กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนห้า








          หนังสือเล่มนี้..The Nazi Officer's wife ที่ดิฉันได้นำมาถ่ายทอดเป็นตัวอักษรเมื่อหลายปีก่อน..ต่อมาทางช่อง History Channel ได้นำไปถ่ายทำเป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดี และเป็นการสัมภาษณ์จากปากคำของ
          Edith Hahn Beer ผู้เขียน (ก่อนจะถึงแก่อนิจกรรมในปี 2009 ) ซึ่งถ้าผู้สนใจสามารถกดไปชมได้ในยูทูบ //youtu.be/W1iby_aPtag  หากแต่..ความละเมียดในเชิงอารมณ์นั้น อ่านจากหนังสือจะได้อรรถรสกว่า
          ดิฉันจึงนำมาเสนอให้อ่านรวมเข้าด้วยกันในภาคของเชลย..
            .....................................................


            บันทึกลับของคุณนายนาซี   


            เพียงไม่นานเท่าไหร่ หัวหอมก็หายวับไปจากตลาด  พวกเพื่อนพยาบาลของฉันที่ทำงานด้วยกันที่นี่ ที่สภากาชาดเมืองบรันเดนเบอร์ค  แอบเล่าให้ฟังว่า
            เพราะว่าท่านผู้นำฮิตเล่อร์ต้องระดมใช้หัวหอม
            เพื่อเอามาทำก๊าซพิษในการสงครามทำลายล้างครั้งนี้ .
            แต่ฉันว่า ณ.ตอนนี้ เดือนพฤษภาคม ๑๙๔๓ ยุคข้าวยากหมากแพงที่ใครต่อใครพากันอดอยากนี่ ชาวประชาคงไม่มีใครมีกะจิตกะใจที่จะเอาหัวหอมไปทำก๊าซพิษพ่นฆ่าใครต่อใคร เก็บเอาไว้กินซะยังจะดีกว่า

            ตอนนั้น..ฉันถูกรับหน้าที่ให้อยู่ประจำที่หน่วยคนใข้นักโทษต่างชาติ  หน้าที่ของฉันก็แค่ทำน้ำชาเข็นใส่รถไปแจกให้ทั่วตึก และพยายามทำสีหน้าให้เป็นมิตร
            พร้อมทั้งกล่าวคำทักทายสวัสดีตอนเช้าด้วยท่าทางที่แจ่มใส
            ในวันหนึ่ง ..เมื่อทำหน้าที่เสร็จ ฉันได้นำบรรดาถ้วยชาที่ใช้แล้ว กลับมาล้างทำความสะอาดในครัว พยาบาลอาวุโสที่กำลังแอบหั่นหัวหอมเพลินๆอยู่นั้นถึงกับชะงักมือ
            หล่อนเป็นภรรยานายทหารที่ย้ายมาจากฮัมเบอร์ค ชื่อว่า ไฮล์ดี้ ซึ่งเธอได้แก้ตัวเป็นพัลวันและมีพิรุธว่า กำลังหั่นเพื่อเป็นอาหารกลางวันของตัวเอง  
            ท่าทีของเธอหวาดหวั่น ด้วยเกรงว่า..ฉันอาจจับได้ว่าเธอกำลังพูดปด

            ซึ่งฉันก็ทำท่าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร  เดินไปทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อย พร้อมทั้งนึกขำในใจว่า..
            ทำม๊ายย..ฉันจะไม่รู้ว่าคุณพยาบาลนั่น สู้อุตส่าห์ไปหาซื้อหัวหอมมาจากตลาดมืด ที่จะเอามันมาให้นักโทษรัสเซีย
            ที่ร่อแร่ได้ลิ้มรสในวันสุดท้ายก่อนตาย  
            ทั้งๆที่บทลงโทษของการหาซื้อหัวหอมมาไว้เป็นสมบัติ หรือ ของการผูกสัมพันธ์กับนักโทษรัสเซียนั้น  โทษถึงจำคุกสถานเดียว..
            คนที่ท้าทายกฏหมายบังคับของผู้นำนั้นมีไม่น้อย อย่างรายของพยาบาลอาวุโสนี้ก็นับว่าแปลกกว่าของคนอื่นๆ
            เพราะ คนอื่นๆในโรงพยาบาลแห่งนี้  ส่วนใหญ่เล่นวิธีกลับกันคือ ขโมยของกินสำหรับคนใข้เอากลับไปกินเองที่บ้าน  
            คุณคงเข้าใจนะว่า..พยาบาลในตอนนั้นไม่ใช่คนที่มีความรู้สูงส่งอะไรและมักมาจากครอบครัวจากแถบชนบทชาวไร่ทางปรัสเซียตะวันออก และการที่เลือกทางเดินมาเป็นพยาบาลนั้นเหมือนกับการหนีจากกลิ่นโคลนสาบวัวมาสู่งานที่แสนสบาย

