กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนสิบหก



            จากนั้นเราก็ถูกพาไปยังอาคารที่พัก ที่มีพวกคนงานสาวสวยต่างผลัดกันเดินเข้าเดินออกและทุกๆ คนที่เห็นต่างก็มีดาวเดวิดประดับหราด้วยกันทั้งนั้น
            ตอนเช้า เวลาหกโมงเช้า..พวกสาวสวยเหล่านั้น ต่างรีบตื่นขึ้นมาแต่งตัวกันแบบเอาเป็นเอาตาย เครื่องจับลอนผมถูกทำให้ร้อนพร้อมใช้งาน
            ในตอนแรก ฉันเข้าใจว่า คนพวกนี้ทำไปเพราะความรักสวยรักงาม..แต่..มารู้ในทีหลังว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น..
            ทุกคนต้องการทำตัว"เด่น"เพื่อเป็นที่ต้องตาของของหัวหน้างาน..มันไม่ใช่เพราะเรื่องชู้สาว เพราะกฏหมายของนูเรมเบอร์ที่ออกมาได้สะกัดกั้นความสัมพันธ์ของอารยันกับยิวไว้อย่างชะงัด
            เพราะโทษนั้นถึงขั้นจองจำกันอย่างไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่เป็นเพราะ พวกเธอเหล่านั้น ต้องการที่จะทำตัวให้"ดูดี มีค่า" จะได้มีงานทำไปจนตลอด
            ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังจะได้ปลอดภัย..

            โรงงานที่ทำอยู่นี้ คือ โรงงานกระดาษ ชื่อว่า H.C. Bestechon ที่มีตึกด้านหน้าโอ่อ่า หรูหรา ใต้หน้าต่างทุกบานมีกระถางดอกไม้ประดับเป็นแนว
            แต่พวกเราไม่มีสิทธิไปใช้ในส่วนนั้น เพราะหน้าที่ คือ ต้องถูกคุมโดยแม่ผู้คุมสาวงาม ชื่อว่า นางเดรเบนสตัดท์ ให้เดินเรียงแถวออกจากอาคารที่อยู่ด้านหลัง
            มุ่งเข้าสู่ตัวโรงงาน
            พวกเรา..ที่ฉันพยายามนับมาได้ทั้งสิ้น..82 คน แต่อาจจะมีมากกว่านี้


            ทรูด, มีน่า และ ฉัน ได้ถูกสั่งให้เข้าประจำในหน้าที่ทำกล่องในพัสดุภัณฑ์ต่างๆ เช่น กล่องมักกะโรนี กล่องใส่แป้งมัน กล่องใส่กาแฟ กล่องใส่ข้าวโอ๊ตแห้ง
            อีกทั้งอีกสารพัดกล่องใส่อาหารที่พวกเราไม่เคยได้ลิ้มรส..

            การทำงาน คือ การที่พวกเราแต่ละคนต้องยืนประจำที่ ที่เครื่องตัดกล่องสีเขียวใหญ่ยักษ์ มือซ้ายจะต้องสอดแผ่นกระดาษเข้าใต้เครื่องที่มีใบมีดสำหรับตัดที่คมเฉียบราวกับกิโยติน
            เครื่องจะหล่นลงมาตัดตามตำแหน่งของกระดาษ
            จากนั้น..เครื่องยกขึ้น มือขวาต้องรีบดึงกระดาษที่ตัดแล้วออก พร้อมทั้งมือซ้ายก็เริ่มทำหน้าที่สอดกระดาษเข้ามาใหม่ต่อไป
            ทำอย่างนั้นไป ตั้งแต่ หกโมงครึ่งเช้า ไปจนถึง สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า จึงได้พัก และ เริ่มใหม่ คือ บ่ายโมงสิบห้า ไปจนถึง ห้าโมงสี่สิบห้า ..
            ทุกวัน..เป็นเช่นนั้น ที่พวกเราต้องอยู่กับเสียงเครื่องจักรและ เสียงปึงปังของการตัดกระดาษอย่างไม่มีทางเลือก

            นาซีคนที่เป็นหัวหน้างาน ชื่อว่า นาย เฟลเกนเทรา ได้มาจับเวลาของการทำงานของพวกเรา โดยให้นาย ลีมันน์ วิศวะช่างยนตร์ของโรงงานมาตั้งเวลาที่เครื่อง
            และ สั่งว่า "เริ่มได้" ฉันรีบทำงานอย่างไม่คิดชีวิต สอดกระดาษ ตัด ดึงออก..จนมือเป็นระวิง สิบนาทีผ่านไป..เขากระชากเสียงสั่งว่า "หยุดได้"
            หัวใจฉันแทบกองไปอยู่ที่เท้า..ปลายนิ้วมือทุกนิ้ว
            แสบแปล๊บปล๊าบไปหมด
            นายเฟลเกนเทราเริ่มนับกล่องที่ตัดไปทีละชิ้น ละชิ้น

