 นาซี( NSDAP)มิใช่หมายถึงเยอรมันทั้งประเทศเป็นเพียงแค่พรรคสหภาพแรงงานพรรคหนึ่งในรัฐบาล Reichstag และให้บังเอิญ..มีสมาชิกพรรคที่มีหัวรุนแรงมารวมตัวกันหลายคน ในปี 1919 ก็ได้ฮิตเล่อร์มาเป็น โฆษกประจำพรรค (หลังจากที่ไปเข้ารับการอบรมในคอร์สการเมือง ในมหาวิทยาลัยมิวนิคได้เพียงไม่กี่เดือน).... ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเถิดไปกันใหญ่... เขาก่อความวุ่นวายแสดงพลังอย่างมากมาย..ทั้งในการประท้วง และเดินขบวน ทุกคนกลับเห็นเป็นเรื่องขำขันที่ฮิตเล่อร์จะมาปาวๆถึงเรื่อง MotherLand, Fatherland (หมายถึงเยอรมัน) เพราะเขาไม่ใช่ชาวเยอรมันโดยเนื้อแท้แต่อย่างใด (เพราะเป็นสัญชาติออสเตรียน) ก็เพราะเหตุนี้เอง..ที่เขาได้รับโทษสถานเบามาก เช่นถูกสั่งห้ามไม่ให้เปิดอภิปราย..ทั้งๆที่ควรจะถูกเนรเทศซะด้วยซ้ำ แม้กระทั่งในหนังสือ Mein Kampf ที่เขาเขียนชีวประวัติตัวเอง(ในตอนติดคุกปี 1924) เขาก็เอ่ยถึง มาตุภูมิ ปิตุ ภูมิ จนเปรอะไปหมด(ตัวเองก็คงสับสนเหมือนกันนะว่า จะเอาเป็นแผ่นดินของพ่อหรือของแม่ดี ความจริงก็ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง) เขามาได้ถือสัญชาติเยอรมันสมใจเมื่อตอนต้นปี 1932 ก่อนสงครามหมาดๆนี่เอง..และก่อนที่จะได้รับการสถาปนา จากประธานาธิบดี Hindenburg ให้เป็น Chancellor (เทียบเท่ากับรัฐมนตรี) เพียงปีเดียว.. นับว่าเป็นที่น่าสนใจสำหรับชายร่างเล็กคนนี้.. ฮิตเล่อร์ในยามก่อนเข้าร่วมพรรคการเมืองนั้น เขาเป็นศิลปินพันธ์แท้คนหนึ่ง..เขาดื่มด่ำกับการดูโอเปร่าทุกคืนในเวียนนา ถึงแม้ว่าจะยอมอดมื้อกินมื้อก็ตาม โดยเฉพาะ Lohengrin เขาดูได้ถึงสิบรอบ.. Gustl Kubizek เพื่อนรักเพื่อนสนิท พยายามชักชวนให้ไปดู Opera ชั้นดีของอิตาเลี่ยนบ้าง เช่นของ Verdi จนแล้วจนรอดก็ ได้แค่ลากไปดู Aida ได้เรื่องเดียว แถมยังถูกฮิตเล่อร์เหน็บเอาเจ็บๆด้วยว่า.. "มหาอุปรากรของไอ้เลี่ยน เนี่ย..ถ้าไม่มี "การเสียบกันด้วยมีด"มาเกี่ยวข้องด้วยแล้วละก้อ..มันเล่นกันไม่เป็นเลยละ " และเขาคือสาวกของ Richard Wagner อย่างแท้จริง..เขาหลงไหลเสียงดนตรีจากเปียนโนอันทรงพลัง..แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธเสียงดนตรีอันหวานซึ้งของคีตกวีคนอื่นๆใน Piano Concerto อย่าง Schubert, Beethoven หรือ Grieg เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ถามถึงการตาย ของฮิตเล่อร์ ว่าที่ไหนหรืออย่างไรนั้น ก็เป็นที่ทราบๆกันดีอยู่แล้ว ในครั้งแรกนั้น มีเสียงแตกออกไปหลายกระแส ว่าหนีออกไปอยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง..รัสเซียเพิ่งเอาผลชันสูตรศพออกมาขยาย แก่ชาวโลกเมื่อสามสิบปีที่แล้วนี่เอง..ว่า..ใช่เขาแน่ แต่เรื่องราวในความลึกลับของการ"หวง ตัว"ของเขานั้น ค่อยมาเล่ากันทีหลังดีกว่าไหมคะ.. ดิฉันชอบเรียงเรื่องไปเรื่อยๆ เพราะในชีวิตของเขานั้น.. น่าสนใจไปเสียหมดในทุกช่วง ฮิตเล่อร์กวาดต้อนสมบัติมามากมายจากประเทศเพื่อนบ้าน อันนี้ดิฉันเคยเขียนไว้แล้วหลายเดือนก่อน ในเรื่อง ไวน์...ไวน์ มีตั้งแต่ภาค 1-6 อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเมื่อครั้ง ฝรั่งเศสยกธงขาว แพ้เอาซะดื้อๆนั่น..