มีนาคม 2548
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
26 มีนาคม 2548

คุณโอ คือชาวนา ลินดาคืองูเห่า !



มีคนถามมาว่า..

คุณวิวันดาคะ ดิฉันเองเพิ่งกลับจากเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย มีคนที่รู้จักที่ทำธุรกิจหลายอย่างอยู่ในเมืองไทย เค้าสนใจอยากมาทำสปาที่อเมริกา ที่มีนวดแผนไทยด้วย แบบที่กำลังดังอยู่ในบ้านเราตอนนี้ แต่เค้าไม่รู้เส้นสาย หรือช่องทางที่จะเริ่มต้น ดิฉันเองอยากช่วยหาข้อมูลให้ เผื่อว่าเค้าต้องการลงทุนจริงๆ ดิฉันจะได้มีงานทำไปด้วย ไม่ทราบว่าคุณวิวันดาจะพอแนะนำให้ไปเริ่มต้นจากตรงไหนได้บ้างคะ วิธิการเริ่มต้นธุรกิจ การก่อตั้งอะไรต่างๆจะเหมือนกับการทำร้านอาหารไทย หรือพอรู้จักใครที่ดิฉันจะไปขอความรู้จากท่านได้บ้างคะ ?

จากคุณ : tess -

และ....

สวัสดีคะพี่วิ มีคำถามมารบกวนอีกคะ ถ้าเราหาร้านอาหารได้แต่ร้านเดิมเป็นร้านแบบอื่นที่ไม่ใช่ร้านอาหารไทยเป็น deliแต่ร้านเค้ามี hood เราสามารถทำเป็นร้านอาหารไทยได้หรือไม่ และในกรณีที่เราจะเข้าไปหุ้นกับซิติเซ่นต์หรือกรีนคาร์ดต้องมีกำหนดว่าต้องเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่หรือเปล่าคะ และมีคำแนะนำเวลาติดต่อกับโบรกเกอร์ว่าต้องเช็คอะไรและต้องขออะไรบ้างคะ ขอบคุณมากคะ

จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง -

>>>ของคุณแม่ลูกสองท่าจะด่วน..ตอบก่อนนะคะ

ในกรณีของ Deli ที่มีครัวและมี hood นั้น..
คุณต้องไปเช๊คกับ City Planning ค่ะ (หมายถึงที่กำการเทศบาล) ว่า เขาจะอนุญาตให้เปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารได้หรือไม่ เพราะ อยู่ที่โควต้าของ"น้ำใช้"ของพื้นที่
เพราะ Deli ใช้เสริฟในจานกระดาษ หรือใส่ถุงใส่กล่อง ไม่ต้องเครื่องล้างชามแบบร้านอาหาร
ที่ต้องมีทั้งท่อน้ำร้อนน้ำเย็น และที่ดักไขใต้ท่อ

ถ้าเขาอนุญาต..ก็ขอให้เขาเขียนเป็นจดหมายมาให้เราด้วยนะคะ อย่าเพิ่งรีบลงทุน ลงเงิน เพียงเพราะ"เขาว่า" ทำได้
และถ้าทำได้..คุณจะต้องไปสร้างอะไรเพิ่มบ้าง..ดีดลูกคิดในรางแก้วให้ดี เพราะไม่ว่าคุณจะสร้างอะไรลงไป คือผลได้ของเจ้าของตึกทั้งสิ้น..
ฉะนั้น..ถ้าจะลงเงินเพื่อจะสร้างวัตถุถาวรละก้อ ไปคุยกับเจ้าของตึกก่อน บอกเขาไปตามตรงว่า คุณจะต้องสร้างโน่นนี่อีกมากมาย ขอให้เขาลดค่าเช่าให้ อีกทั้ง ขอสัญญาเช่ายาวแบบ 10-15 ปี
เพราะ ถ้าสัญญาเช่ายาวๆและค่าเช่าไม่แพง..คุณสามารถ
ใช้ประโยชน์ได้คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป..


