กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนยี่สิบสาม

            ค่ำๆวันหนึ่งที่เขาต้องทำงานดึก ฉันมีโอกาสได้อยู่คนเดียวในบ้าน สายตาจ้องเขม็งไปวิทยุ และที่กระดาษที่ยัดไว้ตรงปุ่มหมุนหาคลื่น ในใจคิดว่า
            "หากเอามันออกล่ะ.." อีกใจหนึ่งก็ตอบว่า
            "อย่าเลย.."
            "น่าจะลองขยับดูนะ" คราวนี้ ฉันรู้สึกเหมือนว่า..เจ้ากระดาษนั่นส่งเสียงมา
            "โอย..ไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็โดนส่งไปค่ายนรกที่ดักเฮา หรือ บุชเชิ่นวอลด์ หรอก " ฉันตอบกลับไปด้วยรู้สึกที่แหยงๆ
            "กลัวละซิ..งั้นก็จงโง่เง่าต่อไปก็แล้วกัน" ฟังมันว่า..
            ฉันรีบหันหลังให้กับเจ้าวิทยุนั่น..คิดอยู่คนเดียวว่าตัวเองนั้นท่าจะบ้าตามไปกับเวอร์เน่อร์ซะแล้วกระมัง..พูดกับกระดาษก็ได้ จึงหันหางานทำโดยการไปเช็ดถูพื้นครัว
            แต่เสียงของกระดาษนั่นยังตามมารังควานไม่หาย..
            "นี่..คุณนาย รู้ป่าวว่า ตอนนี้อีกคลื่นนึงใกล้ๆกันนี่นะ ข่าวจากไหน..จะบอกให้ก็ได้ว่า..จากบีบีซีเชียวนะยะ"
            "ไม่รู้ไม่ชี้"
            "ยังมีคลื่นจากมอสโคว์ด้วยละ"
            "อ้อ..ไหนจะ Voice of America อีก"
            "หุบปากได้ไหม?"
            "ลืมบอกไปว่า..เขาออกอากาศเป็นภาษาเยอรมันด้วยนะ"
            เสียงห้องข้างบนกำลังตอกตะปูบนฝาห้องดังกึงๆ อันเป็นกิจวัตรประวันค่ำคืนของเขาหลังเลิกงาน ส่วนภรรยาที่มีนามว่า คลาร่า มักชอบร้องเพลงเสียงลั่นในยามทำงานบ้าน
            เช่น ถูบ้าน รีดผ้า..
            เจ้ากระดาษได้ส่งเสียงมาสั่งสอนต่อว่า
            "เคยได้ยินบทกวีบทนี้ของเกอเต้บ้างไหม..ที่ว่า..ทำตัวขี้ขลาดหนึ่ง ไม่ใส่ใจหนึ่ง หงุมหงิมขี้อายหนึ่ง ขี้บ่นหนึ่ง มิสามารถชี้ทางพ้นทุกข์ให้ใครได้ไม่.."
            เท่านั้นเอง..สติของฉันก็ขาดผึง..เอื้อมมือไปสะกิดเจ้ากระดาษชิ้นนั้นให้หลุดออกไปวิทยุทันที
            เสียงของการตกฝาโป้งๆข้างบนนั้น ได้กลบเกลื่อนให้ได้เป็นอย่างดี
            และ..นั่นคือครั้งแรกที่โสตประสาทหูของฉันได้สัมผัสกับสถานีวิทยุบีบีซี..

