ค่ะเฮีย
อิอิ ตีสามวันนี้ไม่ได้มาเฝ้าอ่ะค่ะ
หลับยาวตื่นมาเกือบตี 4 ค่ะ
เปิดทีวีดูช่อง 64 เจอซีรี่ส์ญี่ปุ่น
ดูแล้วติดลม และกำลังติดซีรี่ส์เกาหลี สมาคมเมียหลวง อ่ะค่ะ
ซีรี่ส์จบไปพร้อม ๆ กับมินอีกรอบนึงใกล้ ๆ 6 โมงอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ
เพิ่งฟื้นค่ะ เฮ๊อ..ไม่รู้ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา อ่ะนะ...

เดี๋ยวออกซัก 9 โมงดีกว่าค่ะ หนีรถติด ไปสาย ๆ หน่อย
เมื่อวานที่คริสตัล เกือบไปแล้วค่ะกับร้าน
somewhere in Paris...อ่ะ ขนาดเซลล์ 50% นะนั่น
พอดีว่าเดือนหน้า ลูกสาวพี่ที่ทำงานเค้าจะแต่งงานค่ะ
คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่าแค่คืนเดียว มีอาไรก็ใส่ ๆ ไปเหอะ
คงไม่มีใครสนใจเรา เท่าเจ้าสาวหรอกน่า ฮ่า ๆ ๆ
อ้ะ..พูดเรื่องนี้แล้ว เพิ่งนึกขึ้นมาได้อ่ะเนี่ย...
โหย..แค่หมู่บ้านคานทอง ก็กริ้ว จนจะแย่อยู่แล้ว
นี่ มาพ่วง สยองขวัญ เข้าให้อีก โธ่เอ๊ย...
จะตอกย้ำกันไปถึงไหนเนี่ย หา...
จะมีใครคิดอีกด้านนึงไม๊น๊า...ว่า เค้าไม่เอาเองต่างหาก อ่ะ
ฮ่า ๆ ๆ ล้อเล่นค่ะ ไม่มีใครเอานู๋จริง ๆ นั่นแหละ

แต่ ถึงจะมี ป่านนี้แล้ว ไม่เอาดีกว่าค่ะ ไม่อยากมีห่วง
อยู่คนเดียวในสายลม...เพื่อจะข่ม ให้ใจเยือกเย็น....
แหม...อาไรจะพอดีขนาดนี้เนี่ย เพลง ฟ้าคงสะใจ
ของพี่บิลลี่ ขึ้นมาพอดีเลยค่ะเนี่ย...
ขอหลับตานิ่ง ๆ ฟังเพลงนี้ก่อน นะคะ
...ก็ทำกรรมแต่ปางหนไหน...ฟ้าจึงได้แกล้งกันต่าง ๆ
เฮ๊อ...เลยตื้อไปเลย คิดอาไรไม่ออกเลยค่ะ
ขอจบแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ ขอหาเพลงนี้ในเวบ
เพื่ออัดเก็บไว้ฟังก่อนดีกว่า...
ก็เคยบอกไปแล้วนี่คะว่า ถึงมันจะเจ็บจี๊ด ๆ
แต่มันก็มีความสุขอยู่ตรงนั้นให้มิน(โรคจิต) เหมือนกัน






โดย: มินทิวา วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:7:20:07 น.  

 



goodnight and sweetdream naka


โดย: มินทิวา วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:19:48:56 น.  

 
โห...มาไว เคลมไว ไปไว
ยังกับประกันรถเลย
สองทุ่มก็เข้านอนแล้ว
ว่าจะชวนดู เคหาสถ์สีแดง ซะหน่อย


โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:20:52:12 น.  

 
Mintiva

เมื่อเช้าเข้ามาอ่านตั้งแต่หกโมงไปรอบหนึ่งแล้ว
เห็นว่าจะเล่าอะไรมาหลายวัน ไม่เห็นเล่าอะไร
เอาแต่ว่าตัวเองอยู่นั่นแหละ
เลยไม่รู้ว่าอารมณ์เป็นแบบไหน ตอนเช้าเลยไม่กล้าป่วน 555

เรื่องงานแต่งงาน
สมัยนี้เห็นสาวๆที่ไปงานแต่งงานก็เห็นว่าเขาไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้า
ถ้าแต่งวันเสาร์หรืออาทิตย์ แบบนี้ค่อยมีการอัพเกรดเป็นชุดหรูๆหน่อย
อย่างว่าหละ ผู้หญิงทุกวันนี้แทบจะเป็นสาวที่ทำงานแลกเงินเดือนกันทั้งนั้น
เลิกงานแล้วก็ล้างหน้า แต่งหน้า นั่งรถไปงานกันเลย ถ้าว่างหน่อยก็ไปสระผมก่อนไป
ที่พบบ่อยๆคือ เขาจะหาผ้าไหมสีสวยๆมาห่มคลุมไหล เพื่อให้ดูดีมีระดับ
งานแต่งที่น่าเบื่อสำหรับผู้หญิงนี่เขาว่า คือ งานแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่น
ไม่มีใครอยากแต่งเป็นคิวสุดท้าย แต่พวกที่แต่งไปก่อนหน้าก็ใช่ว่าจะมีความสุขกันทุกคู่
อุ้ย...คุยกันทำไมเรื่องนี้ คนหมู่บ้านนี้เขาไม่คุยกันเรื่องนี้นี่หว่า

เสาร์นี้ไปงานศพ เป็นงานเผาศพ
เป็นงานของคนดีมีฐานะด้วยหละ
ต้องไปงัดตู้เสื้อผ้า หาสูทสีดำมาใส่ซะหน่อย
อะไรก็ไม่ยากเท่าเน็คไทสีดำ พอจะใช้ทีไรต้องซื้อใหม่ทุกที
ใช้แล้วก็เอาไปเก็บซ่อน เวลาจะหาก็ลืม
เฮ้อ...คนแก่ ความจำไม่ค่อยดี อิอิ

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:21:07:59 น.  

 



อิอิ ลืมไปแล้วค่ะ ว่าจะเล่าอาไรอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ
หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ไปคริสตัลมา ก็ไม่รู้แล้วอ่ะ...
ไปไหนมาไหนคนเดียวเนี่ย เวลาจะทานไรอ่ะ
มันช่างลำบากลำบนเหลือเกินนะมินว่า
จะเข้าร้านอาหารใหญ่ ๆ คนเดียวมันก็ทะแม่ง ๆ
วันนั้นสรุปว่า ห่วงเดินดูของมากกว่าห่วงหาของกินค่ะ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เรื่องกินมาก่อนเลยมินอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ

มาว่าเค้า...มาเร็ว ไปเร็ว เหมือนเคลมประกัน
ก็ลองพูดกันไม่รู้เรื่องจิ มีหวังต้องไปต่อที่โรงพักอ่ะนะ
คราวนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะเร็วแล้วค่ะ ถ้าได้ไปโรงพักอ่ะ
เผลอ ๆ ครึ่งวันยังไปกันไม่ถึงไหนเลยอ่ะนะคะ ฮ่า ๆ ๆ
ไปดีกว่า..มาป่วนคนนอนหลับ แล้วก็แว๊บอ่ะค่ะ


โดย: มินทิวา วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:3:59:48 น.  

 
Mintiva

สุขสันต์วันเสาร์
เออ...หรือว่าวันสงกรานต์
เฮ้ย...ทำไมสงกรานต์ปีนี้มาเร็ว
เมื่อสองวันก่อนมีคนมาลากลับไปเล่นสงกรานต์ที่ต่างจังหวัด
เฮียหันมาดูนาฬิกาข้อมือและก็ต้องวิ่งไปดูปฏิทินว่าวันสงกรานต์ปีนี้เขาเปลี่ยนวันหรือเปล่า
เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ พี่ไทยกะว่าจะเมาสิบวันเก้าคืนกันเลยหรือนี่???

เอ๋...เวลาไปไหนคนเดียวแล้วเขินๆเหรอจ๊ะ
ไม่เหมือนเฮียเลย
เฮียชอบไปไหนๆคนเดียว (แล้วไปหาคู่ควงแปลกหน้าเอาข้างหน้า 555)
อย่างว่าหละนะ คนสวยนี่ ไปไหนๆก็มีแต่คนชอบมอง เลยต้องเขินแบบนี้

อ๊าย...ทำไมรู้ว่าไปโรงพักแล้วเรื่องจะยาวหละ
เฮียเคยโดนแท็กซี่ชนท้ายจนรถของเฮียหมุนไปอยู่อีกด้านของถนน
ตอนนั้นชนกันตอนทุ่มครึ่ง แถวช่องนนทรี-สาธุประดิษฐ์
พอดีใกล้สามแยกไฟแดง เลยมีจราจรมาดูให้
แต่ไม่ทราบว่าอย่างไรนะ ดูๆเหมือนว่าแท็กซี่กับตำรวจจะคุยกันสนิทสนมเป็นพิเศษ
เลยเกิดความขัดแย้งว่า ตำรวจมาบอกให้เฮียเป็นฝ่ายผิด และให้ชดใช้ค่าเสียหาย
เฮียไปกับเพื่อน(หญิง)ก็ช่วยกันเถียง สุดท้ายก็โดนยึดใบขับขี่ทั้งสองฝ่าย
แล้วให้เอารถไปจอดที่โรงพัก ดีว่าเป็นวันเสาร์เลยมีที่จอดรถในโรงพักได้
ตามธรรมดา อย่าเอารถไปจอดที่โรงพักไหนๆ เพราะมักจะไม่มีที่จอด
ทั้งๆที่บนโรงพักสามารถนับหัวได้ว่ามีกี่คน แต่รถที่ไหนก็ไม่รู้จะมาจอดกันเต็มลานจอด
หรือเขาคิดว่าจอดรถในโรงพักนี่ปลอดภัย (แต่ระวังเถอะ ลูกๆของผู้พิทักษ์ฯนี่แหละ ร้ายกาจยิ่งนัก)

คืนนั้นเป็นคืนแห่งบทเรียนอันแสนเจ็บใจยิ่งนัก
เมื่อคู่กรณีไปถึงโรงพัก แต่ตำรวจยังมาไม่ถึง
เพราะท่านต้องทำงานนอกสถานที่ตามกำหนดเวลาให้หมดก่อน ถึงจะกลับมาโรงพัก
กว่าท่านจะมาก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าๆ
ครั้นเมื่อมาพร้อมกันก็คุยกันไม่จบเรื่อง เพราะให้การไม่เหมือนกันเลย
ตำรวจคนนั้นให้เฮียไปนั่งคอยข้างนอกแล้วเขาก็สอบสวนโชเฟ่อร์แท็กซี่
พอแท็กซี่คนนั้นออกมา เฮียก็เข้าไปให้สอบสวนเป็นคนต่อไปทันที
ปรากฏว่า แท็กซี่บอกว่าเรามาด้านโน้น กลับรถแบบไม่มองทาง
เรากลับรถตัดหน้าแท็กซี่
ฝ่ายเราก็ว่ามันมาชนท้ายเราแบบไม่ทันตั้งตัว น่าจะออกจากซอยเล็กด้านซ้ายมือของเฮีย

เมื่อไม่มีใครยอมใคร ตำรวจเลยบอกว่า ให้เอารถทิ้งไว้ วันจันทร์มาคุยกันใหม่
เฮียไม่ยอมทิ้งรถไว้ที่โรงพัก เลยโทรฯไปหาเพื่อนที่มีญาติเป็นตำรวจ
ให้เขาช่วยถามว่ากรณีแบบนี้ต้องทำอย่างไร
ได้ทางออกมาว่า ขอเอารถไปใช้ระหว่างคดี
เราต้องเอารถไปตรวจสภาพเพื่อยืนยันว่ารถเราสมบูรณ์ (จะตรวจไปหาพระแสงอะไรก็ไม่ทราบ)
คนแนะนำบอกว่า ทำแบบนี้เพื่อที่เราจะได้เอารถไว้กับเรา
ทางตำรวจจราจรท่านนั้นก็ออกใบนัดตรวจสอบให้ทันที

พอหันมามองหาคนขับรถแท็กซี่ ปรากฏว่าหาไม่เจอ
ตำรวจก็ให้เฮียเดินไปตามมาคุยกันอีกรอบ
เฮียเดินหา ขอโทษนะอาหมวย ขอเรียกว่าเขาว่า อ้ายเว็นตะไล
เฮียไปมองหารถแท็กซี่ของมันก็ไม่อยู่ แปลว่ามันหนีกลับอู่ไปแล้ว
เฮ้ย..รถของมัน มันก็เอาไป
อ้าว...ไหนตำรวจบอกว่าต้องยึดรถทั้งสองผฝ่ายจนกว่าจะสอบสวนเสร็จ
เอ้า...ตำรวจบอกว่ามันหนีก็เรื่องของมัน ของเราก็เอาแบบนี้แหละ เอารถไปตรวจสภาพ
กว่าจะได้กลับบ้านก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า

พอเช้าวันรุ่งขึ้น เฮียก็เอารถไปที่กองบังคับการตำรวจจราจร
"อยู่แถวๆวังบูรพา อยู่ตรงถนนตรีเพชร อยู่ใกล้ถนนพาหุรัด"
นี่คือคำบอกเส้นทางของตำรวจท่านนั้น
สมัยนั้นไม่มี googlemap ไม่มี GPS มีแค่แผนทีนำเที่ยวกรุงเทพฯซื้อมาจากปั๊มน้ำมัน
วันรุ่งขึ้นห้างฯก็ยังไม่เปิด ไม่รู้จะไปซื้อแผนที่แบบละเอียดได้ที่ไหน
เพื่อนฝูงก็คงนอนหลับพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่อยากโทรฯไปรบกวนเขา
เลยต้องขับรถไปแบบเสี่ยงๆว่า มันจะหาง่ายหรือไม่
ปรากฏว่าหาไม่ง่าย เพราะเฮียไม่ชินเส้นทางนั้น
วนอยู่สี่ห้ารอบ เลยจอดถามชาวบ้านแถวนั้น จึงไปถูก

