Singapura 2009
คนโฉดพาไปโฉบเมืองสิงหปุระ ในปี 2009 ภาค 4
2009 Mooncake Festival
Credit : //sparklette.net/food/mooncakes-2009/
ถ้าจะถามว่าแสงของพระจันทร์มาจากไหน คำตอบทางวิทยาศาสตร์ก็คงจะบอกว่า เป็นการสะท้อนของแสงจากดวงอาทิตย์มาอีกทีหนึ่ง แต่สำหรับผม ผมคิดว่าเป็นเพราะพระจันทร์ท่านได้ทานขนมที่มนุษย์ส่งไปถวายทุกปีต่างหาก ยิ่งขนมอร่อยเท่าไหร่ แสงของท่านก็ขาวนวลงามตามากขึ้นตามไปด้วย ส่วนลูกศิษย์อย่างผมก็ได้ทานขนมอร่อยๆ หลังจากการลาของที่ถวายเทพเจ้าทั้งหลาย
เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ตอนที่ผมไปเที่ยวสิงคโปร์ หนึ่งในงาน mission impossible ของผมก็คือ การไปลองชิมและซื้อขนมไหว้พระจันทร์กลับมาเมืองไทย ผมจึงต้องค้นหารายชื่อร้านค้า ภัตตาคารจีน ที่เขาขายขนมแบบนี้ก่อนที่จะเหาะไปสิงคโปร์ พอดีช่วงนั้นก็ไกลวันไหว้พระจันทร์มากแล้วด้วย ร้านค้าต่างๆในสิงค์ก็เริ่มเอาขนมไหว้พระจันทร์สูตรลับที่แสนอร่อยออกมาขายกันทั่วไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นบูธเล็กๆซึ่งเอาออกมาให้ชิมและสามารถสั่งจองได้ คนสิงคโปร์เขาก็ชอบจองหรือมัดจำกันเอาไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ พอใกล้วันจริงเขาก็ไปรับขนมใหม่ๆหอมๆ ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อนาน เสียเวลาเปล่าๆ
ที่มาของการไหว้พระจันทร์ต้องมาจากคนจีนแน่นอน เพราะเขาเขียนบนขนมเอาไว้เป็นภาษาจีน แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะทุกวันนี้ขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นแท่นอินเตอร์ไปแล้ว เขาเรียกว่า mooncake กันแล้ว คนจีนยังคงไหว้พระจันทร์ในคืนวันเพ็ญเดือนแปด บางตำนานก็บอกว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมานานตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น บางตำราก็ว่ามาจากเหตุการณ์การปฏิวัติสมัยราชวงศ์หยวนเพื่อขับไล่พวกมองโกล บางก็ว่าเป็นวิธีบอกผู้คนว่าเข้ากลางฤดูใบไม้ร่วง ชาวจีนจะได้เตรียมตัวรับกับความหนาวเย็นในฤดูหนาวที่จะมาเยือน (สมัยก่อนชาวบ้านไม่ได้มีปฏิทินแม่โขงแขวนไว้ที่ฝาบ้าน) บ้างก็ว่าสาวสวยชื่อ ฉางเอ๋อ (หรือ ฉางอี้ หรือ เสี้ยงหงอ) ได้เหาะขึ้นไปเป็นเทพธิดาอยู่บนดวงจันทร์ และนางชอบช่วยมนุษย์โดยพรมน้ำมนต์ลงมาให้ ทำให้การเกษตรได้ผลดี ประชาชนจึงทำขนมไหว้ท่านเป็นการตอบแทน บางตำราอย่างเต๋า ก็สอนให้ไหว้ไท้อิมเนี๊ยะ เทพที่มีหน้าตาสวยงามที่สุดในสวรรค์ แต่ที่น่าเชื่อมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของ พระจักรพรรดิถังหมิงหวง โดยมี 2 ตำนาน เรื่องแรกเป็นเพราะพระองค์ได้ไปเที่ยวชมวิมานบนดวงจันทร์มาแล้ว พระองค์ชอบใจ ก็เลยทำการจัดงานโดยที่ทรงโปรดขนมหวานที่ทำจากแป้งและมีไส้เป็นถั่วต่างๆ อีกเรื่องก็คล้ายๆกัน กล่าวต่อไปพระองค์โปรดให้ล่องเรือชมจันทร์ โดยทรงเอาใจพระสนมชื่อ หยางกุ้ยเฟย ซึ่งอย่างหลังน่าใกล้ความจริงว่า ในวังทำมาก่อน ทำด้วยความสำราญ และต่อๆมาชาวบ้านจึงทำตาม แต่ด้วยความฉลาดของคนโบราณ จึงแฝงคติธรรมและรักษาขนมธรรมเนียมความเป็นชาติสืบต่อมาจนถึงวันนี้
สำหรับขนมที่ไหว้พระจันทร์นั้น แต่ก่อนน่าจะเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า หน้าตาน่าจะเป็นขนมเปี๊ยะมีไส้และไม่มีไส้ ไส้ที่ทำก็มาจากพวกธัญพืชในท้องถิ่น เช่น พืชพวกถั่ว ถั่วแดง ลูกนัท และเมล็ดบัว ส่วนที่เราเห็นขนมไหว้พระจันทร์ในปัจจุบัน น่ารับประทานเหลือเกินนั้น ก็เพราะว่ามีการค้นคิดไส้ขึ้นมาใหม่ๆ เช่น ทุเรียน ไข่แดงเค็ม เกาลัด พลับ หรือเมล็ดแตง และในต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ ยิ่งมีการคิดค้นไส้มากขึ้นอีก เช่น ช๊อกโกแล็ต มะม่วง จำปาดะ แมคคามีเดีย ฯ
ว่าไปแล้วการจะไหว้เทพเจ้าจันทราให้เหมือนโบราณ ก็น่าจะมี ขนมเปี๊ยะขนาดใหญ่ไส้หนาๆ ขนมโก๋สอดไส้ ขนมโก๋ไม่มีไส้ที่สีขาวๆ และขนมโก๋สีเหลือง หน้าที่การไหว้ได้ถูกโอนถ่ายให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงไปแล้ว โดยที่มักจะมีการตั้งโต๊ะแล้ววางเครื่องสำอางร่วมไหว้ด้วย และอาจจะมีเครื่องประดับ หรือหวี เพิ่มขึ้นมาอีก ของเดิมๆเขาจะต้องมีต้นอ้อยมาผูกข้างโต๊ะทำเป็นซุ้มประตูโค้ง
ต่อมามีการไหว้เจ้าแม่กวนอิมร่วมไปด้วยพร้อมๆกันในคืนเดียวกัน โดยแบ่งเป็นโต๊ะไหว้ของเจ ซึ่งประกอบด้วย วุ้นเส้น เห็ดหูหนูแห้ง เห็ดหอมแห้ง ฟองเต้าหู้แห้ง ผลไม้ และต้องมีกระดาษเงิน-ทอง เอามาเผาด้วย จึงนับว่าเป็นการไหว้ 2 เทพเจ้า ที่เป็นแบบอย่างของสตรีบูชาสตรีเทพ บางบ้านก็อาจจะมีการซื้อชุดฉลองพระองค์ใหม่ให้เทพธิดา ว่ากันว่าสาเหตุที่ไหว้เจ้าแม่กวนอิมนี้ ก็เพราะว่าเกิดความไม่เชื่อถือ หรือไม่สบายใจ เพราะฝรั่งได้เอาเท้าไปเหยียบดวงจันทร์ แล้วออกข่าวไปทั่วโลก การไหว้ดวงจันทร์ทำให้เหมือนคนโง่หรือเต่าล้านปี ส่วนการไหว้เจ้าแม่กวนอิมก็ทำให้รู้สึกว่าได้บุญไปด้วย ไม่เครียดดี นับว่าแนวความคิดแบบนี้ทำให้การไหว้พระจันทร์มีอะไรดีๆมากว่าการซื้อขนมมาทานกันเล่นๆ
สำหรับทัวร์ของเรา คราวนี้ผมจะพาไปลุยร้านขายขนมไหว้พระจันทร์ ที่โด่งดังและมีชื่อเสียงในสิงคโปร์ ประมาณ 12 ร้านกันเลย
ผมขอบัญญญัติ ศัพท์ภาษาคนโฉดขึ้นมา คำหนึ่งนะครับ ขอให้คำว่า mc แทนคำว่า ขนมไหว้พระจันทร์ จะได้พิมพ์แล้วไม่เมื่อยมือ