            เวอร์เน่อร์กลับาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน ก่อนเข้านอน ฉันได้กระซิบบอกเขาเบาๆว่า
            "ฟังนะ..วันนี้ฉันได้ฟังข่าวจากบีบีซี เขาว่า..ทหารเยอรมันเกือบสามแสนคนที่ไปในสงครามสตาลินกราด มีเพียงสี่หมื่นกว่าคนเท่านั้น ที่เหลือรอด
            ที่ตายไปอย่างทรมานก็แสนสี่หมื่นคน และที่ถูกจับไปเป็นเชลยก็อีกเกือบแสน พวกเชลยนั่นก็อยู่ในสภาพที่อดอยาก หนาวจนเนื้อหลุดเพราะต้องเดินในหิมะ
            ที่ได้กลับมาถึงเยอรมันจริงๆนั้น มีแค่หกพันคนเอง"
            ทันทีที่ได้ฟัง..น้ำตาของเวอร์เน่อร์ไหลพรากจนฉันตกใจ
            และจากจุดนั้นเอง..ฉันได้แอบฟังข่าวจากต่างประเทศวันละสามสี่ครั้ง โดยเวอร์เน่อร์ก็เข้าร่วมฟังด้วย
            ข่าวจากมอสโคว์มักเชื่อถือไม่ค่อยได้ มักเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
            "Tod der Deutschen Okkupanten!" ใจความคือ..แช่งมาก่อนเลย ว่า ขอให้พวกเยอรมันจงชิ..หาย ตายโห..!!
            ส่วนบีบีซี ก็มักมีการใส่สีตีใข่พอสมควร
            ส่วนเสียงอเมริกาก็ฟังไม่ค่อยชัด
            ที่ดีและน่าเชื่อถือที่สุด คือ Beromunster of Switzerland
            เรื่องข่าวสารต่างๆที่ได้แอบฟังนั้น เราได้บอกต่อไปยังป้าพอลล่าด้วยในยามที่เธอแวะมาหา ซึ่งเธอได้เขียนโน๊ต
            กลับมาเป็นนัยๆว่า ขอบคุณสำหรับรูปภาพสวยๆ

            วันหนึ่งที่ฉันได้เดินไปหาเพื่อนบ้าน คุณนายซิคเกลอร์ หูฉันได้แว่วๆเสียงของข่าวจากบีบีซีที่คุ้นๆหูลอดอออกมาจากห้องของคลาร่า
            ตรงนั้นเอง..ที่ฉันได้เข้าใจดีถึงเสียงการตอกตะปู และเสียงร้องเพลงที่มักได้ยินรายวันนั้นว่า..นั่นคือการกลบเกลื่อนเสียงวิทยุนั่นเอง
            ทุกคนต่างแอบฟังสถานีต่างประเทศอย่างเราด้วยกันแทบทั้งนั้น
            แต่ยามที่อยู่กันนอกบ้าน เวอร์เน่อร์สวมบทบาทของชาวเยอรมันที่รักชาติ เทิดทูนบูชาท่านผู้นำอย่างหมดใจได้อย่างดี เพราะเพื่อนร่วมงานของเขามักมาพูดกับฉันบ่อยๆว่า
            "จริงของเวอร์เน่อร์เขาเลยนะ ที่ว่าอีตาเชอร์ชิลล์นั่นมันก็ไอ้ผู้ดีขี้เมาธรรมดาๆนี่เอง คนอังกฤษเองยังเกลียดมัน ไม่มีสนับสนุนมัน ไม่มีใครรักเหมือนอย่างท่านผู้นำของเราได้รับเลยแม้แต่นิด ไม่นานหรอก..ผู้คนเขาก็ไม่เล่นด้วยกับมัน อังกฤษก็จะเป็นของเราในที่สุด"
            อีกคนหนึ่งก็ว่า..
            "เวอร์เน่อร์พูดถูกนะว่า..ท่านผู้นำเนี่ย..ท่านแสนฉลาดรอบรู้ไปหมด"
            เชื่อได้เลยนะ ว่า คนที่ถูกกล่าวขวัญถึงเนี่ย..คือคนเดียวกันกับคนที่กินอยู่หลับนอนกับสาวยิว แถมยังแอบฟัง
            วิทยุข่าวสารต่างต่างประเทศทุกคืนอีกต่างหาก

