ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2558
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
แจ้ง (ุ10)

ภายในตัวบ้านยังคงหลงเหลือความอบอุ่นอันเกิดจากเตาไฟในโรงช่างที่คงถูกจุดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของวันนี้ อันแสดงให้เห็นว่าชีวิตประจำวันของพ่อก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ภายใต้แสงสลัวจากเทียนไขที่ถูกจุดไว้เพื่อรอรับการมาเยือนของท่านยายแทนการเปิดไฟฟ้าแสงสว่าง ทุกสิ่งภายในบ้านนั้นแทบไม่ต่างไปจากในความทรงจำเมื่อครั้งที่อรุณเดินทางจากไป

ที่มุมเดิมภายในบ้าน บนเตียงไม้เล็กๆ ซึ่งปูทับไว้ด้วยฟูกบางๆ เขามองเห็นปู่นอนอยู่เหมือนเช่นเคย ภายใต้ผ้าห่มผืนบางนั้นคือร่างกายผ่ายผอมที่เขายังจำได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างไปอย่างไม่อาจอธิบาย เรื่องที่เขาคิดกังวลหวาดกลัวมาตลอดทางก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความเป็นจริงตรงหน้านี้ได้ทำให้มันชัดเจนขึ้นมา

ปู่กำลังจะตาย

โดยไม่สนว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ ใครจะมีความต้องการเป็นอย่างไร ไร้การต่อรอง และมิอาจผัดผ่อน ความเป็นจริงที่ทุกสิ่งล้วนต้องเผชิญพบเพียงลำพัง ไม่ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายนั้นจะมีใครอยู่เคียงข้างด้วยหรือไม่ก็ตาม ความเท่าเทียมที่ทุกคนต่างได้รับโดยไม่ต้องเรียกร้อง เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่พร้อมเมื่อเวลานั้นมาถึง

เขาไม่อาจอธิบายถึงความรู้สึก ความคิดของตนเอง ณ ช่วงเวลานั้นได้

“ท่านยายมาแล้ว” พ่อเข้าไปส่งเสียงเรียกปู่เบาๆ ที่ข้างเตียง ในขณะที่ท่านยายก็เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงปลายเตียงอย่างรอคอย

ดวงตาของผู้ชราที่นอนอยู่ค่อยๆ เปิดออกอย่างเนิบช้า มันดูราวกับเป็นช่องที่ว่างเปล่าในตอนแรก จนกระทั่งแววตา ความรู้สึกถึงตัวตนกลับคืนมาสู่ดวงตาที่ดูพร่าเลือนคู่นั้น

“...ใ ค ร...” เสียงแหบพร่าจนแทบจะจับความไม่ได้เพราะริมฝีปากที่แห้งผาก พ่อใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเบาๆ เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น ปู่พยายามจ้องมองดูผู้ที่มายืนอยู่ตรงปลายเตียง บางทีปู่อาจจะมองเห็นสิ่งอื่นที่นอกเหนือไปจากร่างของท่านยายด้วยก็เป็นได้

“...เป็นเจ้าเอง...โอ...ถึงเวลาของข้าแล้วสิ” ปู่พึมพำ

“เจ้าอรุณก็กลับมาแล้ว” พ่อบอกพร้อมกับโบกมือเรียกให้เขาเข้าไปหา ท่านยายยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่นางก็พยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงอนุญาตโดยไม่พูดอะไร

“ผมกลับมาแล้วครับปู่” มุมปากนั้นถูกยกขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็พอจะถือว่าเป็นรอยยิ้มได้ เขานั่งลงบนพื้นข้างเตียง พยายามฝืนยิ้มให้กับปู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าสีหน้าของตนในตอนนี้พอจะเรียกว่าเป็นการยิ้มได้หรือไม่ เขามองเห็นความเคลื่อนไหวภายใต้ผ้าห่ม ปู่พยายามจะขยับแขนแต่ดูเหมือนจะทำได้อย่างลำบาก เขานึกอะไรบางอย่างออก จึงจับมือของปู่ออกมาวางลงบนศีรษะของตนอย่างที่ปู่เคยชอบทำอยู่เสมอ