            ผู้หญิงที่มาแทบทั้งหมดเติบโตมาในยุคนาซีครองเมือง ท่ามกลางกลิ่นไอของกระแสโปรประกันดา
            ซึ่งต่างก็เชื่อมั่นและคล้อยตามในการที่ตัวเองได้เกิดมาด้วยสายเลือดที่สูงส่ง และมีความเหนือกว่าชนชาติใดๆโลก
            นั่นคือ ความเป็น"อารยัน"  
            ฉะนั้น ไม่ว่า ฝรั่งเศส รัสเชียน ดัทช์ เบลเจียน หรือ โปล์ ก็ตาม คนพวกนี้"ต่ำต้อย"ที่น่าเหยียดหยามไปหมด  
            ยิ่งถ้าเป็นคนใข้เชลยด้วยแล้วละก้อ จะทำอะไรกับคนพวกนี้ก็ย่อมได้
            นับประสาอะไรกับอีแค่"ขโมย" อาหารของพวกมันไปกินที่บ้าน


            นับไปนับมาฉันว่า  ในเมือง บรันเดนเบอร์คของเราคงต้องมีเชลยสงครามมากกว่า หมื่นคน ที่แบ่งกระจายไปทำงานในโรงงานและอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น  โรงประกอบรถยนตร์โอเปิล,โรงประกอบเครื่องบิน อาราโดเป็นต้น
            และคนใข้ที่มารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นคือ พวกที่บาดเจ็บมาจากการทำงานกับเครื่องจักร ที่มีมาทุกรูปแบบ เช่น  มือเจ็บ.ถูกไฟลวก, โดนน้ำยาเคมี และคนเหล่านี้คือเชลยที่ถูกกวาดต้อนมา จากประเทศต่างๆที่แพ้ศึก

            พวกเขาต่างพลัดพรากมาจากพ่อแม่และครอบครัว ที่จิตใจต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้าจนฉันเองไม่เคยกล้าที่จะมองจ้องลึกไปในดวงตาของเขาเหล่านั้น
            เพราะ..กลัว..กลัวเหลือเกินว่า จะเห็นความว้าเหว่..โหยหาอาดูร ของตัวเองที่สะท้อนกลับมา

            ในโรงพยาบาลเล็กๆของเราที่ต่างแยกแผนกไปตามเรือนต่างๆ  โรงอาหารพวกพยาบาลก็อยู่ในอาคารหนึ่ง  โรงซักผ้าก็อาคารหนึ่ง แผนกกระดูกก็แยกไปอีกอาคารหนึ่ง เช่นเดียวกับ โรคติดต่อ
            คนใข้ต่างชาติ ก็ต้องแยกคนละอาคารกับคนใข้เยอรมัน และ พวกคนใข้เชลยเหล่านี้ต้องอยู่รวมกันไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อร้ายแรงแค่ไหน  
            ครั้งหนึ่งมีคนใข้เชลยที่เป็นโรคใข้รากสาด โรคติดต่อที่ร้ายแรง(ในยุคนั้น)
            ที่ว่าสมุฏฐานนั้นมาจาก น้ำสกปรก ตัวพาหะสกปรก
            ซึ่งทำเอาแตกตื่นไปทั้งโรงพยาบาล เพราะต่างร้อนใจว่ามันเกิดขึ้นในประเทศที่มีน้ำจากลำธารใส การเป็นอยู่ที่แสนสะอาดและอาหารที่ถุกคัดเลือกสรรคุณภาพเป็นอย่างดีอย่างเยอรมันได้อย่างไร
            เหล่าพยาบาลต่างสรุปกันได้สั้นๆแค่ว่า..เพราะพวกเชลยต่างชาติต่างหากที่แสนสกปรกโสโครก  โดยไม่มีใครยอมรับความจริงสักนิดหนึ่งว่า..
            สภาพคุกนักโทษที่ถูกจองจำนั้น มันช่างเลวร้าย เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ต่างหาก..