            การทำงานเป็นอาสากาชาดของฉันนั้น ช่างดีเหลือหลาย เพราะได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องไปปั๊มบัตรปันส่วนรายเดือนอย่างพวกประชาชนคนอื่นๆ
            อย่างเวอร์เน่อร์นั้น จะได้รับแจกบัตรปันส่วนจากที่ทำงาน ส่วนฉันเมื่อก่อน..จะต้องไปที่สำนักงานด้วยตัวเอง ที่มันเป็นการเสี่ยงอย่างน่ากลัวที่สุด
            เพราะมันเป็นของคริสตัล แม่เพื่อนสาว..
            เกรงว่า..สักวันหนึ่งต้นขั้วของมันจะเกิดมาจ๊ะกัน..แล้ว..การสืบสวนจะตามมาว่าคนไหนคือตัวจริง คนไหนคือตัวปลอม..
            ซึ่งฉันจะต้องระวังตัวอย่างที่สุด ด้วยเกรงว่าความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสนั้นจะตกไปถึงคริสตัลได้
            ดังนั้น ฉันจึงพยายามอยู่อย่างกระเบียดกระเสียนเท่าที่มีอยู่
            จนกระทั่ง..ในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ที่ฉันได้รับการบรรจุเข้าเป็นอาสากาชาด ในแผนกจัดเตรียมอาหารให้คนป่วย
            ฉันจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้บัตรปันส่วนอีกต่อไป เพราะ มีเงินเดือนเดือนละ สามสิบด้อยช์มาร์ค ซึ่งความจริงไม่ได้ถือว่าเป็นเงินเดือนจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นค่าขนมจะดีกว่า
            แต่มันก็ดีกว่าเงินที่เคยได้รับจากการทำงานในโรงงานนรกที่ผ่านมา..
            แถมในการทำงานก็มีการเลี้ยงอาหารทุกมื้อ ซึ่งทุกคนทานพร้อมกับกลุ่มพวกพยาบาลที่มีการขอพรพระเจ้าก่อนลงมือรับประทาน
            จนกระทั่งในฤดูใบไม้ผลิของปี 1943 จึงได้มีการสั่งห้ามการสวดมนต์ทุกชนิด
            บนเครื่องแบบของฉัน จะมีเข็มกลัดตรากาชาดที่มีเครื่องหมายสวัสดิกะเด่นอยู่ตรงกลางที่พวกเราจะต้องติดอยู่บริเวณเหนือหัวใจ ซึ่งฉันฝืนใจทำตามไม่ได้
            พยายามเลี่ยงไม่ติด พวกพยาบาลจึงมักต้องเตือนเสมอ แต่อาศัยที่ว่า ฉันได้ทำหน้าซื่อเข้าใส่ ทำตาบ้องแบ้ว..อ้อมแอ้มตอบไปว่าลืมบ้าง..หรือ หายไปแล้วบ้าง
            ซึ่งต่อๆมา..พวกเขามักจะไม่ค่อยสนใจหรือเข้มงวดกับเด็กใสซื่ออยางฉันมากนัก เพราะต่างก็มีงานทำแบบล้นมือด้วยกันทุกคน
            หรืออย่างกรณีที่ฉันมักชอบพูดภาษาฝรั่งเศสกับคนใข้ที่เป็นนักโทษฝรั่งเศส พวกพยาบาลมักสั่งให้ฉันส่งภาษาไปด่าว่าคนใข้ เช่น ฝรั่งเศสคือไอ้หมูสกปรก
            ฉักมักทำหน้าเหรอหรา บอกไปว่า..ไม่รู้ศัพท์จริงๆว่า หมูสกปรกนั้น ว่าอย่างไร?
            ต่อมาก็คือการเข้าร่วมกับสภาสตรีอาสาสงคราม ซึ่งผู้หญิงทุกคนควรที่จะเข้าร่วมด้วย ฉันก็แกล้งทำเซ่อซ่า ลืมไปแทบทุกที..
            ความที่ฉันออกทีท่าอารีอารอบกับคนใข้นักโทษจนเกินขนาดนั้น..ทำให้ถูกสั่งย้ายในที่สุด ให้ไปทำงานในแผนกสูติกรรม

            ในยามนั้น..หลังการคลอดบุตร คนใข้ต้องอยู่โรงพยาบาลถึงเก้าวัน เด็กจะถูกดูแลโดยพยาบาลผู้ช่วยอย่างฉัน และนำมาให้เฉพาะยามที่ต้องให้ดื่มนมจากแม่
            ซึ่งคนใข้พวกนี้คือ พวกภริยาของชาวไร่ชาวนาที่มีครอบครัวขนาดใหญ่อยู่แล้ว มีลูกเต้าเป็นพรวน ยามที่ญาติมาเยี่ยมก็จัดว่าโกลาหล ซึ่งต้องดูแลกันวุ่นวาย
            หลายต่อหลายครั้งที่ฉันได้รับเกียรติให้เป็นแม่ทูนหัวของทารกที่อยู่ในความดูแล
            ฉันตอบรับคำเชิญหมดทุกรายการ แต่หาทางเลี่ยงออกในวินาทีสุดท้ายทุกครั้งไป
            เนื่องจาก กิจกรรมในโบสถ์ของชาวคริสเตียนนั้น..ฉันไม่ประสีประสาเลย..ขืนไป..ความก็แตกกันพอดี
            ภาพที่น่าขำก็คือ เวลาอุ้มลูกอ่อนกลับบ้านของพวกแม่บ้านชาวนาเหล่านั้น เด็กทารกถูกหุ้มห่อไปด้วยผ้าอ้อมที่เป็นแพรเนื้อดี รวมทั้งการได้รับแจกเสื้อผ้าเด็กที่ทำด้วยไหมนุ่มนิ่ม หรูหรา ราคาแพง..ที่..เราไปปล้น กอบโกยเอามาจากฝรั่งเศสทั้งหมด..