            จากนั้น เขาก็จำนวนนั้นคูณด้วยหก นั่นหมายถึงโควต้าที่ฉันต้องตัดกล่องได้ภายในหนึ่งชั่วโมงของการทำงาน
            จากนั้นก็คูณด้วย แปด...อันหมายถึง โควต้าของการทำงานในหนึ่งวัน..มันรวมออกมาได้ว่า ฉันต้องตัดกล่องทั้งหมด 20,000 กล่อง..
            ฉันรีบแย้งว่า "มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะท่าน ที่จะเอามาตรฐานของการทำงานในสิบนาทีมาเป็นตัววัดของการทำงานทั้งวัน"
            นายนั่น ไม่ตอบอะไร..แต่เดินจากไปพร้อมทั้งยืนยันว่า จำนวนที่ตั้งมานั้น ถูกต้องทุกประการ !!
            ฉันจึงรีบเดินตาม หมายใจจะพูดกันให้รู้เรื่อง
            แต่. ผู้คุมงานหญิงอีกคนหนึ่งได้ห้ามไว้ บอกว่า ไม่มีประโยชน์
            และเธอได้ทำท่าเอานิ้วมือปิดปากในเชิงความหมายว่า เงียบๆ ไว้เถอะ..!!
            ฉันจึงได้เห็นว่า..นิ้วนั้น (และนิ้วโป้ง) คือ สองนิ้วที่เหลือในมือข้างขวาของเธอ !!


            วันแรกของการทำงาน ฉันตัดได้เพียง 12,500 กล่อง ซึ่งงานนี้แม้ไม่ใช่เป็นการการใช้แรงงานในไร่ปลูกมันอย่างที่ผ่านมา
            แต่ มันเหนื่อยยิ่งกว่า
            เพราะ ทันที่ที่เสียงหวูดเลิกงานได้ดังขึ้น ฉันก็แทบพยุงร่างให้ลุกเดินออกไปไม่ได้
            อาหารค่ำมื้อนั้น เราได้ขนมปังกันคนละสองแผ่น และ กาแฟ (เทียมๆ) คนละแก้ว

            วันต่อมา..ฉันได้รับรายงานการทำงานว่า ถ้าทำไม่ครบจำนวนที่ได้รับ จึงต้องอยู่ทำงานต่อให้ครบ เสียงหวูดดัง ฉันยังนับได้แค่ 17,000 กล่อง
            ดังนั้น..ฉันจึงไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ทำงานต่อไปอีกหลายชั่วโมงจนครบตามจำนวน ด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น
            แต่..อารยันคนหนึ่งได้โยนไม้กวาดมาให้ พร้อมทั้งออกคำสั่งว่า "เก็บกวาดซะด้วย"
            โชคดีที่ ผู้คุม นาย เกบฮาร์ดท์ ได้เกิดเมตตาขึ้นมา บอกว่า
            "ไม่ต้องหรอก อีดิธ กลับไปเถอะ..ไปกินข้าวซะ"


            มื้อกลางวันที่เราได้รับส่วนใหญ่นั้นคือ น้ำซุปผักใสๆ ที่มีส่วนประกอบของมันฝรั่ง กระหล่ำ ที่รสชาติไม่ต่างอะไรกับน้ำล้างถ้วย อันเป็นข้อเปรีบบเทียบของ
            ลิลี่ ปราชญ์ประจำกลุ่ม..ที่ทุกคนล้วนแต่เห็นพ้องต้องกัน

