ต่อค่ะ.. เผื่อมีคนข้องใจ.. เห็น เรียกๆว่า ปรัสเซียมั่ง เยอรมันมั่งนั้นเพราะ ก่อนบิสมาร์คจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี(ประมาณนั้น) เยอรมันถูกเรียกว่า ปรัสเซียค่ะ ตามเชื้อชาติ เดิมๆของชาวปรัสเซียคือพวก ที่กระจายกันอยู่ เป็นพวกโปล์มั่ง สลาวิคมั่ง..ลิทเธอเนียมั่ง..(ก็ชายแดนของรัสเซียนั่นแหละ) จนศตวรรษ ที่ 11 ได้ถูกกลุ่มนักรบบ้านป่าหรือเป็นที่ขึ้นชื่อว่า Teutonic Knights ได้รวบรวมคนเหล่านี้เข้าด้วยกันจนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ให้มานับถือศาสนาเดียวกัน คือ คริสเตียนได้สำเร็จ..เรียกว่า ปรัสเซีย (คงมาจาก โปแลนด์ + รัสเซีย เพราะนี่คือที่มาของเชื้อชาติ) หลังจากนั้น ก็มีสงครามศาสนาเข้ามาเกี่ยว เปลี่ยนไปมา จนกลายมาเป็นโปแตสแทนต์ ถึงกับต้องแบ่งปรัสเซียออกเป็นตะวันตก ตะวันออก.. จนมาถึง บิสมาร์ค ที่สามารถจับรวมเข้าด้วยกัน ให้มาเป็นเยอรมัน หลังจากที่ชนะสงคราม Franco-Prussian (สงครามกับฝรั่งเศส) ในปี 1871 พระจ้าลุดวิคที่สองช่างมีกรรม เสียจริงๆ เพราะ หลังจากที่ต้องแพ้สงครามเจ็ดอาทิตย์มาหมาดๆก็เกิด สงคราม Franco-Prussia ขึ้นมาอีก คราวนี้คือ ปรัสเซียกับฝรั่งเศส ซึ่งกองทัพบาวาเรียต้องถูกเกณฑ์ไปร่วมกับปรัสเซีย (เพราะอำนาจทางการทหาร ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชนะในสงครามคราวที่แล้ว) ในระหว่างนั้น แทนที่พระองค์จะสนใจในเรื่องการบริหารบ้านเมืองกลับหลบลี้หนีไปอยู่ตาม เขตชายแดนเทือกเขาและ..ถลุงเงินในท้องพระคลังอย่างสะใจ โดยสร้างปราสาทขึ้นมาอีกสามหลังพร้อมๆกัน ตามความฝันที่มี..หมดเงิน ไปกว่า 31 ล้านมาร์คเอง.. หนึ่งในนั้นคือ Neuschwanstein ที่มีชื่อเสียงลือลั่นเป็นปราสาทที่ นาย วอลส์ ดิสนีย์ ขอลอกเลียนไปเป็นปราสาทเจ้าหญิงนิทรา ในดิสนีย์แลนด์ไงคะ วาคเนอร์ก็มาตายจากไปในปี 1883 ซึ่งนำมาซึ่งความโศกเศร้ากับพระองค์อย่างที่สุด แต่เนื่องจาก พระองค์ทรงคลั่งไคล้อยู่สามสิ่ง..นั่นคือ การสร้างปราสาท, ดนตรีของริชาร์ด วาคเนอร์, การละคร..จนเหมือนกับเป็นคนที่มีจิตไม่ปรกติ จนรัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ โดยส่งแพทย์ทางจิตมาควบคุมพระองค์ และ..ในวันที่ 13 มิถุนายน 1886 มีผู้พบพระศพของพระเจ้าลุดวิค กับแพทย์ผู้ควบคุมจมน้ำตายในทะเลสาบ Starnberg โดยยังเป็นปริศนาดำมืดอยู่ว่า เป็นการปลงชีวิตตัวเองหรือ เป็นการลอบสังหารกันแน่.. เดี๋ยวจะงงว่ามาเล่าเรื่องเจ้าๆ ทำไม..เพราะว่า..ถ้าจะดูให้ลึกๆจริงๆแล้ว ฮิตเล่อร์ ได้รับอิทธิพลจาก พระเจ้าลุดวิคที่สองนี่มากมาย.. ฮิตเล่อร์เกิดเมื่อ ปี 1889 (สามปีหลังจากการสิ้นพระชนม์) ที่ Braunau(ใกล้ๆกับ Linz) ตอนเหนือของออสเตรีย ที่ใกล้กับชายแดนเขตของบาวาเรีย..และอิทธิพลของ ความเป็นบาวาเรียนนั้น แผ่คลุมซึมลึกลงไปในสายเลือด โดยเฉพาะฮิตเล่อร์ นั้นเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น..