>>>ตอบคุณ tess นะคะ..ว่า

เรื่อง Spa อย่างที่เมืองไทยกำลังเกร่อกันอยู่นั้น..
ยังไม่มีหนทางทำในอเมริกาค่ะ
จะทำได้ต้องไปแก้กฏหมายก่อน..เพราะ หมอนวดทุกคนที่จะทำงานได้ ต้องผ่านการฝึกมาจาก Massage Therapy Institute ไปอ่านได้ที่เวบนี้ค่ะ..

//www.ippt.com/small_note.htm

และต้องผ่านการฝึกฝนอีกนับร้อยๆชั่วโมงกว่าจะได้ใบประกาศนียบัตร วัดโพธิ์ของเรายังไม่ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากรัฐบาลใดๆในโลก (ซึ่งรัฐบาลไทยน่าจะผลักดันในเรื่องนี้มากกว่า)
และที่ว่ายากราวเข็นครกขึ้นภูเขานั้น เพราะว่า ทางอเมริกาหวาดในเรื่องการค้าประเวณีค่ะ..ไม่ว่าจะเรียกว่า Spa หรือ Aroma Therapy อะไรก็ตาม
และถ้าเราไม่โกหกตัวเองจนเกินไปนัก ก็ต้องทำใจค่ะว่า..ชื่อเสียงของไทยเรายังไม่เป็นที่งดงามในเรื่องนี้สักเท่าไร





 

Create Date : 26 มีนาคม 2548
11 comments
Last Update : 26 มีนาคม 2548 2:22:31 น.
Counter : 3962 Pageviews.

 



มีคำถามอีกว่า>>>

แล้วในกรณีที่แฟนเป็นเจ้าของร้านอาหารแต่มีการหลบเลี่ยงภาษี แล้วกลัวภาษี หรือ มีปัญหาในอนาคต จะมีวิธีการในการป้องกันทรัพย์สินที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรบ้างค่ะ

จากคุณ : น้อง -

>>>ตอบคุณน้องค่ะ

แฟน..หมายถึงสามีหรือคะ? ถ้าหมายถึงสามีละก้อ ในฐานะภรรยา แทบจะเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะ เพราะถ้าเมื่อไหร่เกิดถูกขอ บัญชีขึ้นมาหมายถึงว่า คุณจะต้องนำเอกสารย้อนหลังไปหมดว่า
รายได้เท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ และ ต้องนำนักบัญชีที่ทำบัญชีของคุณไปด้วย..

เขามักจะกะได้ตรงกันกับที่เรา"งุบงิบ"ไว้เสมอ
คุณเชื่อไหมคะ..ว่า..จากจำนวนเนื้อ หมู ไก่ ที่คุณซื้อ..
และการเปรียบเทียบกับอัตราส่วนที่คุณใช้ในเมนู
เขาสมารถถอดออกมาได้เป็นสูตรเลย..ว่า
รายได้ในการขายของคุณน่าจะเป็นเท่าไหร่
ฉะนั้น..คุณจะเม้มไว้เท่าไหร่ นั่นไม่สำคัญ..เขาไม่สนใจ
แต่จะยื่นบิลมาให้คุณว่า..คุณยังจ่ายภาษีไม่ครบอีกเท่านั้นเท่านี้..ยิ่งจ่ายช้า ราคาก็บวกตามขึ้นมา

ถ้าบังเอิญว่า เขาเรียกมาน้อยกว่าที่"เม้ม"ไว้ ก็รีบๆจ่ายไปเถอะค่ะ ขอผ่อนไปมั่งก็ได้
แต่ถ้าเรียกมามากกว่าตามความเป็นจริง..ก็ลองไปโต้แย้งดู
(ทางชนะมีน้อยเต็มที)