เจ้าแรกคือ Tung Lok
//www.tunklok.com
Tung Lok เป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงในสิงคโปร์ มีลักษณะเป็น Chain เรียกว่า Tung Lok Group ซึ่งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยอยู่ใน สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, จีน, ญี่ปุ่น, และอินเดีย (ไม่มีสาขาในประเทศไทย) เฉพาะในสิงคโปร์ก็มีหลายแห่ง เช่น ถ้าใช้ชื่อว่า Garuda Padang ก็จะมีที่ Orchard Central, VivoCity, ถ้าใช้ชื่อว่า Lao Beijing จะอยู่ที่ Plaza Singapore, Velocity@Novena Square, Tiong Buhru Plaza, หรือถ้าเป็นชื่อ Zhou's Kitchen จะอยู่ที่ Anchorpoint, Far East Square, Square2, Jurong Point ผมลองนับดูแล้วในสิงคโปร์ มีถึง 22 แห่ง
ร้านนี้ถนัดเรื่องอาหารจีน อาหารกวางตุ้ง เสฉวน และอาหารทางภาคเหนือของจีน
mcของที่นี่อร่อยมาก นับเป็นหนึ่งในร้านดังของสิงคโปร์อันดับต้นๆ ไปหาซื้อได้ที่ Central Plaza เขาจะอบแป้งที่ใช้หอข้างนอกให้นุ่มๆ และก่อนที่แป้งจะเย็น จะต้องรีบนำมาห่อและใส่ไส้ลงไป เขาเรียกเคล็ดลับนี้ว่า Baked-and-Chilled โดยทางร้านได้วางจำหน่ายเอาไว้ 3 ไส้คือ
Green Tea with Chestnut Lotus 1 กล่อง 8 ชิ้น $42.80
Hokkaido Milk with Mocha 1 กล่อง 8 ชิ้น $42.80
Custard 1 กล่อง 8 ชิ้น $44.94
และที่กำลังนิยมในปีนี้คือ ชิ้นขนาดเล็ก ที่เรียกว่า bite-size mooncake แบบนี้จะมีหลายไส้คละกันไป โดยเราสามารถเลือกว่าจะเอา pomelo white lotus, strawberry, purple potato หรือ longan red date ทำการบรรจุ 1 กล่องมี 16 ชิ้น ราคา $47.08
ร้านที่สอง ชื่อ Peony Jade
//www.peonyjade.com
Peony Jade เป็นภัตตาคารจีน ขายอาหารจีนในแบบกวางตุ้ง เสฉวน และมีติ่มซำอร่อยๆหลากหลายชนิดให้เลือกอีกด้วย ร้านอยู่แถวคลาร์กคีย์(Clark Quay) เป็นย่านขายอาหารกลางคืน บริเวณริมแม่น้ำสิงคโปร์ บรรยากาศดี มองแสงไฟจากตึกสูงยามค่ำคืน ผมไปนั่งทานอาหารร้านแถวนั้นมาแล้ว แต่กลัวยุงกัดเลยย้ายเข้าไปข้างในห้องแอร์ อดมองวิวสวยๆ
Peony มีอีกแห่งอยู่ที่ Keppel Club ซึ่งเป็นคลับกอล์ฟ มีที่พักและห้องเอ็นเทอร์เทนหลายแบบ เป็นสถานที่พักผ่อนได้ด้วย ตั้งอยู่แถวๆตึกไชน่าพอยท์ ย่านไชน่าทาวน์ ใช้จัดงานเลี้ยง งานแต่งงานที่ Club ได้
mcที่นี่ เน้นไส้ผลไม้ และคนสิงคโปร์บอกว่า ที่อร่อยต้องเป็นไส้ King of Fruits หรือ ทุเรียน เขาทำเป็นไส้ได้นุ่มอร่อยมาก แต่ช่างคิด คือเอาผลไม้ต่างๆมาทำเป็นไส้ได้อีกหลายแบบ เช่น Strawberry, กล้วย, โยเกิร์ต ราคาขายก็มีดังนี้ เช่น
Strawberry ขาย 4 ชิ้น $42
กล้วย-Banana ขาย 4 ชิ้น $40
บางอย่าง ต้องบอกว่าทึ่ง เช่น alcoholic lychee-tini and ganache เขาว่าเจ้า ganache มีรสชาดอร่อยมาก มันเป็นพวก icing ที่ดูเหมือนจะมีช๊อคโกแล็ตผสมกับครีมอะไรสักอย่าง พ่อครัวสวิสและฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับคิดขึ้นมา ส่วนไส้ลิ้นจี่แบบนี้ เขาชอบเรียกมันสั้นๆว่า lychee matini และขายกัน 1 กล่อง 9 ชิ้น $45
ร้านที่สาม InterContinental Singapore
//www.singapore.continental.com
ภัตตาคาร หมาน ฟู่ หยวน (Man Fu Yuan) อยู่ในโรงแรม Intercontinental เป็นอีกร้านที่ดังในเรื่องการคิดหาอของมาทำไส้mc ใครมาร้านนี้ต้องเรียกหา mini snowskin mooncake ไส้ Japanese sweet potato paste and champagne chocolate และขายกัน 1 กล่อง $42.80
ในปี 2009 นี้ เขาได้ทำไส้แบบใหม่ขึ้นมาอีก ได้แก่ อโวคาโด้, มูสมะม่วง, หรือ cempedak ราคาก็ใช้อัตราเดียวกันคือ 1 กล่อง 8 ชิ้น $42.80
cempedak ก็คือ จำปาดะ ผลคล้ายๆขนุน แต่ยาวกว่า รสอร่อย มีปลูกทางภาคใต้ของไทย มาเลเซีย และอินโดฯ ที่ว่าทุเรียนนั้นกลิ่นสุดจะอื้อหือแล้วนะ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าเอาจำปาดะใส่ไว้ในรถยนต์ ขับไปประมาณ 30 นาที ต้องจอดรถลงไปโอ๊กอากข้างทาง เพราะทนกลิ่นมันไม่ได้ แต่คนทางแหลมมาลายูเขาว่าอร่อย
โรงแรม InterContinental ตั้งอยู่บนถนน Middle Road มีเอกลักษณ์คือ จะมีกลิ่นไอของชาวเปรานากาน (Peranakan) ซึ่งนี่แหละคือ จีนสิงคโปร์หรือจีนมาลายูต้นตำหรับ สังเกตุได้จาก ผ้าลายดอกกล้วยไม้ ชุดเสื้อสตรีรัดรูปแขนยาว ผ้าโปร่งบาง มองเห็นความงามของผู้หญิง(อือ...) พวกเครื่องประดับศีรษะ เช่น ปิ่นปักผมก็เป็นเอกลักษณ์ บ้านหรือตึกต่างๆ ก็จะมีลายไม้ฉลุที่มองแล้วโปร่งตา ตามโรงแรมใหญ่ เวลาเราเข้าไปนั่งทานอาหารในห้องอาหารของโรงแรมนั้น เขามักจะพับผ้าเช็ดหน้าเป็นรูปต่างๆ วางไว้บนจานอาหาร แต่ที่นี่เขาเอาดอกกล้วยไม้วางไว้แทน
ร้านที่สี่ The Fullerton
//www.fullertonhotel.com
Fullerton Hotel คือที่ ที่คนไปดู Merlion พ่นน้ำและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ตัวโรงแรมอยู่ติดกับสถานีรถไฟ MRT Raffles Place ที่นี่คนส่วนใหญ่จะไปเพื่อเดินชมสถานที่ น้อยคนที่จะรู้ว่ามีmcอร่อยๆขายอีกด้วย ใครมาสั่ง mooncake ที่นี่แล้วเอาไปเซอร์ไพรส์เพื่อนพ้อง โดยไม่บอกว่าซื้ออะไรมา อาจจะโดนเพื่อนเอาไปทำเป็นสบู่อาบน้ำ เพราะเขาทำขนมได้เหมือนสบู่มากๆ เรื่องไส้ข้างในก็ไม่เป็นรองใคร ไส้ที่อร่อยและขายดี คือ
Chocolate Baileys ขาย 1 กล่อง 4 ชิ้น แต่ราคาถึง $52
