กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนสิบ

            สิ่งแรกเลยที่นาซีได้ทำ นั่นคือ แจกวิทยุ 100,000 เครื่องให้กับชาวออสเตรียนคริสเตียน  
            แล้วพวกวิทยุนั่น..พวกเขาได้มาจากไหน..ก็จากพวกเราชาวยิวอย่างไรเล่า
            เพราะหลังจากที่มีการรวมประเทศเข้าด้วยกัน พวกยิวทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ออกมามอบเครื่องพิมพ์ดีด และวิทยุที่มีทั้งหมด เพื่อวัตถุประสงค์ไม่ให้มีการติดต่อกับโลกภายนอก
            หัวหน้าการขจัดยิวในออสเตรียที่ได้รับการแต่งตั้งจากเยอรมันคือ SS ตัวเอ้  อดอล์ฟ ไอค์มันน์  ซึ่งนายนี่ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งและเข้มงวด โดยการสร้างความลำบากอย่างที่สุดให้กับยิว

            ผู้ที่ต้องการจะอพยพไปจากพื้นที่  ถ้าเป็นคนรวย..ต้องเซ็นยินยอมยกสมบัติทั้งหมดให้กับรัฐบาล  
            คนที่มีฐานะปานกลางค่อนข้างดี ต้องจ่ายค่าหัวด้วยราคาแพงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายได้หมด ถึงกับต้องเลือกเอาว่า จะเลือกลูกคนไหนที่จะอยู่หรือไป..

            ถนนหนทางเต็มไปด้วยนักเลงในเครื่องแบบชุดสีน้ำตาล(SA) ที่มีปลอกแขนเป็นเครื่องหมายสวัสดิกะ..ทั้งหมดมีอาวุธปืนที่จ่อเข้าหาประชาชน และถ้าใครขัดขืนก็มีสิทธิทุบตี หรือยิงตายตามความชอบใจ
            หรือ อาจถูกส่งเจ้าค่ายทรมานที่ดักเฮา , บัคเชนวัลด์ หรือที่ค่ายอื่นๆที่พวกเขาเตรียมไว้พร้อม
            (ในตอนนั้น ค่ายกักกันที่ว่า มีเอาไว้เพื่อขังนักโทษการเมือง ที่ต่อต้านนาซี  อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา นาย ฟอน ชูสชนิคค์ ก็ถูกจับเข้าขังในค่าย ซึ่งต้องทำงานแบกหามเป็นการลงโทษ แต่พวกเขาก็ได้ออกมา จ
            นกระทั่ง 1940 พวกค่ายต่างๆเหล่านี้จึงกลายเป็นค่ายนรกที่คร่าชีวิตผู้คน ไม่มีใครเลยสักคนที่จะคิดว่า ค่ายนรกที่ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอย่างเอาซวิทซ์จะมีขึ้นในโลก)

            ฉันจะอธิบายอย่างไรถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนาซีได้ย่างเท้าเข้ามา..
            พวกเราเคยผ่านความยากลำบากตั้งแต่ครั้งภาวะฝืดเคือง  ขาดแคลน แต่คราวนี้มันเกินเลยไปจนเทียบไม่ได้
            เพราะผู้คนรอบข้างเรา เพื่อนบ้านเรา ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกหยามเหยียดผิว แบ่งแยกวรรณะ  อคติกันขึ้นมาอย่างกระทันหัน  คำว่าอคติ นั่นยังสุภาพเกินไปด้วยซ้ำ
            เพราะจริงๆแล้ว..
            พวกเขาเกลียดเรามาตั้งแต่เริ่มมีศาสนา
            พวกเขาเกลียดเรามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
            พวกเขาถูกเลี้ยงดูมาให้เกลียดพวกเรา
            และตอนนี้  ออสเตรียได้รวมเข้าไปเป็นทองแผ่นเดียวกันกับเยอรมัน  พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมา
            เสแสร้งตีหน้าเป็นมิตรกันอีกต่อไป..