วิธีป้องกัน คือ..พยายามทำตัวให้ low profile ที่สุด
อย่าไปซื้อรถราคาแพงๆ หรือ แหวนเพชรเม็ดโต แล้วไปบอกเขาว่า ขายไม่ดี..
และไม่ควรมีทรัพย์สินอะไรอื่นนอกจากร้านอาหาร เพราะถ้าขายไม่ดี หนี้สินเพิ่มพูน ก็สามารถไปทำล้มละลาย ขอจ่ายเท่าที่มีปัญญา..
แต่ถ้ามีบ้านหรือที่ดิน....เจ้าหนี้ไม่ยอมให้ล้มละลายหรอกค่ะ เขาจะเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินของคุณด้วย
รวมทั้งเรื่องภาษี

คือระบบที่อเมริกานี่เขาตรวจสอบกันง่ายค่ะ เพราะคนไม่นิยมใช้เงินสด..ฉะนั้น ที่มาที่ไปจึงชัดเจน
และเราไม่สามารถจะไปซื้อของในร้านขายราคาปลีกได้
ต้องไปซื้อของในร้านที่ต้องใช้ทะเบียนธุรกิจการค้า..
ฉะนั้น..รายการซื้อของเราในปีนึงๆ ทางกิจการค้านั้นๆเขาก็แจ้งไปที่สำนักภาษีค่ะ
เขาแจ้งไปว่า เราซื้อไปตั้งหลายหมื่น..(แสดงว่าใช้เยอะ เพราะขายดี)
แต่ทางเราแจ้งว่า ขายได้วันละสองสามร้อย..
มันขัดกันตั้งแต่ตรงนี้แล้วค่ะ..




 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:27:10 น.  

 



คุณนองถามต่ออีกว่า..


นอกจากนั้นหากสนใจเกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานด้านภาษี ความรู้รอบตัว บัตรเครดิต ของในอเมริกา พอจะมีหนังสือแนะนำเป้นภาษาไทยไหมค่ะ หรือสามารถเรียนเพิ่มเติมได้ที่ไหนค่ะ ( ตอนนี้ยังอยู่ในไทยค่ะ)

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

>>>ตอบค่ะ

ที่ต้องบอกให้ระวังตัวไว้นั่น..เพราะว่า ระบบในอเมริกานั้นเปรียบเทียบได้เหมือนผ้าไหมพรมถักค่ะ ถ้าไม่มีอะไรมาสะกิดสะเกาก็จะอยู่ดี ไม่มีภัย แต่หากว่ามีการกระตุกสายใดสายหนึ่ง มันจะหลุดออกไปเป็นเส้นยาว..
เราไม่มีวันรู้หรอก ว่าจะโดนกระตุกเมื่อไหร่
บางทีเราไม่ได้ทำเอง แต่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวเลยต้องเป็นเคราะห์กรรมไปด้วย

เล่าให้ฟังนะคะ..

เพื่อนคนหนึ่งเปิดร้านอาหารซีฟู๊ดที่ขายดิบขายดีร้านหนึ่งใน
ซาน ฟราน นี่ละค่ะ..ขอให้ชื่อเขาว่า คุณโอ..
คุณโอและภรรยาเคยทำงานใน้นอาหารฝรั่งชื่อดังมาก่อน
จึงมีความรู้และการให้บริการอย่างมีมาตรฐาน..

ขออธิบายเรื่องการให้บริการอย่างมีมาตรฐานหน่อยนะคะ
เพราะบางทีเห็นมีคนตั้งกระทู้ถามเรื่องทิปว่า ที่ไหนดีหรือไม่ดีอย่างไร..
อ่านแล้วรู้สึกขัดหูค่ะ เพราะเรื่อง"ทิป"นี้คือเรื่องของความพอใจในบริการที่ลูกค้ามีต่อพนักงานบริกร มาตรฐานคือขั้นต่ำ ควรจะเป็น 15-20 % แต่ถ้า..บริการไม่ดี หรือ ไม่ประทับใจ (จะอธิบายในทีหลัง) ลูกค้าอาจจะให้ตามแต่เห็นสมควร ว่า "ค่า"ของบริกรควรจะเป็นแค่นี้..