นั่นคือเขามักเป็น"สุดโต่ง" ของสิ่งใดทั้งหมด เหมือนกับพระเจ้าลุดวิคราวกับเป็นพระองค์กลับชาติมา เกิด เช่น.. 1.หลงไหลในเสียงเพลงและผลงานริชาร์ด วาคเนอร์ (ในต่อมา ฮิตเลอร์ก็ติดต่อกับคนในตระกูลนี้) 2.ชอบการสร้างในเชิงสถาปัตยกรรม.. ในฐานะที่ฮิตเลอร์ไม่มีเงินทองมาสร้างพระราชวัง แต่เขาสร้างเอาเองในจินตนาการ (ดูจากการวาดภาพ) 3.รักการใช้ชีวิตบนภูเขา (ดูจากการสร้างเบอร์เตสการ์เดน หรือที่เรียกว่า Eagle's nest) 4. ผู้หญิงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของชีวิต (เพราะอะไร..ค่อยมาว่ากันทีหลัง) 5. จุดจบ...คือการเลือกที่จะจบชีวิตด้วยตัวเอง และขอให้คิดดูว่า ฮิตเลอร์ต้องมาพบกับความล่มสลายของอาณาจักรบาวาเรียที่เขารัก ด้วยฝีมือของของยิวเพียงไม่กี่คน ตามข่าวเล่าว่า..พระเจ้าลุดวิคที่ สามถูกสั่งให้ขนข้าวของออกจากวัง..ขึ้นรถภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง..และ..ขณะที่รถ แล่นออกจากวังไปอย่างช้าๆ พวกคณะยิวปฏิวัติยิงปืนไล่จนรถพระที่นั่งต้องเร่งความเร็วขับหนี เป๋ปัดปุเลงๆลงไปในไร่มันฝรั่งแบบทุลักทุเล ฝุ่นตลบ..ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าทหารแดง |
ดาวของเขาเริ่มฉายแสง..ในชั้นเรียนของ ศาสตราจารย์ Alexander von Muller ที่ได้กล่าวยกย่องถึงพื้นเพของ
ชาวเยอรมันที่มีศักยภาพเหนือชนชาติอื่นๆ (master race) ซึ่งมีนักศึกษาคนหนึ่งยืนขึ้นโต้เถียงความยึดถืออันนี้
ฮิตเลอร์ยกมือขึ้นขออนุญาต..เขาขอเสนอตัวขึ้นโต้วาทีกับเจ้าหมอนั่นอย่างเผ็ดร้อนทันที
ทุกคนนิ่งฟังถ้อยคำที่พรั่งพรู พร้อมด้วยอากัปกิริยาที่เอาจริงเอาจังของฮิตเลอร์ อย่างตะลึงงัน
ใครจะไปรู้ว่า..เจ้าหน้าจืด ที่วันๆไม่เห็นพูดจากับใครจะ"ซ่อนคม" ได้อย่างลึกซึ้งถึงขนาดนี้
และ..นี่เป็นครั้งแรก..ที่ทุกคนได้ยินการต่อต้านและเกลียดยิว ชนิดเข้ากระดูกดำ
แม้กระทั่งตัวอาจารย์..เริ่มคล้อยตามในทุกคำพูดที่ได้ยินได้ฟัง เพราะ มันเป็นความจริงที่หยั่งรากฝังลึกในใจของเยอรมันทุกผู้
ฮิตเลอร์เป็นเพียงผู้กล้า..ที่กล้าขุด..กล้าเพาะ ให้มันออกมาเจริญเติบโต จนคนเริ่มมองเห็นว่า..ผลและดอกของ
มันนั้นน่าเกลียดเพียงใด !!
และการที่เขาสามารถทำได้เช่นนั้น เพราะ ในแคว้นบาวาเรียที่ทุกคนเห็นอยู่ว่ามันได้เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเช่นไร
ตั้งแต่อยู่ในความครอบครองของพรรคคอมมิวนิสต์ อันเต็มไปด้วยนักการเมืองยิวกว่าสามในสี่
และไม่ใช่แค่ในบาวาเรียเท่านั้น แม้แต่พรรคบอลเชวิคที่รัสเซียเอง..ก็เต็มไปด้วยยิว
จนหนังสือ ไทม์ (มีนาคม 1919) ได้เสนอว่า กลไกในการการขับเคลื่อนของบอลเชวิคนั้น มาจากยิวกว่า 75 %
และยังเสนอในข้อความที่ว่า ยิวอาจครองโลกในสักวันหนึ่ง..ซึ่ง ฮิตเลอร์และชาวเยอรมันอื่นๆก็ได้เชื่อเช่นนั้น..
เขาถึงกับจบการสรุปในการโต้วาทีอย่างไม่เกรงใจใครว่า
"ประเทศชาติจะรอดได้ ก็ต้อง ขับโซเวียตและยิวออกไปให้หมดในเร็ววัน"
เสียงตบมือขานรับดังกึกก้อง..!!!