และไม่ต้องตกใจ ไม่แพงอย่างที่คิดหรือก เพราะเขามีพวก gift set แถมให้(ปลอบใจ)ทุกคน
ส่วนmcที่ แม้ว่ามนุษย์ต่างดาวก็ต้องตกตะลึง ก็เพราะมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 6 นิ้ว (โอ้ 6 นิ้วจริงๆ) ข้างในมีไข่แดง 8 ฟอง (โอ้ 8 ฟองจริงๆ) ขายกันก้อนละ $168
ผมพยายามชวนให้นายหญิงไปซื้อ เพราะเราก็เดินอยู่แถวนั้น แต่เจ้านายบอกว่าไม่กล้ากิน มันใหญ่ไป ผมก็งงว่า ก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตอนกินก็ได้ แต่ไม่เอาก็คือไม่เอา อ้อ..เขายังมีไส้ cranberry, blueberry และ แอปเปิ้ลเขียว ให้เลือกอีกด้วย ราคาก็ $52 ต่อ 1 กล่อง (4 ชิ้น)
ร้านที่ห้า Kia Hiang
//www.kiahiang.com.sg
Kia Hiang เป็นภัตตาคารที่เปิดมานานถึง 30 ปีแล้ว อาหารที่นี่เขาว่า คือ east-meet-west ในปีที่ผ่านมา ผู้คนต้องตกตะลึงกับไส้ชนิดใหม่ ใครจะไปคิดว่า ร้านอาหารลือชื่อ ต้นตำรับสูตรลับจากพ่อครัวในวังหลวง ชาวจีนฮกเกี้ยน ได้เอา หมูแผ่น มาทำไส้mc อย่าเพิ่งหัวเราะครับ หมูแผ่นของสิงคโปร์ อร่อยมาก เขาจะทำเป็นแบบหมูสวรรค์ที่ขายแถวปากช่อง กลางดง หรือมวกเหล็ก ฯ คือ จะเป็นหมูหวานนุ่มๆ แต่สูตรของคนสิงคโปร์จะหวานนิดหน่อย เค็มนิดหน่อย แต่เนื้อนุ่มมาก) ใครไปสิงคโปร์ถ้ามีญาติเป็นคนจีน ต้องฝากซื้อ ผมก็ต้องหนีบขึ้นเครื่อง 3 ถุง หนักพอประมาณ หมูที่ว่านี่ ซึ่งเขามีชื่อเรียกว่า Bak Kwa (หรือ sweet barbecued pork)
ร้านนี้ก็กล้าทำmcไส้หมูหวานแผ่น หรือ bak kwa mooncake ออกมาขาย แล้วคนก็ซื้อไปทานกันอีกด้วย
Kia Hiang มีร้านใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือ ที่ Kim Tian Road กับอีกแห่งอยู่ในตึก International Plaza แต่เขาก็มีการขยายบูธออกไป หลายแห่ง เช่น Century Square, Chevron House (Change Alley), Takashimaya Square, VivoCity, Raffles City,
เฒ่าแก่เจ้าของร้านบอกว่า เขาเป็นเจ้าแรกที่คิดเอาทุเรียนมาทำเป็นไส้mc (อ้า...จริงหรือ? ใครเชื่อบ้าง?) เขายังบอกอีกว่า แม้แต่ไส้ช๊อกโกแล็ต เขาก็ทำมาก่อนใครๆ สูตรเด็ดเคล็ดลับ เฒ่าแก่ยังบอกว่า เราใช้น้ำมันถั่ว เราไม่ได้ใช้มันหมูอย่างร้านอื่นๆ แถมเรายังควบคุมความหวานของน้ำตาล เราคิดค้นไส้ด้วยการทดลอง ทดสอบ มากกว่า 200 ชั่วโมง (มีการจดบันทึกเอาไว้ด้วย) เรา รู้ว่าเราควรจะใช้ส่วนผสมจากอะไร เช่น almonds, walnuts, pumpkin seeds, sunflower seeds, winter melon seeds,
ทุกคำที่คุณทาน เรารับประกันว่าต้อง อร่อยที่สุด และแค่กล่อง คุณก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นมืออาชีพ เราให้คุณในรูปกล่องไม้ ตามแบบโบราณกันเลย
ร้านที่หก Wah Lok Cantonese
//www.carltonhotel.sg
Wah lok หรืออีกชื่อที่คนชอบเรียกคือ Carlton อยู่ใน Carlton Hotel ซึ่งมีภัตตาคารที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสิงคโปร์ ชื่อ Wah Lok ทางร้านได้เป็นเจ้าแรกๆที่นำเสนอลูกค้าด้วยmcในแบบ SnowSkin พร้อมด้วยไส้หลากหลายชนิด เช่น Lavender, Wheatgrass & Melon Seed(เม็ดก๋วยจี๋ นี่หว่า), White Lotus(เมล็ดบัว), Walnut, และ Hazelnut ผสม Nata De Coco (ไส้อะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยชิมเลย) ขายกัน 1 กล่อง 8 ชิ้น $47.08
ลาเวนดอร์นั้น แค่เป็นน้ำหอมก็หอมชื่นใจอยู่แล้ว บางคนว่าเอาไปใช้ในสปาก็ได้ พอเขาเอามาทำเป็น mooncake แบบนี้ก็ ทำให้โต๊ะอาหารมีกลิ่นที่น่าหลงใหล ผมหละกลัวว่าถ้าซื้อมาแล้ว แม่บ้านจะเผลอเอาไปวางในห้องน้ำ เพราะคิดว่าเป็นก้อนดับกลิ่น
สำหรับไส้อื่นก็ได้แก่ Lotus paste with single yolk, Lotus paste with double yolk, Durian, Tiramasu, Rum and Raisin,
โรงแรม Carlton อยู่บนถนน Bras Basah ใกล้แยกตัดกับถนน Victoria จะอยู่ตรงข้ามภัตตาคาร Chijmes ถ้าไปทาง MRT ลงที่สถานี BRAS BASAH (CC2) ปี 2009 นี้ทางโรงแรมได้ไปออกบูธที่ UOB Plaza ชั้นใต้ดิน และที่ Novena Square 1 อีกด้วย ข่าวว่าขายดีมาก แถมขึ้นราคาอีกตอนหลัง (แน๊ะ แหล่งข่าวชักจะไม่น่าเชื่อถือเสียแล้ว) ทางร้านบอกว่าต้องจ้างแรงงานพิเศษเพิ่มเพื่อให้ผลิตทันเวลา ร้ายกาจจริงคนสิงคโปร์นี่ ค้าขายเก่งชะมัด
ร้านที่เจ็ด Fairmont Singapore
- //www.fairmont.com/singapore
ความจริง Fairmont เป็นโรงแรมเก่าได้เปลี่ยนกิจการ หรือเปลี่ยนมือผู้บริหารใหม่ครับ ชื่อเก่า คือ Raffles The Plaza (บอกแบบนี้ taxi พาไปถูกแน่ๆ)
ชื่อ Fairmont Singapore นั้นเป็นชื่อที่นำชื่อเสียงมาให้อย่างมาก ด้วยการบริหารงานตามแนวโรงแรมแม่ ในซานฟรานซีสโก ทำให้ Fairmont Singapore ได้รางวัลมาอย่างต่อเนื่องทุกๆปี อย่างล่าสุดก็คือ Top 50 Hotels in Asia 2008
ที่นี่มีสปาชื่อ Willow Stream Spa สปาที่เรียกว่า อัครมหาอภิสมบูรณ์แบบของสปาแห่งเอเชีย (ผมตั้งของผมเอง เพราะมีกิ๊กทำงานอยู่ที่นี่ 555) โรงแรมนี้หาไม่ยากหรอกครับ อยู่ห่างจาก Carlton Hotel มานิดหน่อย อยู่บนถนน Bras Basah คุณเดินมาจากทางตึก Esplanade ก็ได้ แต่ก็เหมือนๆกับร้านดังอื่นๆ เขาได้ออกบูธตามจุดช๊อบปิ้งอื่นๆ ด้วย เช่น Szechuan Court, Raffles City Atrium, Tampines Mall Atrium, Takashimaya, VivoCity, Isatan Parkway,