“...ดีแล้ว เจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว” แต่ละคำพูดนั้นฟังดูยากลำบาก พ่อเอื้อมมาจับมือของปู่กลับไปซุกไว้ใต้ผ้าห่มตามเดิม พร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของเขา สองพ่อลูกไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ไม่เคยมีใครพร้อม และไม่มีการเตรียมตัวที่ได้ผล

“ขอน้ำชาข้าสักถ้วย” ท่านยายพูดขึ้นมาลอยๆ “มีเก้าอี้ที่นั่งสบายสักตัวด้วยก็คงดี”

“โอ ผมนี่แย่จริง” พ่อของเขารีบลุกขึ้น “ลืมไปได้อย่างไรกัน ผมจะรีบไปชงชามาครับ”

“ผมจะไปหาเก้าอี้” เขารีบบอก

“เอาเก้าอี้ทำงานของพ่อเธอมาก็ได้” เมื่อพูดออกมาโดยท่านยาย มันก็ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่เขาควรทำตาม

เก้าอี้ทำงานของพ่อที่ว่านั้นไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเก้าอี้ได้ด้วยซ้ำ และเขามานึกแปลกใจขึ้นในตอนหลังว่าท่านยายรู้จักมันได้อย่างไร มันทำขึ้นจากไม้ท่อนใหญ่ชิ้นเดียว ถูกตั้งไว้หน้าเตาไฟซึ่งเป็นพื้นที่ทำงานของพ่อมาตั้งแต่เขาจำความได้ มันเต็มไปด้วยรอยไหม้ เขม่า และร่องรอยจากสิ่งต่างๆ ที่พ่อเคยใช้สองมือที่หยาบกร้านนั้นสร้างขึ้นมาภายในโรงช่าง ตั้งแต่ เข็ม มีดทำครัว เคียวด้ามยาว ไปจนถึงผานไถ

พ่อคงไม่ชอบใจนักที่เขาจะไปยุ่งกับมัน แต่เมื่อเป็นคำพูดของท่านยาย แม้แต่พ่อเองก็คงไม่อาจจะโต้แย้ง ปัญหาเพียงประการเดียวก็คือมันหนักมากกว่าที่เขาคิด บางทีการที่มันถูกตั้งเอาไว้ในที่เดิมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอาจยิ่งทำให้มันไม่อยากถูกขยับเคลื่อนย้ายออกจากที่เดิมก็เป็นได้
หลังจากที่ออกแรงอยู่พักหนึ่ง เขาก็ทำให้มันล้มลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าใครก็ตามที่พยายามจะเคลื่อนย้ายมันคงต้องเจอแบบเดียวกับเขา ‘ตึง’ เก้าอี้ท่อนไม้ที่ล้มลงสร้างแรงสะเทือน พร้อมกับเสียงทึบๆ ดังไปทั่วบ้าน

ปู่รู้สึกสบายตัวขึ้นอย่างประหลาด เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมกับมองดูหญิงสาวในชุดสีดำที่มายืนจ้องมองอยู่ตรงปลายเตียง ใบหน้างามที่เขาคุ้นเคย ใบหน้าที่เขาเคยเชื่อว่าได้ลืมเลือนไปตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว

“...ขวัญ...”