            นอกเหนือไปจากงานโรงงานแล้ว พวกเราต้องผลัดกันทำเวร เช่นในเดือนหนึ่ง..ฉันต้องช่วยทำครัวหนึ่งอาทิตย์ นั่นหมายถึงการทำความสะอาดโต๊ะ
            ล้างภาชนะ ปอกและต้มมันฝรั่ง..ที่ฉันรำพึงในใจขณะที่ยืนอยู่หน้าเตาว่า ถ้าจะหยิบใส่กระเป๋าไปสักลูกหนึ่งคงร้อนพิลึก..แต่ก็น่าลองดู
            แต่สายตาของกุ๊กนาซีที่เฝ้ามองมาอย่างรู้ทันในความคิด ทำให้ฉันนึกแหยงจนไม่กล้า..
            มื้อเย็น..ก็เป็นขนมปังและกาแฟ (เทียมๆ) อีกแล้ว..มีน่าถึงกับปรับทุกข์ว่า "นี่พวกเขาจะทรมานให้เราหิวตายหรือไงกันเนี่ย อีดิธ?"
            "เราต้องพยายามกินกลางวันให้เยอะๆ เข้าไว้แล้วละ นี่ฉันเขียนจดหมายไปขอของกินจากที่บ้านแล้วนะ" ฉันตอบ แต่ทรูดรีบแย้งว่า
            "ที่บ้าน พวกเราชาวยิวก็ไม่มีอะไรจะกินกันแล้วนะ พี่สาวของฉันแต่งงานกับอารยัน มีของกินเหลือเฟือ เขาเคยส่งไปให้ที่บ้านด้วย เพราะ พวกเราอดอยากกันจะแย่"
            "พี่สาวเธออยู่ที่ไหนล่ะ?"
            "ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขา"อยู่" หรือเปล่าน่ะซิ..เพราะสามีของเขาไล่ออกจากบ้าน เอาแต่ลูกๆ ไว้ และบอกกับพวกเกสตาโปว่า เธอได้ตายไปแล้ว"
            "อ้าว..แล้วใจคอพี่เธอจะทิ้งพวกลูกๆ ให้อยู่กับพ่ออย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ" สิ้นเสียงคำถามของมีน่า ทรูดที่เคยเป็นคนสงบเสงี่ยมเกิดมีโทสะขึ้นมาในทันใด
            เธอกระชากแขนมีน่าให้หันมาเผชิญหน้า แล้วเค้นเสียงออกมาว่า
            "เธอไม่รู้หรอกว่า พี่สาวฉันน่ะโชคดีขนาดไหน ที่ไอ้ผัวนั่นมันบอกไปว่า เธอได้ตายไปแล้ว แทนที่จะจับตัวส่งให้เกสตาโป เลิกถามโง่ๆ อย่างนี้ซะทีเถอะ ยัยปัญญาอ่อน !!"


            ในระยะแรกๆ ที่เข้ามาที่โรงานกระดาษ กฏข้อบังคับต่างๆ ของที่นี่และที่ไร่ในออสแตร์แบร์คใกล้เคียงกัน แต่พออยู่นานๆ ไป ข้อที่โหดกว่าเริ่มปรากฏเด่นชัด
            เช่น..ใครพักที่ชั้นไหนต้องเข้าห้องน้ำที่ชั้นนั้น ถ้าไปที่ชั้นอื่นจะต้องถูกปรับ 15 เฟนนิค และการซักผ้าต้องอยู่ในวันที่กำหนดให้เท่านั้น ห้ามอาบน้ำหลังสองทุ่ม
            การทำเตียงต้องทำตามแบบที่สอนไว้เท่านั้น คือพับมุมผ้าเข้าใต้ที่นอนสองทบ ผ้าห่มต้องไม่มีรอยย่น ห้ามวางสิ่งของบนตู้ การออกไปข้างนอก ต้องเป็นเวลา คือ
            วันเสาร์บ่าย 2-6 โมง วันอาทิตย์เช้า 9-11 โมง และบ่าย 2-6 โมง ทุกคนต้องติดดาวเดวิดตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหนมาไหน และห้ามซื้อของใดๆ
            (เพราะไม่มีใครขายให้อยู่ดี)

            มีน่าเอาบัตรปันอาหารที่ได้รับจากนายจ้างอารยันที่แสนดีมาอวด..เพราะ คุณนาย ไนเดอร์รัลล์ เข้าใจว่ามีน่าอาจจะใช้ซื้อขนมปังได้ จึงได้ส่งมาให้
            "แล้วเราจะทำอย่างไรกะมันดีล่ะ?" มีน่าถามอย่างหมดหวัง
            "ไม่เป็นไร ฉันจะส่งไปให้เปปปิแฟนฉัน ให้เขาซื้อแล้วส่งมาให้เราอีกที" ฉันแก้สถานะการณ์ได้อย่างสวยหรู
            แต่..ถามฉันซิ.. ที่เรากว่าจะได้รับเนี่ย..ขนมปังมิแข็งโป๊ก เก่างั่ก แถมมีราขึ้นหรืออย่างไร คำตอบคือ ใช่ทุกอย่าง..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
            แต่มันก็เป็นของขวัญจากสวรรค์ เป็นเครื่องแสดงน้ำใจจากคนที่รักและเป็นห่วงเรา แม้ว่ามันจะเก่าถึง 14 วันก็เถอะ เรายังสามารถเอามันห่อด้วย
            ผ้าชื้นๆ และเอร็ดอร่อยกับการบิเอาออกมาแทะๆ แบบไม่ต่างอะไรกับหนู


