กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนสอง

หลังจากที่ได้ทำ"ธุระ"เสร็จสิ้น พวกเขาต้องรีบไปรวมตัวกันที่กลางลาน ต่างต้องยืนเรียงแถว โดยมีคาโปตัวอ้วนยืนนำอยู่ข้างหน้า
            ทุกคนไม่มีสิทธิที่จะพูดอะไร นอกจาก ขานรับยามที่เบอร์ประจำตัวถูกเรียก อารอนได้เตือนว่า
            "พยายามทำตัวให้เงียบที่สุด อย่าให้เป็นที่สนใจ.. เขาว่าอะไรก็ตั้งใจฟัง"
            จาคเหลือบตาไปดูโดยรอบๆ สังเกตได้ว่า เขาคือผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด และไม่สมควรที่จะต้องมาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้"จดหมายสำคัญ" ฉบับนั้น !!


ในที่สุด คาโปอ้วนคนนั้นมีทีท่าพอใจกับความเป็นระเบียบของลูกแถว การนับได้สิ้นสุดลง..แต่นักโทษยังคงถูกปล่อยให้ยืนตากแดดอยู่เช่นนั้นต่อไป
            จาครู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ เพราะไอ้ซุปเจ้ากรรมนั่นเริ่มออกอาการทำพิษ เขากระสับกระส่าย..ใจหนึ่งก็อยากจะหันไปถามอารอนว่า เรากำลังคอยอะไรกันอยู่เนี่ย?
            แต่อีกใจหนึ่งบอกว่า เงียบๆ ไว้ดีกว่า

            เขาแอบชำเลืองมองพวกทหาร SS และพวกผู้คุมที่เดินไปมา หลายคนได้จูงสุนัขที่มีท่าทางกระหายเลือดมาด้วย สายจูงนั้นถูกรั้งจนสั้นเพื่อการควบคุม
            หากปล่อยไปที่นักโทษคนไหน นั่นก็หมายถึงความตายมาเยือน
            คาโป..รีบไปรายงานถึงการนับจำนวนนักโทษ จากนั้น ผู้คุมก็เป่านกหวีด ให้สัญญาณการเดินแถว..ไล่เรียงกันไป
            จาคเริ่มมีอาการเหนื่อยอ่อน..ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำงาน
            ตาอ้วนคาโป สั่งให้เขาไปหน่วยที่จะทำงานทางด้านขวา..ส่วนอารอนไปอีกทางหนึ่ง

            ส่วนขวาที่เขาเข้าไปรวมกลุ่มนั้น มีประมาณ 150 คน ต่างถูกสั่งให้เดินหน้าเรียงแถวไปยังป่านอกค่าย
            โดยมีหน่วย SS เดินคุมขนาบข้างด้วยมือที่กุมปืนในท่าพร้อมยิง ถ้าใครคิดขัดขืนดื้อดึง
            จาคพยายามเดินลากรองเท้านั่นไป พร้อมกับบอกตัวเองว่า ตั้งใจทำให้ดีที่สุด อย่าตกเป็นทาสของกระสุนเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็น !!
            และเมื่อมาถึงที่..ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเดินถึงสามไมล์
            จาคแทบทรุดฮวบด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะทั้งระยะทางที่หฤโหด รองเท้าที่เลวร้าย อาหารที่บูดเน่า
            ทุกอย่างรวมกัน บั่นทอนกำลังวังชาในการที่จะทำงานจนไม่มีเหลือ

            แต่พวกเขาก็ต้องทำทั้งวัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และ อย่างไม่มีการหยุดพัก และ ไม่มีการให้อาหารหรือน้ำ อุปกรณ์ในการทำงานมีแค่ขวานและโซ่ เพื่อล้มต้นไม้ใหญ่สำหรับเตรียมการสร้างถนน