เขาเรียกชื่อนั้นออกไปเบาๆ ราวกับกลัวว่าเจ้าของชื่อจะรู้ตัวแล้วหายวับไปในอากาศ “ข้าไม่ใช้ชื่อนั้นอีกแล้ว” เจ้าของร่างงามนั้นตอบกลับห้วนๆ แต่ก็เจือไว้ด้วยความหลังฝังใจในน้ำเสียง
ความเข้าใจของชายชราถูกกระชากกลับคืนมาอย่างฉับพลัน เขายังคงแก่ อ่อนล้า สับสน นอนรอเวลาของตนอยู่บนเตียง แต่ในขณะเดียวกัน เขาคนนี้ก็กำลังอยู่บนเตียงเช่นกัน เขา ที่ได้ผ่านชีวิตทั้งหมดนั้นมาจนกลายมาเป็นชายชราผู้เดียวกันนี้

“นี่เป็นฝีมือของเธอสินะ...ท่านยาย”

นางส่ายหน้า “มันเป็นเพราะเราทั้งคู่ต่างหาก” นางบอก “ฉันไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรทั้งนั้น นอกจากพลังที่มีอยู่แล้วทั่วๆ ไป ฉันแค่สามารถหยิบยืมมาได้บ้าง โดยต้องรักษาสมดุลเอาไว้ให้ดี ก็เท่านั้น”

เขาพยักหน้าทั้งที่ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

“ฉันยังมีช่วงเวลาแบบนี้อีกนานแค่ไหน” เขาถามอย่างลังเล

“มีเท่าที่จำเป็น ไม่มากกว่า ไม่น้อยไปกว่านั้น และไม่ใช่ตลอดกาลแน่นอน” นางตอบเหมือนเป็นคำปริศนา แต่บางทีมันอาจจะเป็นคำตอบที่แท้จริงก็เป็นได้

“ฉัน...กำลังจะตาย” นางพยักหน้า “ใครๆ ก็ต้องตายทั้งนั้น” นางนึก ‘และเธอโชคดีที่ได้จากไปก่อนที่ความวุ่นวายที่เหลือจะเริ่มต้นขึ้น’ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

“...แล้วฉันควรจะต้องทำอย่างไร” เขาถาม “ฉันก็ไม่รู้” นางตอบห้วนๆ บนใบหน้าของเขามีความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย แต่ใบหน้างามของหญิงสาวกลับยังคงเรียบเฉย

“เธอควรจะรู้สิ...ใครๆ ต่างก็บอกว่าเธอรู้ เธอไปอยู่ที่นั่นทุกครั้ง เธอไปส่งผู้คนเหล่านั้นด้วยตัวเองเสมอ” เขาพูดช้าๆ จ้องมองใบหน้างามในความทรงจำของตน เรื่องราวที่ผ่านพ้นย้อนกลับมาแล้วเล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกบางสิ่งที่ราวกับเป็นหมอกควัน

“ฉันไปทุกครั้ง แต่ทุกคนต่างก็รู้ได้เอง ในท้ายที่สุด เธอเองก็เหมือนกัน” นางตอบ

“...จริงหรือ ไม่มีคำแนะนำสักหน่อยเลยหรือ” เขาพึมพำ

นางเงียบเฉย ทั้งคู่ต่างก็มองหน้ากัน แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง และแม้เพียงน้อยนิด เขาก็คิดว่าได้เห็นรอยยิ้มของขวัญคนงามนั้นอีกครั้ง

“เธอพร้อมแล้ว” นางช่วยยืนยันให้เขามั่นใจ “...แต่ก่อนหน้านั้นฉันอยากให้เธอทำสิ่งที่ต้องทำเสียก่อน”

เขาเหลียวมองไปยังหลานชายที่กำลังแปลกใจกับห่อวัตถุยาวๆ ซึ่งกระเด็นออกมาจากใต้เก้าอี้ท่อนไม้เมื่อมันล้มลง เด็กหนุ่มกำลังลังเลว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

“ข้าไม่ต้องการเก้าอี้กับน้ำชาแล้ว พวกเธอทั้งสองคนรีบกลับมา” เสียงของท่านยายนั้นเรียบๆ ไม่เร่งร้อน แต่พ่อแทบจะโยนข้าวของทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ก่อนกลับไปที่เตียง อรุณเองก็เช่นกัน