            ตามบาทวิถี..ที่มีการเขียนข้อความต่อต้านนาซี..เหล่าทหารหน่วย SS จะลากคอชาวยิวเท่าที่จะคว้ามาได้ ให้มานั่งขัดถูจนสะอาด ด้วยปืนที่จ่อติดสมอง..ท่ามกลางเสียงเชียร์รอบข้างจากชาวเมืองด้วยความสะใจ

            พวกนาซีออกรายการวิทยุรายวัน ที่ฟังแล้วออกสับสน รายการหนึ่งเขาเรียกเราชาวยิวว่า..ไอ้เศษเดนมนุษย์ ไม่มีค่าอะไรเลย..
            แต่อีกรายการหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า พวกเราคือพวกที่มีอิทธิฤทธิ์เกินมนุษย์ เพราะสามารถวางแผนการทำลายล้าง  สามารถปล้นทุกอย่างได้ไปจากชาวโลกทุกคน
            และ พวกเขาคือ กลุ่มที่จะมากอบกู้ให้มนุษย์ได้รอดพ้นไปจากเงื้อมมือมหาโจรอย่างเรา..
            นั่นเท่ากับว่า..บ้านที่เราอยู่อย่างแสนสบาย   เก้าอี้บุหนังที่โก้หรู หรือของทุกชิ้นที่เรามี..เราปล้นเขามาหมดเลยอย่างนั้นหรือไร..
            เขาลืมไปกระมัง..ว่าพ่อของฉันต้องทำงานจนสายตัวแทบขาด เหนื่อยจนล้มตายคาที่ทำงาน..เพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว..
            พวกเพื่อนบ้านและคนที่รู้จักเรา ต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า นั่นคือความจริง..แต่..พวกเขาก็ต่างทุกข์ยาก ฝืดเคือง ตกงาน  ไม่มีทางไหนที่จะกลับคืนฟื้นฐานะได้อย่างเดิม
            นอกจาก..ต้องเออออห่อหมกการสนับสนุนให้ปล้นทรัพย์สินไปจากชาวยิวเพื่อเอามาแบ่งปันกันให้อยู่ดีกินดีขึ้น..

            นี่คือโปสเตอร์ที่ใช้ในการโปรประกันดาสอนให้เด็กเกลียดและกลัวยิว
            V
            V
            V

            เราทั้งหมดนั่งหวาดผวาอยู่แต่ในบ้าน มีความหวังอยู่อย่างเดียวว่า..เมื่อไหร่เมฆหมอกร้ายๆนี่จะผ่านไปเสียที  เฝ้ารอว่าความสงบสุข  ความสวยงาม และความอ่อนไหวของเสียงเพลงแห่งเวียนนา อาจจะทำให้พวกเขาลดความกระด้างลงไปบ้าง..
            แต่เราก็ได้แต่คอยแล้ว คอยเล่า

            มิหนำซ้ำกฏข้อห้ามของยิวเริ่มมีบทบาทที่รุนแรงขึ้น เช่น..พวกเราไม่อนุญาตให้ไปโรงมหรสพใดๆ  ไม่อนุญาตให้ใช้ถนนบางสาย เพราะ ร้านค้ายิวจะถูกปิดป้ายห้ามคนเข้าไปอุดหนุน
            มิมี่ถูกคำสั่งพักงานจากร้านซักรีดที่ทำอยู่ เพราะ เจ้าของร้านที่เป็นคริสเตียนไม่สามารถจ้างแรงงานยิวต่อไปได้  ฮันซี่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน

            ลุงริชาร์ดไปที่ร้านกาแฟเจ้าประจำที่เคยไปทุกวันติดกันมายิ่สิบปี..บริกรที่ไม่รู้จักลุง ได้พาไปนั่งที่ฝั่ง"อารยัน" เพราะลุงมีผมสีอ่อน หน้าตาไม่เหมือนยิว..
            แต่ที่ฝั่ง"อารยัน" บริกรที่นั่นรู้จักลุง..และรู้ว่าลุงเป็นยิว  จึงเชิญให้ลุงกลับไปนั่งที่ฝั่งเดิม..
            ยุ่งยากนัก..ลุงเลยไม่กิน  ไม่เกิน กลับบ้านทันที..และไม่ไปที่นั่นอีก..