            ความจริงฉันชอบที่จะทำงานในแผนกนี้ เพราะรู้สึกได้เหมือนกับว่าตัวเองได้อยู่ใกล้ๆกับแม่..ได้จับมือกับแม่..
            แต่ในยามที่ต้องเผิญกับภาวะวิกฤติก็มี..คือ การการใช้ยากล่อมประสาทในการช่วยลดความเจ็บปวดในการคลอด ที่มีผลทำให้เกิดอาการเพ้อออกมาจิตใต้สำนึก
            ซึ่งความจริงบางชนิดอาจทำให้ผู้พูดต้องเดือดร้อนได้ เช่น..ผู้ป่วยรายหนึ่งได้เพ้อสารภาพออกมาว่า ลูกคนนี้มิใช่ของสามี หากแต่เป็นของเชลยโปลล์ที่นำมาใช้แรงงาน
            เธอถึงกับ เพ้อถึงเขาว่า.."ยัน..ยัน..ที่รักจ๋า"
            ฉันต้องรีบเอามือไปปิดที่ปากให้..และกระซิบบอกไปว่า..อย่าพูดอีกนะ อันตราย
            อีกรายหนึ่ง..ได้เพ้อออกมาว่า เธอได้ยินเสียงของลูกชายที่ถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในแนวหน้ารัสเซีย (มีการให้นักโทษส่งข้อความบอกทางบ้านออกอากาศ)
            และดีใจเหลือเกินที่เขารอด และยังมีชีวิตอยู่ รายนี้นับว่าโชคดีไปที่มีฉันเพียงคนเดียวที่ทราบว่าเธอได้แอบฟังวิทยุต่างด้าวเช่นกัน
            ในเดือน พฤษภาคม 1943 ฉันได้รับตรวจสุขภาพที่หมอลงความเห็นว่า ฉันมีอาการขาดสารอาหารที่สมควรได้รับการพักผ่อนบำรุงร่างกายสักสองสามวัน ซึ่ง..ฉันเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะพาเวอร์เน่อร์ไปเยี่ยมบ้านที่เวียนนา และะได้พบกับ เพื่อนๆของฉัน เช่น เปปปิ ,เยาทสกี้, คริสตัล และ คุณนายไนเดอรัลล์ผู้มีพระคุณ
            ฉันและเวอร์เน่อร์ได้ถือโอกาสไปเที่ยวที่ชนบทใน Weinerwald ไปนั่งมองแม่น้ำดานูปให้สมใจอยาก แต่เผอิญฝนเจ้ากรรมได้ตกลงมาอย่างหนาเม็ดทำให้ต้องค้างคืนในวันนั้น
            ครั้นพอรุ่งขึ้น เมื่อกลับไปถึงเวียนนา ทุกคนต่างตระหนกตกใจกันไปหมด ด้วยเข้าใจว่าเราได้ถูกจับตัวไปโดยเกสตาโป
            ก่อนลาจาก คริสตัลได้นำผ้าไหมม้วนใหญ่มาอวด เธอตั้งใจว่าจะนำมันมาตัดเป็นผืนสำหรับทำผ้าพันคอแจกจ่ายเป็นที่ระลึก หากแต่จะตกแต่งลวดลายให้สวยงามได้อย่างไร
            เวอร์เน่อร์ยิ้ม..บอกว่า..ไม่ยาก จะนำไปวาดให้เป็นภาพวิวสวยๆของเวียนนาตามมุมผ้า เช่นพระวิหาร Saint Stephen จะอยู่มุมหนึ่ง โรงมหาโอเปร่าจะอยู่มุมหนึ่ง ด้านนี้จะวาดด้วยสีฟ้า ตรงนี้จะใช้สีทอง"
            "แล้วคุณจะไปหาสีมาจากที่ไหนล่ะ?" คริสตัลถามอย่างไม่แน่ใจ
            "เรื่องสีนั่น เรื่องเล็ก..ปล่อยให้เป็นธุระของผมแล้วกัน" เวอร์เน่อร์ตอบด้วยความมั่นใจ
            ฉันก็พอเดาได้ว่า สีพวกนั้นจะต้องจากห้องเก็บของของโรงงานอาราโดอย่างแน่นอน