            งานนี้เป็นงานหนักอย่างแสนสาหัส ยิ่งในยามบ่ายจัด ทุกคนกระหายน้ำแทบจะเป็นบ้า
            ทันใดนั้น นักโทษคนหนึ่งทำโซ่ฉุดต้นไม้ที่กำลังจะเขยื้อนขึ้นจากหลุมหลุดจากมือ ทำให้ต้นไม้นั้นหลุดกลับไปในหลุมดังเดิม
            นั่นหมายถึงการเสียเวลา เสียแรงงานที่จะต้องมาดึงกันใหม่
            ผู้คุมเข้ามาทุบตีนักโทษที่เคราะห์ร้ายคนนั้นจนสลบ..
            ขากลับ เพื่อนนักโทษต้องช่วยกันลากเขากลับไปยังค่าย
            มีคนมากระซิบข่าวให้ฟังว่า
            "เจ้าคนนั้นถูกยิงทิ้งไปแล้ววันก่อน..ถ้าทำงานไม่ได้ พวกมันไม่เอาเราไว้หรอก"
            จาครู้สึกเยียบเย็นไปทั้งร่าง เขาเริ่มเรียนรู้การรู้จักรักษาตัวรอดของนักโทษด้วยกัน ที่มีอยู่สองประเภท นั่นคือ
            พวกหนึ่ง คือพวกที่พยายามทำงานให้น้อยที่สุด เพื่อรักษาร่างกายให้ทนกับการถูกซ้อม
            อีกพวกหนึ่ง คือ พวกที่ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อรักษาตัวรอดจากการถูกซ้อม
            จาคเลือกที่จะเป็นประเภทหลัง..
            เขาจะพยายามทำงานอย่างแข็งขันให้เหมือนที่เคยทำมาในสมัยเป็นแรงงานรับจ้างใน เมือง..จะไม่ปริปากบ่น ..จะทำตัวดีๆ ให้เป็นที่พอใจ
            จะเป็นนักโทษที่ผู้คุมวางใจและมองเห็น"ค่า" ว่านักโทษเบอร์ 16013 นั้นจัดว่ายอดเยี่ยม
            ถึงแม้ว่าข้อสุดท้ายนั่นจะเป็นการฝันแบบลมๆ แล้งๆ แต่เขาก็ยังอดหวังไม่ได้


            เมือตอนกลับมาถึงค่าย..จาคเหนื่อยจนแทบทรงตัวอยู่ไม่ได้ อยากจะกลับไปนอนเหลือเกิน
            หากแต่ความหิว..ที่ทำให้เขาต้องมายืนเข้าแถว เพื่อการรับ
            "ขนมปัง" อันเป็นอาหารเย็น และความหิวนี่อีกเช่นกัน ที่เปลี่ยนมนุษย์ให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับสัตว์เข้าไปทุกที
            เพราะทันที่ที่เขาได้รับส่วนปันอาหารนั้นมา เขาถึงกับกุมมันไว้ในมือ อย่างไม่ให้หกตกหล่น

            คำแรกที่กัดกินเข้าไป ถึงกับติดคอจนแทบสำลัก ..มันเป็นขนมปังชนิดที่แปลกประหลาดที่สุดเพราะเต็มไปด้วยผงแข็งๆ แต่เขาก็ยังต้องฝืนใจขย้อนกลืนมันลงไป
            หลังจากนั้น เขาก็รีบเอามืออุดจมูก..ไปยังห้องส้วมเพื่อทำธุระส่วนตัว
            เมื่อถึงเตียง..เขาพบอารอนที่นอนอยู่เตียงข้างๆ ..จึงทักทายขึ้นว่า "วันนี้..คุณถูกส่งตัวไปที่ไหน?"
            เขาตอบว่า..
            "ถ้าไม่ใช่งานที่ต้องโกนหัวให้นักโทษใหม่แล้ว..ผมจะถูกส่งตัวไปตัดผมและโกน หนวดให้เหล่าทหาร SS งานก็ไม่มีอะไรหนักหนา หากแต่..ถ้าเกิดทำอะไรผิดพลาด หรือ ตัดผมผิดทรง..ก็อาจถูกยิงทิ้ง แต่ถ้าเขาชอบ ก็อาจได้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ ติดมือมาบ้าง..แล้วคุณล่ะ?"
            "ผมไม่เคยทำงานหนักอย่างนี้มาก่อนเลย..กินก็ไม่ได้กิน ขนมปังนั่น......."
            "อ๋อ..มันผสมขี้เลื่อยน่ะ"
            คำตอบนั้น..เล่นเอาจาคตะลึง..แทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน อารอนจึงเล่าต่อว่า
            "จริง..เขาใช้ขี้เลื่อยมาเป็นส่วนผสม รสชาติมันจึงเป็นอย่างนั้น"
            "ทุกครั้งเลยเหรือ?"


