ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
 ภาพ Otto Skorzeny หรืออีกสมญาหนึ่งคือ The Most Dangerous Man in Europe (ประวัติของเขาน่าสนใจมาก จะนำมาเล่าเพิ่มเติมให้ทีหลัง) เรื่องหน้า"บาก" ของเขาเป็นแฟชั่นสุดฮิตในสมัยนั้น ยุคที่นิยมวีรบุรุษทหาร ซึ่งถือกันว่า นายร้อยแห่งปรัสเซียนั้น จะต้องผ่านการฝึกฝนในสุดยอดของทุกสาขาวิชาการ รวมไปถึงการใช้ดาบปลายอ่อนที่งดงามด้วยศิลปการ"ดวล" แบบลูกผู้ชาย และผู้ที่ผ่านการดวลอย่างสุดยอดฝีมือย่อมต้องมีหลักฐานที่จะต้องเป็นที่ประจักษ์ต่อคนทั่วไป..แบบไม่ต้องควักใบประกาศฯมาให้ดูกันใช้เสียเวลา..นั่นคือ รอยแผลเป็นบนใบหน้าที่เกิดจากการเฉี่ยวตวัดของปลายดาบ...มันหมายถึงการเป็น นายร้อยจากปรัสเซียของแท้... ภาพในกลุ่มนี้คือ นักเรียนนายร้อยแห่งปรัสเซีย  ฮิตเล่อร์มารู้ข่าวว่าตัวเองถูก สหายรัก บาโดกลิโอ ดัดหลังก็ตอนที่อยู่ในศูนย์บัญชาการรัสเตนเบอร์ค ข่าวว่า อิตาลีได้ลงนามเป็นภาคีกับสัมพันธมิตร แถมยังเปิดทางให้อังกฤษและอเมริกา เดินขึ้นฝั่งมาอย่างสบายๆซะอีก.. การ ที่มุสโสลินีถูกจับกุมตัวไปคุมขังเพียงแป๊บเดียว ประชาชนในประเทศชาติต่างก็หันหลังให้กับลัทธิเผด็จการแบบปุบปับ เล่นเอาฮิตเล่อร์เสียวสันหลังตัวเองวาบๆ เกรงว่า ชาวเยอรมันอาจใช้ลัทธิเอาอย่างมั่ง..เกิบเบิลส์รีบออกไอเดียให้ท่านผู้นำออกแถลงการณ์อย่างด่วน ในวันที่ 10 กันยายน ใจความว่า "ชาวเยอรมันนั้น..เป็นปึกแผ่นแน่นหนา และ ไม่มีใครคิดคดทรยศต่อขบวนการนาซี ไม่มีทางที่จะเกิดเหตุอย่างเดียวกับที่อิตาลีได้" และ ยังโอ้อวดสรรพคุณกองทัพสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าสงครามครั้งนี้ มันเด่ะๆ แถมยังท้าทายสัมพันธมิตรว่า แน่จริงก็ลองมาหา"ตัวทรยศ"ในเยอรมันดูดิ รับรองว่าไม่มีวันเจอ !! แต่ในขณะเดียวกัน ฮิตเล่อร์ได้สั่งเพิ่มขบวนการอารักขา อีกทั้ง เลิกออกมาปราศรัยในที่สาธารณะต่อประชาชน..เขาเริ่มเก็บตัวเงียบ ใน วันหนึ่งก่อนหน้านั้น คือ วันที่ 9 กันยายน กองทัพสพม.ได้เข้าบุกเมือง Salerno ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของฮิตเล่อร์ เพราะเหล่าสพม.นั้น คาดการผิดไปอย่างถนัดใจ เพราะ ถ้าสพม.บุกเข้ากรุงโรมเลย ทุกอย่างก็จะง่ายเข้า อีกทั้งไม่เสียเลือดเนื้อมากมาย เพราะในเขตกรุงโรมมีกองทัพของอิตาลีประจำอยู่ถึง ห้ากองพล ที่พร้อมจะเข้าร่วมรบ กองทัพอเมริกันมีหน่วยอากาศโยธินที่เข้มแข็งและ พร้อมที่จะปฏิบัติงานจำนวนไม่น้อย..ระหว่าง สองหน่วยนี้จับมือกันลุยจริงๆ ก็สามารถเข้าควบคุมกรุงโรมได้แบบไม่ต้องเหนื่อย.. เพราะ ทหารเยอรมันที่อยู่ในบริเวณนั้น มีแค่ สองกองพลเอง.. แต่.. เมื่อสพม.