ปีหน้า 2010 ทางโรงแรม Fairmont จะได้เป็น Official Hotel to Host ของการแข่งขันกีฬา Singapore 2010 Youth Olympic Games ซึ่งจะจัดในช่วงวันที่ 14 26 สิงหาคม ผมคงต้องแอบหนีนายหญิงไปเป็นกำลังให้กิ๊กผม เพราะงานคงจะล้นมือน้อยๆของเธอ
ภัตตาคารในโรงแรม Fairmont มีหลายร้านเหมือนกัน สำหรับร้านที่บริการอาหารจีนรสเลิศนั้น เน้นไปทาง อาหารเสฉวน จนถือว่าเป็นหนึ่งในสิบภัตตาคารจีนที่ต้องลองไปลิ้มรสอาหารให้ได้ (เชียร์เกินไปหรือเปล่า?) ในปีนี้พ่อครัวได้ประกาศว่า เราจะทำmcแบบใหม่ ไส้สีชมพู pink feuiletine-hazelnut with wafer crunch nuts เขาว่าmcร้านนี้สุดยอดในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำให้ไส้ตรงกลางนั้นเป็น chocolate ball หุ้มไส้ข้างในอีกชั้นเป็น Swiss chocolate อีกชั้น ขาย 1 กล่อง 8 ชิ้นราคา $45 ส่วนไส้ที่มีคนถามหาไม่เคยขาดก็คือไส้ champagne truffle กับ ganache ขาย 1 กล่อง 8 ชิ้น $48 (ข่าววงในว่ากันว่า ร้าน Peony Jade กะว่าจะมาโค่นแชมป์สำหรับ mooncake ไส้ ganache ให้ได้ ไม่ทราบว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร?) สำหรับไส้ใหม่อีกแบบที่น่าจะมาแรงเหมือนกัน ก็คือ mixed nuts เขาบอกว่าต้องใช้ของใหม่และสดมากๆ ไม่มีการใส่สารกันบูดหรือแต่งสีใดๆ ส่วนผสมล้วนมาจาก macadamia, walnut, almond, งา, และเมล็ดแตงโม เป็นการเพิ่มสารอาหารประเภทวิตามิน E, แม็กนีเซี่ยม, และฟอสฟอรัส ซึ่งจะไปช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โดยเฉพาะเด็กในวัยเจริญเติบโต
ร้านที่แปด Concorde
- //www.singapore.concordehotelsresorts.com
ร้านนี้เป็นเป้าหมายหลักของผม เพราะผมไปพักที่โรงแรม Concorde Hotel นั่นเอง โรงแรมอยู่ช่วงกลางๆ ค่อนไปทางปลายนิดๆของถนน Orchard ใกล้ๆห้าง Plaza Singapore (มีห้างคาร์ฟูอยู่ข้างในซ้อนอีกที) ตอนที่ติดต่อกับผู้ชำนาญการจองตั๋วและโรงแรมระดับพระกาฬในประเทศไทย เราปรึกษาไปว่าอยากได้โรงแรมบนถนน orchard แต่ต้องไม่แพง หรือถ้าเป็นที่อื่นต้องอยู่ไม่ไกลจาก Chinatown เพราะอยากซื้อหมูแผ่น และmc ผลออกมา ก็ได้โรงแรม Concorde Hotel โดยที่โรงแรมนี้เป็นพันธมิตรกับ SIA หรือ Singapore Airline เขาจึงลดราคาห้องพักให้เกือบ 50% แถมยังให้บัตร gift voucher มูลค่า $80 (เอาไว้ซื้อของฝากข้างในสนามบินชางงีเท่านั้น) พวกเราก็กะว่า จะเอาไว้ซื้อmcในสนามบิน กรณีที่เราลืมซื้อในเมือง แถมยังให้ทานอาหารในโรงแรมได้ในราคา 50% ทุกร้าน ทุกวัน ทุกภัตตาคารในโรงแรม และเราก็ทราบมาว่า Concorde เขาดังเรื่อง mcอีกด้วย
โรงแรม Concorde มีชื่อเก่าว่า Le Meridian Hotel ดังนั้นเรื่อง Mooncake ของ Le Meridian คนจะยอมรับว่าอร่อย แต่เราก็ไม่ได้ซื้อที่นี่ เพราะเราไปชิมหลายที่ จนรู้ว่าที่อื่นก็อร่อยไม่แพ้กัน
Mooncake ที่นี่แปลกประหลาดอีกแล้วครับท่าน เพราะมีคนมุสลิมมายืนชิมได้อย่างหน้าตาเฉย ยืนจิ้มๆแล้วซื้อเลยนะซิครับ อ้าว.....ไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะว่าmcร้านนี้ได้เครื่องหมาย Halal Certified ครับ
ตอนที่พักอยู่ก็รู้สึกว่าทำไมมีคนมาเลย์มาพักมากกว่าคนจีนหรือฝรั่ง บางทัวร์เป็นแขกมาเลย์มากัน 40-50 คนเลย
สำหรับรายการเมนูที่เขาภูมิใจนำเสนอให้ผมชิม ก็คือ mcสูตรสุขภาพอนามัย เป็น Low Sugar Mooncake ข้างในเป็นเม็ดบัว และไข่แดง ขายในราคา $40 บรรจุ 4 ชิ้นต่อ 1 กล่อง ต้องบอกว่าตกใจมาก แพงเป็นบ้าเลย แต่ได้ลองชิมแล้ว ก็อร่อย เท่าที่จำได้มี 3 แบบให้ชิมเท่านั้น ไม่ค่อยมีให้เลือกมากแบบนัก แต่เขาพยายามเชียร์อันที่เป็นไส้ Chocolate Omochi เขาใช้โฆษณาว่า sumptuous (ซึ่งกลับมาเปิดพจนานุกรมที่เมืองไทยถึงทราบว่า แปลว่า ฟุ่มเฟือย หรือ ไม่อั้น ในเรื่องส่วนผสมของไส้) โดยขาย 1 กล่อง 4 ชิ้น $38
ร้านที่เก้า Polar Puffs & Cake
//www.polarpuffs-cakes.com
ร้านนี้แหกกฎของการทำmcได้น่าทึ่งมาก เพราะเขาทำเป็นรูปทรงตัวการ์ตูน และที่ขายดีมากทีสุด ก็คือ รูป Hello Kitty ยอดการ์ตูน ขวัญใจคุณหนูๆ ที่มาจากการ์ตูนของประเทศญี่ปุ่น โดยปีนี้มีของใหม่มาให้เลือก 4 แบบ คือ White lotus, Pumpkin Taro(ฟักทองผสมเผือก), Yam (ผลไม้กวน),และ White Chocolate Cheese ขายในราคาเดียวกันหมด คือ 1 กล่อง 6 ชิ้น $30.80 ใครที่มีลูกสาวตัวเล็กๆ หรือตัวคุณเองที่ยังมีหัวใจเล็กๆเป็นเด็กน้อยๆ ก็คงจะชื่นชอบกับmcรูปร่างการ์ตูน และสีอันแสนหวานแหวว ของร้านนี้ สิ่งที่สุดยอดอีกเรื่องก็คือ เป็น mooncake ที่ได้รับการการันตีว่า Halal Certified อีกด้วย แปลว่าการตลาดอาหารของลูกค้าชาวมุสลิม น่าจะเป็นเงินที่มีมูลค่าสูงพอสมควร
Polar Puffs & Cake มีกลไกการทำตลาดที่แข็งแรงมาก เพราะมีสาขามากมาย มากจนน่ากลัวเลยครับ Polar แฝงตัวอยู่ตามสถานีรถไฟ MRT โดยแบ่งออกเป็นโซน เช่น North, South, North-East, East, และ West อย่าว่าแต่ที่สถานีรถไฟเลย ที่สนามบินก็มี นอกจากนั้นก็ไปอยู่ตามโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าดังๆ สถานีในพื้นที่ทางด่วน และปั๊มป์น้ำมัน ESSO โดยเข้าแบ่งเป็น 2 ค่าย ได้แก่ ESSO CHEERS กับ ESSO FAIRPRICE EXPRESS เรียกว่า ถ้าฝนตกในสิงคโปร์จะต้องโดดหลังคาร้านที่ขาย Polar Puffs มากกว่า 1 ร้าน