ขั้นตอนก็ไม่มีอะไรมาก (คงเป็นเพราะว่าสมัยก่อนไม่มีเครื่องมืออิเล็คโทรนิกอะไรใช้ตรวจ)
ไม่มีการเปิดฝากระโปรง ไม่มีการขึ้นแม่แรงดูใต้ท้องรถ ไม่มีการตรวจล้อหรือยาง
เขาทำอย่างไรครับพี่น้อง?
เขาให้เอารถวิ่งตามช่องทางตรงๆ ด้วยความเร็วปานกลาง (กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ไม่ทราบ)
แล้วพอถึงเส้นหรือแนวที่กำหนด ให้เหยียบเบรคสุดแรงเกิด
ในสถานที่นั้น ไม่ใช่ที่โล่งอะไรเลยนะขอรับ
มันมีตึกแทรกซ้อนเรียงรายเต็มไปหมด
มีหลืบข้างตึก มีลานยาวๆ ทำเป็นเหมือนถนนกว้างไม่ถึงสองเลนด้วยซ้ำ
พอดีวันนั้น ลมยางรถของเฮียไม่ได้เติมแข็งมาก และก็ไม่ได้วิ่งเร็ว เฮียคิดว่าผ่านการตรวจสอบเบรคแน่ๆ (ฉลาดมั๊ย??)
เฮียก็ขับรถตามเส้นทางนั้น ผ่านแนวให้เบรค เหยียบเบรคแรงสุดๆ รถก็จอดทันที
ตำรวจก็เดินมายืนมองว่า รถไถลเกินแนวเส้นตรวจสอบหรือไม่
แล้วก็เซ็นอนุญาตว่า "ผ่าน"
จบขั้นตอน การพิสูจน์ความสมบูรณ์ของรถ
เอารถของเราไปใช่ในธุรกิจของเราได้ตามปกติ

พอวันจันทร์ เฮียก็โทรฯถามตำรวจ
ปรากฏว่าตำรวจคนนั้นไม่มาเพราะเป็นวันหยุด (แล้วบอกให้โทรฯไปหา วุ้ยส์)
พอวันอังคาร โทรฯไปอีก ตำรวจคนนั้นลาหยุดต่อหนึ่งวัน (เว็น)
พอวันพุธ โทรฯไปอีก ตำรวจเจ้าของคดีมาทำงานแล้ว(เย้) แต่บอกว่ายังติดต่อคู่กรณีไม่ได้ (ฮ่วย)
พอวันพฤหัสฯ โทรฯไป เขาบอกว่า ฝ่ายโน้นไม่เอาความ
หมายความว่า เขาจะซ่อมรถของเขาเอง
อ้าว...แต่เราจะเอาความหนะ มันชนท้ายเรานะ รถเราบุบนะ
ตำรวจบอกว่า ให้มาแจ้งความใหม่ ให้แจ้งเป็นเจ้าทุกข์ คนขับรถเป็นผู้ต้องหา
เฮียเลยถามตำรวจว่า แนะนำทางออกที่ดีว่านี้ได้หรือไม่
(คือ เฮียกะว่า ตำรวจคงจะพาเฮียไปที่อู่แท็กซี่ แล้วไปคุยกับเจ้าของอู่ ขู่จนเขายอมจ่ายเงิน 555)
ตำรวจให้คำตอบที่จำจนวันตายคือ
เจ้าของอู่บอกว่าคนขับลาออกไปแล้ว เราต้องฟ้องคนขับแท็กซี่เอาเอง เถ้าแก่ไม่เกี่ยว
เฮียเลยบอกว่า ครับ
จากนั้นเฮียก็ไม่เคยโทรฯไปหาตำรวจคนนั้น
ไม่โทรฯไปหาเจ้าของอู่แท็กซี่
ไม่โทรฯไปหาคนขับแท็กซี่ (ตำรวจให้เบอร์มาด้วยนะ)
สรุปว่า ต่างคนต่างอยู่ ไม่อยากโดนแท็กซี่รุมกระทืบตายอีกด้วย

สมัยนั้นเฮียเป็นพนักงานบริษัทใหม่ๆ เงินเดือนไม่ถึงห้าพันเลย
ฐานะยากจน ขับรถมือสองเก่าๆ ไม่มีประกันอุบัติเหตุ
ไม่มีญาติเป็นนายทหารหรือตำรวจใหญ่
เลยคิดว่า ก้มหน้าซ่อมรถเองดีกว่า รถก็ยังวิ่งได้ รอมีเงินค่อยซ่อม เรื่องจะได้จบๆ
อีกสามปีต่อมา ก็เปลี่ยนรถ เป็นมือสองเหมือนเดิม แต่คราวนี้ทำประกันชั้นสาม
นานอีกหลายสิบปี กว่าจะมีปัญญาซื้อป้ายแดง และทำประกันชั้นหนึ่ง

บ่ายนี้ต้องไปงานเผาศพ
คงต้องรีบไปหน่อย เมื่อวานเขามีสวดศพหนึ่งวันก่อนเผาจริง
รถจอดพรึดไปหมด นี่ขนาดคนที่ไม่สามารถมาวันเผาได้ ถึงได้มาวันเมื่อวานนะ
แต่ก็มีพวกที่มาได้ทั้งสองวัน อย่างครอบครัวของเฮียนี่แหละ
พวกที่จะมาวันนี้ อาจจะมีเป็นพันคน (ช่างโม้ไปได้) ต้องไม่โอ้เอ้

วันนี้ท่านแม่ก็ไปเผาศพคุณน้า(แบบนับถือกัน)ที่พิมาย
หลานของแม่ที่เคยมาอาศัยตอนเรียนปริญญาตรีเขามาจากโคราช มาทำธุระพอดี
เขาเลยอาสาพาแม่ไป ส่วนขากลับยังเป็นปริศนาอยู่
เพราะแม่ไม่ยอมกำหนดวันกลับ แถมไม่ยอมบอกจะให้ใครไปรับ
เฮียก็นิ่งๆ เพราะเคสแบบนี้เกิดมาหลายครั้ง
นี่ขนาดสงกรานต์ ลูกรักและหลานรักของท่านแม่หยุดงานหลายคน
เขาก็ไม่ยอมบอกพวกนั้น ไม่ชวนพวกนั้นไปด้วยแม้แต่คนเดียว
คอยดูซิ พอวันจะกลับ ก็ต้องเป็นเฮียไปรับ
ถ้าเฮียถามว่า ลูกคนนั้นก็ว่าง คนนี้ก็อยู่เฉยๆ ทำไมไม่เรียกไปรับ
แม่จะบอกว่า โอ้ย..ถามแล้ว เขาไม่ว่าง
แต่หลายครั้งที่พอเฮียไปถามกับคนๆนั้น
เจ้าตัวกลับบอกว่า แม่บอกว่าไม่เป็นไร ตั๋วเฮีย(หมายถึง เฮีย) เขาอยากมารับแม่เอง
เวลาไปรับแม่ เฮียก็จะถามกวนๆแม่ว่า
งานนี้มันต้องลูกคนนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นงานเสียเงินเสียเวลา ต้องให้ลูกชังมาอยู่ข้างหน้า
(เคยได้ยินสุภาษิตของลิงมั๊ย ที่ว่า ลูกรักอยู่ข้างหลัง ลูกชังอยู่ข้างหน้า หุหุ)
แม่ก็จะยั้วปรี๊ดๆๆ บอกว่า ชั้นกลับรถทัวร์คนเดียวก็ได้ แกกลับไปเลย
หุหุหุ ทำให้แม่อารมณ์เสีย งานนี้ได้ลงนรกแบบชั้นล่างสุดแน่ๆ

แปลกแต่จริง
ไม่ทราบว่าอาหมวยเคยเจอเรื่องแบบนี้หรือไม่
สำหรับเฮีย จะต้องเจองานศพในวันเดียวกันมากกว่ารายเดียว
คือถ้าไม่ไปงานนั้น ก็ต้องไปงานนี้ เหมือนมันห้อมล้อมเข้ามาหาเรา
แถมหลังๆมาก็ยิ่งหนักกว่าเดิม คือ จะมีคนเกิด และมีคนจัดวันเกิด ซ้อนขึ้นมาอีก
อย่างวันนี้ มีงานศพ 2 ราย มีงานวันคล้ายวันเกิดอีก 1 ราย
เฮียต้องเลือกเอา 1 งาน ที่เหลือก็ปฏิเสธไป
นี่ไม่รวมเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ไปงานสวดศพญาติของอาเจ้กิมลั้งที่ปทุมธานีอีกราย

คนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้นจริงๆ

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:12:55:40 น.  

 
กลับมาจากงานเผาศพแล้ว
คนเยอะมาก น่าจะใกล้ๆพันอย่างที่คิด
บรรยากาศไทยๆดีมาก มีดนตรีไทยแสดงสดตลอดเวลา
เสียแต่ตรงที่ว่า หาที่จอดรถยากมาก
แถมวันนี้ที่วัดยังจัดงานแบบที่มีสวนสนุก มีของเล่นมากมาย
ทำให้ที่จอดรถหดหายไปมาก
โน่นโดนบังคับให้ไปจอดหลังวัดโน่น

วัดนี้มีเมรุเผาอยู่หนึ่ง แต่เผาได้วันละ 2 เขาแบ่งเป็นโซนด้านเหนือกับด้านใต้
แต่ละด้านจะมีศาลาใหญ่(ติดแอร์)อยู่คนละฟาก
ใครรีบๆเข้าไปในงาน ไม่มองตาม้าตาเรือ ก็อาจจะนั่งผิดด้าน
พอขึ้นไปเผาบนเมรุ อาจจะต้องตกใจว่า ทำไมหน้าตาผู้ตายดูผิดไปมาก
อ้าว...ก็มันคนละคนกันนี่หน่า
เหตุการณ์นี้มีแน่นอน เพราะว่ากว่าจะจอดรถได้ก็จวนเจียนที่เขาจะทอดผ้าไตร
เผลอๆเขาเผาหลอกไปแล้ว ต้องวิ่งตาเหลือกขึ้นไปเผาจริงพร้อมๆกับญาติของเขา
นั้นแหละถึงบอกว่า อาจจะขี้นไปผิดด้าน ผิดศพ ผิดงาน ผิดเจ้าภาพ
แต่ผมไม่ได้พลาดนะงานนี้ แค่เกือบพลาด เพราะเห็นว่าคนในศาลาทำไมมีแต่ข้าราชการเต็มไปหมด

ตระกูลของผู้ที่เสียชีวิตนี้ เป็นตระกูลที่ดี มีฐานะ
และเป็นการรวมของ 2 ตระกูลใหญ่ ซึ่งมีลูกหลานมากพอสมควร
ที่น่าอิจฉาคือ แต่ละคนล้วนมีหน้าที่การงานดีมาก เป็นหมอ เป็นอาจารย์ เป็นนักธุรกิจ
เป็นเจ้าของร้านอาหารใหญ่ย่านสุขุมวิท บางคนก็มีบทบาทสำคัญในบ้านเมืองก็มี ฯ
แค่ลูกหลานเองก็มากแล้ว มีเพื่อนๆ คนนับถือ ลูกน้อง พนักงาน ... ฯ เยอะดีแท้
งานนี้ที่ไปเพราะว่าเป็นงานเผาศพของคุณแม่ของคุณพี่ที่เป็นเจ้านายเก่าของเจ้กิมลั้งเขาหนะ
ผมไม่ได้ไปในฐานะแขกรับเชิญ แต่ไปในฐานะคนขับรถของยายเจ้จอมโหดต่างหาก อิอิ

วันนี้ อากาศตอนบ่ายๆ ร้อนอบอ้าวมาก ดีว่าแสงแดดยังไม่จัดจ้านร้อนแรง
วันนี้ ใส่สูท เต็มอัตรา เหงื่อไหลเป็นน้ำก๊อกแตกเลย ข้างในเสื้อผ้ารู้สึกได้เลยว่ามันแฉะแบะ

กลับมาถึงบ้าน รีบถอดเสื้อผ้า เหวี่ยงไปมุมห้องเลย
เปิดแอร์เบอร์ 20 องศา นุ่งผ้าขาวม้าท้าลมแอร์อยู่นานเป็นครึ่งชั่วโมง ถึงไปอาบน้ำอาบท่า
ทำไมคนไทยถึงบ้าบอ ต้องใส่เสื้อผ้าเลียนแบบคนเมืองหนาว เพื่อให้คนคิดว่าเราสุภาพและมีฐานะ
ประเทศ ต้นฉบับเขาอยู่กัน แต่งตัวกันแบบนี้ เพราะอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศา
ประเทศ เราไปรับวัฒนธรรมการแต่งกายมาจากเขา เลยใส่เสื้อผ้าซะเต็มล้น ร้อนตับแล็บ
แขกที่เป็นฝรั่งผู้ชายมาในงานนี้ด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำบ้างสีขาวบ้าง แขนสั้น ไม่มีเน็คไท
เขาคงจะงงว่าอากาศร้อนแบบนี้ทำไมคนไทยมันถึงได้บ้าแต่งตัวเลียนแบบชาวตะวันตกได้แบบนี้
เอาสมองส่วนไหนคิดกันหว่า

เมื่อสักครู่ ฝนลงเม็ดปรอย แต่แค่ห้าหกนาทีก็หยุดเม็ด
ว้า...อยากได้ฝนเย็นๆจัง คืนนี้จะได้หลับอย่างเป็นสุข (เอ้..สำนวนภาษาแปลกๆนะ ว่ามั๊ย?)