“เอาห่อของที่เธอพบมาด้วย ปู่ของเธอยังมีบางอย่างต้องทำเกี่ยวกับมัน” พ่อมองดูเก้าอี้ท่อนไม้ที่ล้มลง มองดูห่อของในมือเขา ดูเหมือนพ่อจะวุ่นวายใจจนไม่ได้ยินเสียงดังเมื่อครู่ และจากสายตานั้น พ่อไม่รู้ว่ามีห่อลึกลับนี้ซุกอยู่ใต้เก้าอี้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือมาจากไหน

ท่านยายยังคงยืนอยู่ในที่เดิม ปู่เองก็นอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ระหว่างนั้น แต่อรุณกลับไม่ค่อยมั่นใจ

ปู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองพวกเขาสองพ่อลูก “...แกะ ห่อผ้านั้นออก” อย่างน่าประหลาด น้ำเสียงของปู่กลับฟังดูชัดเจน และมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง พ่อมองดูเขาแก้ห่อผ้าสีดำออกด้วยความสนใจ ด้านในของผ้านั้นฉาบไว้ด้วยวัสดุบางอย่างที่คล้ายกับขี้ผึ้ง พ่อรู้ในทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นจะต้องทำด้วยโลหะ เหล็ก อะไรก็ตามที่เจ้าของไม่อยากให้มันสัมผัสกับความชื้นแล้วเกิดสนิมขึ้น

พ่อคิดว่าพอจะเดาได้แล้วว่ามันคืออะไร

อรุณมองดูสิ่งที่อยู่ในห่อผ้า มันเป็นดาบสั้นภายในปลอกหนังที่มีรูปทรงธรรมดา ทั้งคมดาบ และด้ามมีความต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียวกัน โดยตีขึ้นจากโลหะบางอย่าง เขาไม่แน่ใจว่ามันจะใช่เหล็กหรือไม่ เพราะมันมีน้ำหนักเบาเกินไปในความรู้สึกของเขา

“ครั้งหนึ่งดาบเล่มนี้เคยปักอยู่ในก้อนหินใหญ่ที่ข้างทะเลสาบใกล้กับอาณาจักรเทพนิยาย”
ปู่พูดขึ้นพร้อมกับที่พ่อก็คิดย้อนถึงข้อความเดียวกันนี้ซึ่งเคยได้ยินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พ่อไม่เคยเชื่อ แต่ไม่ใช่ในค่ำคืนนี้ ในห้วงเวลาเช่นนี้

ปลอกหนังของมันคงถูกทำขึ้นในภายหลัง เพราะหากปู่พบกับมันอย่างที่เล่า มันก็ไม่ควรมีปลอกอยู่ด้วย เขาเองก็รู้สึกสงสัยในคำพูดของปู่ด้วย แต่ที่เขาสงสัยสงสัยคือดาบเล่มนี้ไปทำอะไรอยู่ในก้อนหินใหญ่ข้างทะเลสาบ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของคนก่อนของมัน และปู่ถอนมันออกมาจากก้อนหินด้วยมือของตนเองอย่างนั้นหรือ ดึงมันออกมาอย่างสง่างามพร้อมกับยกชูกวัดแกว่งไปมาในอากาศ
แล้วเด็กหนุ่มยากไร้ผู้นั้นก็ได้ขึ้นเป็นราชาแห่งมหาอาณาจักร

“ทีแรก ปู่ตั้งใจจะยกมันให้กับพ่อของหลาน แต่ในเมื่อหลานเป็นคนพบ ปู่ก็จะมอบให้หลานแทน”
เขาแอบเหลือบมองท่านยายที่เป็นคนบอกให้เขาไปยุ่งกับเก้าอี้ทำงานของพ่อ แต่นางทำเป็นไม่สนใจ นางรู้หรือไม่ว่ามีดาบเล่มนี้ซุกซ่อนอยู่ข้างใต้ ทั้งหมดนี้ใช่เป็นความตั้งใจของนางหรือไม่ เขาไม่มั่นใจ

