กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนเจ็ด

ฉันเชื่อว่า พ่อรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นยิว แต่ไม่เคยสอนพวกเรา
            เพราะพ่อเชื่อว่าเราต้องรู้เองโดยธรรมชาติ แบบซึมลึกจากกระแสน้ำนมที่ดื่มจากอกแม่
            ที่ต้องถ่ายทอดความเป็นยิวให้เรามาตั้งแต่ตอนนั้น
            ในตอนเด็กๆ เราจะต้องถูกฝากเลี้ยงในโรงสวด แผนกบริบาล..ในทุกบ่ายวันเสาร์   แต่แม่บ้านที่ถูกว่าจ้างมาเลี้ยงเรานั้น แกเป็นคาธอลิก (เช่นชาวออสเตรียนทั่วๆไป)
            หล่อนกลัวโรงสวดจนไม่ค่อยกล้ากล้า  และไม่อยากไปที่นั่น  แม่เองก็ต้องทำงานหาเวลาว่างไม่ใคร่ได้ ดังนั้นการใช้ชีวิตในโรงสวดของเราก็กระท่อนกระแท่นเต็มที
            แต่..มีบทเพลงเด็กที่ฉันจำได้อย่างแม่นยำ  นั่นคือ

            One day the Temple will be rebuilt
            And the Jews will return to Jerusalem
            So it is written in the Holy Book
            So it is written. Hallelujah!

            และยังมีอีกสองสามเพลงที่จำได้ แต่บทที่เกี่ยวกับการสร้างพระวิหารใหม่ นั้น ฉันจำเพลงนี้ได้เพลงเดียว  แย่จัง..
            แต่ก็..ต้องขอขอบคุณพระเจ้า..ที่ฉันรู้เพียงแค่นั้น !!



            ที่ร้าน..เราปิดช่วง 10 วัน คือ วัน Rosh Hashanah จนถึง  Yom Kippur  วันสำคัญเหล่านี้ พวกเรามักไปชุมนุมญาติมิตรที่โรงสวด
            และ เพราะพ่อกับแม่เป็นญาติกันห่างๆ
            เผอิญว่าใช้นามสกุล ฮาห์น เหมือนกัน ทางแม่ มี  พี่น้องหญิงสอง ชายหนึ่ง ทางพ่อมี หกชาย สามสาว   ยามที่รวมเขยสะใภ้ และ ลูกหลาน  เข้าไปอีก ก็กว่าเกินสามสิบ
            ฉะนั้น..ไม่ว่าจะเดินไปไหนในท้องถนนเมืองเวียนนา พวกฮาห์น มักจะเจอะเจอกันโดยบังเอิญอันเป็นเรื่องปรกติ
            แต่ละครอบครัวก็ยึดมั่นในแนวพิธีทางศาสนากันไปคนละอย่าง  
            ตัวอย่างเช่น ป้ากีสร่า เคอเช่นบัม  พี่สาวพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารเช่นกัน ..
            ป้าจะเปิดร้านอาหารของป้าเป็นโรงทานแจกอาหารให้กับคนจนในวัน passover
            น้องชายของแม่..น้าริชาร์ด ผู้ซึ่งไม่ยึดติด ไม่เคร่ง  แต่มีเมียเป็นลูกเศรษฐี ทายาทเจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ จาก พัลคานี...น้าโรซี่ ผู้ที่เคร่งศาสนา เป็นออร์โธดอกซ์ ที่
            รับสภาพที่เราหละหลวมในการปฏิบัติเสียจนทนไม่ได้  เธอจึงแยกตัวกลับไปร่วมพิธีที่บ้านเกิดที่เชคโกสโลวาเกีย