วันนี้ละคร ค่าของคน ถึงตอนอวสาน
ละครรุ่นนี้น่าดูมาก เพราะตัวแสดงผู้หญิงสาวๆนุ่งกระโปรงสั้นกันทุกคน
แม้แต่นางเอกที่มีคาแรกเตอร์เป็นครูสอนรำไทย ยังสั้นได้สั้นดี ขางี้ขาวจั๊วน่าเจี๊ยะจริงๆ
เดี๋ยวนี้คอสตูมไม่สนใจบุคลิกของบทประพันธ์ แต่เอาใจแฟชั่น คงกลัวคนดูหาว่าเชย


โดย: zoomzero วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:21:52:47 น.  

 


www.youtube.com/watch?v=UJ-d50Uy6FE

สวัสดียามค่ำค่ะ คุณพี่ซูม อิ..อิ แอบอ่านข้างบน ก็เลยเอาเพลงนี้
มาให้ฟัง อย่าน้อยใจไปเลยค่ะ คิดบวกว่าท่านรักเราก็แ้ล้วกัน หาก
ถึงเวลาที่ไม่มีท่านเชื่อว่าคุณซูมจะไม่มานั่งเสียใจว่าไม่ได้ัทันทำอะไร
เพื่อท่านแน่นอน ...........สนุกชื่นบานกับสงกรานต์นะคะ


โดย: ่jampada IP: 115.87.155.71 วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:22:07:36 น.  

 
สุสานที่เกิดจากสงคราม

ไม่ว่าสงครามที่ไหนๆ ย่อมทิ้งความอาลัยและความเศร้าเอาไว้เบื้องหลังมากมาย
เมื่อเอ่ยถึงสุสานคนต่างชาติที่มีอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะพวกชาติตะวันตก
คนมักจะนึกถึงสุสานทหารผ่านศึกในสงครามโลก ครั้งที่ 2
ซึ่งจะอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี เพราะมีค่ายทหารญี่ปุ่นขนาดใหญ่อยู่ที่นี่
ความจริงในประเทศเรา ก็มีสุสานของคนต่างชาติ ต่างศาสนาอยู่หลายแห่ง
และบางแห่งก็อยู่ไม่ไกลไม่ใกล้จากบ้านหรือบริษัทที่ทำงานของพวกคุณๆหรอก (เชื่อหรือไม่)
เอาเป็นว่า มาคุยเรื่องสุสานทหาร ที่เรียกว่า สุสานทหารสัมพันธมิตร กันหน่อย

ก่อนอื่นต้องบอกว่าที่เมืองกาญจน์ไม่ได้มีสุสานทหารแค่แห่งเดียว
แต่มีถึง 2 แห่ง ได้แก่ สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก (ชื่อเพราะจัง)
กับ สุสานทหารสัมพันธมิตรช่องไก่


คำว่า สุสานดอนรัก คุณอาจจะไม่คุ้นหู คงต้องบอกว่า สุสานทหารสงครามโลก อาจจะคุ้นหูมากกว่า
สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ที่ได้ชื่อนี้เพราะอยู่ที่หมู่บ้านดอนรัก
ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
เป็นสุสานขนาดใหญ่ ใครไปเที่ยวเมืองกาญจน์ หรือไปเล่นน้ำตกไทรโยค
ถ้าขับรถผ่านถนนแสงชูโต ไปถึงสถานีรถไฟกาญจนบุรี
สุสานทหารดอนรักจะอยู่ทางด้านหลังสถานีรถไฟ
สุสานดอนรัก มีอีกชื่อว่า สุสานสหประชาชาติ
แต่ชาวบ้านเรียกว่า ป่าช้าฝรั่ง (ทำไมมีชื่อเรียกหลายชื่อจัง)
มีหลุมศพเชลยศึกจำนวน 6,982 หลุม บนพื้นที่ 17 ไร่
ตามคำบอกเล่า บอกว่าเชลยศึกพวกนี้ เป็นพวกที่ถูกส่งไปสร้างทางรถไฟสายมรณะ
โดยมีเชลยศึกถึง 300 คนที่ตายเพราะเป็นโรคอหิวาตกโรค
ในแต่ละปีจะมีการกำหนดให้เป็นวันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตโดยแบ่งเป็นชาติต่างๆ เช่น
วันที่ 25 เมษายน จะเป็นของ ชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
วันที่ 5 พฤษภาคม จะเป็นของ ชาวเนเธอร์แลนด์
วันที่ 11 พฤศจิกายน จะเป็นของ ชาวอังกฤษ


สุสานสัมพันธมิตรช่องไก่ หรือ สุสานเขาปูน อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย
ใกล้ท่าเรือเมืองกาญจน์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 2 กม.
เป็นที่ฝังศพเชลยศึกจำนวน 1,750 หลุม
บริเวณนี้เคยเป็นค่ายเชลยขนาดใหญ่(เชื่อว่าใหญ่ที่สุด)
มีพื้นที่ 7 ไร่ แต่ตัวสุสานมีขนาดเล็กว่าสุสานดอนรัก
เชลยศึกส่วนใหญ่เป็นทหารชาวอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2
เชลยศึกจากค่ายนี้จะถูกส่งเข้าไปทำงานในป่าลึก
และมีการสับเปลี่ยนเชลยที่เจ็บป่วยกลับเข้ามา
ส่วนใหญ่เชลยที่ออกไปทำงานจะเป็นแบบไปแล้วไปลับ
ซึ่งศพคงจะไม่ได้ถูกนับกลับมาฝังมากเท่าที่ตายไป
ภายในเคยมีโรงพยาบาลซึ่งถูกเรียกขานว่า เรือนมรณะ
ลักษณะการฝังศพนั้นไม่ได้ฝังเมื่อตาย แต่จะฝังตามป่าเขา
เมื่อสงครามจบ พวกเพื่อนทหารจึงไปขุดศพแล้วนำมาฝังที่สุสานช่องไก่อีกครั้ง

เราคุยเรื่องสุสานทหารสัมพันธมิตรไปแล้ว พวกนี้เป็นฝ่ายชนะ
ส่วนฝ่ายที่แพ้สงคราม ก็มีสุสานเหมือนกัน
สุสานของผู้แพ้แต่เขาสร้างก่อนที่จะสงบศึกกัน
ผู้แพ้ที่ว่านี้ก็คือ ฝ่ายญี่ปุ่น (แต่สุสานนี้ฝังรวม ไม่จำกัดชาติใดชาติเดียว)
สุสานที่ฝังศพทหารญี่ปุ่น มีชื่อว่า อนุสาวรีย์ไทยานุสรณ์
ทหารญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 (พ.ศ. ๒๔๘๗)
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ทำงานในการสร้างทางรถไฟสายมรณะ
ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร หรือกรรมกร ก็ได้รับเกียรติทุกคน
ซึ่งจะมีทั้งคนไทย ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ ฮอลันดา ออสเตรเลีย มลายู เวียดนาม ฯ

สำหรับทางรถไฟสายมรณะ คือ เส้นทางไหนหรือครับ
เท่าที่ผมเข้าใจก็คือ จากเมืองกาญจน์ไปถึงน้ำตกไทรโยคน้อย
แต่เห็นเขาว่า ญี่ปุ่นตั้งใจสร้างไปถึงพม่า
ระหว่างทางจะมีสะพานเก่าๆเลาะเลียบภูเขา ติดกับแม่น้ำแคว
มีทางโค้ง คนชอบยื่นหน้าออกมาถ่ายรูปกัน

มีคนบอกว่า พวกญี่ปุ่นจะเอาทองคำที่ริบมาจากประเทศของเหล่าเฉลย
ตั้งใจใส่รถไฟแล้วส่งไปซ่อนที่พม่า (เออ...ทำไมไม่เอากลับประเทศหว่า)
บางคนก็ว่า ญี่ปุ่นจะไปเอาทองจากพม่า (นี่ไง ชเวดากอง) ขนผ่านพม่าเข้ามาไทย
เอ้...ญี่ปุ่นยึดพม่าได้ด้วยหรือ? อ้าว! ใช่ซิครับ
ตอนแรกอังกฤษยึดพม่า พอสงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นบุกพม่า
พอญี่ปุ่นแพ้สงคราม อังกฤษกลับมาปกครองพม่า แล้วต่อมาพม่าก็ดูแลตัวเอง
แต่เอ้...ทำไมอังกฤษถึงไม่เอาทองที่พม่าไปเสียตั้งแต่สมัยแรกๆเลยหละ?
บางคนบอกว่า เป็นทองที่ขุดได้ที่เมืองกาญจน์นี่แหละ
ทีแรกจะเอาไปที่ค่ายทหารในพม่า พอดีแพ้สงครามเสียก่อน
ตอนนี้ทองเหล่านั้นซ่อนอยู่ในถ้ำ
และมีคนเชื่อจนกลายเป็นตำนาน โกโบริน หรือ โกโบเลอะ
อันนี้ก็แปลกเพราะว่า ถ้าเมืองกาญจน์มีทองจริง
เราน่าจะรู้กันมานานแล้ว ไม่น่าจะเป็นญี่ปุ่น
สรุปว่ามั่วกันหมด ดูแล้วญี่ปุ่นน่าจะสร้างเส้นทางรถไฟจากเวียดนาม
แล้วข้ามลาว เข้าไทย ไปพม่า มากกว่า หรือว่าไม่เชื่อ??



เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง มีซากศพ โครงกระดูก เชลยศึกและกรรมกรชาวเอเชีย
ถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเป็นใคร
จึงมีการนำกระดูกเหล่านั้นมาฝังที่วัดญวน ในเมืองกาญจนบุรี
ชาวบ้านเรียกว่าป่าช้าวัดญวน อยู่ด้านหลังสุสานทหารพันธมิตร
วัดนี้มีชื่อว่า วัดถาวรวราราม เป็นวัดพุทธ นิกายญวน
เมื่อก่อนคนกลัววัดนี้มาก บอกว่าผีดุ จนต้องมีการทำพิธีล้างป่าช้าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙
ปัจจุบันเป็นวัดที่สวยงามมากเพราะมีการสร้างเจดีย์ที่เลียนแบบหอเทียนถาน
ซึ่งเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งภายในพระราชวังต้องห้าม กลางกรุงปักกิ่ง
โดยได้ขอพระราชทานนามว่า ตำหนักสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
ในวันนี้ได้มีการปรับปรุงภูมิทัศนจนสวยงามมาก


โดย: zoomzero วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:23:10:01 น.  

 



อรุณสวัสดิ์ค่ะเฮีย
ช่าย ๆ ๆ ค่ะ บางทีเจองานแบบว่า
ไม่รู้จะไปงานไหนดีอ่ะนะ
เคยขนาดที่ว่าต้องไปฟังสวดซะจบหนึ่งก่อน
แล้วต้องรีบไปงานแต่ง เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำโรงแรมก็เคยมาแล้วค่ะ

วันนี้ เดี๋ยวเช้านี้ต้องไปส่งคุณนายแม่มิน
ไปงานทำบุญครบปีลุงคนแรกที่เสียไปก่อนนะคะ
แต่ ไม่ต้องไปรับกลับ เพราะเดี๋ยวลูกลุงเค้ามาส่งค่ะ
ลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายแม่มินเนี่ย เหมือนคนแปลกหน้าค่ะ
ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนเลย ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ
เพิ่งมาเจอกันตามงานแต่ง งานศพเนี่ยอ่ะ
ลูกชายลูกสาวเค้าก็เรียนอัสสัม และเซ็นต์โย
เหมือนหลานชาย หลานสาวมินเปี๊ยบเลยอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ

ปล. วันนี้อากาศแบบนี้ เฮียคงชอบสินะคะ
เมื่อวานตอนหัวค่ำลมแรงมาก ๆ
ขนาดขับรถอยู่บนถนนเหมือนโดนลมพัดแรง ๆ
มันวืด ๆ ๆ เลยเหมือนกันค่ะ


โดย: มินทิวา วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:6:37:59 น.  

 
Mintiva

วันนี้สลับฉากซีนอารมณ์ เพราะ ตอนเย็นไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดน้องสาวอาคุงนายกิมลั๊ง
เมื่อวานต้องไปงานศพ ขี้เกียจทำอย่างอาหมวยที่ต้องไปเปลี่ยนเป็นชุดปกติก่อนถึงร้านอาหาร
ขื่นใส่ชุดดำไปงานวันเกิด เจ้าภาพอาจจะหาว่ามาแช่ง
ที่แรก ก็บอกให้เขาจัดกันไปเลย ปีหน้าก็ได้เจอกัน แต่เขาก็เลื่อนเป็นวันนี้ให้
เอ้า...เขาอุตส่าห์เลื่อน เราก็ต้องอุตส่าห์ไปให้ได้นั่นแล

อากาศวันนี้ ไม่ค่อยแฮปปี้นะคะ
ไม่มีแดด ไม่มีลม ไม่มีฝน มีแต่ความอบอ้าว
เมื่อเช้าตื่นมาล้างรถคันใหญ่ เหงื่อชุ่มตัวเลย
ตอนเช็ดล้อ พบว่ายางแบนทั้ง 4 เส้น ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก
แต่ก็ลืมดูลมยางมาเกือบ 2 เดือน สงสัยจะแบบมานานแล้วกระมัง
เลยเอาไปให้ร้านยางหน้าปากซอยดูให้
ปรากฎว่า ลมยางจาก 34 ลดเหลือแค่ 22 เกือบทุกล้อ มีล้อหลังขวาเหลือแค่ 16
งานนี้ต้องจับเอาล้อลงจุ่มน้ำทุกล้อ เพื่อจะหาฟองอากาศ
นานเกือบครึ่งชั่วโมงก็หาไม่เจอ แปลว่าไม่ได้รั่ว
ช่างบอกว่า สงสัยเฮียโดนคนแกล้งปล่อยลมแล้วหละ
อ้าว...แล้วใครมาแกล้งเรา หรือว่าแฟนตัวจริงของกิ๊กเฮียฟระ???
อึม...เป็นไปได้ สงสัยเขาจะเตือนก่อน คราวหน้าคงทุบรถแน่ๆ
เฮ้ย...ไม่ใช่ ไม่ใช่ เกิดมาไม่เคยมีกิ๊กแม้แต่คนเดียว อิอิ
จริงๆนะ เฮียเองก็จำได้ว่าไปที่ไหนมาบ้าง
หรือว่าวันนั้นไปจอดรถเล่นกับหมาที่ชอบหอนแถวหน้าบ้านอาหมวยหรือเปล่าน้า