มาลงที่ Salerno แถมยังดัน"หยิ่ง"ไม่ยอมเรียกใช้บริการของทหารอิตาเลี่ยน เนื่องจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาจากสงครามอาฟริกาเหนือ ว่า ไอ้ทหารสปา เกตตี้พวกนี้ มันช่างไม่ได้เรื่อง งี่เง่า เชื่องช้า รังแต่จะเป็นตัวถ่วง เป็นภาระซะปล่าวๆปลี้ๆ..โดยที่ลืมคิดไปว่า การต่อสู้ในสงครามอาฟริกาเหนือนั้น เป็นการไปร่วมรบกับเยอรมันที่อิตาเลี่ยนเอง..ก็ไม่ค่อยชอบหน้า.. เรื่องอะไรจะออกแรงให้เหนื่อย..มันไม่ใช่เป็นการรักษาดินแดนแผ่นดินแม่อย่างกรุงโรม.. อีกทั้งหน่วยจีไออากาศโยธิน ก็ไม่ได้ถูกเรียกให้มาใช้งาน เลยเจอกับการต่อต้านของทหารเยอรมันเลือดนักสู้เข้า.. จะ ว่าไปก็โทษวิสัยทัศน์แคบๆของอเมริกาไม่ได้เสียทีเดียว ที่ไม่ได้เข้าบุกกรุงโรมเสียก่อนดังที่ว่า เพราะ อเมริกายังใหม่และขาดประสบการณ์ต่อการทำสงครามมาก กว่าจะเรียนรู้ได้ก็"หมดไปหลาย" เพราะ การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ฮิตเล่อร์ได้ควบคุมสถานะการณ์ในกรุงโรมได้ มีชัยเหนือ ไอเซ่นฮาวร์ อย่างหน้าตาเฉย (ถึงจะเป็นชั่วคราวก็เถอะ) ดูแผนที่อิตาลี ประกอบ.. ปัญหาต่อไป ของฮิตเล่อร์..นั่นก็คือ ต้องช่วยมุสโสลินี เกลอรักให้ออกมาจากที่คุมขังให้ได้ เพราะ การที่จะตั้งล้มรัฐบาลใหม่ของอิตาลี จำเป็นจะต้องเอาอิล ดูซ ออกมา ไม่งั้นจะเป็นไตรภาคี โรม-เบอร์ลิน-โตเกียว ไปได้อย่างไร.. ฝ่ายอิตาเลียนก็รู้ดีว่า แผนการช่วงชิงตัวต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงมีการย้ายที่คุมขังไปเรื่อยๆ แม่ทัพโดนิทซ์รายงานมาว่า ข่าวจากกองเรือพบว่า มุสโสลินีอยู่ที่เกาะหนึ่งกลางทะเล แต่มาอีกวันหนึ่ง ไม่อยู่ซะแล้ว.. ในที่สุด ก็มาพบว่า เขาถูกคุมตัวอยู่ที่ โรงแรมหนึ่งบนเทือกเขา อัลเพนไนน์ ในแคว้น Abruzzi การ ที่จะไปเทือกเขานั้นได้ ต้องอาศัยทางรถไฟเท่านั้น..ฝ่ายสพม.และรัฐบาลอิตาเลี่ยน จัดเวรยามเฝ้าเส้นทางรถไฟอย่างแน่นหนา..ชนิดมดตัวเดียวก็ไม่รอดสายตา บริเวณโรงแรมที่คุมขัง ก็ยิ่งแน่นหนาเข้าไปใหญ่ ทหารมีพร้อมเพียบตลอด 24 ชั่วโมง.. ฮิตเล่อร์เรียกประชุมเหล่าหัวกระทิ SS ทันที..แผนการอยู่ในความควบคุมดูแลของ พันเอก Otto Skorzeny (จำชื่อนี้ไว้ให้ดีๆนะ เขาคือ หนึ่งในบุคคลอันตรายติดอันดับของยุโรป ที่เหลือรอดหลังสงคราม) พันเอก Otto มองเห็นการทำงานของอิตาเลี่ยนและสพม.แล้ว ก็ขำกลิ้ง..เขาบอกว่า เรื่องนี้ขอยกให้เป็นหน้าที่ของเขาเถอะ มันง่ายยังกะปอกกล้วย.. ว่าแล้ว เขาก็แต่งทัพหน่วยจู่โจมเครื่องร่อนทางอากาศ ยกพลบินข้ามเขาไปยังที่คุมขัง และ เตรียมเครื่องบินเล็กตามไปรับตัวมุสโสลินีให้นั่งออกมา หลังจากที่"ฉก"ตัวออกมาได้จากคุก ฟังดู..