            วันเสาร์..เป็นวันจ่ายเงินเดือน ฉันได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 12 มาร์ค 72 เฟนนิค แต่หลังจากที่หักค่าที่พักไป 6 มาร์ค
            และมีการหักค่าไฟที่ฉันใช้เกินในการทำงานเพื่อที่จะต้องตัดกล่องให้ครบตามโควต้า ฉันเหลือเงินเพียง 4 มาร์ค 19 เฟนนิค
            เนื่องจาก..ซื้อหาอะไรไม่ได้ เงินจึงไม่มีประโยชน์ ฉันจึงไปที่ไปรษณีย์เพื่อที่จะส่งไปให้แม่..
            แต่..ไม่ทันที่จะผ่านผ้นประตู ยามได้เข้ามาสะกัดกั้น..
            "มีใบอนุญาตให้ออกไปจากผู้คุม นางเดรเบนสตัดท์ หรือเปล่า?"
            "แต่เธอหยุดงานนี่คะ"
            "ก็ต้องขอไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วซิ"
            "คุณคะ..ถ้าแม่ไม่ได้ข่าวจากฉันเลย เขาต้องคิดว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับฉันนะคะ" ฉันพยายามอธิบาย
            "ถ้าฉันให้เธออกไปข้างนอกพร้อมจดหมายนั่น ผู้จัดการก็อาจคิดได้ว่า ฉันร่วมมือกับเธอลักขโมยของโรงงานก็ได้"
            "ก็แล้วโรงงานนี่มันมีอะไรให้ขโมยล่ะ นอกจากกล่องกระดาษ"
            "กลับไปข้างในซะ..ไปซิ"
            ฉันถอยหลังกลับแต่โดยดี..ยามนั่นถึงแม้จะแก่ แต่ก็ถือกระบองอันเบ้อเร่อ ท่าทางเขาไม่ใช่คนดุร้ายอะไรแต่ออกแนวตื่นตระหนกมากกว่า

            ในคืนหนึ่ง..ทรูดเกิดอาการท้องเสียอย่างกระทันหัน ห้องน้ำที่มีอยู่ก็ไม่ว่าง..เธอจึงจำเป็นต้องไปเข้าห้องน้ำในชั้นอื่น พอลงมาก็เจอกันกับ นางเดรเบนสตัดท์เข้าพอดี
            ไม่มีการพูดพล่ามทำเพลง ผู้คุมหญิงตรงเข้าตบหน้าเธอซ้อนๆ กันหลายที ทรูดตกใจจนร้องไม่ออก
            "เงินเดือนของเธอจะถูกตัด ห้าสิบเฟนนิค และ ห้ามการรับ-ส่ง จดหมายไปหนึ่งอาทิตย์"
            มาถึงตรงนี้..ทรูดร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ เพราะ จดหมายเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้ก้มหน้าอดทนอยู่สู้งาน
            โทษชนิดนี้ (postperre) สำหรับพวกเราถือว่าเป็นโทษที่หนักหนาสาหัสนัก



            ****เสริมนิดนะคะ...ขอเล่าเรื่องหนังที่รอคอยดูมาตั้งแต่เริ่มสร้าง..
            และได้สมใจในวันนี้คือ Der Untergang
            เป็นหนังยอดเยี่ยมของเยอรมันค่ะ เรื่องคล้ายๆ อย่างนี้เคยสร้างมานานแล้วในนามว่า The Bunker
            เกี่ยวกับ ระยะ 15 วันก่อนที่เบอร์ลินจะพ่ายแพ้แก่รัสเซีย
            (สัมพันธมิตร) โดยใช้เรื่องราวจากปากคำของ Traudl Jung เลขาประจำตัวของฮิตเล่อร์ที่มีอายุอยู่ถึงปี 2002
            และในตอนจบได้มีการถ่ายการสัมภาษณ์เธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

            155 นาทีของความยาวของหนังเรื่องนี้ ไม่มีใครในโรงลุกไปเข้าห้องน้ำเลยค่ะ เพราะเข้มข้นทุกตอน เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดียอดเยี่ยม
            การถ่ายทำ..ไม่มีที่ติ..
            ถ้าใครที่อ่านเรื่องฮิตเล่อร์ ที่เขียนไว้ จะเข้าใจและสนุกตามไปด้วยทุกตอน เพราะตัวละครที่เล่ามา ทั้ง ไกเทล
            เกอริง ฮิมม์เล่อร์ เกบเบิลส์และเม๊กดา ออกมาโลดแล่นให้เห็นตามลักษณะอุปนิสัยประจำตัว..

            เรื่องนี้.สร้างไปตามความเป็นจริง..ไม่ได้ทำให้ใครเห็นว่า ฮิตเล่อร์คือซาตาน หรือเป็นภูตผีปีศาจ แต่อย่างไร
            เขาคือคนที่มีความเชื่อ ฝังลึก (ในสิ่งที่ผิดๆ) เป็นผู้นำที่ผิดพลาดคนหนึ่ง ที่พาประเทศชาติล่มจมไปกับมือ
            และเราได้เห็นในสัจจธรรมว่า..
            ในยามแพ้นั้น ชาวเยอรมันก็ได้รับกรรมอย่างสาสมเช่นกัน

            ใคร่ขอเรียนให้ไปชมหนังเรื่องนี้ให้ได้ ยิ่งเป็นคอหนังสงครามละก้อ..อย่าพลาดเชียว เสียดายตายเลย..!!