เรื่องญาติที่ไม่เหมือนญาติ
อันนี้ก็มีเหมือนกัน บ้านคุณอาคนหนึ่งอยู่ที่ต่างจังหวัด
ตอนที่พวกบ้านเฮียไปเยี่ยมคุณย่าสมัยเมื่อยี่สิบปีก่อน
ลูกๆบ้านเขาไม่เห็นจะมาเล่นอะไรกับพวกพี่น้องของเฮียเลย
ความจริงต้องบอกว่า หน้าก็แทบจะไม่มองเราเลย
ชื่อจริงของพวกเขา เราก็ไม่ทราบ รู้จักแต่ชื่อเล่น
พอตอนที่เขาโตๆ เขาเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน 4-5 ปี ในกรุงเทพฯ
พวกเขาไม่เคยแวะมาที่บ้านเราเลย แม้แต่รับปริญญาเขาก็ไม่บอกบ้านเรา
แต่วันๆหนึ่ง ลูกคนหนึ่งของอาก็มาหาเราที่บ้าน (เก่งมาก ไม่เคยมา แต่ก็มาถูก)
เขามาเพื่อจะให้คุณพ่อของเฮีย เซ็นคำประกันการซื้อรถกระบะ
วันนั้นเขาถูกพ่อบอกปฏิเสธไป
แล้วเขาก็หายไปเลย วันเผาศพพ่อ อาๆมากันหมด แต่ลูกเขาคนนี้ไม่มา
พอถามว่าเขาอยู่ไหนทำอะไร ก็ทราบว่าทำงานอยู่กรุงเทพฯ อยู่อพาร์ทเม้นท์ใกล้ๆบ้านเรานี่เอง
เอากับเขาซิ พอไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่นับพี่นับน้องกัน พอเดือดร้อนก็มาหากัน เฮ้อ..คน คน คน

ตอนเช้าตื่นสายมาก และก็อยากทาน foodland
แต่เลย 9 โมงเช้า ราคาอาหาร ABF กลับมาราคาปกติคือ 62 บาท
ถ้าไปเร็วกว่านั้นก็จะซื้อมื้อเช้าได้ในราคา 49 บาท
เลยต้องสั่งอาหารอื่นทาน
แปลกดีนะ ทั้งๆที่อยากทานขนมปังไข่ดาวไส้กรอกและชาร้อนแท้ๆ
แค่เสียดายเงิน 13 บาท แต่อาหารที่สั่งมาทานก็ตกจานละ 70-80 บาท
ชักอยากจะเปลี่ยนชื่อร้านอาหารนี้แล้วหละ
ชื่อปัจจุบันว่า Took Lae Dee มันจะกลายเป็น แพงและเร็ว มากกว่า
อาหารมาเร็วมาก แค่สามนาทีมาเลย (สำหรับอาหารแบบปกติๆนะ)
แต่เมนูต้นตำรับของเขา ก็ยังทำได้อร่อย มีอยู่หลายอย่าง เช่น
ข้าวผัดอเมริกัน, สลัดทูน่า, เนื้อหมูยัดใส่ชีส, ผัดไท
แต่บางอย่าง สั่งมาแล้วอาจจะเอาช้อนเขี่ยๆแล้วบอกว่า เสียดายตังค์
เรื่องความอร่อย ลองเข้าไปอ่านในเน็ท มีหลายคนบอกว่าสาขาที่เฮียไปทาน มีคนบอกว่าไม่อร่อยเยอะมาก
สาขาที่เขาว่าอร่อยเลิศ เห็นจะเป็นตรงรามคำแหง
วันหลังจะต้องตามไปชิมให้ได้ซะแล้ว

มีคนบางคนเขาบอกว่า ทำงานกลางคืน เลิกงานออกมาก็ประมาณตีหนึ่งกว่า
ร้านอาหารตามห้างฯก็ปิดไปตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว
ร้านข้างถนนก็หาอร่อยยาก และบางที่ก็ดูจะสกปรก
ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิง ก็คงไม่อยากนั่งทานข้างถนน เพราะนอกจากกลัวเรื่องรถแล่นมาเฉี่ยวแล้ว
ก็อาจจะโดนฉกชิงวิงราวกระเป๋าก็ได้ หรือไม่รถก็อาจจะถูกทุบ ถูกขโมย
แต่ foodland เป็นทางเลือกที่ดีมากๆ เพราะจะมีที่จอดรถที่มี รปภ
ร้านอาหารก็เป็นห้องแอร์ อาหารอร่อย ทำรวดเร็ว มีเมนูให้เลือกมากมาย
ขนาดเกาเหลาหมูยังสั่งได้เลย และถ้าอยากทานอาหารฝรั่งก็มีให้เลือกเยอะ
ถ้าไปสองคน อาจจะสั่งพวกสลัด เสต็ก ซุปเห็ด ของทอดๆ ของยำๆแซ็บๆ และเบียร์เย็นๆ
รับรองว่า ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าไปทานในโรงแรมหรือร้านคาราโอเกะที่เปิดยันเช้า

บ่ายนี้อยากทานผัดมักโรนี
เอ้...แต่งตัวออกไปหาอาหารดีกว่า

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:13:55:09 น.  

 



goodnight and sweetdream naka


โดย: มินทิวา วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:20:03:44 น.  

 
โย้...สองทุ่มก็นอนแล้ว เด็กอนามัย 555


โดย: zoomzero วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:21:15:17 น.  

 



Good morning ค่ะเฮีย
ฮ่า ๆ ๆ ก็เด็กอนามัย ต้องตื่นเช้านี่คะ
ดีเท่าไรแล้ว ที่ไม่มาป่วนตั้งแต่ตีสามอ่ะ
เดี๋ยวเตรียมตัวออกไปทำงานก่อนค่ะ
อาทิตย์นี้ทำงาน 2 วันเองอ่ะ
เฮียมีโปรแกรมสงกรานต์หรือยังคะ..
ปล. ทาน breakfast ให้อร่อย ๆ นะคะ
ช่างมันเหอะน่า จะ 49 หรือ 62 ก้อ...
ทีเวลาไปทานกับกิ๊กเนี่ย เท่าไรก็ไม่มีบ่นนะ


โดย: มินทิวา วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:5:25:59 น.  

 
Mintiva

น่าน...หาว่าไปกับกิ๊ก เปย์ไม่อั้น
ใช่ที่ไหน...เฮียมันพวกลงทุนแล้วต้องได้อะไรกลับมา อิอิ
กิ๊กคนไหนไม่มีกะตังค์ ก็แค่จีบเล่นๆ 555
คนไหนเงินถุงเงินถัง ก็ต้องเอาใจหน่อย กะว่า สองเด้ง

เรื่อง 49 กับ 62
เฮียถึงว่ามันแปลกดี
ทานของอื่นราคาเกิน 60 บาท ไม่อยากทานแต่ดันสั่งมาทาน
ทีของอยากทานดันไม่สั่ง
พอกลับบ้าน ก็ยังรู้สึกว่า อยากทานไข่ดาวสองฟองทอดไม่สุกอยู่เลย
แล้วก็แปลกนะ วันนี้ก็ได้ทานไข่ดาวสองฟอง แต่มันก็ยังไม่ใช่ American Breakfast
ยังรู้สึกว่ายังต้องการอยู่ดี

วันนี้แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นอีกแล้ว
และรู้สึกว่าจะซ้ำที่เดิม
หลายคนมาเลยบ่นว่า 2012 จะเป็นจริงหรือเปล่า? ต้องรีบซื้อทองคำหรือเปล่า?

อากาศวันนี้ก็แปลกๆเหมือนเมื่อวาน
อบอ้าว แดดแรง แต่บ่อยครั้งที่มัวๆเหมือนจะมีฝน

พรุ่งนี้ทำงานอีกวันเดียว
สู้ๆนะจ๊ะ จะได้พักผ่อนหลายๆวัน
สำหรับเฮีย ยังไม่มีโปรแกรมอะไรมากนัก
รู้แต่ว่าวันที่ 13 จะไปวัด เอากระดูกพ่อไปทำบุญ
ส่วนคุณหนูน้อยอาราเร่เขาบอกว่า เขานัดเพื่อนที่เมืองนนท์เล่นน้ำสงกรานต์แล้ว

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:17:44:20 น.  

 



แหม..ว่าจะโม้นาน ๆ ซะหน่อย
เพื่อนมาค่ะ ไม่บอกกันก่อนเลยอ่ะเนี่ย
จะหลบมันก็ไม่ได้ เพราะมันเห็นรถจอดในบ้านแล้วอ่ะนะ
แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาคุยใหม่ค่ะ


โดย: มินทิวา วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:19:07:56 น.  

 
กู๊ดไนท์ อาหมวย
ป่านนี้เมาท์กันน้ำหมากกระจายเต็มพื้นบ้านแล้วมั๊ง?


โดย: zoomzero วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:0:03:54 น.  

 
สุสานโปรเตสแตนท์ในกรุงเทพ


(เรื่องสุสานนี่ ทำไมมีเรื่องมาโม้ได้เรื่อยๆก็ไม่ทราบนะ?)

คุณเคยนึกสงสัยหรือไม่ว่า พวกฝรั่งหรือที่เราเรียกว่า "มิชชันนารี"
ที่เข้ามาสอนศาสนา และต่อมาก็ได้พาความเจริญมากมายมาให้ประเทศไทย
เขาเป็นคนคริสต์ นิกายไหน แล้วเมื่อเขาตาย ศพของเขาฝั่งที่ไทย
หรือเผาแล้วส่งอัฐิกลับประเทศเพื่อให้ญาติได้นำไปทำพิธีทางศาสนา

ผมเองเป็นพุทธ แต่สนใจเรื่องของคริสต์บ้างพอประมาณ
เลยอยากจะโม้เรื่องของชาวคริสต์ แต่อย่าเชื่ออะไรมากนักนะ อาจจะเป็นเรื่องผิดเพี้ยนก็ได้
เชื่อหรือไม่ว่า ผมไม่ทราบเลยว่าในประเทศไทยจะมีคนนับถือศาสนาคริสต์นอกไปจากชาวคาทอลิก
จริงๆนะ ผมคิดว่าพวกนิกายอื่นๆ คงมีแต่ในเมืองนอก
แต่เมื่อไปถามผู้รู้ ก็โดนตำหนิว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะโง่ได้ขนาดนี้
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า ตอนนี้ทราบว่ามี 3 นิกาย
คือ คาทอลิก ออโธดอค และ โปรเตสแตนท์

ศาสนาคริสต์แรกเริม ไม่มีการแยกเป็นนิกายอะไร มีแต่ใช้กรุงโรมเป็นศูนย์กลางการปกครอง
มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข สั่งการได้ทั่วโลก แถมมีอำนาจเหนือพระราชาในประเทศต่างๆอีกด้วย
ต่อมาเกิดความแตกแยกทางอารมณ์และความคิด
เลยมีการแยกนิกายออกไปจากกลุ่มดั้งเดิม หรือ กลุ่มโรมันคาทอลิก
ซึ่งเป็นปี ค.ศ. 1054 มีการแยกออกไปเป็น นิกายออโธดอค
และในปี ค.ศ. 1517 แยกอีกครั้ง โดย (อดีตบาทหลวง) มาร์ติน ลูเธอร์ เรียกว่า นิกายโปรเตสแตนท์

โปรเตสแตนท์ หรือ Protestant เป็นนิกายที่เกิดจากความขัดแย้งในด้านการสอน การยกย่องบุคคล
และการไม่ชอบการปกครองของสันตะปาปาในกรุงโรม

ใครคือคริสตัง?
ความจริงแล้ว คนทั่วโลกนั้น, เขาก็เรียกคนที่นับถือศาสนาคริสต์ว่า คริสเตียน ด้วยกันทั้งนั้น
แต่สำหรับคนไทย เกิดมีการเรียกแปลกออกไป (แต่มีเหตุผลนะจ๊ะ)
เพราะชาวคริสเตียนสายโรมันคาทอลิคที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
เป็นคนโปรตุเกส ดังนั้นคนไทยจึงเรียกตามเจ้าของภาษาว่า คริสตัง
และยังเรียก จีซัส ว่า (พระ)เยซู อีก
จำไว้นะ คนคริสต์ คาทอลิค เรียก คริสตัง

ในสมัยพระนารายณ์ ได้มีมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส สังกัดคณะมิสซังต่างประเทศ แห่งกรุงปารีส
คนพวกนี้โชคดีมากที่ได้รับพระมหากรุณาจากพระมหากษัตริย์ไทย
นอกจากพระราชทานที่ดินให้แล้ว ทรงยัง ไปรดให้สามารถสร้างวัด(โบสถ์) บ้านพัก
และโรงเรียน ได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2208
ในวันนี้ โรงเรียนของคาทอลิกมี 3 ประเภท ได้แก่ โรงเรียนของสังฆมณฑล,
โรงเรียนของคณะนักบวช ชาย-หญิง และโรงเรียนของฆราวาสคาทอลิก
แต่พวกเราน่าจะคุ้นๆกับคำว่า โรงเรียนคาทอลิก เพราะมีตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปถึงอุดมศึกษา
เขาว่าระดับมหาวิทยาลัย มีอยู่ 2 แห่ง
ผมขอเดาว่า เซ็นต์จอห์น กับ เอแบค ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือเปล่านะครับ