            มาถึงตอนนี้ คุณคงเดาได้ว่า ฉันไม่ใช่พยาบาลเต็มขั้นอย่างคนอื่นๆเขา  แต่เป็นเพียงผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้น ได้รับการฝึกหัดมาแค่การพยาบาลชั้นต้น
            เช่น การป้อนอาหารผู้ป่วย, เช็ดถูเครื่องใช้,ล้างกระโถน
            อย่างวันแรกของการทำงาน ที่ฉันต้องล้างกระโถนถึงยี่สิบเจ็ดใบ  และเมื่อเสร็จฉันก็ต้องล้างถุงมือยางที่ใช้ให้สะอาด เพราะมันเป็นถาวรวัตถุ ไม่ใช่ชนิดบางที่ใส่ครั้งเดียวทิ้งอย่างของที่ใช้ในปัจจุบัน
            ถุงมือที่ฉันใช้ในตอนนั้น มันเป็นยางชนิดหนา หนัก ก่อนใช้ต้องโรยแป้งข้างในก่อน  หรือบางทีต้องเอาผ้าชุบครีมเหลวๆพันมือเสียก่อนชั้นหนึ่ง เพื่อกันการปวดในข้อนิ้วมือ
            งานของฉันก็อยู่ในแวดวงประมาณนั้น ไม่ได้เป็นไปในทางรักษา พยาบาลตรงไหน  

            แต่..ครั้งหนึ่ง ฉันได้รับการร้องขอให้ไปเป็นผู้ช่วยในการถ่ายเลือดให้คนใข้ในวิธีโบราณ กล่าวคือ เราทำการเจาะเลือดจากคนใข้คนหนึ่งเอามาใส่ในกาละมัง และสูบขึ้นไปใส่ในหลอดเลือดของคนใข้อีกคนหนึ่ง
            หน้าที่ของฉันคือ คอยนั่งคนเลือดไม่ให้จับตัวกันเป็นก้อน ซึ่ง..ไม่นาน  ฉันต้องวิ่งออกไปอาเจียน
            เสียงบ่นไล่หลังมา ในครั้งนั้น ก็คือ " ดูรึ จะมาหวังอะไรกับ แม่เกรตเต้ นังเด็กหน้าโง่ออสเตรียนก็คงไม่ได้ ..นังนี่อย่างดีก็เป็นแค่คนใช้แค่นั้นแหละ ปล่อยให้มันไปป้อนพวกนิ้วด้วนต่อไปละกัน"

            ฉันเองก็สวดมนต์ภาวนาเสมอ ขออย่าให้มีคนใข้มาตายลงในขณะที่ทำงานอยู่เลย..พระเจ้าท่านก็คงรับฟังนะ เพราะ คนใข้มักรอให้ฉันออกจากเวรก่อน แล้วค่อยตาย..
            และสำหรับคนใข้แล้ว ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะทำดีด้วย เช่นพูดฝรั่งเศส กับพวกที่มาจากฝรั่งเศส เพื่อให้เขาคลายความคิดถึงบ้านไปได้บ้าง
            บางที..บางที ฉันอาจะเป็นคนที่ยิ้มง่ายจนเกินไปกระมัง..
            วันหนึ่ง ในเดือน สิงหาคม หัวหน้าพยาบาลมาบอกว่า  ฉันจะต้องถูกย้ายไปแผนกสูตินารี
            เพราะ ท่าทางที่เป็นกันเอง ยิ้มแย้มกับคนใข้เชลยนั้น ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง..
            นี่คือสิ่งที่ฉันได้ทราบว่า  การสอดแนมหลายชั้นหลายเชิงนั้นมีอยู่ทั่วไปภายในโรงพยาบาล  
            ดังนั้น รายของคุณพยาบาลอาวุโสที่แอบเอาหัวหอมมาปอก(ให้คนใข้เชลย) ก็น่าจะกริ่งเกรง หวาดผวา
            แม้ว่าเบื้องหน้าที่เห็น..ฉันจะเป็นแค่ มาร์กาเรตเต้  หรือที่ใครๆเรียกสั้นๆว่า เกรตเต้  สาววัยยี่สิบไร้การศึกษาจากออสเตรีย  แต่ใครเล่าจะมาเดาได้ว่าเบื้องหลัง ฉันจะไม่ใช่สายลับของเกสตาโป หรือ หน่วย เอสเอส !!