ร้าน Polar Puffs มีทั้งสำนักงานและโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่แถวถนน Woodlands Link แต่เราไม่จำเป็นต้องไปซื้อของที่สำนักงานใหญ่ ร้านนี้จึงเป็นร้านที่มีความโดดเด่นในเรื่องการหาซื้อง่าย และมีรูปผลิตภัณฑ์ที่เก๋ไก๋ ซึ่งเมื่อแยกประเภทของmcแล้ว ก็จะได้ 3 ประเภท คือBaked Skin Mooncake, Mini Snow Skin Mooncake และ Hello Kitty สำหรับแบบธรรมดาๆนั้นก็มีไส้ให้เลือกจนพอใจ ได้แก่ Pure Lotus, Pure Lotus Single Yolk, Pure Lotus Double Yolks, White Lotus, White Lotus Single Yolk, White Lotus Double Yolks, Pandan และก็อีก 4 ไส้พิเศษที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของ Kitty
และสำหรับแบบเล็ก หรือ Mini นั้นก็จะมีไส้ไม่เหมือนพวกก้อนใหญ่ โดยมีไส้ Black Sesame(งาดำ), Green Tea, Durian, Buttery Chocolate
ถ้าคุณเป็นคนสิงคโปร์หรือทำงานอยู่ที่โน่นนานๆ คุณอาจจะได้ถือบัตร Polaris Club โดยสมัครแล้วเสียตอนแรกเข้า $10 จะได้เว้าเช่อร์ $5 คืนกลับมา และซื้อของก็ได้ส่วนลด 5% เว้นในวันเกิดคุณจะได้ถึง 20% นอกจากนั้นก็ยังแถม $20 Gift Voucher ให้ไปใช้ที่ Tumble Tots ถ้าคุณซื้อของเขาเยอะมากๆ ขนาดว่าเกิน $600 ภายใน 2 ปี คุณจะได้ต่ออายุบัตรฟรี
Tumble Tots เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (6 เดือน ถึง 7 ขวบ) ที่ดังมากในประเทศอังกฤษ ซึ่งในประเทศไทยก็ได้มีการเข้ามาตั้งธุรกิจนี้ ประมาณปีหรือสองปีนี่กระมัง ใครไปห้างเซ็นทรัลบ่อยๆก็จะเห็นชื่อนี้ ผมเองก็ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมที่นั้น แต่เท่าที่รู้เขาสร้างธุรกิจนี้ขึ้นมาเพื่อ ช่วยสอนให้เด็กมี IQ+EQ กล้าทำกล้าคิด รวมทั้งฝึกให้มีการพัฒนาการเดิน การนั่ง การปีนป่าย ความคล่องแคล่ว ฯ ก็ประมาณสอนให้เป็นเด็กอนุบาลโรงเรียนอินเตอร์เกรดเอ แต่สอนเด็กๆเป็นภาษาไทย นอกจากนั้นเขาก็ยังจำหน่ายของเล่นของใช้ต่างๆสำหรับเด็ก เช่น เสื้อยืด กางเกงยิม ชุดว่ายน้ำเด็ก หมวก กระเป๋าสะพาย ร่ม ลูกบอล ตุ๊กตา ฯ ปัจจุบันพ่อแม่ ได้มาถึงยุคที่ต้องใช้คำว่าลงทุนในตัวบุตรแล้วหละครับ ถ้าอยากให้เขาเป็นคนดี มีหน้าที่การงานมั่นคงในอนาคต ก็ต้องยอมควักกระเป๋าลงทุนกันเสียตั้งแต่เกิดมากันเลย การได้ลูกที่แข็งแรงหรือฉลาด แต่นิสัยก้าวร้าว ซึมเศร้า หรือเข้าสังคมไม่ได้ คงไม่ดีสำหรับเขา แต่การเสียเงินมากๆก็ใช่ว่าจะทำให้ลูกเป็นยอดมนุษย์ได้เสมอไป
ขอโม้เรื่องเก่าๆที่อยากให้อ่านแล้วเกิดความศรัทธาในตัวของคุณเองมากขึ้น เรื่องก็คือ Polar นั้นเดิมเป็นแค่ Polar Café ก่อตั้งโดย Chan Hinky อดีตชายหนุ่มชาวฮ่องกง ที่มาเหยียบเกาะสิงคโปร์ด้วยเงินในกระเป๋าเพียง 90 เซ็น (สมัยนั้นก็คงจะพอซื้ออาหารได้ไม่เกิน 3 มื้อ) เขาทำงานหนัก ภาพที่เราท่านน่าจะเห็นก็เหมือนๆ เฒ่าแก่แห่งห้างใหญ่ๆแถวเยาวราช ที่หอบเสื่อผืนหมอนใบ เข้ามาเสี่ยงชะตาในแผ่นดินของประเทศอื่น พอในปี 1926 Chan ก็มีร้านกาแฟเป็นของตัวเองได้แล้ว ต่อมาก็โดนรัฐบาลขอพื้นที่ตรงนั้นสร้างเป็น Parliament House จึงต้องมีการย้ายไปอยู่ที่ OUB Centre ใน Raffles Place ต่อมาเมื่อรุ่นลูกรับช่วงมา ได้มีการทำธุรกิจในรูป retail outlet โดยเปิดสาขาไปเรื่อยๆ จนมีผู้ถือหุ้นที่เก่งเรื่องการตลาดอีกรายเข้ามาร่วมคิด นั่นก็คือ ExxonMobil ในปี 1996 เรื่องต่อไปไม่อยากเล่า เพราะรายละเอียดเยอะมากจนย่อไม่ลง เอาเป็นว่า ลูกหลานตระกูล Hinky ไม่ได้เป็นพวกคนจรหมอนหมิ่นอีกต่อไป และข้อได้เปรียบของ Polar ก็คือ เมื่อเขาใช้การโฆษณาว่า Bring Love and Joy to Every Occasion ความที่เขาเป็นเหมือนเพื่อนของครอบครัวมาตั้งแต่ลูกค้าบางคนยังไม่เกิด ทำให้เขาทำตลาดได้ง่ายและได้รับความไว้วางใจจากชาวสิงคโปร์อย่างมาก คุณเองก็อย่าท้อเลยนะ ขนาดคนมีเงินติดตัวไม่ถึง 100 บาท (เทียบกับวันนี้) เขายังสามารถสร้างรากฐานและธุรกิจอันมั่นคงให้ลูกหลานได้เลย
ร้านที่สิบ Goodwood
//www.goodwoodparkhotel.com
โรงแรม Goodwood Park Hotel บนถนน Scotts ซึ่งเป็นช่วงระหว่าแยกถนน Orchard ไปยังถนน Bukit Timah ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ MRT Newton mcจากร้านนี้ ได้รับคำชมว่า ยอดแห่งขนม mooncake ก็ว่าได้ ตัวเด่นๆ ที่สร้างชื่อและสามารถรักษาเข็มขัดแชมป์ได้ตลอดกาล เป็นไส้ผลไม้เขตร้อนต่างๆ ได้แก่ มะม่วง, ทุเรียน, cempedak(จำปาดะ), และ pomelo(ส้มโอ)
ภัตตาคารใน Goodwood Park Hotel แห่งนี้ มีชื่อเสียงเรื่องอาหาร ประเภท ปูขน โดยเฉพาะร้าน Min Jiang ซึ่งตอนนี้(เดือนตุลาคม) กำลังถึงฤดูจับปูชนิดนี้อยู่พอดี สนนราคา เขา(บีบคอ)ขายที่ตัวละ $62 หรือคิดเป็นหัวๆละ $80 การโทรไปสั่งจอง ในวันที่มีโปรโมชั่นพิเศษ เขาอาจจะยอมขายให้เป็น dinner set สำหรับ 2 คน เหมาจ่ายที่ราคา $98 (แต่อาจผันแปรไปจนถึง $118 ก็ได้ ราคาเขาไม่แน่ไม่นอนในแต่ละปี) ถ้าไปถามแม่ค้าส้มตำปูปลาร้า ว่าเขาเคยทานปูนึ่งตัวละ 2,000 บาทหรือไม่? เขาอาจจะไม่ตอบว่าเคยหรือไม่เคย แต่คงจะด่ากลับมาว่า จะบ้าเหรอ? มากกว่า ผมว่าไปบางปูดีกว่านะ ปูเนื้อแน่นๆ ไม่ว่านึ่งหรือเผาเขาขายตัวละ 500 บาทเอง ผมไปทานมาเมื่อต้นเดือนที่แล้ว ยังราคานี้อยู่ ไม่ต้องบินไปสิงคโปร์หรอกครับ