            //www.a-film.nl/deruntergang/         *******วิวันดา



            หัวหน้าแผนกตัดกล่องของพวกเราเป็นสาวใหญ่ หน้าตาออกแนวขี้ริ้ว หลังโก่งนิดๆ
            แต่ดวงตาคู่นั้นมีแววไมตรีอยู่ไม่น้อย
            เธอรอจนหัวหน้า นายเฟลเกนเทราได้เดินลับมุมไป จึงรีบก้มมากระซิบว่า
            "ฟังนะ อีดิธ ถ้าเธอวางกระดาษให้ซ้อนกันแน่นๆ เธอจะสามารถตัดได้ครั้งละห้าแผ่น ไม่ใช่แค่สี่อย่างที่ทำอยู่" พูดพลาง เธอก็เข้ามาสอนให้เห็นวิธี
            "ถ้าใบมีดมันหักละก้อ มาบอกฉันละกัน ฉันจะให้ช่างเครื่องมาดูให้ อย่าทำให้ใครเห็นนะ แอบๆ หน่อย" เธอกระซิบก่อนที่จะรีบเดินจากไป
            ฉันได้เริ่มต้นลองทำตามตั้งแต่วินาทีนั้น..
            ผลคือ ปาฏิหารย์..เพราะฉันได้เพิ่มผลผลิตมาได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ภายในไม่กี่วินาที
            และเธอมักเดินเกร่มาให้สัญญาณว่า หัวหน้ากำลังเดินมาทางเรา..นั่นหมายถึงการกลับไปใช้สี่แผ่นอย่างเดิม
            และผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้พวกเรามีสิทธิไปแอบพักได้สิบห้านาที ในเวลาบ่ายสี่โมงโดยถือโอกาสที่บรรดาหัวหน้างานไปพักผ่อน
            ดื่มน้ำชา โดยผู้คุมหญิงผู้อารีนั่นคอยเป็นหูเป็นตาเฝ้าดูต้นทางให้แทบทุกวัน
            อันว่าน้ำใจที่หลั่งไหลมาในครั้งนี้..ไม่มีเหตุผลต้องอธิบายว่ามันมาได้อย่างไร
            ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายของผู้คุมหอนอนที่ตบหน้าทรูด กับความอารีผู้คุมคนนี้ ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีเหตุผลในการกระทำของตนเองด้วยกันทั้งนั้น
            เพียงแต่ทั้งสอง เลือกที่จะทำตามความพอใจและนิสัยดั้งเดิมของตัวเอง

            ในเดือน พฤศจิกายน มีคำสั่งให้ฉันต้องทำโควต้าเพิ่มขึ้นถึง 35,000 กล่องต่อวัน เล่นเอาฉันถึงกับเข่าอ่อน หัวใจวูบหล่นหาย
            เพราะ..แน่ใจว่า ไม่มีทางทำตามได้อย่างแน่นอน
            และถ้าทำไม่ได้ตามนั้น หมายความว่า แม่จะต้องถูกส่งตัวไปยังค่ายที่โปแลนด์..โอ..พระเจ้าช่วยลูกด้วย!!
            แต่มีน่า..กลับมองเห็นเป็นเรื่องขัน เธอนำริบบิ้นสีแดงมาให้พร้อมกับออกท่าออกทางประกาศข่าวว่า
            "ขอแสดงความยินดีด้วยนะอีดิธ ตอนนี้เธอคือดาวตัดกล่องดวงเด่นของบริษัทเบสเตเฮิร์นของเรา..ไชโย ไชโย๊ !!"


            เพื่อนเก่าของเรา ไลเซล บรุสต์ ได้จดหมายมาว่า ตอนนี้เธอได้อยู่ในเวียนนาเรียบร้อยแล้ว และเข้าทำงานที่ศูนย์สงเคราะห์ยิว
            เธอได้ไปพบกับครอบครัวของฉัน ทุกคนสบายดีและปลอดภัย..
            เพียงข้อความแค่นั้น ที่ทำให้กำลังใจที่หดหายไปทั้งหมดกลับคืนมาสู่ตัวอย่างรวดเร็ว ฉันนำริบบิ้นสีแดงที่มีน่าให้มาติด เดินเชิดหน้าเข้าประจำที่ ทำงานแบบบ้าคลั่ง..รวดเร็วราวจักรผันและไม่มีการหยุดพัก
            เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของแม่ที่เป็นที่สุดในชีวิต..
            และโควต้านั้นประสบความสัมฤทธิ์ผล (ด้วยการส่งกระดาษคราวละห้าแผ่น) เพียงแต่การทำงานอย่างไม่มีพักเช่นนั้น
            ทำให้ใบมีดที่เครื่องหักสะบั้น..
            นายเฟเกนเทราหงุดหงิดจัดสั่งตัดเงินเดือนของฉันเอาไปเป็นค่าซ่อม
            นายเกบสตัดท์เดินผ่านมาเห็นจะจะว่าฉันได้สอดกระดาษคราวละห้าแผ่น แต่เขาไม่ได้พูดว่ากระไร
            กลับทำเดินเฉยผ่านไป..แบบไม่รู้ไม่ชี้
            ปลายนิ้วมือทุกนิ้วของฉันถลอกเพราะหนังเปิดออกเห็นเลือดแดงซิบๆ เพราะการทำงานที่แสนหนักหน่วง
            แต่..ฉันจะหยุดได้อย่างไร