            ( หมายเหตุ  หัวหอมคือ โภชนปัจจัยสำคัญสำหรับชนชาติยุโรป โดยเฉพาะรัสเชียนที่บริโภคหัวหอมอันเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกชนิด  รัสเซียขาดหัวหอม ก็เหมือน
            ส้มตำขาดมะละกอ..วิวันดา)


            ต้นฤดูใบไม้ร่วง 1943  หลังจากที่ถูกย้ายมาแผนนกสูติฯไม่นานนัก  คนใข้นักอุตสาหกรรมชื่อดัง  ถูกส่งมาที่โรงพยาบาลโดยรถฉุกเฉิน นัยว่า มาจากกรุงเบอร์ลิน ด้วยอาการแรกเริ่มของหัวใจวาย
            เพราะในตอนนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาหย่อนลูกระเบิดในเบอร์ลินแทบทุกวันตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา  
            คนใข้บรรดาศักดิ์คนนี้ถูกย้ายมาเพราะต้องการที่จะรักษาตัวในที่เงียบสงบ ครอบครัวเขาจึงส่งมาที่นี่
            ที่บรันเดนเบอร์ค ยังไม่มีการรบกวนทางอากาศแต่อย่างใด โรงพยาบาลเองก็ไม่เคยเตรียมพร้อมในด้านเครื่องไม้เครื่องมือฉุกเฉินมากไปกว่าจำเป็น.. นอกเหนือไปจากการรักษาพยาบาลแบบทั่วๆไป
            และ เนื่องจากฉันจัดว่ามีอาวุโสน้อยสุด และ ไม่ได้มีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง จึงถูกเรียกให้มารับใช้เขาคนนี้ โดยเฉพาะ
            งานนี้ไม่ใช่หมู เพราะ คนใข้มีอาการกึ่งอัมพาต ที่ต้องช่วยพยุงไปห้องส้วม ต้องป้อนอาหารให้ทุกมื้อ  ต้องเช็ดและพลิกตัวกลับไป-มาบ่อยๆ  
            นอกเหนือไปจากการที่ต้องช่วยนวดเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เริ่มหมดสมรรถภาพ

            ฉันไม่ได้เล่าเรื่องคนใข้"พิเศษ" ของฉันคนนี้ให้ เวอร์เน่อร์ ผู้เป็นคู่หมั้นฟัง. เพราะไม่อยากให้เขาเริ่มเพ้อเจ้อวาดวิมานไปตามนิสัยที่รู้ๆกันอยู่ ว่าทะเยอทะยานอยากเด่นอยากดังนัก  
            เวอร์เน่อร์หวังเสมอที่จะผลักดันตัวเองให้
            เข้าสู่สังคมวงใน จากประสบการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้สอนเขาว่า คนในอาณาจักร์ไรค์ที่ได้ดิบได้ดีนั้น
            หาใช่ว่า เพราะมีฝีมือหรือความสามารถเหนือมนุษย์อย่างใดไม่   หากแต่เป็นเพราะพวกเขามีผู้หนุนหลังเป็นเส้นสายให้ต่างหาก

            เวอร์เน่อร์ เป็นช่างทาสี ที่มีความสามารถ เพราะก่อนที่นาซีจะครองเมืองนั้น  เขาเป็นแค่คนพเนจร ร่อนเร่  หน้าฝนก็ไปอาศัยหลบนอนอยู่ในป่า  แต่เมื่อมาถึงยุคของนาซี เขาก็เข้าร่วมพรรคและร่วมอุดมการณ์ จนได้ไต่เต้ามาเป็นหัวหน้าแผนกทาสี ใน โรงประกอบเครื่องบิน อาราโด ที่มีลูกน้องเป็นเชลยต่างชาติมากมาย อนาคตของเขาที่เห็นๆก็ไม่ขี้แหร่มากนัก
            แต่เวอร์เน่อร ์หาได้หวังจะหยุดแค่นั้นไม่..เขาใขว่คว้าหาโอกาสที่จะก้าวขึ้นสูงกว่าเสมอ  
            ฉะนั้น เรื่องที่มาที่ไปของคนใข้สำคัญคนนี้  ฉันจึงพยายามให้เขารู้น้อยที่สุด..