            ท่านบารอน หลุยส์ เดอ รอธส์ไชลด์ หนึ่งในมหาเศรษฐี(ยิว)ที่รวยที่สุดในเวียนนา พยายามที่จะเดินทางออกนอกประเทศ..แต่ที่สนามบิน เขาได้ถูกจับกุม และส่งเข้าห้องขัง
            ไม่ปล่อยจนกว่า ท่านบารอนจะเซ็นยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้รัฐบาล ซึ่ง นั่นคือวิธีการซื้อชีวิต ที่ท่านต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ
            มาถึงตอนนี้..ใครๆก็อยากจะออกนอกประเทศกันทั้งนั้น

            "บางทีเราอาจจะไปอยู่ที่ปาเลสไตน์กันก็ได้นะ"  ฉันชวนเปปปิในวันหนึ่ง
            "คุณน่ะเหรอ..แม่ทูนหัว ..ที่จะไปลำบากทำงานในไร่น่ะ" เขาหยอกเย้าอย่างเห็นขัน พร้อมทั้งจับมือฉันขึ้นมาพิจารณา พร้อมกล่าวต่อว่า
            "เดี๋ยวมือนุ่มๆนี่..ก็ด้านหมดหรอก"



            ฉันไปยืนเข้าแถวรอคิวที่ยาวเหยียดที่หน้ากงศุลของอังกฤษติดๆกันหลายวัน  
            เพื่อที่จะขอสมัครออกไปทำงานเป็นแม่บ้านที่นั่น  ซึ่งดูเหมือนว่า หนทางนี้คือยอดปรารถนาสาวยิวทุกคนในเวียนนา
            มีชายชาวจีนได้เข้ามาชักชวนว่า ถ้าใครสนใจจะไปทางตะวันออกก็ยินดีช่วยเหลือ ทั้งพาสปอร์ตและค่าใช้จ่าย..ไปสู่ดินแดนที่มีทั้ง กำแพงยักษ์ พระราชวังของมหาจักพรรดิ์
            และถ้าตัดสินใจก็ไปได้เลย
            เขามีรถพร้อมที่จะพาออกไปจากออสเตรียได้ในวันนี้ พรุ่งนี้
            ซึ่งเชือว่าก็ต้องมีคนสนใจไปกันไม่น้อย  ลูกพี่ลูกน้องของฉันที่ชื่อ เอลลิ โชคดีที่ได้รับเลือกให้ไปอังกฤษ แต่ส่วนฉันยังต้องคอยต่อไป..

            บ่ายวันหนึ่ง..ฮันซี่ไม่ได้กลับมาบ้าน  แม่นั่งร้องไห้กระซิก เราสองพี่น้องออกไปตามหากันในทุกที่ที่ไปได้ แต่ก็ไม่พบ..
            ทุกคนเริ่มเป็นกังวลจนแทบครองสติไม่ได้ เพราะ ใครเล่าจะไม่ห่วง ในเมื่อสาวน้อยหน้าตาดี วัยขบเผาะอย่างฮันซี่จะหายไปในเมืองที่มีแต่ความโหดร้ายต่อชาวยิว

            จนในที่สุด ฮันซี่ก็กลับมาในเวลาเที่ยงคืน..เธอหน้าซีดเผือด ตัวเนื้อสั่นเทา เล่าว่า..
            พวกนาซีจับตัวเธอไปที่สถานีที่ทำการ เอาปืนจ่อหัวและสั่งให้เธอนั่งติดกระดุม  เย็บซ่อมเครื่องแบบที่กองพะเนินเทินทึก
            ในห้องข้างๆ เธอได้เห็นพวกนาซีได้จับเหล่าสาธุคุณรับไบ มารวมกัน แล้วเอาปืนจ่อให้พวกท่านทำท่าตลก ตีลังกา แล้ว..พวกเขาก็นั่งหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
            ฮันซี่..ทนดูภาพทุเรศๆนั่นไม่ได้ จึงต้องร้องกรี๊ดออกมา..  ไอ้พวกนั้นบอกเธอว่า ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ..
            และสั่งให้เธอทำงานจนเสร็จ จึงได้ปล่อยตัวออกมา..
            ฮันซี่พูดด้วยเสียงแผ่วๆว่า.
            "เราต้องไปจากที่นี่กันเถอะ แม่จ๋า.."  

            แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆดังที่ปากว่า..การแก้ใขปัญหาคือ ถ้าเป็นคู่สมรสจะมีสิทธิได้รับบัตรออกนอกประเทศได้ง่ายกว่าคนโสด ดังนั้น มิมี่จึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกับมิโลคู่รักหนุ่ม