ต่อจากคาทอลิก ก็มีมิชชันนารีโปรเตสแตนท์เข้ามาอีกกลุ่ม
คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ
เขาก็บอกให้เรียกพวกเขาว่า คริสเตียน (เพราะใครๆก็เรียกแบบนั้น)
จำไว้อีกทีว่า ชาวคริสต์ โปรเตสแตนท์ เราเรียกว่า คริสเตียน
และคำว่า คริสเตียน เป็นคำเรียกผู้นับถือศาสนาคริสต์ทุกคน (เป็นคำเรียกสากล)
ไม่ว่าจะเป็นนิกายไหนๆ คนไทยเรียกบุตรของพระเจ้าติดปากว่า พระเยซู ทั้งนั้น

สังเกตอีกนิด
คาทอลิก เอ่ยนามพระแม่มารีย์อย่างเคารพมากเป็นพิเศษ
คาทอลิค มีนักบวช เป็น บาทหลวง(บราเธอร์) หรือแม่ชี(ซีสเตอร์)
คำว่า ซิสเตอร์ หรือ มาเซอร์ ชาวบ้านเรียก แม่ชี
แต่วันนี้มีคำสุภาพกว่านั้นให้ใช้เรียกคือ ภคินี
โปรเตสแตนท์ จะมีคำเรียกว่าอาคารประกอบศาสนากิจว่า โบสถ์และคริสตจักร และไม่มีนักบวช
ส่วนคาทอลิคเรียกสถานประกอบศาสนากิจว่า วัด และจะมีนักบวช
นักบวชคาทอลิกที่สร้างความดีมากๆ จะได้เป็น นักบุญ หรือ เซ็นท์ เมื่อสิ้นชีวิต

สำหรับความแตกต่างของ 2 นิกายนี้ วันหลังค่อยเล่ายาววววว

ว่ากันว่านักบวชคาทอลิคนั้นค่อนข้างโชคดี ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างไม่ยากลำบากเท่าไหร่
ผิดกับนักบวชโปรเตสแตนท์ ที่เดินทางเข้ามาสอนศาสนาในประเทศไทยรุ่นหลังๆ
และก็ทำให้บางคนที่เริ่มศรัทธานิกายใหม่นี้
ถูกมองว่า เป็นพวกนอกกลุ่ม เป็นอริกับนักบวชคาทอลิก ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดมาก
นักบวชโปรเตสแตนท์บางคนก็ไม่ค่อยได้สอนศาสนา
แต่กลับช่วยแนะนำวิทยาการอันทันสมัยต่างๆให้คนไทย
และมักจะกลายเป็นข้าราชการที่มีชื่อเสียง
ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานถวายทั้งกายและใจให้ในหลวงรัชกาลต่างๆ กันจนเกษียณหรือสิ้นชีวิต
โดยมากเมื่อรับราชการแล้ว มักจะไม่ได้กลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน

นิกายคาทอลิคเข้ามาก่อน สร้างความศรัทธากับคนไทยก่อน
จึงได้รับความเอื้อเฟื้อจากคนไทยทุกระดับชั้น
ในขณะที่ โปรเตสแตนท์ผู้มาลำดับหลัง กลับพบแต่ความลำบาก
ไม่ว่าจะเรื่อง การกิน การอยู่ ที่พักพิง และที่ฝังร่างอันไร้วิญญาณ
โปรเตสแตนท์ยุคแรกๆ ไม่มีที่ฝังศพหรือสุสานของนิกายตนเองจริงๆนะครับ
พวกเขาต้องไปขอฝากฝังศพกันเอาเองในบ้านคนจีนที่ชอบพอกัน
หรือบางทีก็จะเห็นไม้กางเขนปักอยู่ข้างๆสวนผัก ก็ยังมีเลย
ดูแล้วน่าสงสารเป็นยิ่งนัก
พวกเขาอุตส่าห์ทำงานสร้างประโยชน์ให้เรามากมาย แต่หาที่ฝังศพไม่ได้

และแล้ว ในวันหนึ่ง
จึงมีคนที่มาจากสิงคโปร์ ได้ไปถวายฎีกากับ ร.4
พระองค์ท่านก็ได้ทรงมีพระเมตตา พระราชทานเงิน 10 ชั่งให้นำไปซื้อที่ดิน
ผู้ที่ยื่นฎีกานั้น เป็นบิชอบ Labuan Kuching แห่ง Singapore
และที่ดินนั้นก็คือ สุสานโปรเตสแตนท์ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงซอยเจริญกรุง72/5

ซึ่งแถวนั้นจะมี คริสตจักรแอลลิกันในประเทศไทยแห่งแรก หรือ Protestant Union Chapel
คนแถวนั้นเรียกว่า โบสถ์อังกฤษ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในบริเวณท่าเรือกรุงเทพ

ส่วนที่ดินใกล้ๆกันโบสถ์ ถูกเรียกว่า สุสานโปรเตสแตนท์


นอกจากนี้ในรัชสมัยของ ร.5 บิชอบผู้นี้ก็ยังได้ขอพระราชทานที่ดิน ในซอยคอนแวนต์
สร้างเป็นคริสตจักรไคร้สตเชิช
โบสถ์แห่งนี้แหละ ที่พระราชินีอลิซาเบทที่2, เจ้าฟ้าชายชาร์ล, เลดี้ไดอาน่า,
และบุคคลสำคัญๆอื่นได้เคยมาเยือน

ผมได้ยินคำว่า มิชชันนารี มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ
เคยเห็นฝรั่งหนุ่มสองคนเที่ยวขี่จักรยานแจกเอกสารแนะนำศาสนาคริสต์อยู่หลายๆแห่ง
แต่ผมไม่เคยทราบเลยว่าพวกเขามาจากไหน ทำงานอย่างไร ได้อะไรเป็นการตอบแทน
สมัยก่อนเอาแต่เที่ยว เที่ยว เที่ยว และก็เที่ยว ไม่สนใจบ้านเมืองเลยจริงๆขอรับ
มาภายหลังผมจึงได้ลองไปหาข้อมูลมาใส่สมองของตัวเอง ซึ่งก็ไม่ได้มามากมายเท่าไหร่นัก
ผมขอคุยเฉพาะส่วนที่เป็นเรื่องของชาวโปรเตสแตนท์ก็แล้วกัน
ขอย้อนอดีต หันไปมองที่ สภาคริสตจักร ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เพราะนี่คือรากฐานของมิชชันนารีโปรเตสแตนท์ที่เข้ามาประเทศไทย

มิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนท์ เข้ามาครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2371 (ร.3)
โดยเป็นอาจารย์และนายแพทย์จากประเทศอังกฤษ
ต่อมาก็มีชาวอเมริกันเข้ามาด้วย
กลุ่มที่เริ่มสร้างรากฐานจริงจังก็มาจากมิชชันนารีคณะเพรสไบทีเรียนอเมริกัน ราวปี พ.ศ. 2383
จากนั้นก็เริ่มเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2392 ก็ตั้งคริสตจักรเพรสไบทีเรียนที่หนึ่งได้
ในปี 2401 ได้ตั้งเพรสไบเทอรี่แห่งสยาม สำเร็จ
จากนั้นก็ขยายออกไปที่จังหวัดเพชรบุรี เชียงใหม่(มิชชันลาว)
และในปี พ.ศ. 2477 จึงได้เกิด คริสตจักรในสยาม ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สภาคริสตจักรในประเทศไทย
มิชชันนารีจากตระกูล แมคฟาร์แลนด์ ได้สร้างความเจริญด้านการศึกษาได้อย่างน่ายกย่อง
ประเทศไทยมีดิกชันนารี อังกฤษ-ไทย เกิดขึ้นได้ครั้งแรกจากพวกแมคฟาร์แลนด์
และต้องขอบคุณหมอบรัดเลย์ที่สนับสนุนกิจการด้านการพิมพ์ให้กับประเทศไทยในตอนนั้นด้วย
ตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงที่มาจากตระกูลแมคฟาร์แลนด์อีกท่าน ก็คือ
อำมาตย์เอก พระอาจวิทยาคม (นายแพทย์ ยอร์ช บี. แมคฟาร์แลนด์)
พระอาจวิทยาคม นี้คือ อาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนราชแพทยาลัย
โรงเรียนแพทย์แผนปัจจุบันแห่งแรกของไทย

สำหรับสุสานโปรเตสแตนท์ ที่ซอยเจริญกรุงนั้น มีร่างของบุคคลสำคัญหลายท่าน ได้แก่


หมอบรัดเลย์ (Dan Beach Bradley, M.D.) นายแพทย์ชาวอเมริกัน ผู้เป็นคนบุกเบิกการแพทย์สมัยใหม่
เป็นแพทย์คนแรกที่ทำการผ่าตัดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
และการพิมพ์ ทั้งยังเป็นผู้ที่ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย ชื่อ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ เมื่อ พ.ศ. 2387
นอกจากนั้นยังเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ (เพรส ไบทีเรียน) ในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 3
หมอบรัดเลย์เข้ามาเมืองไทยพร้อมภรรยา (เอมิลี) ตอนแรกพักอาศัยอยู่ในย่านชาวจีน ย่านสำเพ็ง
สมัยนั้นก็มีความคิดแปลกๆที่ไม่อยากให้คนจีนมีความไฮเทคหรือทันสมัย หรือรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมใหญ่ๆ
จึงมีการบีบบังคับมาจากมือที่มองไม่เห็นโดยสั่งให้นายกลิ่น เจ้าของที่ดินย่านสำเพ็ง
ห้ามพวกมิชชันนารีเช่าที่ดินหรือพื้นที่ในย่านคนจีน ทำให้ครอบครัวของหมอบรัดเลย์
จำเป็นต้องย้ายไปอยู่ย่านกุฎีจีน (ใกล้วัดประยุรวงศาวาส) ซึ่งเป็นชุมชนชาวโปรตุเกส
คลินิกของหมอบรัดเลย์นั้น คนไทยเรียกว่า โอสถศาลา เปิดทำการในปี พ.ศ. 2378
และได้ทำการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทย โดยผ่าตัด ตัดแขนพระสงฆ์รูปหนึ่ง
ความสำเร็จนี้นับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของวงการแพทย์ไทยเลยที่เดียว
เพราะคนไทยไม่เคยรู้เรื่องการรักษาโดยการผ่าตัดอวัยวะแบบนี้
นอกจากนั้นยังมีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษสำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย


เฮนรี่ อลาบาสเตอร์ ชาวอังกฤษ ผู้ที่ได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาของ ร.5
และเป็นผู้รังวัดแนวถนนเจริญกรุง, ผู้ตกแต่งวังสราญรมย์, ริเริ่มการไปรษณีย์แห่งประเทศไทย,
เป็นอาจารย์สอนวิชาเขียนแผนที่ และเป็นคนแรกที่จัดการพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของไทยที่หอคองคอเดีย
(หอคองคอเดีย ก็คือ ศาลาสหทัยสมาคม ในปัจจุบัน)
นาย Henry Alabaster ผู้นี้ก็คือ ต้นตระกูล เศวตศิลา


กัปตัน จอห์น บุช (Captain John Bush, 1819-1905) ชาวอังกฤษ
เข้ามารับราชการในสมัย ร.4 ตำแหน่งเจ้าท่า (Harbour Master) สังกัดกรมท่า (Marine Dapartment)
ด้วยการทำงานอย่างขยันขันแข็ง จึงได้รับตำแหน่งเป็นถึง หลวงสาคร, พระวิสูตรสาครดิฐ,
และ พระยาวิสูตรสาครดิฐ ทุกวันนี้ยังมีสถานที่ๆมีชื่อของท่าน คือ ตรอกกัปตันบุช (เจริญกรุง30)
เชื่อว่าเขามีบ้านเรือนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ตอนนี้บ้านของเขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว
กัปตันบุชมีภรรยา 2 คน คนแรกเป็นฝรั่งชื่อ Elizabeth
และคนที่สองเป็นคนไทยชื่อ แม่เปลี่ยน
ในสมัย ร.5 นั้นกัปตันบุชได้มีส่วนรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
จะเห็นได้ว่าทรงเดินทางด้วยทางเรือ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กับตันบุชคนนี้แหละคือผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเสด็จประพาสที่ต่างๆหลายครั้ง

ทุกวันนี้ ไม่มีใครเขามาแบ่งแยก ว่าจะคบเพื่อนที่เป็นคริสตังหรือคริสเตียนกันอีกแล้ว
เพราะไม่ว่าศาสนาใด นิกายใด ก็สอนให้คนทำความดี เสียสละ และมีเมตตา
ส่วนการรู้ไว้ว่าเขาแบ่งกันตามความเชื่อเป็นนิกายอะไร
มันก็น่าจะมีประโยชน์บ้างนะ



โดย: zoomzero วันที่: 12 เมษายน 2554 เวลา:20:01:43 น.  

 


แวะมารดน้ำขอพรค่ะ แล้วก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยดลบันดาลให้พี่ซูมมีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง เย็นกาย เย็นใจไปตลอดปี สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ


โดย: haiku วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:11:38:37 น.  