            อารอนถอนหายใจหนักๆ และกล่าวต่อว่า.."มันจะไม่ดีไปกว่านี้หรอกนะ มันให้พวกเราได้กินแค่นี้ก็ดีถม"
            และเขาเหลียวหน้าเหลียวหลังก่อนที่จะ
            ยื่นก้อนขนมปังบิสกิตมาให้จาคก้อนหนึ่ง..กระซิบว่า
            "วันนี้ ทหารเขาชอบทรงผมที่ตัดให้ เลยได้รางวัลมา"
            "โอ..ผมรับไม่ได้หรอก มันเป็นอาหารของคุณ" จาคฝืนใจปฏิเสธทั้งๆ ที่น้ำสายสอปาก
            "เอาไปเถอะ..ผมได้มาสองอัน รีบรับไป..ของกินน่ะจะได้มายังไงก็เอาไว้เถอะ คนในค่ายต้องตายลงไปมาก เพราะการอดอาหารนะคุณ"
            จาครับมาพร้อมกับซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเพื่อนนักโทษผู้อารี ที่สอนต่อไปว่า..
            "พรุ่งนี้นะ ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะไปอาบน้ำ เราต้องรักษาตัวให้สะอาด ไม่งั้นจะล้มป่วยได้ง่ายๆ ผมจะช่วยปลุกให้ แต่วันต่อๆ ไปต้องตื่นเองนะ"
            คาโปตัวอ้วนได้เดินเข้ามา..พร้อมทั้งกระบองที่แกว่งไกวในมือเหมือนเดิม..พร้อมทั้งคำรามว่า..
            "หุบปาก เลิกพูดกันซะที" จากนั้นหลอดไฟดวงเดียวที่มี..ก็ถูกปิดลง
            จาครีบกัดกินก้อนขนมปังในมือ กล้ามเนื้อทุกชิ้นในร่างกายปวดร้าวระบมไปหมด..ถ้าเพียงพรุ่งนี้ เขาต้องทำงานหนักอย่างเดิม
            เขาจะทนรับกับมันได้ไหมหนอ...?
            แต่..หนักอย่างไรก็ต้องทำ..เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีไปกว่านั้น..
            จาคคิดสรุปให้ตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จ ก่อนที่จะหลับผล็อยลงไป..!!


 จาคตื่นขึ้นมา..พร้อมกับรู้สึกว่าเนื้อตัวคันยิบไปหมดทั้งตัว มันคันชนิดทะลวงเข้าไปในรูผิวหนัง เขารีบสลัดผ้าห่มดู และได้ประจักษ์ต่อตาว่ามีตัวเรือดเกาะอยู่ยุ่มย่ามไปหมด  เขาและอารอนรีบออกไปต่อแถวรอการอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายจากหัวก๊อกที่มีเรียงรางด้วยน้ำที่ส่งมาตามท่อ   คาโป..ยังมีหน้าที่ตะโกนดุด่าให้ทุกคนเร่งรีบ..   อารอนสอนให้จาคทำการซักชุดยูนิฟอร์มอย่างเร็ว..รีบบีบให้สะเด็ดน้ำ แล้วเอามาใส่ทั้งชื้นๆ ซึ่งไม่นานก็แห้งแข็งคาตัว..  จาคเริ่มเป็นกังวลว่า..หน้าหนาวเห็นท่าจะใช้วิธีนี้ไม่ได้  แต่..ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าต้องทำร่างกายให้สะอาดให้มากที่สุด เพราะพวกตัวเหานั้นคือพาหะนำเชื้อโรคมาให้สารพัดชนิด เบาะๆ ก็ท้องร่วง ท้องเสีย   ข่าวลือว่า ค่ายอื่นๆ มีไข้รากสาดใหญ่และโรคบิดระบาดด้วย ซึ่งทั้งสองโรคนั้นจัดว่าร้ายแรงถึงขั้นล้มตาย   เขาหวังว่า มันคงไม่ระบาดมาถึงที่นี่...