เหมือนยี่เกเน๊อะ..ตะเอง.. แต่..ทุกอย่างได้สำเร็จไปตามนั้น ดังที่วางแผนไว้เปี๊ยบเชียว ในวันที่ 13 กันยายนเอ๊งงงง...!! อายเขาม๊ะล่ะ.. ดูการปฏิบัติการจากยูทูบได้ค่ะ... //youtu.be/Gu1lXFvq31U   มาถึงในช่วงของกลางปี 1943 สภาพของเยอรมันก็เริ่มระเนระนาด นับจากสงครามในบ้านตัวเองที่ ฝ่ายสพม.ผลัดกันบินถล่มด้วยเครื่องบินแบบใหม่ๆ อย่าง B-17 งี้ P-38 งี้ P-47 งี้..เล่นเอารับมือกันไม่หวัดไม่ไหว มิหนำซ้ำ อังกฤษ อเมริกา ยังตามไปถล่มเส้นทางลำเลียงรถไฟไป-มาฝรั่งเศสอีกด้วย.. สงครามในอิตาลี ภายใต้การนำของ แม่ทัพ เกสเซลริ่ง ยังมีทีท่าว่าพอจะรับมือไหว ไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าใด และเป็นที่เดียวเท่านั้นที่ฮิตเล่อร์พอนอนใจได้บ้าง ส่วนเกลอเก่ามุสโสลิ นี หลังจากที่ฉกตัวออกมาจากคุกได้ ก็รวบรวมพรรคพวกจำนวนหนึ่งไปตั้งเป็นรัฐบาลอิสระ ที่ คาร์กาโย (Gargagno) ที่ยังอยู่ในเขตความดูแลของกองทัพเยอรมัน..รอวันที่ฮิตเล่อร์ชนะสงครามจะได้ กลับไปเสวยสุขเหมือนเดิม ส่วนสงครามทางน้ำ ..มาถึงในปีนี้ แม่ทัพโดนิทซ์ได้รับเรืออู 300 ลำ ตามที่ขอพอดี ซึ่ง เคยเล่าแล้วว่า โดนิทซ์เคยบอกมาตั้งแต่เริ่มสงครามในปี (1940) ว่า ถ้ามีเรืออูสัก 300 ละก้อ เยอรมันจะชนะสงครามภายในหกเดือน..แต่ในปี 1943 ได้เรือครบดังใจหมาย( แต่จะไปมีประโยชน์อะไร ในเมื่ออเมริกาโดดเข้ามาทำสงครามด้วย) เมื่อก่อน เรืออูสามารถต้องจมเรือของสพม.ได้ เดือนละ 500,000 ตัน..เพื่อให้อังกฤษอดตายกันทั้งเกาะ..แต่..เมื่อมีอเมริกาเข้ามา แต่ ผลผลิตเรือที่ออกมาใหม่ๆจากอเมริกามาช่วยทำศึกนั้น..เรืออูต้องจมเรือสินค้า ให้ได้มากกว่า 800,000 ตัน ต่อเดือน ถ้าทำได้ในจำนวนนั้นจริงๆ สพม.ถึงจะเดือดร้อน แต่ก็ป๊าววว..ภายในเดือน พฤศจิกายน 1943 ชาวอังกฤษก็ยังคงอยู่ดี กินอร่อย ไม่มีการขัดสนแม้แต่นิด แถม เรืออูของนาซี ได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น The Iron Coffins ซะอีกด้วย ถ้าหากโผล่ขึ้นมาผิดที่ผิดทาง..กลางขบวนคอนวอยที่ลอยอยู่เต็มน่านน้ำเข้าละ ก้อ เท่ากับว่าเป็นการฆ่าตัวตายแบบไม่ฉลาดเลยเชียว ส่วนสถานะการณ์แห่งดินแดนในการปกครองของนาซีในยุโรป ฮิตเล่อร์ได้ปล่อยไม้ตาย นั่นคือ The Final Solution ให้กับชาวยิว ที่เริ่มการเข้มข้นขึ้น ดังคำในแถลงการณ์ของฮิมม์เล่อร์ ที่ประกาศว่า.. " อะไรที่มันเกิดขึ้นในรัสเซีย ในเชคโก มันจะอดตายก็เป็นเรื่องของมัน เราไม่สนใจ เราสนใจแต่เพียงว่า มันจะทำงานให้เรามากเท่าใดต่างหาก "นังพวกเชลยหญิงรัสเซียที่มีนับหมื่นคนนั้น ต่อให้มันสิ้นแรงตายไปต่อหน้าเรา..ก่อนตาย..