            ปลายเดือนพฤศจิกายน เราได้พบว่าพวกผู้หญิงที่อยู่บนชั้นสามของตึกนอนของเราได้แต่งตัวในชุดเดินทางพร้อมทั้งสัมภาระ
            พวกเธอกำลังจะได้กลับบ้าน..
            "โอ..พวกเธอโชคดีจัง" มีน่าส่งเสียงทักทาย " กำลังจะไปแต่งงานหรือไปหย่าล่ะ เราได้ข่าวว่ามีใครบางคนกำลังตั้งท้องด้วยนะ"
            พวกผู้หญิงพงกนั้นต่างพากันหัวเราะกิ๊กกั๊ก ตอนนั้น มุขเรื่องท้องนี่คือเรื่องสุดขำขันอย่างสุดๆ
            เพราะแทบทุกคนต่างไม่มีประจำเดือนกันมานานแสนนาน
            "ไม่ใช่หรอก เราต้องกลับไปเพราะพ่อแม่ของเรากำลังจะถูกส่งตัวไปค่าย เราจะไปกับเขาด้วย" หนึ่งในนั้นตอบมา
            จากนั้นไม่นาน ผู้หญิงอีกสามคนก็กำลังจะกลับเวียนนาไปด้วยเหตุผลเดียวกัน เพื่อที่จะร่วมเดินทางไปกับพ่อแม่ยังโปแลนด์
            มาถึงตอนนี้ ที่โรงงานก็เกิดการขาดแคลนแรงงานขึ้นมาทันที..การกลับของพวกเธอจึงต้องถูกชะลอไปก่อน
            ทางบริษัทได้พยายามต่อรองกับนาซีอย่างสุดฤทธิ์
            คือ พวกเธอต้องตามไปสมทบทีหลัง พ่อแม่และครอบครัวได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน
            ส่วนฉันนั้น..กำลังวิตกอย่างที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะถึงคราวจากพรากของตัวเองเมื่อไหร่
            จึงรีบเขียนจดหมายไปถึงแม่ว่า
            "แม่จ๋า..ถ้ามีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอะไร รีบบอกหนูนะ เพราะกว่าหนูจะขออนุญาตเดินทางจากนาซีต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน"
            ฉันไม่ลืมที่จะสำทับไปกับเปปปิว่า
            "ต้องบอกมาโดยด่วนนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับแม่"


            ฉันเริ่มทำงานตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นจนถึงตะวันตกไปแล้ว..มืดชนมืด..จนไม่รู้ว่าวันไหนคือวันอะไร
            เขียนจดหมายก็ใส่วันที่ผิดๆ แต่ก็เขียนถึงแม่ทุกวัน..ไม่มีขาด พร้อมกับคำถามที่เรียงไปเป็นตับ
            ว่า..ตอนนี้เรากำลังรบกับใคร?
            สถานการณ์เป็นอย่างไร?
            ฉันไม่เคยได้เห็นหนังสือพิมพ์ ไม่มีเวลาฟังวิทยุ (เครื่องเดียวที่ตั้งอยู่ในครัว) ทุกวันฟังแต่ข่าวลือสารพัด..
            แม่จ๋า เมื่อไหร่พวกเขาจะมาช่วยปลกปล่อยพวกเราซะที..?
            แม่จ๋า..แม่อดหรือเปล่า ไม่ต้องส่งอาหารมาให้หนูนะ
            แม่จ๋า..แม่ออกไปเดินข้างนอกได้ไหม ทำงานบ้างหรือเปล่า?
            อ่านจดหมายหนูแล้วรีบเผาทิ้งนะจ๊ะ..

            สำหรับจดหมายที่มีไปถึงเปปปิ ข้อความส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ความนัยระหว่างบรรทัดนั้น บ่งบอกถึง
            คำถามที่มีอยู่ว่า "คิดถึงฉันบ้างไหม?" "ยังรักฉันอยู่หรือเปล่า?"