เมื่อลาจาก..ฉันรู้สึกใจหายๆเช่นเคย และเชื่อว่าถึงตรงนี้ เพื่อนๆทุกคนคงสบายใจในเรื่องความอยู่รอดปลอดภัยของฉัน เพราะ มีเวอร์เน่อร์คอยเป็นฉัตรแก้วกั้นเกศให้

            ตอนนี้..ฉันเริ่มรู้สึกสุขกายสบายใจเป็นหลักเป็นฐานขึ้น แต่ก็ไม่เคยหมดความระแวงระไวแม้แต่ชั่วขณะจิต แต่..อีกด้านหนึ่งนั้น ฉันเริ่มสูญเสียความเป็น"ตัวจริง" มากขึ้นไปทุกที จนรู้สึกโหยหา..ว่า..ต่อไปใครจะจำฉันได้อีกบ้าง..
            ทุกครั้งที่ฉันต้องให้การดูแลพยาบาลเด็กอ่อนในมือที่ต้องป้อน ต้องทำความสะอาด ต้องให้ความทนุถนอมนั้น ฉันเคยคิดเสมอว่า ตัวเองก็อายุใกล้สามสิบเต็มที ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ถ้าจะมีลูกสักคนจะอยู่ไปรอดสักแค่ไหน สงครามจะยืนยาวไปอีกนานเท่าใด อนาคตข้างหน้าก็เหลือที่จะเดา
            แต่..ถ้าจะมีลูกสักคนก็นับว่าชีวิตข้างหน้าคง มีความหมายขึ้นอีกมาก เวอร์เน่อร์ก็ไม่ใช่คนเลวเกวอะไรนัก ขี้ปดไปหน่อย แต่ก็เป็นคนดีพอสมควร อย่างน้อยๆ เขาก็รักฉัน..
            เมื่อกลับไปถึงบ้าน..ฉันพยายามบอกถึงความประสงค์กับเขา..แต่ เขาปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ว่า เขาไม่ต้องการ..
            อาจจะเป็นเพราะที่จะมีแม่ของลูกคือผู้หญิงยิวอย่างฉันก็เป็นได้ เพราะแรงโปรปะกันดาของนาซีนั้นตอกย้ำเข้าหูเสมอว่า เลือดของยิวนั้นมันเลวนัก..
            ไม่ควรต้องให้มาผสมกับสายเลือดบริสุทธิ์ของอารยัน
            ฉันก็ยังไม่สิ้นความพยายาม..ใช้ความสามารถของมารยาหญิงทุกวิถีทางที่จะให้เขาเลิกการคุมกำเนิดได้..จนมาสำเร็จเมื่อเดือนกันยายน 1943 ที่ฉันได้รับข่าวดีว่า..ตัวเองกำลังตั้งครรภ์
            ถึงกระนั้น ก็หาได้แปลว่าฉันต้องการการแต่งงานก็หาไม่ เพราะขั้นตอนการสอบสวนนั้นยุ่งยากนัก สิ่งเดียวที่ฉันหวังไว้ในใจ นั่นคือ การอุ้มท้องตลอดเก้าเดือนนั้น
            น่าจะนานพอจนเยอรมันได้พ่ายสงครามไปก็ได้ ถึงตรงนั้น ฉันก็จะได้รับอิสระ จะเลี้ยงลูกเอง หรือ แต่งงานกับเวอร์เน่อร์ก็ได้

            หากแต่เวอร์เน่อร์ก็ยังเป็นชายเยอรมันเต็มร้อย..ที่ต้องยึดศักดิ์ศรีมาก่อนอื่นใด เขาไม่ยอมที่จะมีลูกนอกกฏหมายอย่างเด็ดขาด
            อีกทั้งป้าพอลล่าก็ย้ำหนักหนาว่า..เขาต้องดีกับฉัน ไม่งั้นจะพูดด้วย
            เขาจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว..