มันจะต้องทำงานขุดหลุมพรางดักรถ ถังข้าศึก จนกว่าจะเสร็จ" นี่คือ คำสั่งของฮิตเล่อร์ที่ต้องการให้กวาดล้างชาวยิวให้หมดออกไปจากยุโรป นั่นคือ 5 ล้านคนในรัสเซีย 1.5 คน ในยูเครน 3.3 ล้านคนในโปแลนด์ 3.5 แสนคนในฝรั่งเศส 6 แสนคนในโรเมเนีย 6.5 แสนคนในฮังการี 2.4 แสนคนในเยอรมัน ที่ต้องถูกกำจัดให้หมด..ไม่ให้เหลือซาก และในช่วงฤดูฝนของปีนั้น {1943} นาซีทำเป้าได้ เกือบสองล้านคน..(โดยรวม) เพราะการพัฒนาเตารมแก๊สที่ค่ายกักกันออสชวิทซ์ ที่ค่อนข้างทันสมัย ที่สามารถจุคนได้ถึงคราวละ 2000 คน ที่ค่ายเทบลิงก้า ยังค่อนข้างล้าหลังไปสักหน่อย จุได้คราวละ 200 คนเอง.. ส่วน ชาวยิวในโปแลนด์(รวยๆ) ที่ยังอยู่ในการแยกแยะทรัพย์สิน ก็สามารถซื้อเวลาโดยขอบัตรผ่านไปทำงานในโรงงานนรกต่างๆได้ก่อนที่จะถูก พิจารณาส่งไปค่าย (ดูในหนังรื่อง ชินด์เล่อร์ส์ลิสต์ นั่นแหละ ของจริงเชียว) ใน รัสเซีย..กองทัพต่อต้านชาวนา ถ้าถูกจับได้ตรงไหนก็จะถูกฆ่าตายตรงนั้น หรือ เชลยจากประเทศอื่นๆก็เหมือนกัน ถ้าถูกจับได้ก็หมายถึงส่งเข้าค่ายนรก ซึ่ง นับว่า ฮิตเล่อร์ได้สร้างอาณาจักรทาสให้กับเยอรมันที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจาก ใครต่อใคร เพียงแต่รอวันและเวลาที่จะปะทุขึ้นมาเมื่อโอกาสแห่งการแก้แค้นได้มาถึง สงคราม ที่ฮิตเลอร์ต้องเผชิญพร้อมกันหลายๆด้านที่กล่าวมานั้น ยังอยู่อีกด้านหนึ่ง..ที่สามารถยั่วโทสะให้ฮิตเล่อร์ให้แทบกระอักออกมาเป็นเลือดได้ (ภายหลังก็มายิงตัวตายอยู่ดีนั่นแหละ) คือ ฝั่งรัสเซีย ที่เขาเคยเห็นว่า ไม่มีน้ำยา และเป็นฝั่งที่เขาเคยคิดเช่นกันว่า สามารถจะได้ชัยชนะอย่างง่ายดายแบบชนิดว่าไม่ต้อง ออกแรง..แถมยังนอนฝันหวานสุดฤทธิ์ ว่า จะได้ผลประโยชน์มหาศาลจากตรงนี้ เพื่อเอามาครองโลกเป็นอภิมหาอำนาจต่อไปนั้น.. เหตุการณ์ มันช่างกลับกลายจากหน้ามือเป็นหลัง..ทัพของนาซีที่เคยรุกเข้าไปในเนื้อที่ หลายร้อยๆไมล์นั้น เริ่มถูกตีถอยออกมาเรื่อยๆ..จาก 100 ไมล์ มาเป็น 200 300 ในการปฏิบัติการ Citadel ที่ฮิตเล่อร์สั่งลุย(อีกที) ในวันที่ 4 กรกฏาคม 1943 นั้น..เพราะสาเหตุว่า ได้ผลิตอาวุธแบบใหม่ๆออกมา เช่น.. รถถังรุ่น เฟอร์ดินานด์ ที่ออกจะดูสวยงามน่าเกรงขาม แต่ไม่มีปืนกลติด แถมทำความผิดพลาดอย่างเดียวกับรุ่น เชอร์มัน ของอเมริกา คือใช้การขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเบนซิน นี่คือ ข้อบกพร่องที่ทำให้เสร็จ โก๋รัสเชี่ยน เพราะ พวกทหารแดงต่างพากันวิ่งขึ้นไปเอาระเบิดน้อยหน่าไปหย่อนลงไปในปล่องระบาย อากาศกันอย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน แถม ถ้าไม่ขึ้นไปหย่อนไม่ทัน ก็คอยยิงถังน้ำมันให้มันระเบิดเล่น หนุกดีออก.. ส่วน รัสเซีย..