            ข่าวลือที่โหมมาล้วนแต่น่ากลัวทั้งสิ้น เราได้ข่าวว่า
            พวกนาซีกำลังกำจัดยิวให้สิ้นซากเพื่อที่จะให้เยอรมันเต็มไปด้วยสายเลือดอารยันที่ผุดผ่องบริสุทธิ์
            อีกทั้งข่าวมาว่า..คนแก่ ทุพพลภาพ เด็กที่ไม่สมประกอบ ทั้งหมดได้ถูกส่งตัวไปเข้าห้องแก๊ส..
            ลิลี่กับฉันต่างพูดแก่กันว่า..เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ใครบางคนต้องแกล้งออกข่าวให้พวกเราตกใจกลัว

            ข่าวก็มีอีกว่า..คนที่ถูกส่งไปค่ายนั้นต้องทำงานหนักจนตาย โดยวิธีทรมานแบบผิดแผกมนุษย์ เช่น
            ให้ไปยกหินหนักๆ ให้ไปยืนตากหิมะ ตากฝน และให้อดอาหาร
            ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อัปมงคลทั้งสิ้น..
            ยิ่งข่าวของสภาพและสถานการณ์ของค่ายในโปแลนด์ ที่มาจากจดหมายของคู่รักของเพื่อนหญิงคนงาน
            ที่เขาเขียนเตือนมาว่า "พยายามอยู่ในอัสแตเเบร์คเถอะ..เพราะที่นี่ มันแสนเลวร้าย อดอยาก ไม่มีอากาศจะหายใจ
            แออัดจนไม่มีที่นอน ผู้คนล้มตายกันราวใบไม้ร่วงไม่เว้นแต่ละวัน ทุกๆ วันมีเชลยยิวที่ส่งตัวจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ "
            พอข่าวเรื่องจดหมายนี้..รู้ไปถึงหูเกสตาโป พวกนั้นก็แห่กันมาที่โรงงาน ลากตัวหญิงเจ้าของจดหมายออกไป ค้นตู้เสื้อผ้าของเธอกระจุยกระจาย
            รวมทั้งกรีดที่นอนจนฉีกขาดเพื่อหาจดหมายเจ้ากรรมนั่น
            จากการกระทำของพวกเขา ทำให้พวกเราเชื่อว่า ข้อความในนั้นคงต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน
            โปแลนด์ก็เปรียบได้คือนรกชัดๆ ..
            ฉันรีบเขียนจดหมายไปบอกเปปปิว่า..
            "บอกแม่ไปว่า..ไม่ต้องตอบจดหมายหรือคำถามอะไรของฉันที่เขียนไปเลยนะ.."


            เดือนกุมภาพันธ์ ฉันล้มป่วยด้วยอาการของโรคฝีดาษพร้อมๆ กับเพื่อนหญิงคนงานอีกคนหนึ่ง แอนนีลีส
            สองอาทิตย์เต็มๆ ที่เราต้องนอนจับใข้อยู่ในห้องพยาบาลของโรงงาน แต่ขวัญและกำลังใจที่มียังอยู่ครบ
            ฉันได้บอกกับตัวเองว่า จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้ ต้องไม่ป่วย ต้องไปทำงาน ..
            และได้พยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่พยาบาลได้ลากตัวฉันขึ้นไปบนเตียงใหม่ เอาอาหารมาให้และก็หายตัวไป
            ทำนองว่า..ถ้าหายก็โชคดีไป ถ้าไม่หายก็ช่วยไม่ได้

            แต่..การป่วยครั้งนี้ ถือว่าเป็นโชคช่วยชีวิตแท้ๆ เพราะว่าร่างกายของฉันได้อ่อนแอและตรากตรำมากจนเกินไป
            การพักผ่อนนอนเฉยๆ ถึงหกอาทิตย์นั้น ได้ทำให้เป็นการพักผ่อนอย่างเต็มที่จนมีเรี่ยวแรงกลับมาทำงาน
            ได้ดีดังเดิมในกลางเดือนมีนาคม

            การกลับมาครั้งนี้ ฉันได้พบว่าหอนอนของเรานั้นว่างไปถนัดใจ
            ในฉบับแรกๆ ของจดหมายแม่ที่ได้รับเล่ามาอย่างตื่นเต้นว่า
            กำลังมี"รัก"ใหม่และกำลังจะแต่งงานกับ
            นาย แมค เฮาสเนอร์ ซึ่งฉันพลอยยินดีกับแม่ในความสุขครั้งนี้
            แต่ฉบับต่อๆ มา..เริ่มไม่ปะติดปะต่อในข้อความ ราวกับว่า แม่กำลังมีปัญหาหนักใจ
            เปปปิเล่ามาว่า ป้าซูซี่ของเขา กำลังถูกส่งตัวไปค่าย เช่นเดียวกับครอบครัวของวูฟกัง และ โรเม่อร์