การบริการที่ดี..คือ ทักทายด้วยมารยาทที่ถูกต้อง
รู้จักแอดเดรสลูกค้าด้วยถ้อยคำที่สมควร..เช่น
sir, gentleman,madam,lady ไม่ใช่..
Hi, folks หรือ you guys หรือ การใช้ภาษาที่แสดงออกถึงการศึกษาที่อ่อนยวบยาบ เช่น ยามที่ลูกค้ามายืนที่ประตู
และจะพาไปนั่ง..ที่ได้เคยได้ยินมา..เขาว่า
" For 4 ? "(หมายถึงว่า มากัน 4 คนใช่ไหม?) และต่อด้วยการกวักมือ และ พูดว่า " Come here, follow me"
พอจะสั่งอาหาร..เขาถามว่า
"What do you want to eat ?" รับเสร็จไปคนหนึ่ง พอมาถึงฉัน เขาเอาปากกาชี้มา พร้อมกับถามว่า
"What about you?"

ซึ่งต้องขอบอกว่า สยองมาก..อย่าหาว่ามาว่าคนไทยด้วยกันเลย แต่อยากมาเล่าให้เป็นตัวอย่างว่า..การให้บริการ(เพื่อที่จะได้ทำทิปเยอะๆนั้น เป็นอย่างไร?)



 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:28:55 น.  

 



คนที่จะผ่านการเทรนในเรื่องนี้แบบจริงจังนั้น ต้องเคยทำงานร้านอาหารฝรั่งดีๆ หรือในโรงแรม
กว่าจะมาเป็นบริกรได้นี่ต้องเป็น busboy{girl} มาก่อน
ที่หมายถึงทำหน้าที่ช่วยเหลือในเรื่องเก็บจาน จัดโต๊ะ

และบริกรนั้น ไม่ใช่แค่ว่าเอาอาหารมาวางแหมะให้บนโต๊ะเท่านั้น..
หมายถึงความรอบรู้ในทุกเรื่องๆของอาหารที่เสริฟว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง..รวมทั้งเรื่องเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีไม่ว่าจะเป็นชนิดที่มีแอลกอฮอลล์หรือไม่มี
และสามารถอธิบายได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญที่สุด คือ ความประทับใจที่ว่านั่นหมายถึงว่า
เสื้อผ้าและผมเผ้าต้องสะอาดสะอ้านเรียบร้อย
ส่วนใหญ่ เครื่องแบบคือ เสื้อขาว กางเกง รองเท้าดำ
ผ้ากันเปื้อนคาดเอว (แล้วแต่ อาจเป็นสีดำ สีเขียวแก่ สีแดงเข้ม)
เสื้อ..ควรจะส่งซักที่ร้านซัก (ไม่ต้องซักแห้ง แค่ซักรีดและลงแป้งขนาดกลาง ตกตัวละ เหรียญยี่สิบเอง) และ ควรมีอย่างน้อยห้าตัว..อันนี้สำคัญมาก
กางเกงก็เช่นกัน..ถ้าส่งซักได้ก็สมควร หรือจะซักรีดเอง
ก็แล้วแต่
ผ้ากันเปื้อน ควรมีอย่างน้อย สามสี่ชิ้น และต้องสะอาดเอี่ยวตลอดเวลา ผ้ากันเปื้อนไม่ได้หมายความว่าจะต้องโสโครก

อันนี้คือ..สิ่งที่ที่ลูกค้า(ดีๆ)จะประเมินค่าของพนักงานก่อน
เสริฟซะด้วยซ้ำ..บางทีผ่านได้คะแนนเต็มจากตรงนี้ไป
เสริฟผิดๆถูกๆ ก็ยังให้อภัยกันได้

แต่ที่เห็นๆมา..ร้านไทยดีๆนี่แหละ
พนักงานแต่งตัวไม่ค่อยสะอาด
ผมเผ้าฟูกระจาย..
เสื้อยับยู่ยี่ ผ้ากันเปื้อนเขอะไปด้วยสารพัดคราบ..
เสียงตะโกนสั่งกันโหวกเหวก
หน้าตาเหมือนกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน..
มารับออเดอร์ที่โต๊ะของเรา ที่ตาไปมองที่โต๊ะอื่น
ไม่พยายามพูดหรืออธิบายอะไรมากไปกว่าจำเป็น (เพราะกลัวเสียเวลา)

บางทีไปยืนเกาะโต๊ะอื่นคุยกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว
แล้วจะไปเที่ยวบ่นว่า..ทิปที่นั่นที่นี่ไม่ดีไม่ได้หรอกค่ะ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้น..