ผมไม่ทราบว่าจริงๆแล้ว ภัตตาคารหรือครัวส่วนไหนของ Goodwood ที่ทำmc ออกมาจำหน่าย แต่จากข้อมูลภัตตาคารจีน ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ก็น่าจะเป็น Min Jiang ซึ่งเป็นชื่อพ้องกับแม่น้ำ Min ในมณฑลเสฉวน ของประเทศจีน ติ่มซำ ยามบ่าย (High Tea Buffet) ที่นี่เลื่องชื่อมาก และมีขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดเท่านั้น ส่วนครัวด้านนอก (Outdoor grill kitchen) เปิดให้บริการตอนค่ำ มีชื่อเสียงเรื่อง ปิ้งๆย่างๆ หรือ Barbecued
ในปี 2009 ได้เกิดการคิดค้นการทำไส้แบบแนวความคิดใหม่ขึ้นมา โดยทาง Goodwood ใช้คำว่า sour sop (รสชาติคล้าย คัสตาดแอปเปิล) โดยทำให้ไส้อยู่ในรูป puree (น้ำแกงข้น) ซึ่งมาจากเนื้อของผลไม้ที่มีลักษณะนุ่มนิ่ม (pulp) อย่างเช่น มะม่วง ทุเรียน ...ฯ สนนราคานั้นคิด 1 กล่อง 2 ชิ้น $22 แต่ถ้าเป็น 1 กล่อง 4 ชิ้น $40 ยกเว้นไส้ทุเรียน ขาย 2 ชิ้น $26 และ 4 ชิ้น $48
Goodwood เดิมเป็นคลับ ชื่อว่า Teutonia เป็นสถานที่พิเศษของคนเยอรมันในสิงคโปร์ (ทำไมมีคนหลายชาติในสิงคโปร์เหลือเกิน) ต่อมาในปี 1929 ก็ได้เปลี่ยนโฉมและใช้ชื่อใหม่ว่า Goodwood Park Hotel เพื่อต้อนรับแขกมีระดับจากมาเลเซีย ชื่อ Goodwood Park นี้ผมว่าคล้ายๆกับ Goodwood Cricket Club ใน Chichester ในเมือง West Sussex ประเทศอังกฤษ เพราะดูตึกและสิ่งก่อสร้างแล้ว ก็คล้ายๆกับของประเทศอังกฤษมาก (อันนี้เป็นความเห็นของผมคนเดียวในโลกเท่านั้นนะครับ) โดยเฉพาะ เสาสไตล์โรมัน ที่เรียกว่า fluted column ร่วมทั้งซุ้มประตูรูปโค้ง เหมือนที่ Colosseum ในอิตาลี นั้นย่อมเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เห็นว่าคนออกแบบตึกนี้ จะต้องมีความรู้เรื่องศิลปะของยุโรปมาก พอถึงปี 1989 ตึกนี้ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น National Monument อีกแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ ใครที่ชื่นชมศิลปะของพวกโรมัน ควรจะไปที่ดูนี่ ถ้ามีโอกาส
ร้านที่สิบเอ็ด Bakerzin
//www.bakerzin.com
Bakerzin เป็นร้านขนมหวาน สไตล์ขนมฝรั่ง (dessert) ระดับชั้นแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสาขาอยู่ทั้งในสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ในสิงคโปร์มีอยู่ 2 แห่ง คือ Jurong Point และ Millennia Walk บนถนน Raffles Boulevard ในร้าน Bakerzin มีอาหารพวก cakes & pastries และขนมปังแบบต่างๆ ลูกค้าจะชอบสั่งซื้อ เค้กวันเกิด และงานปาร์ตี้ต่างๆ ซึ่งใครได้ชิมก็ต้องร้องว่า เอาอีกๆๆๆ ปัจจุบันได้มีการเพิ่มจุดขายหรือ outlet ตามห้างสรรพสินค้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ร้าน Bakerzin เริ่มต้นกิจการในปี ค.ศ. 1998 ถึงจะเป็นน้องใหม่ แต่ก็โตเร็วมาก ในปี 2000 ทางสำนักงานใหญ่ ได้ดำเนินนโยบาย นำเสนอลูกค้าด้วยเมนูใหม่ๆ ที่มีความอร่อยตามความต้องการของลูกค้า (indulgence) อย่างต่อเนื่อง พร้อมๆกับบุกตลาดโลก ในปี 2009 Bakerzin ได้เจาะตลาดเด็ก โดยให้เป็น section ชื่อว่า Bakerzin Kids โดยสรรหาเมนูที่เค้กที่เด็กๆชอบ และที่แหวกแนวที่สุดคือ Baby Full Month Package ซึ่งของคนอื่นก็คิดได้แค่ Birthday Cake หรือ Birthday Party Cake เรียกว่าเรื่องการตลาดของเขา น่าศึกษาเป็นตัวอย่างมาก
ใครว่าพระจันทร์มีแต่สีขาวนวล ร้านBakerzin บอกว่าเราจะทำพระจันทร์ข้างแรมหรือพระจันทร์เดือนมืดขาย และคุณจะต้องชอบและซื้อ ดังนั้นเขาจึงเอากาแฟ โกโก้ หรืองาดำ มาลองทำเป็น Black Mooncake โดยเรียกอีกชื่อว่า Midnight-colored Mooncake และก็มาลงตัวที่ งาดำ โดยพยายามทำให้เป็น สีถ่านไม้ไผ่ไหม้ (บางทีเขาอาจจะเอาถ่านไม้มาผสมตรงๆเลยก็ได้) และด้วยส่วนผสมของ 2 อย่างที่พอเหมาะ คือ lotus paste และ sesame paste แล้วไปเอาไส้ที่ทำจาก white chocolate ganache มาตัดสีกับเปลือกสีดำๆ แต่ถ้าคุณไม่เก็ตไอเดียอันบรรเจิดนี้ ก็กลับไปหาmcสีสวยๆทานกันแบบเดิมดีกว่าครับ เขาก็มีให้คุณเลือกหลายอย่าง เช่น brandied cherry truffle, รัมย์กับเรซิน, pink champagne truffle, และ malt whiskey truffle ขาย 1 กล่อง 8 ชิ้น $36 และการอุดหนุนร้านนี้เราจะได้บุญนิดหน่อย เพราะเขาจะหักจากรายได้ทุกๆกล่อง เป็นเงิน $1 หรือประมาณ 50 บาท ส่งเข้ากองทุนมูลนิธิ Singapore make-a-wish
ร้านที่สิบสอง Raffles Hotel
- //www.raffleshotelmooncake.com
Raffles Hotel เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ ตั้งอยู่อยู่บนถนน Beach ย่านที่คนนิยมมาเที่ยวชมสถาปัตยกรรมของตึกเก่าๆในเมือง และก็อยู่ใกล้ย่านธุรกิจอีกด้วย ถ้าท่านพักที่นี่ และชอบการเดินออกกำลังกาย ท่านจะได้เที่ยวชมสถานที่สำคัญๆของสิงคโปร์แบบอิ่มจุใจ โรงแรมนี้เป็นต้นกำเนิดของค๊อกเทลชื่อดัง Singapore Sling ผลงานคิดค้นของ Ngiam Tong Boon พร้อมกับตำนานและเรื่องเล่าอีกมาก เช่น เสือตัวสุดท้ายบนเกาะสิงคโปร์ถูกยิงตายในโรงแรมนี้ ในห้องเล่นสนุกเกอร์ ฯ
รายชื่อแขกที่เคยมาพักที่นี้ มีมากมายที่คนต้องเก็บเอาไปพูดถึง ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระราชินี Queen Elizabeth II, พระราชินี Sopia แห่งสเปน, นอกนั้นก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง เช่น Michael Jackson, Ava Gardner, Elizabeth Taylor, George H.W. Bush, Charlie Chaplin,
.