            แต่..บางครั้งที่พ่อแม่เกิดจะเคร่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็มี..เช่น วันหนึ่ง ฉันเล่าให้แม่ฟังว่า ได้ไปทานไส้กรอกเลือดที่บ้านเพื่อน และมันอร่อยมาก
            แม่ได้ยินเข้าถึงกับทำท่าผะอืดพะอม จนเกือบอาเจียน เล่นเอาฉันพลอยตกอกตกใจตามไปด้วย
            หรืออีกทีหนึ่ง ฉันคุยเล่นๆกับพ่อว่า "พ่อจะว่าไง..ถ้าเผื่อว่า หนูเกิดแต่งงานกับพวกคริสเตียนล่ะ?"
            ตาพ่อแทบถลนออกมานอกเบ้า..และตอบทันทีว่า.."ไม่ได้นะลูก..พ่อคงทนไม่ได้  ฆ่าพ่อให้ตายไปซะดีกว่า  ไม่ได้เด็ดขาด... !!



            ****หมายเหตุ..วัน Rosh Hashanah คือวันปีใหม่ของชาวยิวที่ต้องทำการรับศิล
            และ  Yom Kippur  คือ วันที่ 10 หลังจากวันปีใหม่คือระยะที่ต้องถือศิลอด
            ส่วนวัน passover คือวันที่เริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยว และเป็นวันที่ระลึกถึงการที่ชาวยิวได้เคลื่อนขบวนออกจากอียิปต์ โดยการนำของโมเสส.................วิวันดา


            พ่อยึดมั่นเสมอในเรื่องที่ว่า เลือดยิวต้องดีกว่าและเก่งกว่าใครๆ  จึงหมายมั่นส่งเสริมทุกวิถีทางให้เราเรียน..เพื่อที่จะเห็นรายงานการเรียนที่ดีเด่นของลูกๆ
            รวมทั้งสั่งสอนพิถีพิถันเรื่อง มารยาท การแต่งตัว  ให้เข้าสังคมที่ไม่น้อยหน้าใครๆ
            ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจในการเคี่ยวเข็ญของพ่อนัก
            แต่ในบัดนี้ ..จึงได้รู้ซึ้งว่า..พ่อพยายามที่จะผลักดันเราให้"เป็นหนึ่ง" บนพื้นแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่
            ในขณะที่ใครต่อใครเขาเหยียดหยามพวกเราว่า เป็นแค่ "เดนมนุษย์"

            เรามักไปเยี่ยมเยียนตายายในวันหยุดและวันสำคัญต่าง..ที่บ้านเล็กๆสีเทาแบบบังกาโลว์ที่เมืองเล็กๆที่สวยงาม ชื่อว่า  Stockerau(สตอคเคโร) ที่อยู่ทางเหนือของเวียนนา
            ที่นั่นนอกจากตาและยายแล้ว  ยังมี  เยาท์สกี้ ลูกพี่ลูกน้องของฉันอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง  
            เพราะว่า ตอนที่  เธอ อายุได้เพียง เก้าขวบ  น้าเอลวิตา พาเธอมาทิ้งให้ตากับยาย และ กลับไปฆ่าตัวตายที่บ้าน
            แม้ว่า...พ่อของเธอจะมีนิวาสถานที่เวียนนาก็จริงอยู่ แต่.. สภาพทางจิตใจของแม่หนูน้อยเยาท์สกี้ที่ต้องการการทำนุบำรุง และดูแลนั้น  ไม่มีใครเหมาะสมที่จะทำหน้าที่นี้เกินไปกว่าตากับยายที่เฝ้าเลี้ยงดู ประคบประหงมเธอประหนึ่งลูก

            เยาท์สกี้ มีผมสีน้ำตาลที่ฟูฟ่อง..ตาสีน้ำตาลเช่นกัน ริมฝีปากที่อิ่มเต็มได้รูป ใจดี  มีอารมณ์ขัน ผิดกับยัยมิมี่น้องสาวของฉันยังกับฟ้ากะดิน  
            นอกจากนั้น  เยาท์สกี้ยังสามารถเล่นเปียนโนให้พวกเราเล่นร้องเพลงอย่างในละครโอเปร่า  สนุกสนานกันไปตามเรื่อง เสียงออกมาเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีใครรู้ประสีประสาพอที่จะบอกได้