            ยามที่มีช่อดอกไม้จากพณ.ท่าน อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกรมพัฒนาอาวุธและสงครามส่งมาให้คนใข้คนพิเศษคนนี้ ทำให้ได้รู้ว่า ทำไมพยาบาลคนอื่นๆจึงได้ต่างรีบมอบหมายงานดูแลรับใช้มาให้ฉันอย่างไม่มีเกี่ยงงอน
            เพราะต่างก็เกรงว่าจะทำการไม่ถูกใจท่านผู้สำคัญ
            ถ้าหากเกิด..ทำกระโถนตก หรือ ทำแก้วน้ำหก  อาจสร้างความโมโหโกรธา
            หรือ ถ้าฉันเกิดเช็ดตัวให้ท่านแรงไป  พลิกตัวให้เร็วไป ป้อนซุปให้ร้อนไป เย็นไป เค็มไป
            หรือ..โอย พระเจ้าช่วย.. ถ้าท่านเกิดหัวใจวาย หรือ ตายไปขณะที่ฉันกำลังปฏิบัติงานรับใช้อยู่  เห็นทีจะแย่..

            แต่แทนที่จะมานั่งคิดถึงเรื่องร้ายๆที่พึงจะเกิดนั้น  ฉันมาตั้งสติคิดและพยายามบรรจงทำงานออกมาให้เป็นผลดีที่สุด
            จนท่านคนนั้นถูกอกถูกใจ ถึงกับชมเปาะในขณะที่ฉันเช็ดตัวให้ว่า
            "คุณเป็นนคนที่ทำงานยอดเยี่ยมมาก คุณพยาบาล
            มาร์กาเรตเต้  เก่งมากนะ..สำหรับเด็กอย่างคุณ"
            "มิได้ค่ะ..ดิฉันไม่ได้ชำนาญอะไร..เพิ่งออกจากโรงเรียน ทำไปตามที่เขาสอนมา"
            "คณไม่เคยดูแลคนใข้ที่เป็นอัมพาตมาก่อนเลยหรือ?"
            "ไม่เคยเลยค่ะ"
            "เหลือเชื่อจริงๆ"
            จากนั้นมา ท่านก็ดีวันดีคืน สุ้มเสียงเริ่มใส..ไม่สั่นเครืออย่างแต่ก่อน เพราะกำลังใจที่ดีเยี่ยม  ในขณะที่ฉันกำลังนวดเท้าให้นั้น  ท่านชวนคุยว่า
            "ไหน คุณพยาบาล ลองเล่ามาให้ฟังซิ ว่า คนในบรันเดนเบอร์คคิดอย่างไรกับสงครามครั้งนี้"
            "ดิฉันไม่ทราบค่ะ"
            "แต่..ก็ต้องผ่านเข้าหูบ้างละน่า  ผมอยากรู้ว่าชาวบ้านชาวช่องเขามีความเห็นอย่างไร อย่างเรื่องส่วนสัดการแบ่งปันอาหารและเนื้อสัตว์"
            "ทุกคนก็พอใจนี่คะ"
            "แล้วเรื่องข่าวจากอิตาลีล่ะ"
            ฉันไม่แน่ใจว่าสมควรจะตอบอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะ ใครๆก็รู้ว่า สงครามที่อิตาลี สัมพันธมิตรกำลังมีชัยเหนืออักษะ แต่จะให้ตอบไปตรงๆใครเล่าจะกล้า จึงเลี่ยงออกไปว่า
            "เราเชื่อค่ะท่าน ว่า อังกฤษจะต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด"
            "แล้ว คุณรู้จักไหมว่าใครมีแฟนที่กำลังอยู่ในแนวหน้าด้านรัสเซียบ้าง  พวกทหารพวกนั้นได้เขียนนจดหมายมาถึงหรือไม่?"
            "พวกทหารพวกนั้นมักไม่เล่าเรื่องการศึกหรอกค่ะ พวกเขาเกรงว่าแนวหลังจะเป็นกังวลโดยใช่เหตุ หรือ จดหมายอาจตกอยู่ในมือของข้าศึกทำให้เสียแผนไปได้ค่ะ"
            "คุณเคยได้ยินไหมว่า พวกรัสเชี่ยน มันเป็นพวกมนุษย์กินคน มันกินกระทั่งลูกหลานที่เป็นเด็กๆ"
            "ได้ยินค่ะ"
            "เชื่อไหม?"
            "บางคนก็เชื่อค่ะ แต่ดิฉันว่า ถ้าชาวรัสเชี่ยนกินลูกหลานของตัวเองแล้ว ไฉนเลย จึงได้มีประชากรมากมายล้นทวีปอย่างนั้นล่ะคะ"
            คำตอบนี้..ท่านถึงกับหัวเราะออกมา ด้วยท่าทีที่อบอุ่น และอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้ฉันนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงญาติผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นอัมพาตที่ฉันเคยได้เฝ้าดูแลรักษาอยู่หลายปี..
            ในชีวิตอีก"มิติ"หนึ่งของความเป็น"ฉัน"คนนี้ !!