 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:31:03 น.  

 



คุณโอและฉันเป็นเพื่อนกัน สมัยตั้งแต่ทำงานโรงแรมฮิลตัน ดาว์นทาว์น..
พอคุณโอจะเปิดร้าน ปัญหานี้คือปัญหาใหญ่ เพราะเขาจำเป็นต้องจ้างบริกรฝรั่ง..ที่มีประสบการณ์(ในเรื่องการเสริฟและความรอบรู้ในเรื่องอาหารอย่างที่เล่ามา)
แต่ฝรั่งทำงานเก่งๆที่ไหน จะมาทำงานให้กับคนไทย
ต่อให้ขายอาหารฝรั่งก็เถอะ

ในที่สุด ก็ได้สาวลูกครึ่งเม๊กซิกันที่เป็นนักเรียน ท่าทางเรียบร้อยและเอาการเอางานมาได้คนหนึ่ง..
มาฝึกจนเก่ง..และทำงานได้อย่างคล่องแคล่วสมใจคุณโอและภรรยาทุกอย่าง..
ลินดา..คือชื่อของเธอ..ทำงานกับคุณโอรับทิปเหนาะๆวันละเป็นร้อยขึ้น..(แค่เฉพาะดินเนอร์นะคะ)
จนเรียนจบและแต่งงานไปกับแฟนหนุ่ม
ต่อมาไม่นาน..ลินดาก็ข่าวดีมาบอกคุณโอว่า ตั้งท้อง..

คุณโอและภรรยาจึงปรึกษากันว่า สงสัยจะให้
ลินดาทำงานมากไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะเป็นอันตราย
จึงลดวันทำงานของลินดาไปเหลือแค่สามวัน..(จากห้าวัน)
เมื่อเธอทราบถึงตารางทำงานที่ลดลงไป จึงมาถามกับคุณโอว่า..เป็นเพราะอะไร?

ซึ่งคำตอบก็คือ เธอกำลังท้อง..อย่าทำงานเยอะเลย
เอาไว้ให้รอคลอดก่อน ก่อนกลับไปทำอย่างเดิม..!!

 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:32:55 น.  

 


ถามว่าคุณโอผิดไหม..ที่คิดเช่นนั้น..
คำตอบด้วยสามัญสำนึกของใครต่อใครก็ต้องว่าไม่ผิดใช่ไหมคะ?
แต่ในอเมริกานั้น..ผิดค่ะ ผิดเต็มๆเลย..

ลินดาได้นำเรื่องนี้ไปหากรมแรงงาน ฟ้องร้องเรียกค่าทำขวัญจากคุณโอ ในข้อหา Pregnancy Discrimination
ซึ่งผู้ถูกฟ้องต้องไปหาทนายมาสู้คดี..

หลังจากที่เล่าเรื่องอะไรต่ออะไรให้ทนายฟังแล้ว
ทนายถามคำเดียวว่า..คุณจ่ายภาษีตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ ขอให้บอกมาตามตรง หมายถึงเรื่องค่าจ้างของ
ลินดา และ สวัสดิการอื่นๆ
คุณโอตอบว่า..ไม่ตรง เพราะของลินดานั่นไม่ได้จ่ายเป็นรายชั่วโมง แต่จ่ายเป็นกะ ซึ่งหารเวลาออกมาแล้วยังต่ำกว่า
แรงงานขั้นต่ำ อีกทั้งแบ่งจ่ายเป็นเงินสดบ้าง เป็นเช๊คบ้าง

ทนายบอกว่า..ถ้างั้นอย่าไปสู้เลย จะเสียน้อยเสียยาก
เพราะมันจะเป็นสาเหตุให้ต้องเกี่ยวพันไปถึงเรื่ององค์กรภาษีที่อาจต้องรื้อฟื้นเรื่องรายได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน..