ถ้าอยากไปพักที่นี่ต้องมีเงินอย่างน้อยคืนละ 8,000 บาทเป็นอย่างน้อย เว้นแต่จะมีคนมาช่วยหารสอง และได้ส่วนลดพิเศษ หรือจ่ายให้เราหมด แบบนี้ก็แบ่งเบาภาระได้หน่อย เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ของการเข้าพักที่นี่ เจ้าเรื่องใหญ่ คือ เขาเข้มงวดเรื่องการแต่งกายมาก ราวกับเข้าพระราชวังบัคกิ้งแฮม หรือ ที่สำคัญทางศาสนา ก็ว่าได้ เขาใช้คำว่า the old British colonial official treatment คนที่จะยอมให้เราเข้าไป ได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่ ผู้จัดการโรงแรม แต่เป็น Doorman นะครับ ขนาดในใบโบรชัวร์ยังมีการแนะนำว่า ถ้าจะมาทานอาหารที่ห้องอาหาร หรือไปกินเหล้าใน Long Bar จะต้องแต่งตัวอย่างไร ถึงจะเรียกว่า เหมาะสม ผู้หญิงต้องแต่งตัวประมาณไหน ว่ากันแบบนั้นเลยครับ แต่ถ้าเราเดินเล่นอยู่ส่วนนอกที่พัก ก็ไม่เป็นไร ใครชอบดูหนังเก่าๆของอังกฤษ คงจะเข้าใจว่าโรงแรมลักษณะแบบนี้ เขามักทำอะไรเป็นระเบียบและเคร่งครัด แต่มันก็ได้สร้างมนต์ขลังในเรื่องความประทับใจ(ของคนมีสตางค์)
มีเรื่องที่คนที่ได้พักที่นี่ควรจะ ได้พบได้เห็นได้ยิน กับตัวเอง คือ ในห้องลอบบี้ จะมีนาฬิกาเก่าแก่รุ่นคุณปู่ ตอนเช้าๆจะมีคนมาไขลานทุกวัน และเมื่อถึงเวลา 2 ทุ่ม นาฬิกาตี 8 ครั้ง เปียโนจะถูกบรรเลงเพลงอมตะของ Noel Coward ในเพลงชื่อ Ill see you again โดยไม่เคยมีวันเปลี่ยนแปลง เขาว่า ให้ขอแต่งงานกับหญิงสาวตอนนั้น จะได้รับคำตอบว่า คะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ แต่ถ้าโดนปฏิเสธ ก็มาอยู่ที่หุบเขาคนโฉดได้ทันที่ เพราะผู้หญิงที่นี่จะเป็นคนขอคุณแต่งงานเอง 555
โรงแรม Raffles ให้ความเอาใจใส่ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ Mid-Autumn Festival นี้มาตลอดสิบๆปีที่ผ่านมา mooncake ที่นี่จะมีทั้งแบบอนุรักษ์หรือแบบclassic และก็ยังมีแบบความคิดสร้างสรรค์ อีกด้วย ตัวที่ทำคะแนนเด่นนำหน้าเพื่อนๆ ก็คงจะเป็น snow-skin ประกอบด้วยไส้ champagne truffle & Ganache (เขาว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีคนถามหาตลอดเทศกาล) และในปี 2009 นี้ ก็ได้แนะนำน้องใหม่ไส้ apricot ผสม popping candy ขาย 1 กล่อง 8 ชิ้น $50
ทางโรงแรมมีการเตรียมพร้อมมากในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ ขนาดที่ว่าเปิดให้จองขนมทางโทรศัพท์หรือแบบออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม (วันไหว้คือ 3 ตุลาคม) คนที่ไม่เชื่อว่าจะขายดี พอใกล้วันไหว้ประมาณ 4-5 วัน ก็ต้องร้องว่าปีนี้พลาดไปแล้ว และที่พลาดไปนั้น คือ ราคาพิเศษที่ได้ส่วนลดถึง 10-20% ไปด้วย (ที่สิงคโปร์ พวกบัตรเครดิตธนาคารชอบร่วมรายการลดราคาพิเศษในเทศกาลต่างๆ อย่างรายการนี้ Citibank ก็มาจับมือกับ Raffles มอบส่วนลดเพิ่มให้ด้วย)
สำหรับความหลากหลายในการเลือกไส้และชนิดของขนมนั้น ผมว่าเขาให้โอกาสเราเลือกน้อยไปหน่อย เขาแบ่งขนมออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ snow-skin กับ baked แต่ราคาขายราคาแพง ก็ประมาณกล่องละ $50 - $52 ส่วนผมจะขอแบ่งประเภทตามจำนวนชิ้นที่บรรจุในกล่อง เพื่อให้คุณจำง่ายๆ ดังนี้ พวกที่มี 8 ชิ้นต่อ 1 กล่อง ได้แก่ snow-skin ไส้ champagne truffle & ganache, snow-skin ไส้ cognac truffle, snow-skin ไส้ mocha truffle, snow-skin ไส้ dark chocolate crunchy pearl, และน้องใหม่ snow-skin ไส้ apricot with popping candy ส่วนอีกพวกก็เป็นบรรจุ 4 ชิ้นต่อ 1 กล่อง ได้แก่ baked mooncake ไส้ pine nuts + macadamia nuts + white lotus paste, baked mother of pearl mooncake ไส้ 1 ไข่แดง + white lotus paste, และ baked mooncake ไส้ไข่แดงคู่ + macadamia nuts + white lotus paste
โรงแรม Raffles เป็นโรงแรมเก่าแก่มาก มีอายุมานานกว่า 120 ปี ผ่านการปรับปรุงดูแลมาหลายครั้ง มีรูปแบบโครงสร้างตึกและการตกแต่งสมกับเป็นหน้าตาของประเทศสิงคโปร์ ธุรกิจเริ่มต้นจากบังกะโลทรงเก่าๆ เรียบง่าย ในปี ค.ศ. 1887 ผู้คนเรียกว่า Beach House จนติดปาก และต่อมาก็ใช้ชื่อตามท่าน Sir Stamford Raffles ผู้ค้นพบและก่อสร้างประเทศสิงคโปร์
ก่อนปี 1930 เจ้าของโรงแรมไม่ยอมให้แขกชาวเอเชียเข้าพัก สาเหตุไม่แน่นอน อาจจะเป็นเพราะเจ้าของรุ่นแรกๆเป็นคนเชื้อสายอามาร์เนีย(Armenian) ซึ่งมาจากเปอร์เซีย หรือไม่ก็เป็นเรื่องกีดกันประเภทของคน (ซึ่งเรื่องนี้เป็นมากในธุรกิจโรงแรมสมัยก่อน)
จนในปี 1987 ได้รับชื่อว่าเป็น National Monument นับเป็นอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ไม่คิดค่าเข้าชม มีกลิ่นไอของประวัติศาสตร์โลก โดยเฉพาะเรื่องการบุกยึดดินแดนของทหารญี่ปุ่น ในปี 1942 (ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) และได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Syonan Ryokan แต่ไม่มีคนสิงคโปร์คนไหนยอมรับชื่อนี้ จนมาถึงปี 1991 ได้ทำการปรับปรุงก่อสร้างกันขนานใหญ่ จนได้รับชื่อว่า The Crown of Singapores Hospitality Industry