 
สวัสดีคร้าพี่ชาย แวะมาสวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

อ้อ เห็นเรียงวันที่ว่าเดือนนี้มีวันอะไรบ้าง เมื่อวาน วันที่ 12 เม.ย. เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติด้วย เพิ่มให้อีกวัน อิอิ

โอ้โหบล็อคคราวนี้เรื่องเช้งเม้ง ย๊าว ยาว ขิเกียจอ่านอีกแร้ว แห่ะ ๆ แต่ดูจากรูปคร่าว ๆ ก้อแถวบ้านนู๋ทั้งนั้น เผยอิงไม่เคยเรียน แต่เด็กแถวบ้านก้อเรียนกันเยอะดีนะคะ บีว่า ที่ยังมีโรงเรียนที่สอนทั้งภาษาไทยและภาษาจีนให้แต่เด็กแบบนี้อยู่ คิดว่าคงเหลืออยู่ไม่กี่ที่แล้ว สมัยนี้คนนิยมกันแต่รร.ฝรั่ง หรือรร.นานาชาติกัน ลูกจะได้อินเตอร์ อุอุ

ร้านหนังสือซินเสียนเยอะเป้าอารัยนี่ก้อเห็นอยู่หัวมุมแถว ๆ บ้านค่ะ เก่าแก่มั่กม๊ากจิง ๆ แต่บีอ่านไม่เคยออกหรอก แต่ตอนสมัยอาม่าอยู่ก็ซื้อมาอ่านบ้าน อาม่าบอกว่า ฝึกฝนภาษาจีน พอไม่ได้ใช้ ไม่ได้อ่านนาน ๆ ก้อจะลืม ๆ ว่าบางตัวเขียนยังไง อารัยแบบนี้ ก็ซื้อมาอ่านบ้าง *_* แต่ส่วนใหญ่แต่ก่อนรับไทยรัฐ ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนอาม่าป้อนข้าวไป บีก็อ่านข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ให้อาม่าฟังไป เดี๋ยวนี้ไม่ต้องอ่านเองแล้ว โทรทัศน์มีรายการอ่านข่าว คุยข่าวให้ฟังกันเต็มไปหมดรุย ^^

ช่วงนี้คิวเยอะจิง ๆ ค่ะพี่ชาย เมื่อวานนี้แวะไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ที่สาขาแจ้งวัฒนะฯ มา เพราะตอนนี้อยู่เมืองทองใกล้ ๆ เดี๋ยวนี้บริการรวดเร็วทันใจไม่ต้องรอนานเลยค่ะ ไม่ถึง 5 นาทีก็เรียบร้อยแล้ว จ่ายเงิน 1,000 บาท กลับบ้านได้ อีก 2 วันมารับ (แต่ติดสงกรานต์รับอีกทีอังคารหน้าเรย *_*) พาสปอร์ตเล่มเก่าตั้งแต่ทำมา ก็ยังขาวสะอาดไม่ได้ใช้เลยซะงั้น ดันเปลี่ยนชื่อใหม่ เลยต้องได้มาเสียตังค์ใหม่อีกรอบเลยแห่ะ ๆ

ว่าไปตั้งแต่ไปเขาคิชกูฏมาเดือนที่แล้วยังไม่ได้แวะมาหาพี่ชายเลยแฮะ เดือนก่อนไปมาแล้วค่ะ สนุกสนานมั่กม๊าก เวลาที่ต้องต่อรถกระบะสองต่อขึ้นเขาเนี่ยะ โอ้โห สนุกสนานเร้าใจมั่ก ยิ่งกว่าขึ้นรถไฟเหาะสวนสนุก 555 ทั้งโค้งซ้าย โค้งขวา ขึ้นเขา ลงเขา คนกรี๊ดกร๊าดกันทั้งคัน 555 แต่กว่าจะขึ้นไปถึงรอบพระพุทธบาทกับหินมหัศจรรย์ที่เขาว่าลอยตั้งอยู่ได้จริง ๆ ก็เหนื่อยใช่เล่นเลยนะเนี่ยะ ^^ แต่ไปช่วงอากาศแปรปรวน อากาศหนาวตอนมีนา ก็เลยขึ้นแบบไม่ร้อนเลย หนาวมั่กมาก อากาศดี วิวสวย ลมเย็น ขึ้นแล้วไม่อยากลงเลยอ่ะ พี่ชายเคยไปรึยังคะเขาคิชกูฏ

เมื่อต้นเดือนก็พาดาวไลน์สองคนไปสายลมฝึกกรรมฐานด้วยเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน ส่วน 15-17 เม.ย. นี้ จะไปท่าซุงค่ะ พาแม่กับน้องสาวไปด้วย พี่กบก็ไปด้วย ^^ ไปรถตู้เสาวรีย์กันเหมือนเดิม นาน ๆ ลุงแกจะได้หยุดยาวเทศกาลโดยไม่ได้มีงานคอนเสิร์ตอะไรกับเขาซะที จะได้มีโอกาสไปวัดทำบุญกับเขาบ้าง พี่ชายก็โมทนาบุญด้วยนะคะ แล้วพี่ชายช่วงนี้ได้ไปเที่ยวหรือไปไหนมาบ้างรึเปล่าคะ

ทำพาสปอร์ตแล้ว กะว่าทริปแรกจะไปฮ่องกงก่อนเลย ไปด้วยเงินตัวเอง ไม่ต้องไปฟรีแต่แอบขนซุกของเข้าประเทศให้ใครแบบนี้สบายใจกว่ากันเยอะเลยเน๊อะ อุอุ ไม่พลาดฮ่องกงดีสนีย์แลนด์แน่นอนค่ะ แต่ไปเมื่อไหร่ก้อยังไม่รู้ง่า เดี๋ยวจัดคิวอีกที คิวเยอะแยะมากมาย แง๊ว *_*

รถก้อยังไม่ได้ออกค่ะ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ยังคิดไม่ตกว่าจะเอารถก่อนหรือเอาบ้านก่อนดี ระหว่างคิดไม่ออก ช่วงนี้ก็กำลังหาแพคเกจฝากเงินดอกเบี้ยดี ๆ อยู่ ฝากไปแล้วบ้างบางส่วน ตอนนี้กำลังดูพวกกองทุนรวม ตั๋วสัญญาแบงค์ หรือหุ้นแบงค์อารัยพวกนี้อยู่ ต้องศึกษาเรื่องพวกนี้อีกเยอะรุยค่ะ มึน *_* งานก็เยอะค่ะ เวปแลกเหรียญก็รายได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ วุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ เลยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ^^

คิดถึงพี่ชายจังเลยค่ะ อยากเจอมาก ๆ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ


โดย: นู๋ Beee น้องสาวคิวทอง IP: 124.121.14.130 วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:14:34:20 น.  

 


วันนี้เป็นวันสงกรานต์
เมื่อเช้าไปทำบุญที่วัด
ใส่บาตร ถวายอาหาร เครื่องไทยทาน ฯ
ทำบุญกระดูกให้คุณพ่อที่เสียไปเมื่อสองปีก่อน
จึงขอนำบุญมาเผื่อแผ่ให้ทุกคนที่เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง... ฯ

ขอเดชะตั้งจิตอุทิศผล
บุญกุศลแผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดาครูอาจารย์
ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนเคยรักเคยชังแต่ครั้งไหน
ขอให้ได้บุญกุศลผลของฉัน


(ใครที่คุณพ่อจากไปแล้ว
วันนี้ผมก็ทำบุญเผื่อให้แล้วนะขอรับ)


โดย: zoomzero วันที่: 13 เมษายน 2554 เวลา:17:02:43 น.  

 



อรุณสวัสดิ์ค่ะเฮีย
ฮ่า ๆ ๆ สงกรานต์ปีนี้มินไปในที่อโคจรมาค่ะ
เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังนะ คือ ไม่ได้คิดไว้อ่ะค่ะ
ปุปปัป ๆ ก็ตัดสินใจไปเลยอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ
คนที่มีความสุขที่สุด คือ คุณนายแม่มินอ่ะนะ
มินก็สนุกเหมือนกัน แต่ ก็หวาด ๆ ระแวงด้วยค่ะ
แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังนะ ว่าไปไหนมา
รับรองคาดไม่ถึงแน่ ๆ อ่ะค่ะ ฮ่า ๆ ๆ


โดย: มินทิวา วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:7:45:57 น.  

 
Mintiva

เดาว่าไปเล่นสงกรานต์ที่ RCA มา
เอ้...แต่ RCA ก็ไม่น่าจะใช่ที่อโคจร นะ
อย่างมิน ที่ห้ามไปน่าจะเป็นบ้านบางแค มากกกว่า
เพราะถ้าเจอเจ้าหน้าที่ เขาคงจะรีบเอาตัวไปขังไว้ในนั้นนะ 555

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:11:04:11 น.  

 
haiku

เมื่อวานแวะไปอวยพรให้แล้วนะครับ

haiku DarkGreen 006400


โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:11:06:59 น.  

 
BeeeBU

จะคุยตอบดีมั๊ยนี่...เพราะคิดว่า คงอีกนานกว่าจะแวะมาอีกครั้ง
คิวทองอะไร น่าจะเรียกว่า หนูบีราชินีดาวหางฮัลเล่ย์มากกว่า
กว่าจะโคจรมาอีกที พี่ชายคงแก่หง่อมไปอีกสิบปีเลยมั๊ง

มาถึงก็มั่วนิ่มเลยนะเธอ
วันผู้สูงอายุ ไม่ใช่วันที่ 12 แต่เป็นวันที่ 13 เมษายน
เป็นวันเดียวกับวันสงกรานต์นี่แหละ
ป๋าเปรม(อดีตนายก) เป็นคนประกาศให้เป็นวันชื่อ วันผู้สูงอายุแห่งชาติไทย
ของสากล ทั่วโลก เขาถือเอาวันที่ 1 ตุลาคม
อันนี้ก็ต้องให้เครดิต จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ที่เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนกิจกรรมด้านนี้
ส่วนดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันนี้ก็คือ ดอกลำดวน

และวันที่ 14 เมษายน ก็คือ วันนี้
ก็เรียกว่า วันครอบครัว
ประกาศเมื่อปี 2532 สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
(เอ้...แล้วรัฐบาลจุดจุดจุดนี่ เขาประกาศวันอะไรใหม่ๆบ้างหรือเปล่า?)

เรื่องเด็กรุ่นใหม่ พ่อแม่อยากให้เรียนอินเตอร์หรือไบแลงเกว็จ
อันนี้เป็นกระแสแรงมาก ใครๆก็ทราบดีว่า พูดฝรั่งได้ดี ไม่มีอดตาย
เมื่อก่อนกระแสหมอกับวิศวะ ก็เล่นเอาจนมีเด็กมอปลายกินยาตายมาเยอะแล้ว
สมัยที่ลูกสาวจะขึ้นมัธยมปลาย ก็อยากให้เขาเรียนจีน เพราคิดว่าอีกหน่อยจีนคงมีบทบาทมาก
แต่ลูกไม่ชอบภาษาจีน และอีกอย่าง พ่อแม่ก็พูดจีนได้ไม่กี่คำ
ภาษาอังกฤษนี่แหละที่ไปไหนได้ทั่วโลก มีคนอยากจ้างงานในอัตราเงินเดือนสูง
และในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของพี่
พวกเลขาฯระดับนายใหญ่ แต่ละคนเงินเดือนเกินครึ่งแสนทั้งนั้น
สมัยก่อนโน้น เลขาฯเล่นคอมฯก็ไม่ได้ บางคนต้องจ้างผู้ช่วยมาช่วยงานพิมพ์ดีดก็มี
สมัยนี้เลขาฯ ต้องรอบรู้ไปหมด บางคน ตอนนี้ ต้องหาที่กินเหล้าบรรยากาศดีๆให้เจ้านายอีกด้วย
ลูกสาวเลยตกลงปลงใจหันไปเรียนศิลป-ฝรั่งเศส
อ้าว...ซะงั๊น ไหนบอกว่า รู้ภาษาฝรั่งแล้วจะดี
อ๋อ...คือว่า คนเป็นแม่อยากไปอยู่ปารีสมั๊ง เลยเชียร์ให้เรียนฝรั่งเศส
แต่พอเรียนจบ เด็กน้อยก็รู้ตัว มาบอกว่า เพื่อนๆมันบอกว่าแทบจะไม่บริษัทไหนเขาใช้ภาษานี้เลย
นอกจากสถานฑูต สายการบิน โรงแรม ภัตตาคาร ฯ ซึ่งคุณหนู เธอก็ไม่ชอบงานพวกนี้เลย
แล้วการที่จะดันให้ลูกเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยอินเตอร์ทันที ก็ไม่ค่อยแน่ใจ
กลัวว่าเรียนจบก็จริง แต่จบแบบข้ามเส้น และเรียนแบบเหนื่อยเกินแรงสมอง
เลยต้องให้ไปเพิ่มดีกรีความรู้ทีสถาบันภาษาย่านศาลายาโน่น
พอเห็นผลสอบ IELTS ออกมาดีใจหาย
เลยย้ายมหาวิทยาลัยซะเลย (เพราะว่าไม่มีปัญญาส่งเรียนนะซิ)
อันนี้ เลือกที่ใหม่นี้ เพราะที่นี่เขาสามารถเอาผลคะแนน IELTS หรือ TOFEL มาใส่เกรด A วิชาภาษาอังกฤษได้เลย
ไม่ต้องเรียนใหม่ ไม่ต้องสอบใหม่ ก็ได้ 4.0 รวดเดียวเลย
นี่แหละถึงว่า รู้แบบนี้ให้เรียนอินเตอร์ตั้งแต่เด็กๆไปเลยจะดีกว่า

เรื่องเขาคิชกูฏ
บอกหลายครั้งแล้วว่าไม่เคยไป และไม่อยากไป
นี่แสดงว่า ไม่เคยอ่านที่คอมเมนท์กลับเลย
หรือไม่ก็อ่านแต่ก็ลืมไปหมดแล้ว หุหุ
อย่างไรก็ขอ อนุโมธนาบุญด้วยก็แล้วกัน
ขอให้ได้กุศลกันเยอะๆ คุ้มกับเงินค่าน้ำมันรถกันนะจ๊ะ