เยอรมันทนุถนอมฝรั่งเศสจนออกหน้าออกตา ไม่ได้บดขยี้เหมือนกับโปแลนด์ เพราะ ความรักใน "ศิลป ของฮิตเล่อร์นั่นเอง อีกทั้ง..ฝรั่งเศสคืออู่ข้าวอู่น้ำชั้นดี เพื่อเป็นส่วยสงครามให้กับกองทัพ โดยเฉพาะ ไวน์และแชมเปญ... จริงอยู่... ตัวฟิวเร่อร์ฮิตเล่อร์เอง ไม่แตะต้องของมึนเมาใดๆ นอกจากเบียร์เล็กๆน้อยๆตามมารยาท..แต่ ลูกสมุนตะละคน เช่น เกอร์ริง ที่แสนตะกละตะกลาม แต่รสนิยมในเรื่องไวน์ชั้นระดับชั้นอ๋อง.. ริบเบนทรอป..รมต.ต่างประเทศ ในอดีตอาชีพดั้งเดิมคือ ตัวแทนจำหน่ายไวน์ระหว่างประเทศมาก่อน(เยอรมัน-ฝรั่งเศส) ทุกวันนี้ ฝรั่งเศส น่าจะติดตั้งรูปปั้น สัญญลักษณ์ของ นายพลนาซี von Choltitz (ที่ดูแลฝรั่งเศสตอนนั้น)ไว้บูชา.. ที่ขัดคำสั่งฮิตเล่อร์ไม่ได้ระเบิดกรุงปารีสให้ราบเป็นหน้ากลอง ทั้งๆที่ได้วางทุ่นในจุดสำคัญๆหมดแล้ว แถมยัง เซ็นสัญญาสงบศึกอย่างโดยดีซะอีก.. ทั้งๆที่ฮิตเล่อร์ตะโกนถามลั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทางโทรศัพท์จากในบังเกอร์ ว่า..Is Paris burning ??? เพราะ..นี่คือ ฮิตเล่อร์ ที่ยึดมั่นในคติของตัวเองที่ว่า ถ้าตัวเองไม่ได้ คนอื่นก็ต้องอย่าได้.. แม้กระทั่ง..เยอรมันเอง..เขาก็สั่งให้ทำลายให้สิ้น.. ทำให้เราอาจมองย้อนและพอมองเห็นรูปการณ์ถึงเรื่องอื่นๆที่ เคยเกิดขึ้นมาในอดีต ประวัติหลักๆของเขา หาอ่านเอาได้ทั่วไปตามเวบ แต่ ถ้าไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆละก้อ เข้าใจยากมาก เพราะในยุคที่เขา เพิ่งก้าวเข้ามามีอำนาจนั้น สถานะการณ์ของบ้านเมืองแบ่งออกเป็นหลายพรรคหลายพวก ทั้งนิยมขวา ใฝ่ซ้าย ศรัทธาคอมมิวนิสต์ ดังนั้น พรรคนาซีจึงมีวิธีการจัดระเบียบพรรคแบบแปลกๆ.. คือ ฆ่าแบบล้างบางมั่ง.. บังคับให้ฆ่าตัวเองมั่ง..เพื่อรักษาความเป็น นาซี {NAtional SoZIalist} |
สงครามโลกครั้งที่สอง, ฮิตเล่อร์, มุสโสลินี,สตาลิน ฯลฯ ทั้งหมดนี่ เป็นผลพวงของสงครามครั้งอื่นๆก่อนหน้านั้น ที่อาจต้องมีการเชื่อมโยงไปจนถึง สงคราม Balkan
(หรืออย่างน้อยๆก็ต้องสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง) เพื่อคนอาจจะเข้าใจสถานะการณ์ได้ดีขึ้นถึงสภาพความกดดันที่
ชาวเยอรมันได้รับอย่างหนักหนาสาหัส
จนเมื่อมีคนๆหนึ่งสามารถมาพูดให้เห็น"ความหวัง" และชี้ให้เห็นถึง"ความอยู่รอด" ประชาชนเจ็ดล้านคนจึงพร้อม
ใจกันยกย่อง เขิดชูเขาราวกับพระเจ้า
ทั้งๆที่เขาคนนั้นเป็นแค่ อดีตทหารยศสิบโท คนหนึ่งเท่านั้น
อีกทั้ง..ในอดีตกาลที่ผ่านมา ชาวเยอรมันภาคภูมิใจในความเป็นเลือดนักรบของเขามาก อย่างเช่น เมื่อครั้ง
ศตวรรษที่ 12 พวกเขา( หมายถึงพวก Teutonic knight บรรพบุรุษดั้งเดิม) เคยสยบรัสเซียอย่างราบคาบมาแล้ว
ฉะนั้น..ฮิตเล่อร์ไม่ต้องเสียเวลามากมายต่อการกระตุ้นให้เกิดการใฝ่สงคราม..
ทุกคนพร้อม..เพราะนั่นคือทางเลือกทางเดียว และประชาชนยังเชื่อว่าการพ่ายแพ้ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น..
เกิดมาจากการหักหลังของนักการเมืองในสภา และ พวก"ยิว"ที่กุมเศรษฐกิจยุโรปหยุดให้การสนับสนุนในด้าน
การผลิตส่งกำลังบำรุงต่างๆ(ตอนนั้น เกิดการสไตร์คโรงงานไปทั่วเยอรมัน)
ทั้งๆที่ทหารในแนวหน้าทุกแนวยังพร้อมใจจะสู้คนถึงคนสุดท้าย..