ภายหลังการปรับปรุงอย่างยอดเยี่ยมทำให้ Raffles ได้รางวัลมามากมาย เอาเฉพาะช่วงปี 2006-2009 บางส่วนนะครับ ได้แก่ Top 500 Worlds Best Hotels (2009), Top 100 Worlds Best Hotels (2008), Luxury Hotels: The Worlds Ultimate City Escapes (2008), Best Hotel in Asia (2007), Best Luxury Hotel (2007), Best Boutique Hotel in Asia-Pacific (2007), Worlds Best Place to Stay, Ultimate Address for the Luxury Traveler (2006)
ในทางธุรกิจนั้น บริษัททุนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เข้ามาซื้อหุ้นของราฟเฟิลล์และสวิสโซเทลจากกลุ่มทุนเก่า ธุรกิจพวกนี้จะมีถือหุ้นซ้อนๆกันเป็นวงๆ คนที่อยู่ปลายสายป่านก็คือ เทมาเส็กโฮลดิ้ง ซึ่งเป็นของรัฐบาลสิงคโปร์ ประเด็นที่เอามาเล่าอยู่ที่ว่า โรงแรมที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศอย่างนี้ อยู่ในมือกองทุนของรัฐบาลสิงคโปร์แท้ๆอย่างนี้ ทำไมถึงต้องขายให้นายทุนชาติอื่น
โคโลนีแคปปิตอล ตกลงเข้ามาซื้อหุ้นของ Raffles ด้วยมูลค่า 34,300 ล้านบาท แล้วทำไมคนอื่นไม่เข้ามาแย่งซื้อหละ เหตุผลก็เพราะว่า ใครมาซื้อจะต้องแบกภาระใช้หนี้ให้โรงแรมราฟเฟิลส์และเครือ ถึง 5,500 ล้านบาท แถมยังต้องให้คนไปเจรจาซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอีกเป็นเงินประมาณ 1,325 ล้านบาท (ผู้ถือหุ้นรายย่อยนี่แหละเหมือนแมลงหวี่ที่ชอบต่อยตาช้างจนช้างเดินตกหน้าผาได้ง่ายๆ พวกซื้อกิจการมักจะรำคาญหุ้นพวกนี้) งานนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ประโยชน์ ผลประกอบการเดิมไม่เวิร์ค เงินปันผลหดหาย แต่จู่ๆ มีนายทุนเอาเงินมาให้ ใครจะไม่รีบขายหุ้น แถมโก่งราคาให้สูงกว่าปกติได้อีกด้วย การซื้อขายธุรกิจจึงผ่านไปได้อย่างเร็ว
แล้วทำไมโคโลนีฯ ต้องมาซื้อหุ้นโรงแรมเจ็ดดาว เอ้ย ห้าดาวของสิงคโปร์ เหตุผลก็น่าจะอยากยึดธุรกิจด้านนี้ในสิงคโปร์ นักลงทุนจากสหรัฐฯกลุ่มนี้ มีกองบัญชาการอยู่ที่ลอสแองเจลิส มีข่าวว่าชื่อกลุ่ม โคโลนีแคปปิตอลได้หว่านเม็ดเงินลงบนธุรกิจโรงแรม หรือ สถานที่พัก มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 แล้ว เชื่อว่าได้กลืนกินธุรกิจด้านโรงแรมและรีสอร์ทใหญ่ๆทั่วโลกไปแล้วเกินกว่า 8 พันแห่ง ความพอใจในช่วงแรกๆของโคโลนี น่าจะเป็นแผนการยึดธุรกิจโรงแรมใหญ่น้อยในอังกฤษมาถือเอาไว้ในมือ ซึ่งแน่นอน...โรงแรมในยุโรป หรือแม้แต่ในสหรัฐเองก็ถูกกวาดเข้าตู้ไปทีละราย ทีละแห่ง
โคโลนีฯทราบว่ากลุ่มเครือราฟเฟิลส์ โฮลดิ้งส์ ว่ามีความแข็งแกร่งระดับที่ 17 หรือ 18 ในกลุ่มทุนข้ามชาติ คำถามต่อมา...แล้วพวกที่ถือหุ่นของราฟเฟิลส์เก่า เขาเจ้ง หรือเขาจะเอาเงินไปแก้ปัญหาอะไร คำตอบแรกคือไม่เจ้งหรอก แต่ก็แทบบ้าเพราะพิษเศรษฐกิจ และการก่อการร้ายสากลที่ผ่านมา
คนที่ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนมากๆของเครือราฟเฟิลส์ คือ แคปปิต้าแลนด์ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด คือ เทมาเส็กฯ และคนที่ถือหุ้นมากที่สุดในเทมาเส็ก ก็คือ รัฐบาลสิงคโปร์ ภาพตรงนี้เราจะเห็นว่าสิงคโปร์มีรัฐบาลที่เป็นนักลงทุน และไม่กลัวประชาชนจะโวยว่าเอาเงินภาษีของเขาไปเล่นหุ้น เพราะประเทศเขาได้รับการพัฒนา ก็มาจากเงินที่เป็นรายได้หรือกำไรจากการเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจต่างๆนี่แหละ บทบาทการเป็นรัฐบาลที่เข้าไปถือหุ้นธุรกิจในชาติตัวเองและต่างชาติ เขาทำกันได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องศึกษากันมากๆ สำหรับผม สติปัญญาไปไม่ไหวแล้วหละครับ
กลับมาที่คำถามแล้วตอบว่าเทมาเส็กไม่ได้เจ้ง แต่เอาเงินไปไหน คำตอบคือว่า เขาหันมามองธุรกิจแบบใหม่ คราวนี้เขาจะเล่นเรื่อง ช๊อปปิ้งมอลล์ (หมายถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นะครับ พวกขายของมีแบรนด์ดังๆ กำไรปีละร้อยล้าน) ตอนนี้เทมาเส็กมีหุ้นในธุรกิจประเภทนี้อยู่อย่างน้อย 40 กว่าแห่ง ต่อไปจะขยับไปที่ 150 แห่ง โดยมี จีน เป็นสนามใหญ่ของการลงทุน
สิงคโปร์มีเรื่องติดค้าง หรือคาใจกับประเทศญี่ปุ่นมานาน ไม่ทราบว่าคนรุ่นใหม่จะเลิกคิดไปหรือยัง เพราะถ้าสลัดเรื่องไม่ชอบญี่ปุ่นออกไป สินค้าและห้างดังๆของญี่ปุ่น ก็น่าจะมาลงทุนในสิงคโปร์ได้มากกว่านี้ ลองสังเกตุชื่อตึกหรือห้างที่เป็นภาษาญี่ปุ่นในสิงคโปร์ มีน้อยมากครับ ผมรู้จักแค่ห้าง Takashimaya ซึ่งก็ต้องซ่อนอยู่ใน ห้างหงี่อันซิตี้ อีกที
เหนื่อยมั๊ยครับ ผมพาไปชิมขนมมา 12 ร้าน สำหรับผมนั้นอิ่มมากๆ เพราะมัวแต่มองหน้าคนขายจนเพลิน ต้องหาน้ำชามาจิบเสียหน่อย เชื่อหรือยีงว่า แค่mc ก็มีเรื่องราวต่างๆของสิงคโปร์มาให้เราได้ซึมซับกันได้แล้ว อยากไปสิงคโปร์กันหรือยังครับ คราวหน้าจะเป็นการไปหาเครื่องบินกันเสียที
แต่ชอบขนมร้านคิตตี้จัง ว่าแต่นอกจากตัวคิตตี้แล้วมีตัวไรอีกอ่าคะ โดเรม่อน ชินจัง เคโระ มีมั๊ยง่า งิงิ