เมื่อความจะเลยเถิดไปถึงอย่างนั้น คุณโอจึ้งต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายลินดาตัวแสบนั่นไปดีๆ เป็นเงินนับหมื่นเหรียญทีเดียว




 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:33:51 น.  

 

วู้ย อ่านแล้วเสียดแทงจิตจาย
นู๋เกือกซ่า ใช้คำพูดไม่เป็น บริกรที่ดีเลยอ่ะค่ะพี่วิ ( ก็ฝรั่งที่เป็นเวทมันพูดงี้อ่ะ ...เราเรยพูดตามมัน )

ยังไงก็ตาม จะปรับปรุงตัวให้ได้ตามแบบที่พี่วิสอนไว้นะคะ

มาติดตามทุกเรื่องที่พี่วิเขียนเลยค่า

 

โดย: เกือกซ่าสีชมพู 26 มีนาคม 2548 4:38:48 น.  

 

 

โดย: wbj 29 กรกฎาคม 2548 18:42:23 น.  

 

มีความรู้มากเลยค่ะ ยินดีที่ได้มาอ่าน

 

โดย: tiki_ทิกิ IP: 125.25.69.21 22 มกราคม 2551 2:29:49 น.  

 

หยุด summer ค่ะตอนนี้ มีเวลามาอ่านบล้อคที่น่าสนใจ ของพี่ยังสนุกมากมายเหมือนเดิม ชอบเรื่องความเป็นนักสู้ของคุณศรีค่ะ

พี่สบายดีนะคะ

 

โดย: PatPDX IP: 72.201.17.28 13 มิถุนายน 2551 5:04:57 น.  

 

อยากสอบถามคุณวิมากค่ะ ในกรณีที่เรากำลังเดินเรื่องขอกรีนการ์ด แต่สามารถทำงานได้ แต่เกิดสนใจอยากเปิดร้านอาหารด้วยเงินทุนก้อนนึง ซึ่งเคยทำในร้านอาหารไทยมาก่อน (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สามารถหาเงินทุนสำรองได้จากเมืองไทย) เราสามารถทำได้หรือไม่คะ แล้วถ้าอยากจะเซ็นสัญญาเช่า แต่เราไม่มีผู้ค้ำประกันมีแต่แค่สามีที่เราจดทะเบียนด้วยโดยที่สามีไม่มีธุรกิจอะไร รายได้ไม่มากอะไร ไม่มีอสังหาริมทรัพย์อะไร มันจะเป็นการยากหรือเปล่าคะ ถ้าจะเซ็นสัญญาขอเช่าตึกจากแลนลอด บอกตรง ๆ มีแค่เงินสดค่ะ

 

โดย: koboko IP: 66.90.143.71 12 เมษายน 2553 12:48:05 น.  

 

อยากสอบถามคุณวิมากค่ะ ในกรณีที่เรากำลังเดินเรื่องขอกรีนการ์ด แต่สามารถทำงานได้ แต่เกิดสนใจอยากเปิดร้านอาหารด้วยเงินทุนก้อนนึง ซึ่งเคยทำในร้านอาหารไทยมาก่อน (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สามารถหาเงินทุนสำรองได้จากเมืองไทย) เราสามารถทำได้หรือไม่คะ แล้วถ้าอยากจะเซ็นสัญญาเช่า แต่เราไม่มีผู้ค้ำประกันมีแต่แค่สามีที่เราจดทะเบียนด้วยโดยที่สามีไม่มีธุรกิจอะไร รายได้ไม่มากอะไร ไม่มีอสังหาริมทรัพย์อะไร มันจะเป็นการยากหรือเปล่าคะ ถ้าจะเซ็นสัญญาขอเช่าตึกจากแลนลอด บอกตรง ๆ มีแค่เงินสดค่ะ

 

โดย: koboko IP: 66.90.143.71 12 เมษายน 2553 12:48:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]