            ในยามนั้น ขณะที่  ฉัน..หรือ แม่คนเก่งของใครต่อใคร คร่ำเคร่งอยู่กับนิยาย Gothic ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ  พิสวาทบาดจิต
            เยาท์สกี้ กลับคลั่งไคล้ภาพยนตร์ และ ดนตรีสวิงล้ำยุค


            ยาย..เป็นหญิงร่างกลม แข็งแรง และ เจ้าระเบียบ  
            ก่อนไปตลาดยายมักสั่งงานให้พวกเราเสมอ เช่น การทำความสะอาดบ้าน..แต่ทันที่ที่ยายลับตาลงจากบ้านไป
            พวกเราก็โผออกนอกบ้าน  ไปวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนได้เวลาที่ยายจะกลับ..เรารีบวิ่งแข่งกันเข้าบ้านอย่างโกลาหล เพื่อที่จะคว้าไม้กวาด ถังน้ำ ทำท่ากวาดถู
            ให้ยายเห็นว่า..เรารักษาคำสั่งอย่างเคร่งครัด..เช่นเด็กดีทั้งหลาย
            ทุกวันนี้..ฉันก็ยังมั่นใจว่า..ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ..พวกเราไม่เคยหลอกยายได้เลย..ยายรู้ทันเสมอ !!

            ยายเป็นคนขยันมาก..ไม่เคยละเว้นเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยในเรื่องงานบ้านและการเป็นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นการถักลูกไม้..สอนเยาท์สกี้ให้อบขนม..เลี้ยงไก่,ห่าน และ  หมา มอร์ลี่  ไม่นับสารพัดพันธ์ของต้นกระบองเพชรที่มีนับร้อยๆกระถางในสวน
            บางที..ยายจะออกคำสั่งกับแม่ล่วงหน้า ว่า
            "คลอทธิลด์..กระบองเพชรจะออกดอกในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี่ พาหลานๆมาดูนะ"
            นั่นหมายความว่า พวกเราทั้งหมดจะออกไปยืนที่สวนที่บ้านในเมือง  Stockerau  ต่อหน้าเจ้าต้นกระบองเพชรเจ้ากรรม.. และต้องช่วยกันสรรเสริญในข้อที่ว่า..
            เจ้าช่างทนทานเหลือเกิ๊นน..เป็นพืชมาจากทะเลทรายแท้ๆ  ยามมาอยู่ที่เมืองหนาวเจ้าก็ยังสามารถผลิดอกออกผล..เจริญงดงาม !!

            (เชื่อว่านี่คือตัวอย่างหนึ่งของหลักการสอนของชาวยิวที่มีให้กับลูกหลาน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบชีวิตแห่งการต่อสู้...วิวันดา)



            ตา..เป็นเจ้าของร้านขายจักรยาน  จักรเย็บผ้า และเป็นตัวแทนขายรถจักรยานยนตร์ ยี่ห้อ พุช (Puch)  ที่ยายต้องไปช่วยในวันอาทิตย์ที่จัดว่าขายดี..
            เพราะ พวกชาวไร่ชาวนามักเดินทางเข้ามาทำพิธีที่โบสถ์  เสร็จพิธีพวกเขาเหล่านั้นก็จะแยกย้ายกันไปจับจ่ายใช้สอย  ซื้อข้าวของ
            ตาและยายเป็นที่รู้จักและกว้างขวางในเมืองไม่น้อย เพราะไม่ว่ามีงานอะไรก็ตาม มักได้รับเกียรติให้แขกผู้มีเกียรติของงานเสมอ
            งานวันเกิดของตา พวกเราคัดลอกโคลงสรรเสริญต่างๆจากกวีชื่อดังมาอ่าน  
            ตานั่งฟังอยู่กลางวงราวกับพระราชา ด้วยแววตาระยิบระยับด้วยความปลื้มปิติ และภาคภูมิใจ
            แม้กระทั่งทุกวันนี้..ฉันยังจำไออุ่นจากอ้อมกอดของตาได้อย่างไม่มีวันลืม..