ก็ได้มีการนำอาวุธออกมาใหม่คอยรับเช่นกัน มันคือ รถถังรุ่น SU-122 ที่มีปืนใหญ่ขนาดปากกระบอก 122 มม. แถมน้ำหนักของรถถังมีแค่ 30 ตัน พลังขับเคลื่อนคล่องตัว แต่อานุภาพมหาศาล..และรุ่น SU-152 (รุ่น 122 ก็แย่แล้ว) ที่มีปืนใหญ่ขนาด 152 มม. ประดับเข้าไปอีก..น้ำหนักแค่ 40 ตัน เมื่อเทียบกับ รถถังเฟอร์ดินานด์ของเยอรมัน ที่ไม่มีปืนกล แถมยังอุ้ยอ้ายแบกน้ำหนักปาเข้าไปตั้ง 73 ตัน.. แล้วอย่างนี้จะมีอะไรมาเหลือ..!! Ferdinand ฮิตเล่อร์ได้เริ่มรู้แล้วว่า สงครามฝั่งนี้..สิ้นหวัง..จึงชะลอการบุกที่รัสเซียไว้กอ่น..หันมาทุ่มเทกำลังที่ฝั่งตะวันตกนี่แทน..เพราะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า สงครามในยุโรปนั้น ได้มีการสู้รบกันแน่ๆ เพียงแต่ว่า จะเป็นการบุกขึ้นฝั่งของสพม.ที่ไหนเท่านั้น.. เขาพยายามแชเชือน..ไม่ดูสถิติของการสู้รบของรัสเซียในด้านความจริงที่ว่า..ภายในฤดูร้อนของปีนั้น.. กองทัพรัสเชีย มีกำลัง ทหาร 5.5 ล้านคน เยอรมัน มีแค่ 2.4 รัสเซียมีรถถัง 8500 เยอรมันมีแค่ 2300 อาวุธประเภทปืนใหญ่ รัสเซียมี 2100 เยอรมัน มีแค่ 8000 นั้น หมายถึง รัสเซียพร้อมบุกกลับได้ทุกเมื่อ และ..ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น..เพราะ การถอยร่นของทหารเยอรมันได้หลุดออกจากจุดสำคัญๆที่เคยยึดได้ รวมทั้ง อาณาบริเวณ คอเคซัส ที่แสนสำคัญต่อสงครามครั้งนี้อีกด้วย.. ทั้งๆที่ฮิตเล่อร์ได้เคยประกาศก้องไว้ว่า..ถ้ายึดครองคอเคซัสไม่ได้ หมายถึง สงครามครั้งนี้ไม่มีทางชนะ.. ในภาพ..คือ...SU-122  และการณ์ก็เป็นเช่นนั้น ในเดือนพฤศจิกายน 1943 ฮิตเล่อร์ถูกบีบจากทั้งสองฝั่ง ซึ่ง ฮิตเล่อร์ไม่เคยยอมรับว่า เขามีสงครามสองด้าน เช่นเดียวกับที่ไม่เคยยอมรับว่ามี Battle of Britain และในขณะเดียวกัน ฝ่ายสพม.ได้ทำการหลอกล่อ ส่งโค๊ดอุบาย และ การส่งกำลังพลยังเบลเยี่ยม เพื่อให้เห็นว่า สงครามบุกขึ้นฝั่งครั้งนี้ จะเริ่มที่เบลเยี่ยมแน่นอน.. ฮิตเล่อร์หลงเชื่อสนิทอีกเช่นกัน..ในเดือน ธันวาคม เขาจัดส่งกองทัพขนาดมหึมา ทุ่มเทเงินหลายสิบล้านมาร์คเพื่อไปสร้างแนวป้องกันข้าศึก รวมทั้ง การวางกับระเบิด รายล้อมชายหาด ที่เบลเยี่ยม..ตามข้อมูลที่ได้มา.. เขาเครียดจัด..จนใครต่อใครแทบจำหน้าเขาไม่ได้ เกิบเบิลส์ได้เข้ามาพบหลังจากที่ไม่ค่อยได้เจอะได้เจอนั้น ถึงกับบันทึกไว้ว่า "สี่ปีของสงครามนี้ ท่านผู้นำดูแก่ไปกว่าอายุถึงสิบห้าปีเชียว" ฮิตเล่อร์มักขลุกตัวอยู่แต่ในศูนย์ที่ รัสเตนเบอร์ค ยืนอยู่หน้ากองกระดาษของแผนที่..อาการของเขาคือ ขบฝีปากเป็นเส้นตรง..หน้าเคร่ง แววตามีแววหนักใจ..