    จากวัน..เป็นอาทิตย์ จาคเริ่มคุ้นเคยกับระบบการเป็นนักโทษมากขึ้น ว่า..กินให้น้อย ทำงานให้หนัก รักษาตัวเอง รักษาความสะอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   เลี่ยงการโดนทุบตี (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก) เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ก่อนได้ว่า เมื่อไหร่จะถูกผู้คุมลากออกจากแถวไปตื้บ..ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด  ไม่มีใครรู้ว่า กระบองจะฟาดมาที่ชายโครง..หรือ ถูกไอ้โอ๊บยันเข้ามาที่ท้องน้อยเมื่อไหร่   ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะพวกเขามีสิทธิทำได้ทุกอย่าง   ไม่มีใครมาห้าม..นักโทษตายคนเดียว เดี๋ยวก็มีมาแทนที่เป็นโหล

    "อย่าไปหวังว่าจะได้รับความปรานีใดๆ จากพวกผู้คุม เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ขอแค่ว่า อย่าโดนซ้อมหรือส่งหมามาไล่ฟัดเพราะพวกเขานึกสนุก ก็พอแล้ว"

            พวกคาโปนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง..พวกนี้เป็นนักโทษเหมือนกัน บางคนก็เป็นยิว..  ทุกคนจะมีปลอกแขนใส่เป็นสัญญลักษณ์ และอยู่ในอาคารพิเศษที่แยกออกไปจากนักโทษอื่นๆ และมีสิทธิพิเศษคือ เรื่องอาหารการกินที่ดีกว่า และดูแลเรื่องการส่งคนไปทำงาน    และพวกคาโปนี้ส่วนใหญ่คืออดีตนักโทษอาชญาที่อยู่ในคุกก่อนที่จะเกิดสงคราม พอมีการตั้งค่าย (นรก)   หน่วย SS ก็ไปเกณฑ์นักโทษขั้นประหารพวกนี้มาทำงานในการดูแลนักโทษแทน  คาโปบางคนก็มีอาการทางจิต บางคนก็ซาดิสต์ บางคนก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก   จาคพยายามทำใจไม่ให้เกลียดพวกผู้คุมเหล่านี้ เพราะ "ความเกลียด" ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา..มิหนำซ้ำ มันจะบั่นทอนสติปัญญา ขวัญและกำลังใจ   เขาพยายามจะคิดว่า ทุกๆ คนที่มาติดอยู่ในที่นี่ คือเหยื่อของสงครามที่โหดร้าย มันไม่ใช่เป็นความผิดของใคร..    ฉะนั้น..เขาจึงคิดทุกอย่างในทางที่ดีเข้าไว้

            พวกนักโทษที่ไม่ใช่ยิว แต่ละกลุ่มจะมีเครื่องหมายสังกัดเป็นสามเหลี่ยมตรงหมายเลขประจำตัว เพื่อเป็นการแยกประเภท    คาโปอ้วนนั่น..มีสามเหลี่ยมสีเขียว หมายถึง นักโทษเด็ดขาดข้อหาฆ่าคนตาย   นักโทษที่ร่วมอาคารเดียวกันกับจาค มีหลายคนที่มีสามเหลี่ยมสีแดง หมายถึงนักโทษการเมือง   สีดำ หมายถึง พวกยิบซี,  สีชมพู หมายถึง พวกรักร่วมเพศ  และ สีม่วง หมายถึง พวกที่อยู่ในคณะผู้นำทางศาสนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคาธอลิค หรือนิกายอื่นๆ  แต่บังอาจทำตัวต่อต้านฮิตเล่อร์

            แต่นักโทษส่วนใหญ่คือพวกสีเหลือง..หมายถึง ยิว..และเป็นพวกชั้นต่ำที่สุดในบรรดานักโทษด้วยกัน  กฏเหล็กของฮิตเล่อร์ที่บัญญัติขึ้นมา..นั่นคือ การนับว่าใครเป็นยิวนั้น..หมายถึง ปู่ย่าตาทวดคนใดคนหนึ่งมีเชื้อสายเป็นยิว..ลูกหลานทั้งหมดก็ถือว่าเป็นยิวตามกัน  ไม่ว่าจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาใดในปัจจุบัน   ไม่ว่าจะได้ผ่านพิธีล้างบาปตั้งแต่อ้อนแต่ออก หรือ แม้ว่าจะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในโรงสวดเลยก็ตาม  ในสายตาของฮิตเล่อร์ ทั้งหมดที่ว่ามานี่ก็คือ "ยิว" ที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