            อาการเกร็งที่เคยมี เริ่มผ่อนคลายลง เมื่อเห็นท่านมีอารมณ์ดี และอยากสนทนา
            "คุณพยาบาล คุณคิดว่า..ท่านผู้นำจะทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนมีความสุข หือ?"
            "คู่หมั้นของดิฉันได้บอกว่า ท่านผู้นำท่านรักประเทศชาติราวกับคู่ชีวิต และด้วยเหตุนี้เองกระมังที่ท่านถึงไม่แต่งงาน และท่านคงต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเรามีความสุขอย่างแน่นอน และถ้าท่านมีโอกาสได้พบกับท่านผู้นำ ช่วยกราบเรียนท่านว่า กรุณาส่งหัวหอมมาให้พวกเราบ้าง"

            ท่านถึงกับหัวเราะด้วยความขบขันต่อคำตอบที่ได้รับ..
            "คุณนี่ คือโอสถอันวิเศษเชียวนะ มาร์กาเรตเต้  พูดซื่อๆ ใจดี  แสนเป็นธรรมชาติของหญิงชาวเยอรมัน  ไหนบอกมาซิ ว่าคู่หมั้นของเธออยู่แนวหน้ารัสเซียหรือเปล่า?"
            "ยังค่ะท่าน เขาทำงานสร้างเครื่องบินให้กับกองทัพอากาศของเรา"
            "ดีจัง..พวกลูกชายของผมก็เก่งนะ เขาเป็นทหาร" ว่าพลาง ท่านก็หยิบรูปของชายหนุ่มสองสามใบที่หน้าตาคล้ายๆกันในชุดยูนิฟอร์มมาอวด เขาเหล่านั้น ท่าทางกำลังรุ่งเรืองในตำแหน่งหน้าที่การงาน
            ท่านมีทีท่าภูมิอกภูมิใจอย่างเอกอุ  
            ฉันเผลอตัวหลุดปากไปว่า..
            "คำพังเพยโบราณได้กล่าวไว้ว่า..ไม่ยากที่จะเป็นพระราชาคณะ ตราบใดที่มีญาติเป็นพระสังฆราช"
            ท่านชะงักไปชั่วครู่ และหันมาจ้องฉันอย่างสำรวจตรวจตราจริงจัง  กล่าวว่า
            "คุณนี่ไม่ธรรมดาเลย..ฉลาดมาก เรียนหนังสือที่ไหน?"
            ลำใส้ในท้องฉันเริ่มปั่นป่วน..คอหอยแห้งผาก  ฝืนใจตอบไปว่า
            "เป็นคำพูดที่ยายเคยพูดเสมอค่ะ" พลางพลิกตัวท่านลงเพื่อที่จะเช็ดหลัง..รีบกล่าวแก้เกี้ยวว่า..
            "เป็นข้อความที่จำๆผู้ใหญ่ที่บ้านมาพูดน่ะค่ะ"
            "งั้นตอนที่ผมกลับไปเบอร์ลิน จะขอเธอไปเป็นพยาบาลส่วนตัวนะ จะพูดกับเจ้านายเธอเอง"
            "โอ..นับว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่งค่ะ แต่ ดิฉันกับคู่หมั้นตั้งใจจะแต่งงานกันในเร็วๆนี้  คงจากไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ  ขอบพระคุณค่ะ..ขอบพระคุณจริงๆที่ท่านกรุณา
            ให้เกียรติ ..แต่จนใจจริงๆค่ะ"