            ที่โรงงาน..การจองล้างจองผลาญก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน พวกคนงานหญิงที่กลับไปบ้านไปแต่งงานก็ถูกส่งตัวไปยังค่ายพร้อมกับสามี
            เพื่อนหญิงคนที่มีความรักกับนักโทษฝรั่งเศสก็ถูกส่งตัวไปยังที่เดียวกัน ส่วนนักโทษคนนั้นถูกยิงทิ้ง..
            เพื่อนเก่าของฉัน ซิค..ตายในสนามรบแนวตะวันออก
            พัสดุที่มีน่าส่งไปให้ครอบครัวถูกตีกลับ..และข่าวตามมาว่า ครอบครัวทั้งหมดของเธอได้ถูกส่งตัวไปแล้วเช่นเดียวกัน
            ซึ่งเธอจะต้องเดินทางตามไปด่วน..
            พวกเราพยายามหาเศษไหมพรมที่เหลือๆ มาถักเป็นเสื้อหนาวให้เป็นของขวัญ ฉันถักแขนนึง ส่วนทรูดถักอีกข้าง..

            วันที่มีน่าจากไป..นั่นหมายถึง ฉันหมดคู่คิด ขาดเพื่อนที่อยู่เคียงข้างอีกต่อไป..
            จดหมายที่มีไปถึงแม่..ฉันได้ขอฝากมีน่าให้แม่ช่วยดูแลเธอด้วย ฝากกับเปปปิว่า ถ้ามีน่าขาดเหลืออะไรขอให้พยายามช่วยอย่างสุดกำลัง
            แต่..ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเธอมีเวลาอยู่แค่เพียงวันสองวันก่อนเดินทางเท่านั้น
            มีน่าเขียนจดหมายมาว่า..ได้ไปเยี่ยมแม่ของฉันและครอบครัวของแอนนีลีสแล้ว และได้รับของที่ระลึกมาด้วย
            เธอได้ย้ำหนักหนาว่า.."อีดิธ..พยายามติดต่อกับคุณน้าไว้นะ (เธอหมายถึงคุณนายไนเดอรัลล นายหญิงอารยันผู้อารี)
            อย่าโศกเศร้าเสียใจไปเลยทุกอย่างยังพอมีความหวังว่าจะกลับมาดีดังเดิม อย่าหักโหมทำงานนัก ฉันจะพยายามส่งข่าวถึงเธอเสมอๆ
            ถ้าไม่ได้ข่าวจากฉันละก้อ ขอให้คิดว่าอย่างไรเสียฉันก็ไม่เคยลืมเธอเลย..รักเสมอ มีน่าเพื่อนของเธอ"


            ฉันไม่เคยรู้เลยว่า ฮิตเล่อร์ได้จัดการสั่งให้แรงงานยิวทั้งหมดเดินหน้าเข้าค่ายนรก พวกเขาไม่ต้องการเราอีกต่อไป
            เพราะว่าแรงงานจากเชลยของประเทศอื่นๆ ที่ไปชนะมานั้น มีมากมายเหลือเฟือ
            ฉันจึงไม่ได้สังหรณ์ใจเลยสักนิดว่า หนทางข้างหน้านั้นมันน่ากลัวสักแค่ไหน..
            ฉันได้ทำการเผาจดหมายของเปปปิทิ้งไปจนหมด เหลือไว้เพียงฉบับเดียวที่ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 1942
            เพราะข้อความในนั้นมันช่างอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความรักเขามีให้กับฉันอย่างสุดซึ้ง

            แต่ในที่สุด..โทรเลขจากแม่ก็มาถึงมีใจความว่า
            "แม่ต้องไปด่วน รีบมานะ"
            ฉันรีบแจ้นไปที่สถานีตำรวจและบอกว่า.."ฉันต้องเดินทางค่ะ แม่ฉันกำลังจะจากไป..ฉันต้องไปพร้อมกับแม่"
            ทุกคนเงียบ..ไม่มีคำตอบ
            ฉันเข้าพบกับหัวหน้างาน ร้องขอความช่วยเหลือและวิงวอน..

            ที่เวียนนาก็เช่นกัน..ที่แม่ไปขอความกรุณาจากเกสตาโปให้ผ่อนผันขอรอจนกว่าลูกสาวจะเดินทางไปถึง
            "ลูกสาวอายุเท่าไหร่?"
            "ยี่สิบแปดค่ะ"
            "โตแล้วนี่..เดินทางเองได้ไม่ต้องมารอกันให้เสียเวลา"
            "กรุณาเถอะค่ะ"
"ไม่ได้..!!"    และนั่นคือประกาศิต....





Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:46:02 น. 0 comments
Counter : 738 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]