            ฉันจึงอ้อนต่อเปปปิว่า "งั้นเรามาแต่งงานกันมั่งเถอะ"
            เขายิ้มนิดๆ ยักคิ้วล้อๆว่า " อ้าวไหนสัญญากับพ่อไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่แต่งงานกับคริสเตียนน่ะ"
            ใช่ซิ..ตอนนี้เปปปิกลายเป็นนับถือศาสนาคริสต์ไปแล้ว เพราะแอนนาแม่ของเขาพยายามทำทุกวิถีทางให้เขาต้องพ้นไปจากข้อบังคับยิวของกฏหมายแห่งนูเรมเบอร์ค
            ในมาตราที่ออกมายกเลิกเพิกถอนสิทธิในการเป็นพลเมืองของชาวยิวในประเทศเยอรมันและออสเตรีย
            แอนนาพาลูกชายวัย 26 ปีเข้าโบสถ์ไปทำพิธีล้างบาปและเข้ารีต
            อีกทั้งใช้เส้นสายและอำนาจทุกชนิดที่มีลบชื่อของเขาออกจากสมาคมยิวไปได้อย่างหวุดหวิด
            ฉะนั้น ไม่ว่า นายไอค์มันน์จะนับแล้วนับอีกอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะพบชื่อของ Josef Rosenfeld ในบัญชี
            "แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรหรอกนะ เพราะกฏหมายนูเรมเบอร์คนั้นมีผลใช้ย้อนหลังได้  แถมคุณมาเป็นคริสต์ในปี 1937  ในขณะที่กฏหมายมีผลบังคับใช้
            ตั้งแต่ปี 1936  ยังไงก็ผิดอยู่ดี"  ฉันแย้งตามประสาคนรู้กฏหมาย
            "จุ๊..จุ๊..รู้แล้วก็อย่าไปบอกกับแม่ผมก็แล้วกัน เพระแม่เขาคิดว่าเขาเก่งที่ทำให้ผมรอดออกมาแล้ว  ขืนรู้เดี๋ยวก็จะกังวลจนเสียประสาทไปใหญ่"
            แล้วเขาก็ก้มลงจูบฉันนิดหนึ่ง..แค่นี้ก็ทำให้ฉันถึงกับเคลิบเคลิ้มจนลืมเรื่องที่ขอเขาแต่งงานไปเมื่อสักครู่เสียสนิท..


            ในภาพ..สาวน้อย..อีดิธ ที่เรากำลังพูดถึงค่ะ..


            อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่ยอมให้เรื่องยุ่งๆของการเมืองมาขวางกั้นการเรียน..
            การสอบทั้งสองครั้งฉันทำได้ดี ผ่านด้วยคะแนนที่น่าภูมิใจ
            เหลืออีกครั้งเดียว การสอบครั้งสุดท้าย ที่จะทำให้ฉันเป็น ผู้พิพากษา และ เป็นดุษฏีบัณฑิตทางกฏหมายดังที่รอคอย
            และเมื่อฉันได้รับปริญญาบัตร มีความรู้ติดตัว..จากนั้นการที่จะไปประเทศไหนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

            ในเดือน เมษายน 1938  ฉันไปที่มหาวิทยาลัย เพื่อลงชื่อและยื่นใบสมัครสอบ  พนักงานสาวคนที่คุ้นเคยหน้ากันได้เข้ามาบอกว่า
            "เธอไม่มีสิทธิสอบนะ อีดิธ เพราะทางมหาวิทยาลัยได้คัดชื่อเธอออกแล้ว"  แล้วเธอคนนั้นก็ส่งเอกสารตรงหน้ากลับคืนมาทั้งหมด
            ฉันเข่าอ่อน จนแทบยืนไม่ติดพื้น ต้องอาศัยยันร่างไว้กับโต๊ะ..
            อะไรกันนี่..ความยากลำบากที่เฝ้าเพียรพยายามมาตลอดห้าปี ที่ต้องคร่ำเคร่งกับตำราทุกชนิด
            อีกทั้งการฝึกงานกับผู้พิพากษาอาทิตย์ละสามครั้ง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบครั้งสุดท้ายนี่..
            มันไม่มีค่าอะไรเลยเจียวหรือ
            ฉันลงทุนกราบกรานอ้อนวอน..
            "กรุณาเถิดค่ะ..เหลือการสอบเพียงครั้งเดียว ฉันก็จะจบแล้ว..ได้โปรดเถิดค่ะ..กรุณา.........."
            หล่อนคนนั้นหมุนตัวกลับไปอย่างไม่ใยดี ด้วยท่าทางที่มีความสะใจอย่างลึกๆ..ผยองในอำนาจของตัวเองที่สามารถบดขยี้ชีวิตของฉันแหลกสลายไปได้ต่อหน้าต่อตา..




Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:33:07 น. 0 comments
Counter : 1012 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]