            เมื่อเสร็จสิ้นการเข้าเวร..ฉันกล่าวราตรีสวัสดิ์กับท่าน
            ออกจากห้องด้วยอาการขาสั่นและอารมณ์ที่หวั่นไหว..
            เหงื่อออกมาท่วมตัวจนเปียกโชกไปหมด
            ฉันอ้างกับเพื่อนร่วมงานที่มาแทนเวรว่า
            เป็นเพราะต้องให้การนนวดบำบัด อีกทั้งพลิกคนใข้ไปมา ซึ่งไม่ใช่งานง่ายๆ  
            แต่ความจริงนั้นคือ ฉันเกือบหลุดความลับที่เปรียบเสมือนความเป็นความตายออกไปโดยไม่รู้ตัว..
            คำคม และ วี่แววของการฉลาดพูด ฉลาดเปรียบเปรยที่เล็ดรอดออกไปเพียงนิดเดียว  อาจทำให้เป็นที่สังเกตได้ ว่า
            ฉันไม่ใช่เด็กสาวออสเตรียธรรมดา ไร้การศึกษาอย่างที่ใครๆคิด
            ตลอดทางที่เดินกลับไปยังที่พักในบริเวณโรงงาน อาราโด ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองนั้น  ฉันต้องให้คำมั่นตั้งสัตยปฏิญาณกับตัวเองเป็นครั้งที่ล้านๆว่าต่อไปนี้จะระวังตัวให้มากกว่านี้
            จะเปิดตาให้กว้างขึ้น และปิดปากให้พูดน้อยลง ...

            (ในสมัยนั้น คำเปรียบเปรยชนิดว่า It's easy to be a cardinal, when your cousin is the pope  นั้น ผู้ที่ใช้เป็น..มักเป็นพวกชนชั้นมันสมอง จึงเป็นเรื่องแปลกที่
            ผู้ช่วยพยาบาลสาวบ้านนอกจากออสเตรียจะนำมาใช้  มันหรูหราไปค่ะ..วิวันดา)


            เดือนตุลาคม 1943  ในงานเดินพาเหรดของเทศบาลเมือง
            บรันเดนเบอร์คที่กำลังจะจัดขึ้นนั้น
            กลุ่มแรงงานแต่ละกลุ่มต้องส่งตัวแทนไปร่วมในการเดิน  คณะพยาบาลแห่งสภากาชาดได้ลงมติเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะส่งฉันไป เพราะท่าทีของแต่ละคนนั้น
            ไม่มีความกระตือรือล้นที่จะร่วมต่อกิจกรรมในครั้งนี้แต่อย่างใด..
            อาจเป็นเพราะว่า พวกเขารู้เรื่องข่าวสงครามที่กองทัพเยอรมันกำลังย่อยยับทั้งในรัสเซีย,อาฟริกาเหนือ,
            และ อิตาลี  
            อาจเป็นเพราะไปแอบฟังวิทยุข่าวจากต่างประเทศเช่น..BBC  หรือ เสียงอเมริกา หรือ
            เบอรอนมุนสเตอร์ ของสวิส..กันตอนไหนก็ไม่รู้ได้
            เพราะการฟังข่าวจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่สถานีวิทยุเยอรมัน
            (ที่ออกข่าวแต่ชัยชนะ) นั้น..มีความผิดขั้นเป็นกบฏต่อชาติทีเดียวเชียว..
            เวอร์เน่อร์ ภาคภูมิใจในตัวฉันมาก ที่ได้รับการเลือกไปร่วมเดินครั้งนี้ เขาถึงกับคุยโวไปทั่วโรงงาน ว่า
            "ไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยที่เกรตเต้ของฉันได้เป็นตัวแทน  เพราะเธอมีเลือดรักชาติอย่างเต็มเปี่ยม"  เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่ฉันรู้สึกสะดุ้งนิดๆ เพราะมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงของฉันอย่างที่สุด

            วันงาน..ฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ด้วยเครื่องแบบของสภากาชาด ผมสีน้ำตาลถูกหวีเก็บเรียบ ไม่มีการใช้กิ๊บติดผม ไม่มีการม้วน ไม่มีการใช้น้ำมัน
            รวมไปถึงการไม่ใช้เครื่องสำอาง ไม่ใช้เครื่องประดับ นอกจากแหวนทองเล็กๆที่มีเพชรซีกฝังติดอยู่ อันเป็นของขวัญวันเกิดในครบรอบ 16 ปี ที่ได้รับจากพ่อ