            ใกล้ๆกับบ้านตาและยาย จะมีลำธารเล็กๆที่แยกมาจากแม่น้ำดานูป ที่ฉันและเยาท์สกี้ชอบไปว่ายน้ำเล่นเสมอๆ  และก่อนที่จะไปถึงลำธารนั้น เราจะต้องเดินข้ามสะพานไม้สูง
            วันหนึ่ง  ตอนอายุเจ็ดขวบ..ด้วยความที่รีบจะไปเล่นน้ำก่อนใครๆ วิ่งไปบนสะพาน เกิดลื่นไถล ถลาหัวทิ่มตกไปในน้ำ  จมดิ่งลงไป
            ฉันกระเสือกกระสนตัวให้โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ตกใจกลัวสุดชีวิต ..แต่แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผ่านมาพอดี..กระโจนลงไปช่วยขึ้นมาได้
            จากนั้นมา..ฉันกลายเป็นคนที่กลัวความสูง  ไม่เคยคิดที่จะไปเล่นสกีที่แอลป์อย่างใครๆ
            ไม่เคยเสนอตัวที่จะปีนป่ายตึกขึ้นไปแขวนป้ายต่อต้านรัฐบาล
            ฉันพยายามอยู่ให้เท้าทั้งสองติดกับพื้นดินให้มากที่สุด..เพื่อความปลอดภัย


            ปี 1928 ในขณะที่ภาวะเงินฝืดของออสเตรียกำลังขึ้นถึงขีดสุด ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารที่ร้าน ต้องจ่ายเงินมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวสำหรับอาหารที่เคยเสิร์ฟเท่าเดิม
            พ่อจึงตัดสินใจขายร้าน..
            และก็นับว่าเป็นโชคดีที่พ่อใด้ข้อเสนอให้ไปเป็นผู้จัดการฝ่ายห้องอาหารในสปาและรีสอร์ตชื่อดัง อันเป็นของนายจ้างเก่าพ่อเมื่อครั้งที่ทำงานในริเวียร่าพวกเศรษฐีเชคโกสโลวาเกียน ตระกูล โคคิช..
            พวกเขามาเปิดกิจการสปาที่ตั้งอยู่ที่  Badgastein ชายเขาแอลป์ที่ยอดเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะทั้งตาปีตาชาติ
            หากแต่ ที่เชิงเขา พื้นที่ที่ตั้งของสปาและรีสอร์ต นามว่า โฮเต็ล บริสตัล นั้น ตั้งอยู่ที่พื้นที่สีเขียวชะอุ่ม ด้วยไม้นานาพันธ์ อีกทั้งมีท่อน้ำพุร้อนที่ส่งตรงจากต้นน้ำใต้ภูเขามายังอ่างน้ำหินอ่อนภายในสปา

            พวกผู้ลากมากดีที่เข้ามาพัก วันๆมักเดินเล่นรอบๆบริเวณ โยนอาหารให้กระรอกบ้าง..เดินคุยกันจุ๋งจิ๋งบ้าง..
            ในยามบ่ายๆที่ซุ้มกลางสวน อาจมีเสียงเปียนโนขับกล่อมหรือเสียงเพลง..โดยฝีมือคุณหนูมากวิชาที่พ่อแม่พยายามผลักดันให้เป็นดารามาแสดงความสามารถอวดแขก
            ชีวิตที่นั่น..ราวกับสวรรค์...ที่พวกเราถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนและอยู่กับพ่อในช่วงโรงเรียนปิดเทอมภาคฤดูร้อนเสมอๆ  