ในขณะที่ต้องเลื่อนหมุดของกองทัพเยอรมันถอยกลับมาเรื่อยๆ จากฝั่งตะวันออก.. เขาเชื่อมั่นว่า สพม.จะต้องมาจากฝั่งสแกนดิเนเวีย และ อังกฤษ โดยการข้ามช่องแคบ อาจจะเป็นทางอ่าวบิสเคย์ หรือไม่ก็ ทางบัลข่าน ทุกทิศนั้น...อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น.. ฮิตเล่อร์ได้สั่งการไปยังแม่ทัพโดนิทซ์ ให้เคลื่อนทัพเรือไปรอ..และรายงานข่าวของวี่แววการบุกทางทะเลของสพม.ให้เขาทราบทุกระยะ มาถึงตอนนี้ เขายังทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ว่า สงครามครั้งนี้ เยอรมันไม่สามารถจะต้องสู้เพื่อชัยชนะได้อีกแล้ว.. ที่อยู่สู้..ก็เพียงเพื่อป้องกันรักษาดินแดน..และ การต่อต้านเพื่อให้ข้าศึกเอาชนะได้อย่างยากที่สุดเท่าที่จะยากได้.. อีกทั้ง ประธานาธิบดี รูสเวลต์ และ ท่านนายกฯเชอร์ชิลล์ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า เยอรมันต้องขอยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนใขเท่านั้น.. และด้วยถ้อยคำนี้ ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนใข..นั้น ทำให้เป็นที่รู้กันว่า อย่างไรเสีย ฮิตเล่อร์ก็ไม่มีวันยอม.. ในการประชุมขุนพลในวันที่ 20 ธันวาคม ฮิตเล่อร์ได้แถลงถึงแผนการรบด้วยความคิดและถ้อยคำแบบแปลกๆ.. เช่น.. หรือเราจะใช้โยนพลุระเบิดใส่ข้าศึก...หรือเราจะใช้ระเบิดอัตโนมัติด้วยแรง สั่นสะเทือน หรือเราจะใช้การราดน้ำมันบนทะเลแล้วจุดไฟเผา.. ทุกอย่างนั้น แล้วแล้วแต่เป็นสีสันในเชิงจินตนาการ..ซึ่งยังคงเป็นไปไม่ได้ในโลกของความจริง นี่คือ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของฮิตเล่อร์ ที่ เหล่าขุนพลเพิ่งจะเริ่มสังเกตุว่า..เขายังสับสนต่อแยกแยะจินตนาการให้ออกจากความเป็นจริง ซึ่งเป็นที่น่าประหลาด..ว่า ความสามารถอันล้ำลึกของเขาสารพัดชนิด ที่เคย..บลั๊ฟ ท่านนายกออสเตรีย Schuschnigg และท่านประธานาธิบดี Hacha แห่ง เชคโกฯ ด้วยถ้อยคำสองสามประโยค ก็ได้ทั้งสองประเทศมาเป็นเมืองขึ้นอย่างง่ายดาย..อีกทั้ง การย้อนรอยท่านนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นาย Chamberlain จนกลัวหงอนั้น..มันหายไปไหนซะหมด? หรืออาจเป็นเพราะดวงเฮงก็เป็นได้ ที่ทุกอย่างที่กล่าวมานั้น สำเร็จอย่างง่ายดาย จนเขาเหิมเกริมถึงขนาดบุกโปแลนด์ เพราะ.. ใครเล่าจะไปเชื่อว่า..อังกฤษจะกล้าเปลี่ยนนายกฯมาเป็นตาแก่ขี้เมา หัวดื้อ อย่าง. วินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับฮิตเล่อร์และนาซี อย่างใครๆเขาเป็นกัน !!
Create Date : 12 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 3:50:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2187 Pageviews. |
|
 |
|