            ด้วยความที่เป็นเป็นหญิงร่างเล็ก สูงไม่เกินห้าฟุต  จึงดูแน่งน้อยอรชร
            แต่กระนั้น ในยามปรกติฉันมักพรางรูปทรงด้วยการใส่ถุงน่องแบบหนาที่ใหญ่กว่าขนาดตัว และคาดด้วยผ้ากันเปื้อนอย่างหลวมๆทับบนเครื่องแบบอีกที..
            เพราะมันไม่ใช่เวลาที่จะทำตัวให้โดดเด่น สวยงามให้เป็นที่สังเกตุ  ขอแค่ดูดี  สะอาดสะอ้าน
            เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ  ต้องมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ให้เป็นที่สนใจจากใครๆ



            การเดินพาเหรดในครั้งนั้น..ช่างต่างกับครั้งไหนๆอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีเสียงรัวของกลอง ไม่มีการให้จังหวะก้าว
            ไม่มีเด็กๆในชุดเครื่องแบบสวยๆมาโบกธงในริ้วขบวน

            จุดประสงค์ในการจัดขบวนพาเหรดครั้งนี้ เพียงเพื่อ กระตุ้นและฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของประชาชนที่สูญเสียไปการพ่ายแพ้ของเยอรมันในสงครามสตาลินกราด เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาให้กลับมาดีขึ้น
            อันเป็นความคิดของ ไฮน์ดริช ฮิมเม่อร์  ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง รัฐมนตรีมหาดไทยหมาดๆเมื่อเดือน สิงหานี้เอง  พร้อมกับคำขวัญตอกย้ำที่ประชาชนต้องจำให้ขึ้นใจว่า
            "ความสามัคคี..ขวัญและกำลังใจ(ของประชาชน)ที่เข้มแข็ง คือ ที่มาของชัยชนะ"  
            ยิ่งประกาศปาวๆออกไปมากเท่าไหร่ ประชาชนก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น
            ข้อความที่ป่าวประกาศให้ทราบถึงว่า..
            ถ้าเยอรมันแพ้สงคราม นั่นหมายถึง ความล่มจม ความวิบัติ
            ความลำบากยากแค้นแสนเข็ญของประเทศชาติยุคภาวะขาดแคลนปี  1929  จะกลับมาเยือนอีกครั้ง
            หรือถ้าเกิดนึกเบื่อหน่ายไอ้สตูว์เละๆที่ต้องกินทุกวัน ตามนโยบายประหยัดของด๊อกเตอร์ โจเซฟ เกิบเบิ้ลส์ละก้อ..
            ขอให้นึกถึงว่า ถ้าเราชนะสงครามเมื่อไหร่ ประชาชนทุกคนจะมีชีวิตอยู่อย่างพระราชา..ได้ลิ้มรสของกาแฟแท้ๆ  ขนมปังอร่อยๆที่ทำจากแป้งและใข่สด
            แต่ก่อนอื่น ทุกคนต้องทำงานอย่างแข็งขัน อีกทั้ง..ต้องเป็นหูเป็นตามในการสอดส่อง แจ้งเบาะแสของคนที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล
            โดยเฉพาะต้องคอยเงี่ยหูฟังว่าบ้านไหนบังอาจเปิดวิทยุฟังสถานีข้าศึก ..
            ส่วนข่าวเรื่องเยอรมันแพ้สงครามที่อิตาลีและอาฟริกาเหนือนั้น..
            รัฐบาลรีบออกมาแถลงอย่างมีพิรุธว่า..ไม่เป็นความจริง..เป็นข่าวกุขึ้นมาทั้งสิ้น

            แต่ คณะนาซี หรือที่ใครๆให้สมญาว่า ผู้ครองโลก นั้น เริ่มส่อแววสั่นระส่ำระสาย จนฉันอดยินดีปรีดาไม่ได้ พร้อมทั้งภาวนาในใจขอให้มันเป็นความจริงเถิด สาธุ
            แต่แล้วก็ต้องรีบสะกดใจห้ามอาการลิงโลดนั้นให้ราบเรียบ..พร้อมบอกกับตัวเองว่า..
            นิ่ง..นิ่ง..นิ่งไว้ก่อน  มันยังไม่ถึงเวลา..!!





Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 2:11:35 น. 0 comments
Counter : 1695 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]