            และเนื่องจากที่นันเป็นที่เดียวที่ต้องเสิร์ฟโภชนาการอาหารยิว (ตามบัญญัติของศาสนา) หรือที่เรียกว่า Kosher  โฮเต็ล บริสตัล จึงเป็นเสมือนศูนย์รวมและที่พบปะของชาวยิวที่มีชื่อเสียงจากทุกมุมโลก
            เช่น ครอบครัวของตระกูล Ochs ที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์  New York  Times , และ Sigmund Freud  ก็มาที่นี่..
            วันหนึ่ง..มีชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง แต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายพื้นเมืองออสเตรีย กางเกงขาสั้นหนังพร้อมสายบ่า  สวมหมวกสักหลาดที่เรียกว่า Tirolean ครบเครื่อง..
            เข้ามาเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน..พ่อพยายามที่จะเข้าไปอธิบายว่า เขาอาจเข้ามาผิดที่..

            แต่ก่อนที่พ่อจะได้พูดอะไร..ชายคนนั้นก็ถอดหมวกออกมาวาง พร้อมกับควัก yarmulke (หมวกแปะกระหม่อมของชาวยิว) ขึ้นมาใส่ ..พร้อมทั้งยืนสวดพึมพัม

            พ่อถึงกับกลั้นหัวเราะ..เล่าว่า.."ให้ตายซิ..สมัยนี้..ขนาดยิวด้วยกันยังดูกันไม่ออก เหลือเกินจริงๆ"



            การมาพำนักอยู่กับพ่อที่นี่ครั้งแรก..เราได้พบกับรับไบ  (Rabbi) จากโปแลนด์สองท่าน..ทั้งคู่มีหนวดเครายาวที่ดูเรียบร้อย สวยงาม ยามที่เดินในโรงแรมจะเอามือทั้งสองประสานกันที่หลัง
            ด้วยท่าทางที่เนิบนาบ..ดูขลังและน่าเลื่อมใส  ฉันเชื่อว่า คนหนึ่งในนั้น คือ คนที่ช่วยให้ฉันอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้..
            ตอนนั้น ฉันอายุได้สิบหก..เล่นน้ำทั้งวันจนจับใข้  แม่ให้การปฐมพยายามโดยเอาผ้าเย็นวางบนหน้าผากและข้อมือเพื่อให้อุณหภูมิลด  และให้ดื่มชาร้อนผสมน้ำผึ้ง..
            พอตกค่ำ..หนึ่งในรับไบจากโปลแลนด์ที่ว่า..มาเคาะที่ประตู เพราะว่าท่านไปทำพิธีสวดตอนเย็นไม่ทัน จึงต้องขอเข้ามาสวดในบ้านเรา
            แน่นอน..ที่แม่ให้การต้อนรับและเชื้อเชิญด้วยความยินดี หลังจากที่ท่านได้เสร็จพิธี แม่ขอร้องให้ท่านช่วยมาสวดให้พรกับฉันที่กำลังนอนป่วยอยู่
            ท่านรับไบได้มายืนข้างเตียง ก้มตัวลงลูบที่หัวฉันเบาๆ ก่อนที่ท่านจะกล่าวออกมาเป็นภาษาที่ฉันไม่รู้เรื่อง และชาตนี้ก็ไม่มีวันเข้าใจ นั่นคือ ภาษาฮีบรู
            เมื่อท่านจากไป..ฉันก็รู้สึกดีขึ้น จนหายสนิทจากใข้ราวปลิดทิ้ง
            ในช่วงปีแห่งความทุกข์ทรมานต่อๆมา ที่ฉันมีความรู้สึกเหมือนสิ้นหวัง..ใกล้ตาย..ฉันมักรำลึกถึงท่านและบทสวดของท่านเพื่อนำมาอธิษฐานขอให้ตัวเองได้แล้วรอดปลอดภัย..