            คืนหนึ่ง ก่อนที่ผู้คุมจะเข้ามาดับไฟ..โมเช่..นักโทษรุ่นพี่ที่ผ่านการย้ายมาสี่ค่ายแล้ว..ได้เข้ามาแวะทักทายจาคที่เตียงดังที่เคยปฏิบัติเสมอๆ     และโมเช่คนนี้เองที่เคยเล่าให้เขาฟังว่า..เมื่อตอนที่ส่งตัวไปค่ายครั้งแรก ในโบกี้รถไฟที่อัดแน่นด้วยเชลยนั้น หลายคนได้หมดลมเพราะขาดอากาศหายใจเสียก่อนถึงที่หมาย   จาคเชื่อว่า ที่โมเช่ชอบมาคุยกับเขาเพราะว่าเห็นเป็นเด็ก   ในอดีต..โมเช่คือครูที่รักการสอน และจาคก็สนใจและชอบที่จะฟังความคิดเห็นของผู้สูงวัยคนนี้   คืนนี้..โมเช่มาเล่าถึงการปฏิบัติการในค่ายที่อยู่ว่า

            "อย่าคิดนะว่า มันจะใช้เราเพียงแค่ไปซ่อมสะพานเพื่อให้ทหารข้ามไปรบในแนวหน้าเท่านั้น..ไอ้หนูเอ๊ย..แกไม่รู้หรอกว่าทุกอย่างในค่ายนี้มันคือ..ธุรกิจ..   ไอ้พวกคนหนุ่มน่ะ มันส่งออกไปรบจนหมด เหลือก็แต่พวกผู้หญิงที่ต้องไปทำงานในโรงงาน ทีนี้ไอ้พวก SS มันก็เอาพวกเรานี่แหละ ส่งไปทำงานและรับเงินแทน    บางคนรับจนรวย จากน้ำพักน้ำแรงของพวกเราแท้ๆ ..ไอ้โรงงานพวกนั้น มันก็โรงงานนรกดีๆ นี่เอง"

            โมเช่เล่าต่อว่า.."และไม่ใช่ว่าพวกยิวจะทำงานได้ทุกคนนะ ไอ้หนูรู้ม๊ะ..ว่า ฮิตเล่อร์มันทำอย่างไรกับคนพวกนั้น" เสียงโมเช่เริ่มเปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบว่า.."เราได้ข่าวมาว่า บางค่ายมันกวาดต้อนคนเอาไปฆ่าทันที ไม่ใช่เอามาทรมานให้ทำงานจนตายไปทีละนิดอย่างที่ค่ายของเรา พวกค่ายมรณะพวกนั้น มันจะส่งนักโทษทำทีว่าให้ไปอาบน้ำ แต่แล้วมันก็ผนึกประตูห้อง..ส่งแกสเข้าไปแทน และก็ลากศพไปเผา"

            จาคไม่เชื่อเรื่องที่โมเช่เล่ามาแมัแต่นิด "เขาจะฆ่าพวกเราไปทำไมล่ะ..?"

            โมเช่..ทำเสียงเครียดบอกว่า "ก็เพราะพวกเราเป็นยิวน่ะซิ ฮิตเล่อร์มันต้องการล้างพวกเราให้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ และนี่คือความจริง"

            จาครีบไปเล่าต่อให้อารอนฟังถึงเรื่องที่ได้ยินมา   อารอนตอบว่า

            "ผมก็ได้ยินพวกข่าวลือพวกนี้ อย่าไปสนใจเลยนะ ไม่ว่าพวกนาซีจะเป็นยักษ์เป็นมาร หรือพวกมันจะต้องการให้เราตาย มันก็ทำมาหมดแล้ว    คุณเคยไปอยู่ในสลัมใช่ไหมล่ะ..ยังจำได้ถึงความลำบากไหม..สำหรับผมนะ มันไม่ให้อะไรกินเลย ครอบครัวของผมก็ตายกันหมด   ตอนที่ไปตัดผมให้ทหาร ผมก็เห็นเหล่านักโทษที่เชื่อว่าจะมีสภาพอยู่ได้ไม่เกินวัน เกินพรุ่ง   ไม่ใช่เพราะว่าเขาอ่อนแอ ไม่ใช่เพราะว่าเขาทำงานไม่ได้ หากแต่ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพที่ขาดอิสรภาพต่างหาก"

            "ผมสงสารคนพวกนี้มากเลยนะ..คุณล่ะว่าไง?"