            วันนั้น..เราไปยังกองทะเบียนในเมือง..
            ฉันได้ไปพบเข้าสัมภาษณ์กับนายทะเบียนที่มีท่าทีเหมือนกับยมทูตเฝ้าประตูนรก..ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดปราศจากรอยยิ้ม แววตาที่ดุดัน สุ้มเสียงที่เอาจริงเอาจัง..
            ด้านหลังของเขาคือ รูปปั้นครึ่งตัวของท่านผู้นำที่เด่นตระหง่าน..
            จากข้อมูลประวัติของฉัน(ที่เขามี) เขาได้ไล่สอบไปเป็นข้อๆ..ว่า
            "อ้อ..ทางพ่อของเธอคือ อารยัน..ฝ่ายตาของเธอ จากสูติบัตร จากใบรับรองของโบสถ์ มีพร้อม แต่..แม่ของเธอล่ะ เรื่องราวเป็นอย่างไร?"
            "แม่เป็นรัสเซียขาวค่ะ พ่อพาเธอมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..ตอนนั้นพ่อทำงานให้กับกองทัพของไกเซอร์ในฝ่ายของทหารช่าง"
            "รู้แล้ว..แต่ทางยายของเธอล่ะ..ไม่เห็นมีข้อมูลบอกมา"
            "ทางเราไม่สามารถไปหาเอกสารได้หรอกค่ะ เพราะตอนนี้เป็นสงครามระหว่างเรากับรัสเซีย ที่ไม่มีการแลกข้อมูลและข่าวสาร"
            "นั่นหมายความว่า..เราก็จะไม่รู้เลยซิว่ายายของเธอเป็นใคร?"
            "ท่านเป็นยายของฉันนะคะ"
            "ก็อาจจะมีเชื้อสายยิวก็ได้นี่นา..เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่า เธอก็ต้องเป็นยิวไปด้วย"
            เราทั้งคู่เงียบสนิท..ฉันแกล้งมองหน้าเขาเหมือนกับว่า..คุณคิดอย่างนี้ได้ไง?
            ส่วนเขาก็ทำท่าครุ่นคิด เอานิ้วมือเคาะเบาๆไปที่ฟัน..หรี่ตามามองที่ฉันอย่างปริศนา หัวใจแทบหยุดเต้น..ในที่สุดเขาว่า
            "เอาละ..แค่ดูหน้าเธอ ฉันก็รู้แล้วละว่า เธอน่ะมันเป็นอารยันแท้ๆ"
            จากนั้นเขาก็หยิบตราขึ้นมาประทับโป้งไปที่ทะเบียน..ด้วยคำโตๆว่า..Deutschblutig อันหมายถึง เลือดเยอรมัน(ของแท้)
            และจัดการเรื่องทะเบียนสมรสให้เรียบร้อยในวันนั้น 16 ตุลาคม 1943
            ของขวัญที่เราจะต้องได้รับจากรัฐบาล นั่นคือ หนังสือ Mein Kampf ของท่านผู้นำ แต่เผอิญว่า ในอาทิตย์นั้นสต๊อคได้หมดไปเสียก่อน

            หลังจากแต่งงาน เราจะได้รับส่วนแบ่งจากบัตรปันส่วนเพิ่มขึ้น ทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เพียงแต่ว่า ฉันจะต้องถ่อสังขารไปรับเอง ซึ่งมันยังเป็นการเสี่ยงอยู่ดีที่จะถูกจับได้ว่า ฉันใช้ชื่อปลอม..
            วิธีเดียวที่เป็นทางออกของฉัน คือ การปรับทุกข์กับไฮล์ดี้เพื่อนบ้าน บ่นให้ฟังถึงการไปมาลำบากเพราะกำลังท้องอ่อนๆ
            ซึ่งเธอได้แสดงความมีน้ำใจจัดการไปรับมาให้






Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:09:10 น. 0 comments
Counter : 797 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]