ทำพาสปอร์ตแล้ว
ไหงอยากไปฮ่องกง ไม่เห็นมีอะไรน่าเที่ยวเลย
นอกจากช๊อปปิ้งกับไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม
ถ้าเลือกอย่างหลัง ก็ต้องเอาอาโกกับแม่ไปด้วยซิ
แต่เชียร์ให้ไปสิงคโปร์มากกว่า
เพราะถึงจะไม่ดิสนี่ย์แลนด์
แต่ที่เกาะเซ็นโตซ่า ก็น่าไปเที่ยว
เขามี Universal Studio ใหญ่ที่สุดในโลก ลงทุนหนึ่งแสนห้าล้านบาท
ค่าตั๋ว 66 เหรียญดอลล่าร์สิงคโปร์ ซื้อที่ //www.rwsentosa.com (ราคาเมื่อต้นปี)
ติดต่อไปที่ตัวแทนของสายการบินสิงคโปร์เลย อยู่แถวถนนสาทร
หรือที่ bkkfly.com ก็ได้
เขาจัดแพคเกจให้คุ้มมาก ได้ตั๋ว ได้โรงแรม ได้รถรับส่ง ได้คูปองไปเที่ยวอีกเพียบ
ไปเองก็ได้ แต่บวกๆเรื่องเดินทางกับลุ้นความผิดพลาดต่างๆแล้ว ไม่คุ้มหรอก
เอาไว้เก่งๆ แล้วค่อยจองทุกอย่างผ่านอินเตอร์เน็ท
แบบฝรั่งที่มาเมืองไทยเขาทำกัน
พอไปหลายที่แล้วเราค่อยไปแบบพวกนั้น

เรื่องซื้อบ้านกับรถ
เคยบอกแล้วว่า มีบ้านก่อนเป็นดีที่สุด (คิดว่าคงไม่ได้อ่านตามเคย)
อย่างน้อยพ่อแม่พี่น้องลูกหลานก็จะได้มีที่ซุกตัวกินนอน
รถ...ใช้เดินทางไปหาเงินได้ก็จริง แต่เอาญาติมานอนค้างหรือนอนป่วยในนั้นไม่ได้
รถต้องมีค่าใช้จ่าย ใช่ว่าจะถูกกว่า taxi แถมปัญหาเรื่องที่จอดรถ ไม่เจอไม่รู้หรอกว่า เซ็ง
และรถ ถูกขโมยได้มากกว่าบ้าน น้อยคนที่บ้านโดยขโมยขึ้น นอกจากอยู่ในย่านโจรชุมจริงๆ

มีเงินเหลือก็ต้องหาที่ฝาก
เขามีฝากเงินแบบช่วยเรื่องภาษี
แต่ถ้าเป็นคนไม่เกี่ยวข้องกับภาษี ก็ไม่ต้องคิดมาก
เอาแค่ความมั่นคงและดอกเบี้ยก็พอ
ระวังนะ ฝากมั่วๆ เงินอาจจะหายไปกับการล้มของบริษัทนั้นๆ


ref: fuchsia BeeeBU


โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:21:28:29 น.  

 
สุสานแขก(อิสลาม)

คำว่า แขก หมายถึง ผู้มาเยือน
และคำว่า แขก คนไทยใช้เรียก คนที่มาจากประเทศอินเดีย และ ชาวอาหรับ
คนไทยยังเรียก ชาวมุสลิม ว่า แขก
และก็แปลกที่มีคนไม่เคยคิดเลยว่า คนจีนจะเป็นมุสลิม
ทั้งๆที่ศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามใครมิให้นับถือ
ฝรั่ง ไทย จีน ญี่ปุ่น ก็เป็นมุสลิมได้


คนที่นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า มุสลิม
สุสานของมุสลิม เรียกว่า กูโบร์
มุสลิมถือว่ากูโบร์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องเคารพและให้เกียรติสถานที่
แม้แต่เดินผ่าน ยังต้องกล่าวให้ซาลามและขอดูอาฮฺ
มีข้อห้ามตามหลักศาสนาอยู่หลายข้อ เช่น

ห้ามสตรีเข้าในบริเวณสุสาน
ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามเปิดเพลง ห้ามมีการละเล่นรื่นเริง ในบริเวณสุสาน
หรือแม้แต่พื้นที่ใกล้ๆกูโบร์ก็มีข้อห้าม เช่น
ห้ามเผาหญ้าหรือกองไม้
ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าใกล้บริเวณสุสาน
ฯลฯ


ในโลกนี้มีมุสลิมมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรโลก
ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอินโดนิเซีย ประมาณ 202 ล้านคน หรือ 88%ของพลเมืองโลก
ตัวเลขจากศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) บอกว่า
ประเทศไทยมีประชากรที่เป็นมุสลิมอยู่ 4 ล้านคน หรือ 6%
แต่กลุ่มมุสลิมในประเทศเขาบอกว่าน่าจะมีอย่างต่ำๆก็ 7 ล้านคน
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่ามุสลิมส่วนใหญ่ทำอาชีพที่อยู่ในท้องทะเล หรือตามเกาะแก่งต่างๆ
หรือไม่ก็ประกอบอาชีพที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
การสำรวจประชากรมุสลิมจึงยากที่จะหาตัวเลขจริงๆ

คนไทยมีวัดเป็นที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจ ส่วนมุสลิมเขาก็มี มัสยิด
คาดว่ามัสยิดในเมืองไทยมีมากว่าสามพันแห่ง ส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดปัตตานี
มุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นนิกายซุนนี่ย์มากกว่านิกายอื่นๆ

ตามประวัติศาสตร์ มีการค้นพบว่า
ชนเผ่าที่เรียกว่า ฮ่อ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของบรรพบุรุษของไทย
ย้อนไปในยุคน่านเจ้า ชาวจีนเรียกคนในเมืองตาลีฟูว่า หุ้ยหุย
และคนเมืองนี้เป็นมุสลิมเกือบทั้งหมด (คิดว่ามาจากเปอร์เซีย)
หุ้ยหุยเจียว หรือ ฮ่วยฮ่วยก่า นี่แหละคือ ฮ่อ
แปลกที่ว่า ทำไมเราเรียกว่า จีนฮ่อ ที่ทำขาหมูต้มได้อร่อย
ฮ่อ ทีว่านี้เป็นคนที่อพยพมาจากเทือกเขาอัลไต จริงหรือ
ถ้าเป็นมุสลิมก็ต้องไม่ทำอาหารจากเนื้อสุกร
หรือว่า ฮ่อ นั้นเป็น ฮ่อ คนละพวกกัน
พักเรื่องนี้เอาไว้ให้ค้นหาความจริงกันเอาเองนะ
ถ้าว่างๆก็ลองเสิร์จคำว่า ศาสนาอิสลามในน่านเจ้า ช่วยกันหน่อย


มัสยิดในกรุงเทพฯที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีชื่อว่า มัสยิดต้นสน หรือ กะดีใหญ่
ปัจจุบันอยู่บริเวณถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กทม.

เชื่อว่าชุมชนมุสลิมนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มาจากคนเชื้อสาย แขกจาม
คนพวกนี้เข้ามาเป็นกองทหารหรือแรงงานในสมัยพระชัยราชาธิราช
ผลงานที่ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์คือ การขุดคลองลัดบางกอก

มัสยิดต้นสน เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ
ประมาณว่าสร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2153 - 2171)
ชุมชนมุสลิมยุคแรกนี้ได้อาศัยกันอยู่แถวคลองบางหลวงและคลองบางกอกใหญ่
ต้องเรียกว่ามุสลิมกลุ่มนี้ฝังรากปักหลักมานานร่วม 400 ปี
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล และ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ซึ่งทรงเป็นพระอนุชาในขณะนั้น)
ทรงเสด็จเยี่ยมมัสยิดต้นสนเป็นการส่วนพระองค์
สร้างความปลาบปลื้มใจมาให้แก่บรรดาชาวมุสลิมที่ได้มีโอกาสเข้ามาถวายการรับเสด็จ
อย่างใกล้ชิด

ในประวัติศาสตร์ไทย เคยมีเหตุการณ์ที่ชื่อว่า กบฏมักกะสัน
ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สถานที่เกิดเหตุนี้อยู่ที่ย่านฝั่งธนบุรี
ชนวนเหตุมากจากการขัดแย้งของเจ้านายเชื้อพระวงศ์กับขุนนางที่มีอำนาจอีกกลุ่ม
แม้แต่เจ้านายด้วยกันในสมัยอยุธยาก็เกิดการเมืองและการแบ่งฝ่ายกันภายในรั้วพระราชวัง
เหตุมาประทุตอนที่มีการสร้างป้อมบางกอก (ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ในปัจจุบัน)
ทหารพื้นเมืองที่ประจำย่านฝั่งธนบุรีตอนนั้น เกิดไม่อยากได้นายทหารฝรั่งเศสมาปกครอง
เจ้านายพื้นเมืองหลายกลุ่มก็ไม่พอใจพวกทหารฝรั่งที่ชักจะมีอำนาจมากเกินไป
ในตอนนั้น มีชาวมุสลิม เรียกว่า แขกมักกะสัน อาศัยอยู่ที่คลองตะเคียน นอกพระนครศรีอยุธยา
ก็ร่วมก่อความวุ่นวายกับเขาด้วย ที่เข้าร่วมก็เพราะเคยโดนรังแกมาก่อนหน้านั้น
เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) คุมทหารชาติยุโรป ทำการปราบกบฏ
แขกมักกะสันแตกพ่ายหนีล่องแม่น้ำเจ้าพระยา มาตั้งหลักกันที่บางกอก (หรือกรุงเทพฯในปัจจุบัน)
ตรงนั้นแหละที่ปัจจุบันเรียกว่า ย่านมักกะสัน ตรงที่มีสถานีรถไฟมักกะสัน

ชื่อ มักกะสัน มาจากชื่อหมู่เกาะมากัสสาร์ (Macassar) ในอินโดนีเซีย
คนไทยเรียกคนแขกอิสลามที่เข้ามาค้าขายจากอินโดฯ ว่า แขกมักกะสัน จนติดปาก

คอนสแตนติล ฟอลคอน คนนี้ ว่ากันว่า เป็นคนที่ไม่ชอบอิสลาม (คงเป็นเพราะเรื่องศาสนา)
พวกชนอิสลามก็ไม่ชอบฟอลคอน ไม่ชอบทหารฝรั่งเศส
พอมีประเด็นต่อต้าน แขกมักกะสันเลยขอร่วมวงต่อต้านทหารฝรั่งเศสทันที
ในวังก็ลือกันว่า ฟอลคอน สนิทกับสมเด็จพระนารายณ์มากเกินไป
เชื้อพระวงศ์หลายพระองค์เกิดความไม่พอใจ กลัวไทยจะโดนฝรั่งยึดประเทศ
คิดว่าฟอลคอนจะเข้ากุมอำนาจปกครองกรุงศรีอยุธยาผ่านองค์รัชทายาท(แห่งราชวงศ์ปราสาททอง)
พระเพทราชา ก็อยากจะยึดราชบัลลังก์และตั้งราชวงศ์ของตนเอง (บ้านพลูหลวง)
ยุคนั้นมีความสลับซับซ้อนเรื่องการเมืองการปกครองอยากมากมาย
เป็นอีกยคสมัยที่คนไทยขาดความรักและสามัคคี
ความสามัคคีที่เกิดขึ้นมาก็อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ทางการเมือง
มีเจ้านายที่กุมกำลังทหารหาทางกำจัดพวกทหารฝรั่งเศส
ทหารต่างชาติก็พยายามหาเจ้านายชั้นสูงเป็นเกราะป้องกันตัว โดยแลกกับผลประโยชน์ทางการค้า
สุดท้ายพระเพทราชากำจัดพระปีย์ พระโอรสบุญธรรมในสมเด็จพระนารายณ์
จับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ประหาร
ส่งกำลังทหารไปจำกัดการเคลื่อนไหวของทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอก
และผลักดันทหารฝรั่งเศสออกไปนอกพระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ยังเรียกข้าราชการที่ประจำอยู่ที่ฝรั่งเศสกลับมากรุงศรีอยุธยา โดยให้ฝรั่งเศสออกค่าใช่จ่ายอีกด้วย
เหตุการณ์อันต่อเนื่องนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสสิ้นสุดลง


โดย: zoomzero วันที่: 14 เมษายน 2554 เวลา:23:09:52 น.  