“เก็บรักษาไว้ให้ดี...ใช้มันให้ถูกต้อง” เสียงของปู่เริ่มฟังดูห่างไกลออกไปอีกครั้ง “...หมดเรื่องแล้วสินะ” ปู่พึมพำเบาๆ ไม่รู้ว่าพูดอยู่กับใคร แต่ท่านยายก็พยักหน้าเล็กน้อย

“ปู่คงต้อง...ไปแล้ว” เขารู้สึกว่าปู่อาจยังมีคำพูดต่างๆ อีกมากมาย แต่ก็ไม่อาจพูดออกมา สุดท้ายแล้วคำพูดทั้งหมดนั้นก็ถูกสรุปออกมาเป็นคำเพียงไม่กี่คำ “…ดูแลตัวเองนะ” ปู่เผยรอยยิ้มน้อยๆ ให้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหลับตาลง และไม่ตื่นขึ้นอีกเลย หรือบางทีปู่อาจกำลังตื่นขึ้นจากความฝันอันยาวนานที่พึ่งจบสิ้นลงไปในกาลอวกาศแห่งอื่นก็เป็นได้

“พ่อ” “ปู่” ทั้งคู่ต่างทรุดนั่งลงที่ข้างเตียงพร้อมกับเรียกหาผู้ซึ่งเคยเป็นที่รัก น้ำตาไหลซึมจากดวงตาของเขา พ่อเองก็ไม่ต่างกัน

‘จบไปเรื่องหนึ่ง’ ท่านยายคิด ‘และบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด’ นางแอบหันไปค้อมศีรษะให้กับความว่างเปล่าที่ข้างกาย โดยทำให้มั่นใจว่าคนทั้งสองภายในห้องจะสังเกตเห็นการกระทำนี้ของนาง ซึ่งจะทำให้พวกเขาเริ่มคิด และจินตนาการต่างๆ จะทำงานต่อไป ‘ใช่มี ความตาย ติดตามอยู่ที่ข้างกายนางจริงหรือไม่’

‘ฉัน ทำ ให้พวกเขาคิด พอพวกเขา เชื่อ ฉันก็จะ เป็น’

มันคือคำพูดของท่านยายคนก่อนหน้า และนางสงสัยว่าบางทีมันอาจตกทอดมาตั้งแต่ท่านยายคนแรกก็เป็นได้ มันคือกลวิธีในการเป็นท่านยายที่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพียงแต่ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แสงสว่างภายในบ้านมืดสลัวลงชั่วครู่ก่อนกลับคืนเป็นปกติ นางเองก็คล้ายจะได้พบเห็นเงามืดที่ทรงอำนาจสูงสุดนั้นที่สุดปลายสายตาด้วยเช่นกัน

ความตายไม่เคยมา หรือจากไปอย่างที่ใครๆ ชอบคิด เพราะมันอยู่ในทุกที่ ทุกเวลา

“ข้าต้องไปแล้ว” นางกล่าวอย่างไม่รอช้า เป้าหมายต่อไปอาจไม่ได้นอนรอคอยนางอยู่เช่นนี้ บางที มัน หรือ พวกมัน อาจกำลังวิ่งอย่างเต็มกำลัง พร้อมด้วยเขี้ยว และกรงเล็บแหลมคม นางเหลือบมองดูดาบสั้นที่เด็กหนุ่มพึ่งได้ครอบครองอย่างถูกต้องอีกครั้ง อยากให้มันช่วยเพิ่มความหวังให้กับนาง แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะนางรู้จักกับความหวังของผู้คนมากเกินไป เข้าใจมันมากเกินไป
มากจนรู้ว่านางไม่อาจที่จะหวังอะไรจากมันได้เกินกว่าสิ่งที่นางมีอยู่ในตอนนี้เท่านั้น