            "ไม่ละ" อารอนตอบห้วนๆ

            "ไม่จริงหรอก..พวกนี้น่าสงสารจะตาย ผมเชื่อว่าใครๆ ก็ต้องคิดอย่างนั้น"

            "จาค..ฟังนะ..ที่นี่คือที่จบสิ้นอันเป็นปลายทางความทุกข์โศก จงคิดถึงแต่ตัวเองและคนที่ใกล้ที่สุด ถ้ามีจิตใจที่อ่อนไหว อ่อนโยนอย่างนี้จะเอาตัวไม่รอด"

            จาคก็ได้แต่ฟัง แต่เขาก็คงทำไม่ได้ เพื่อนนักโทษรอบข้างต่างพากันล้มตายเพราะความอดอยาก ก่อนตายพวกเขาอยู่ในสภาพที่สกปรกโสมม เจ็บป่วย   บางคนส่งเสียงพึมพำ บางคนร้องไห้หาลูกเมีย   บางคนก่นด่าพวกนาซีและฮิตเล่อร์...รวมทั้งพระเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์

            แต่คนอย่างอารอน ที่ทำตัวให้เข้มแข็งจนเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ ได้นั้น บางครั้งจาคก็ยังสงสัยว่า เขาทำได้อย่างไร หรือมีเคล็ดลับแห่งความอยู่รอดอย่างไร    วันหนึ่ง ขณะที่อารอนตัดผมให้จาค เขาสอนว่า..

            "คิดไว้นะ ว่า ทุกอย่างก็เหมือนกับการเล่นเกมเอาชนะ.. ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเจ็บแค้น ไม่ต้องคิดถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้น..คิดอย่างเดียวว่า..  ทำอย่างไรเราจะต้องอยู่รอด ไม่ให้มันฆ่าเราได้ และ พยายามรักษาชีวิตให้อยู่นานที่สุดเพื่อ..รอดูความล่มสลายของมัน.."

            "เล่นเกมเอาชนะ"..จาคเก็บเอามาคิด จริงซิ..   ความยากลำบาก..ทุกอย่างก็เคยทำมาแล้วสมัยที่ต้องเป็นแรงงานรับจ้างในหมู่บ้าน  และกฏในการที่จะดำรงอยู่ข้อต่อๆ ไป   เช่น..ต้องรู้จักหาอาหารมากินเอง..  จาคก็เรียนรูว่า..เวลาที่เดินออกไปทำงานผ่านไร่..จงส่ายตาหามันฝรั่ง หรือหัวแครอทที่ตกๆ หล่นๆ หรืออะไรก็ตามที่เก็บกินได้   และ..ต้องเคร่งวินัยและพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดไม่ให้เป็นที่สนใจ และต้องช่วยเหลือเพื่อน เพราะ ถ้าไม่มีเพื่อนก็จะเอาตัวไม่รอด    ต่อมา..คือ ต้องแข็งแรง ..ทุกๆ เช้า หลังจากที่ได้กินซุปใสๆ นั่นแล้ว..ต้องพยายามทำตัวให้สะอาด แม้ว่าไม่มีสบู่ ไม่มีแปรงสีฟัน ไม่มีผ้าเช็ดตัว..   แต่..น้ำขันเดียวก็ใช้ได้     ถ้าเกิดปวดฟันขึ้นมา..ต้องทนความปวดนั่นให้ได้ หรือ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะดึงมันออก   ไปตัดผมเดือนละครั้ง ตามโควต้า    ยอมทรมานร่างกายโดยอาบสารเคมีฆ่าเหา (แม้ว่ามันจะกลับมาอีกก็ตาม)   นี่คือการเล่นเกมเอาชนะทั้งสิ้น..เพียงแต่..ถ้าแพ้..ก็หมายถึงไม่มีชีวิตเหลือรอดอย่างที่หวัง..

            หกเดือนผ่านไป จาคผอมลงมาก แต่แกร่งขึ้น เขารู้จักวิธีต่อสู้กับเหา..และ..ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหน เขาก็ยังต้องอาบน้ำ ซักเครื่องแบบ (ในวิธีที่ให้เปียกไปกับตัว)    ด้วยความอุปถัมภ์บางครั้งบางคราวของอารอน เขาก็ยังพอมีอาหารมายาใส้ บางทีที่หิวมากๆ จาคถึงขนาดขูดเปลือกไม้มากิน หรือ เก็บกินเห็ดที่ขึ้นในป่า ทั้งๆ ที่อาจเป็นเป็นอันตรายถึงชีวิต




Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:00:16 น. 0 comments
Counter : 1253 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]