 
เมื่อเช้าออกไปหาอาหารทานนอกบ้าน
ร้านรวงปิดหมด ไม่รู้จะไปทานที่ไหนดี
เมื่อวานก็ไปทานทีตลาดมาแล้ว
เมื่อวานก่อนโน้นก็ฟูดแลนด์
เอ้...หรือว่าจะไปทานข้าวขาหมูเหม็งจ๋าย
กำลังอยากทานคากิอยู่พอดี

พอไปถึงก็เจอป้าย ปิด สงกรานต์
เลยเดินหาอะไรทานก็ได้ หิวจนมือสั่นแล้ว
เห็นป้ายหน้าร้านว่า เซ้ง ก๋วยจั๊บสะท้านฟ้า

เลยแวะเข้าไปลองทานซะหน่อย
พอคนขาย(น่าจะเป็นภรรยาเจ้าของร้าน)มารับออเดอร์
เออ...ไมทันตั้งตัว จะสั่งอะไรดี
ปล่อยให้คนที่มาด้วยสั่งไปก่อน
พอถึงคิวตัวเราเอง ตัดสินใจไม่ถูก
สั่งก๋วยจั๊บน้ำใสหนึ่ง น้ำข้นหนึ่ง
น้ำซุปอร่อยมาก เผ็ดพริกไทย และมีกลิ่นสมุนไพรจีนแน่ๆ
หมูก็สดดี ต้มได้พอนุ่มชุ่มฉ่ำลิ้น
พอทานเสร็จก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงมีน้ำใสกับน้ำข้น
เจ้กิมลั๊งบอกว่า ก็เขาใส่ซี้อิ้วกับแป้งไงน้ำเลยไม่ใส
อ้าว...เชื่อก็ได้ ไม่อยากเถียง เดี๋ยวโดนเจ้โบกด้วยหลังแหวน

กลับมาบ้านต้องเข้า Internet เพื่อเช็คว่า
ก๋วยจั๊บน้ำข้นกับน้ำใสมันต่างกันยังไง
ได้ความว่า

ก๋วยจั๊บน้ำใส
ใช้กระดูกหมูส่วนหัวเข่า "คาตั้ง" ต้มกับน้ำสะอาด
ใส่พริกไทยป่นลงไปเพื่อดับคาว
หมั่นช้อนฟองไขมันออก ต้มนาน 2-3 ชั่วโมง

ก๋วยจั๊บน้ำข้น
น่าจะมาจากน้ำใส แล้วนำมาเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ เช่น
ซีอิ้วดำ เครื่องยาจีน (คิดว่าเป็นกลุ่มที่ทำพะโล้)

ส่วนเลือดหมู ต้องต้มกับใบเตย
ทำให้ไม่คาว และมีกลิ่นหอมน่าทาน

อ้อ..ร้านนี้เขาว่า ข้าวหมูกรอบ กับ ข้าวหมูย่าง
หรือจะสั่งแค่หมูกรอบ หรือหมูย่าง เป็นจานๆมาทานก็ได้
รับรองอร่อย สะท้านฟ้า สมชื่อ

ร้านอาหารย่านเหม็งจ๋ายนั้นมีกิตติศัพท์เลื่องลือครับ
ลือว่าถ้าจอดรถผิดฝั่งโดนใบสั่งแบบมาไวให้ไวไปไว (จราจรยอดขยัน)
แต่ต้องไปจ่ายนาน เพราะแถวโรงพักไม่มีที่จอดรถ
ส่วนตรงแยกต่างๆย่านนั้น ใช้กล้องตรวจจับการทำผิดกฏจราจรอยู่หลายแยก
ถ้าลองซิ่งฝ่าไฟเหลืองรับรองโดนแน่
ถ้าไปวันหยุด ก็ค่อนข้างน่าขับไปจอดริมถนน
แต่วันทำงาน อย่าลองเชียวหละ จอดฝั่งตรงข้ามร้านอาหาร
จ่ายแค่ 20 บาท ดีกว่า 500 บาท นะยะ


โดย: zoomzero วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:22:47:24 น.  

 



good morning ค่ะเฮีย
เพิ่งจะได้ว่างเนี่ยอ่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ 3-4 วัน
ไม่ว่างเลยอ่ะ เริ่มจากเพื่อนมาหาที่บ้านเมื่อคืนวันจันทร์
ปุปปับ ไม่มีแผนเลย มันชวนไปโรงเกลือ
เพราะจะไปเอาพวกรองเท้ามือสองมาขาย
เห็นว่า รองเท้ามียี่ห้อด้วยนะคะ พวกผ้าใบไรเนี่ยมั๊ง
ถ้าซื้อแบบยกกระสอบไม่เลือกตกคู่ละ 20 เอง
แต่ถ้าเลือกก็คู่ละ 40 ค่ะ มินก็ไม่รู้ว่าเค้าไปเอาข้อมูลมาจากไหนอ่ะ
เรื่องของเรื่องคือ มันจะมายืมรถกะบะที่บริษัทฯ มินซัก 2 วันไปขนของ
เฮ๊ย..ฉันไม่ใช่เจ้าของบริษัทฯ นะเว๊ย ยืมไม่ได้เว๊ย แต่เช่าได้ฉันคิดให้แกในราคาถูก ๆ ได้
แต่ อย่าบ่อยนะ เพราะฉันดูแลเรื่องนี้อยู่ ไม่อยากให้ใครมาว่าได้ว่า คนอื่นไม่ได้แต่ฉันได้ตลอดอ่ะ ฮ่า ๆ ๆ

อ๊ะ มินก็เลยได้ไอเดียว่า ถ้าต้องไปนั่น พาแม่ไปด้วยดีกว่า
เพราะจะได้ให้เค้าไปนั่งกดสล๊อตของชอบของเค้าเล่นอ่ะค่ะ
แม่มีความสุขด้วย มินก็จะได้ไปดูด้วยว่ามันมีเหรอ
ไอ้รองเท้ายี่ห้อ คู่ละ 20-40 เนี่ย ถึงว่ามันจะมือสองก็เหอะ
ก็นัดกันให้พรุ่งนี้มันไปเอารถกะบะที่บริษัทฯ มิน ส่วนมินก็นัดกับแม่ให้แม่มาที่บ้านแต่เช้า
แล้วมินเข้าบริษัทฯ ไปก่อน เคลียร์ไรเสร็จก็ค่อยไปกันค่ะ
แต่ ก็ไม่ได้มีไรมากมาย มินไปถึง ดูเรื่องรถให้เพื่อนเรียบร้อยแล้ว ก็ออกตามกันไปเลย
พอไปถึงโรงเกลือ มินก็ต้องไปส่งแม่ที่ตม.ก่อนเพื่อทำเอกสารข้ามไปฝั่งนู๊นอ่ะ
ดีนะที่ติดพาสปอร์ตไปด้วย ไม่งั๊นซวยเลย เพราะยังต้องใช้เหมือนเดิม ใครกันนะที่บอกไม่ต้องใช้แล้ว

พอแม่เข้าไปกับลุงแล้ว ก็นัดกันว่าเดี๋ยวตามไปเจอกันที่สตาร์เวกัส หรือไม่ก็โทรหากัน
ส่วนมินก็กลับมาหาเพื่อนกับแฟนมันที่หน้ากสิกรไทยฝั่งเราอ่ะค่ะ (แฟนเพื่อนคนนี้มันเป็นทอมรุ่นน้องอ่ะ)
ไปเดิน ๆ หาของ กรรมเหลือเกินเพราะไอ้ร้านรองเท้าที่มันได้ข้อมูลมาอ่ะ
มันหยุดสงกรานต์ค่ะ แล้วก็ต้องสั่งของเค้าไว้ก่อนด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ จะมาเอาเลยอ่ะ
แล้วถ้าจะเอาไปขายแบบนี้ ก็ต้องจ่ายมัดจำเค้าไว้ก่อน 70-80% เลยอ่ะ เค้าจะได้ไปคัดของมาให้
เอาแล้วสิ เท่ากับมาเก้อเลยค่ะ มินเลยด่ามันเลย ทำไมแกไม่เช็คให้ดี ๆ ก่อน
เลยเดินดูอย่างอื่น เยอะที่สุดคือพวกกาลามัง หม้อ เครื่องใช้ในครัวค่ะ แต่มินว่าเราไม่ได้ใช้แบบนี้หรอก
แล้วก็พวกเห็ดหอม กระเพาะปลาแห้ง หอม กระเทียม มินก็คิดอีก ไม่กล้าซื้อค่ะ ฮ่า ๆ ๆ
สรุปแล้ว เพื่อนมันกลับกรุงเทพไปก่อน เพราะจะรีบเอารถไปคืน จะได้เช่าแค่วันเดียว ไม่ต้องถึง 2 วัน
ส่วนมินก็ต้องข้ามไปฝั่งโน๊น ไปหาคุณนายแม่มิน เรื่องสนุก ๆ รออยู่ค่ะ ไว้มาเล่าตอนต่อไปนะ
มันยาวมากเดี๋ยวจะ lazy อ่านอ่ะค่ะ ฮ่า ๆ ๆ
ปล. สนุกแบบกระเป๋าฉีกเลยค่ะ ฮ่า ๆ ๆ


โดย: มินทิวา วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:7:11:54 น.  

 
Mintiva

อะ อะ อะ 555
คิดอยู่เหมือนกันว่าที่ "อะโคจอน" มันคือ บ่อน
แต่ไม่อยากทาย เดี๋ยวจะผิดจายกันเพราะตัวอักษร อิอิ
ยิ่งวันปีใหม่ไทย เขาห้ามปากเสียด้วย

รองเท้าอะไรคู่ละ 20 บาท รองเท้าแตะหรือ?
ขนาดรองเท้าจีนแดงคู่ละร้อยที่เคยโง่ไปร่วมลงทุนกับเพื่อน
เป็นรองเท้าผ้าใบ แค่เก็บไว้เฉยๆปีหนึ่ง พื้นมันหลุดร่อนออกจากกันหมดเลย

คราวก่อนเฮียก็ไปที่สตาร์เวกัส
ไม่ได้พักที่ตึกหน้า เพราะอยากจะประหยัดเงิน(เอาไว้เล่นตู้ดูดทรัพย์)
เลยเลือกตึกหลังราคาถูกกว่าหน่อย แต่เดินตอนกลางคืนน่ากลัวเหมือนกัน
เพราะมีป่าหญ้าอยู่ทางด้านขวามือ ด้านหลังห้องพักก็เป็นดงต้นกล้วย
เหตุที่เลือกสตาร์ฯเพราะว่าสามารถใช้เหรียญสิบบาทได้เลย
บางทีเราต้องแลกเป็นเงินสกุลคาสิโน เอาไปซื้ออะไรกินนอกตึกไม่ได้
เผลอเรอลืมแลกคืน คราวนี้ซวยเลย
และโรงแรมนี้เขามีโปรโมชั่นดี มีคูปองอาหาร มีชิ๊ฟตาย(แลกเป็นเงินไม่ได้)

ชิ๊ฟตาย ก็ต้องเอาไปเล่น
วิธีเล่นที่ง่ายที่สุดคือเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ไปที่โต๊ะไพ่ยี่สิบเอ็ด แทงหมดหน้าตัก (แค่สามร้อยบาท)
ถ้าเสียก็ช่างมัน ถ้าได้ เขาจะให้ชิ๊ฟเป็นมาเท่าตัว
เราก็แทงไปเรื่อยๆจนโดนเจ้ามือรับประทาน เป็นอันจบ
คราวก่อน จำได้ว่าเคยเล่าให้ฟังว่า ยิ่งแทงยิ่งได้
จนคนมามุง แล้วก็โดนกิน ชิ๊ฟตาย 3 อันซะที
เลยต้องรีบแลกเงินแล้วหายตัวไปเล่นที่โรงแรมอื่น
โดยถามตุ๊กๆ(ที่ขับเร็วกว่าเฟอรารี่)ว่า โรงแรมไหนใช้เงินไทยเล่น

ไม่ lazy reading หรอกน่า
กำลังลุ้นว่าหม่อมแม่ของหนูมิน จะไปทำแจ็กพอทเขาแตกหรือเปล่า
ถ้าจริง งานนี้คงโดนถ่ายรูปแปะไว้หน้าตู้
ไม่รู้ว่าเป็นการชื่นชมหรือประจานของเจ้าของคาซิโน
เพราะอีกหลายปีกว่าเขาจะเอารูปอันนั้นออกไป
แต่เท่าที่เฮียเดินดูแล้ว ทำไมมีคนไทยหรือหน้าตาไทยๆเยอะจังเลย

เรื่องพาสปอร์ต
เมื่อก่อนใช่บัตรประชาชนได้
แต่ต่อมามันมีคนขนยาเสพติด
กับปลอมบัตรไอดีคนไทยแล้วเข้ามากลายเป็นแรงงานเถื่อน
ทาง ตม. เลยไม่ยอม
และแปลกที่ขาไปเขมร ไม่มีใครมาค้นข้าวของ
แต่ขากลับเข้าไทย ต้องโดนทหารค้นข้าวของ
และก็ไม่ยอมใช้สุนัขดมยาเสพติด
ค้นๆคุ้ยๆ พอเป็นว่า ตรวจแล้วนะ

เอาหละ...
มานั่งลุ้นว่า จะมีคนได้แจ็กพอทหรือเปล่า?

RoyalBlue Mintiva 41 69 E1


โดย: zoomzero วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:18:34:01 น.  

 
เมื่อตะกี้ ดูละครช่อง3
เคหาสถ์สีทอง เอ้ย สีแดง
มีฉากทำอาหารว่างชื่อว่า ม้าห่อ
มองดูเหมือนเอาไส้สาคูมาวางบนผลไม้
อุ้ยส์...น้ำลายไหลย้อย
ท่าทางน่าทานจัง
แต่เกิดมาไม่เคยได้ลองลิ้มชิมรสเลย
ว้า....แล้วจะไปหาทานได้ที่ไหน

เขาว่าม้าห่อเป็นอาหารว่างของไทยมีมาแต่โบราณ
เน้นที่ว่าผัดไส้ด้วยหมูสับ กุ้งสับ ถั่วลิสงคั่วตำหยาบๆ หอมแดง
วางลงบนชิ้นส้มหรือสับปะรดหั่นพอดีคำ

ถ้าเอาส้มมาผ่าเป็นสองซีกแต่ไม่ขาดจากกัน
เอาไส้ของม้าห่อปั้นกลมๆยัดตรงกลาง
แบบนี้เรียกว่า มังกรคาบแก้ว



โดย: zoomzero วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:21:07:02 น.  

zoomzero
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ของทุกอย่างในโลกมี 2 ด้าน ถ้าเริ่มต้นก็คิดแต่ว่า สิ่งนั้นมีแต่ด้านดีด้านเดียว หรือเลวสุดขีด ต่อให้ศึกษาสิ่งนั้นไปอีกพันๆปี ก็ไม่มีวันเข้าใจ แต่ถ้าเปิดใจมองให้เห็นทั้งสองด้าน และหาความพอดีกับการอยู่กับสิ่งนั้นได้
...
ความสุขย่อมมาคู่กับความทุกข์ เพราะสุขเป็นของไม่เที่ยง เมื่อติดสุข แล้วไม่มีสุขมาให้ชื่นใจ จิตก็จะเป็นทุกข์ ความสงบจึงเป็นของที่เราท่านควรปฏิบัติ
...
การตั้งตัวเป็นจอมมารแห่งหุบเขาคนโฉด จึงไม่หวังให้ผู้ใดมีสุข ไม่อยากให้คนยึดติดกับสุข หากแต่อยากให้พ้นทุกข์ และได้พบกับธรรมมะของจริง ดั่งคำว่า "ไม่มีมาร อรหันต์ไม่เกิด" 555
...
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add zoomzero's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.