“พรุ่งนี้เช้าเราจะฝังเขา” นางหมายถึงการจัดฝังศพอย่างเป็นพิธีการจะเริ่มขึ้นในตอนเช้า ส่วนในค่ำคืนนี้ก็เป็นหน้าที่ที่พวกเขาจะต้องชำระล้างร่างกาย และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับปู่ผู้เป็นที่รักเป็นครั้งสุดท้าย แล้วปล่อยให้ร่างนั้นนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม แม้อากาศที่อบอุ่นเกินไปเนื่องจากเตาไฟของโรงช่างอาจไม่ค่อยเหมาะสม แต่เพียงคืนเดียวคงจะไม่เป็นไรนัก

“...เจ้าหนุ่ม” นางเรียกในขณะที่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูโดยไม่ได้หันกลับไปมอง สองพ่อลูกต่างมองหน้ากันก่อนที่เขาจะส่งเสียงตอบรับ

“ออกไปกับข้า นำดาบสั้นของเจ้าไปด้วย” พ่อมองดูเงาด้านหลังของท่านยายด้วยความสงสัย ซึ่งไม่เคยมีใครทำเช่นนี้บ่อยนัก แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่อาจถาม หรือโต้แย้ง นอกจากพยักหน้าให้เขาทำตาม

“ตรวจดูดาบของเจ้าเสียก่อน” พ่อไม่ลืมย้ำเตือนเขาในวิชาดาบที่ปู่ถ่ายทอดมา ‘ทำความรู้จักกับอาวุธคู่มือของตนให้เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย’

เขาชักมันออกดู ก่อนทดลองตั้งท่าฟันไปมาสองสามครั้ง มันเบาอย่างไม่น่าเชื่อ และดูคมอย่างประหลาดทั้งที่ถูกเก็บมานานหลายปี “...พ่อว่ามันจะหักไหม มันเบาเกินไป ผมไม่รู้ว่ามันเป็นโลหะอะไรกันแน่” เขายื่นส่งให้นายช่างใหญ่ประจำหมู่บ้านดู แต่พ่อเองก็ไม่เคยพบโลหะชนิดนี้เช่นกัน

“มันจะไม่หัก” ท่านยายว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าพอจะรู้วิธีใช้ดาบเหมือนกับปู่ของเจ้า ซึ่งนับเป็นเรื่องดี และเราไม่มีเวลาทั้งคืน” นางเปิดประตูพร้อมกับก้าวเข้าไปในความมืดเบื้องนอก ”รีบตามมา”

ตอนแรกเขาเดาว่าท่านยายจะไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ไปจัดการปัญหาของอีกอร่ากับเจ้านายผู้ลึกลับในรถม้าคันนั้น แต่นางกลับรีบมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งไม่มีอะไรสำคัญตั้งอยู่

‘นอกจาก’

เสียงกรีดร้องพลันดังมาจากทิศทางนั้น ที่สำคัญ เขารู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียง “อย่าพึ่ง...” แต่ไม่ทันแล้ว เขารีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากท่านยาย


Create Date : 08 กรกฎาคม 2558
Last Update : 8 กรกฎาคม 2558 14:40:48 น. 2 comments
Counter : 1445 Pageviews.

 
เพิ่งมาได้อ่าน สองวันจบไปแล้วสิบตอน กำลังรอตอนต่อไปครับ สิบเอ็ดจะมาอีกเมื่อไหร่หรือครับ (ไม่รู้ว่าจะช้าไปไหมที่เพิ่งเข้ามาเรียกร้อง)


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 30 มีนาคม 2559 เวลา:17:37:00 น.  

 
กำลังพยายามกลับมานั่งเขียนต่อให้จบให้ได้ครับ
แต่คงจะไม่ยาวแบบที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกแล้ว

รอก่อนนะครับ เครื่องยังไม่ยอมติด


โดย: zoi วันที่: 16 เมษายน 2559 เวลา:21:22:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.