            (รับไบ..ต้องไปทำพิธีท่องบทสวดวันละสามครั้ง ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนถึงตก..และต้องต่อหน้าคนที่มีอายุเกินกว่า 14
            ซึ่งเขาจะเรียกว่าการสวดนี้ว่า schule ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า
            school  คือ โรงเรียนนั่นเอง............วิวันดา)







            แน่นอนว่า..การทำงานของพ่อในสถานที่ที่เปรียบราวสวรรค์นี้มันไม่ง่ายดังที่ใครต่อใครคิด..
            มันมีส่วนของความเป็นอุปสรรคอันเป็นสัจจะของชีวิตไม่ใช่น้อย
            เพียงแต่เราต้องทำใจยอมรับและเผชิญกับมัน..เช่น..
            การฆ่าและเเล่เนื้อเพื่อโภชนาการยิวตามพระบัญญัติ(kosher) นั้น ไม่มีการอนุญาตให้กระทำในเมือง Badgastein ที่อยู่นี่..
            ฉะนั้น ต้องไปว่าจ้างฆ่าที่เมืองใกล้ๆ
            แล้วรีบนำใส่รถเดินทางเข้ามา  
            หรือ อย่างในสมัยของปู่ย่าตายายของเราที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง จนต้องไปตั้งถิ่นฐานอยู่ใน Stockerau  หรือ Floritzdorf

            จวบจนสมัยที่พ่อแม่ของเราเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนั่นแหละ..."ยิว" จึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาพำนักอยู่ในเวียนนา
            มาถึงตรงนี้ พวกคุณก็คงมองเห็นภาพนะว่า..การเป็นยิวที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่มีการต่อต้านนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  
            แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ยิวก็ยังคงเหนียวแน่น มีการเรียนพระตำรา Torah,
            การสวด, การรวมตัวชุมนุมในพิธีอย่างสม่ำเสมอ

            พวกเราเป็นยิวก็จริง..แต่พูดภาษายิดดิช หรือ ฮีบรู  ไม่ได้  
            ไม่ค่อยเคร่งในพระในเจ้า ไม่ใช่ทั้งนิกาย Polish Chasidim หรือ Lithuanian yeshiva  ไม่ใช่ทั้งพวกที่กล้าพูด กล้าแสดงอย่างอเมริกัน
            แต่ขอให้รู้ว่า..ในขณะที่เรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้....
            ในสมัยนั้น ยังไม่มีคำว่า ผู้ก่อการร้ายอิสราเอล  ยังไม่มีกองกำลังทหารในทะเลทราย..ยังไม่มีคำเปรียบเปรยที่ว่า " nation like other Nations" (อันหมายถึง ชนชาติกลุ่มน้อยที่มีความเจริญในการคิดอ่านเทียบได้กับนานาประเทศ)


            สิ่งที่เรามี..นั่นก็คือ สติปัญญา ความสามารถ และ ความเป็นตัวเอง  
            ในขณะที่บ้านเมืองงดงาม  ด้วยสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่..จนถูกเรียกขานว่า ราชินีแห่งดานูป
            แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกเรียกว่า เวียนนาแดง.. อันเป็นที่รวมสมองของกลุ่มยิวอัจฉริยะ เช่น  Freud, Herzl, และ Mahler ได้ช่วยกันกลั่นกรองสติปัญญาให้ออกมาเป็นรูปธรรมอันโดดเด่น
            เช่นทฤษฏีว่าด้วยจิตวิเคราะห์, ทฤษฏีของไซออนนิสต์ที่สนับสนุนให้ยิวเคลื่อนย้ายถิ่นฐานกลับไปยังปาเลสไตน์, หรือทฤษฏีว่าด้วยสังคมนิยม และ การปฏิรูปชุมชน

            และไม่ว่าพวกเขาจะเปล่งประกายแห่งสติปัญญาออกมาแวววามขนาดไหน...ยิวระดับหัวกระทิแห่งเวียนนา ก็ยังเป็น ไอ้พวกยิว...ที่ใครต่อใครเรียกเช่นเดิม..!!




Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:20:39 น. 0 comments
Counter : 1304 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]