มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
26 มีนาคม 2548

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด







กรกฏาคมทั้งเดือน กองทัพอากาศของเกอริงได้ทำการตระเตรียมแผนการสู้รบโดยการที่จะตั้งต้นการโจมตีเหนือช่องแคบอังกฤษทางด้านทะเลเหนือ
เพื่อที่ทัพอากาศของอังกฤษจะต้องถูกจำกัดเวลาต่อสู้หรือ fighting time ด้วยน้ำมันเนื่องจาก ระยะทางที่ยาวไกล
และเนื่องจากคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล นักบินจะไม่สามารถหาที่ลงฉุกเฉินได้ หากว่ามีการถูกยิง
แต่..แผนนี้ ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจาก อังกฤษนั้นไม่โง่หลงกลตื้นๆแบบนี้

เยอรมันก็พยายามที่โจมตีเรือเดินสมุทรในน่านน้ำที่ว่า จนเรือจมไปหลายลำ..เพื่อที่จะล่อให้ฝูง RAF ออกมาปะทะ
แต่..เชอร์ชิลล์ก็ยังยอมเสียเรือ ในช่วงฤดูร้อนนั้น..ความเสียหายของเรือสินค้าเดินสมุทรของอังกฤษมีจำนวนมากจนน่าตกใจ
ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลย..ว่า เพราะอะไรที่เชอร์ชิลล์ยังคงเฉย..
ที่เฉย..เพราะว่า เขาพยายามรักษาเครื่องบินทั้ง 750 ลำและนักบินให้อยู่ครบจำนวน (และอีกนับพันลำกำลังจะเข็นออกมาจากโรงงาน)
รอ..วันที่ลุฟท์วัฟฟ์จะมาบุกถึงรัง



ปัญหาต่อไป..นั่นก็คือ นายพล Donitz ได้เคลื่อนขบวนเรือดำน้ำผ่านเข้ามาทางฝั่งชายทะเลของฝรั่งเศสพร้อมที่จะเข้าสู่ทะเล
แอตแลนติคที่ห่างไปในไม่กี่ร้อยไมล์นี่เอง นั่นหมายถึง มหันตภัยของการเดินเรืออังกฤษได้เพิ่มมากไปกว่าเดิม ทั้งๆที่ ในเดือนมิถุนายนนั้น
เรือ 64 ลำ รวมระวางทั้งหมดกว่า 260,000 ตัน เดือนกรกฏาคมก็เสียหายไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ในเดือน สิงหาคม ก็อีก 214,000 ตัน
เท่านั้นไม่พอ..เรือดำน้ำของอิตาลี ส่งมาช่วยแจมในแอตแลนติคอีกร้อยลำ...(โอ้..พระเจ้า !!)

ฮิตเล่อร์ได้สั่งงานมาดังนี้ว่า..การโจมตีขึ้นฝั่ง..จะต้องกระทำได้ในเดือนกันยายน หรือ อย่างช้าคือ พฤษภาคม ของปี 41
นั่นหมายถึงหลังจากที่ลุฟท์วัฟฟ์ได้ทำการถล่มท่าเรือ แสนยานุภาพของกองทัพอากาศ กองทัพเรือ จนหมดสิ้น
จากนั้นก็เป็นทางสะดวกสำหรับ ปฏิบัติการสิงโตทะเลเข้ายึดครองน่านน้ำแอตแลนติคอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด..ซึ่งไม่น่าจะช้าไปกว่า
เดือนพฤษภาคม 41 ที่ได้กำหนดไว้
ในวันที่ 1 สิงหาคม แฟ้มสั่งงานก็ได้ไปถึงมือ
ท่านเกอริง..ดังหัวข้อต่อไปนี้..ว่า

1. ลุฟท์วัฟฟ์ต้องเอาชนะ RAF ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นที่สุด
2. การปฏิบัติการ..ต้องล่อให้ออกมาให้พ้นรัศมีของท่าเรือด้านใต้..เพราะ ตรงนั้นคือฐานปฏิบัติการของสิงโตทะเล
3. ลุฟท์วัฟฟ์ต้องทำงานประสานสอดคล้องกับสิงโตทะเลให้มากที่สุด
4. คำสั่งและการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับฮิตเล่อร์คนเดียวเท่านั้น
5. การโจมตีทางอากาศจะเริ่มขึ้นในวันที่ 6 สิงหาคม ติอต่อกันอย่างไม่มีหยุด แปดถึงสิบสี่วันจากนั้น ให้รอรับคำสั่งใหม่(จากฮิตเล่อร์)

พอมาถึงตอนนี้..ทัพบกและทัพเรือได้ทุ่มเถียงกันเป็นที่วุ่นวาย ว่า..
แล้วครายวะ..ที่จะต้องเป็นฝ่ายยกพลขึ้นบกน่ะ?
มีคนเดียวเท่านั้นที่ฉลาด นั่นคือ นายพล Halder ที่ได้เขียนไว้ในบันทึกประจำวันว่า
" อย่างไรเสีย..การที่จะยกพลขึ้นฝั่งอังกฤษในปี 40 นั้น..ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน"


ต้นเดือนสิงหาคม..เกอริงได้กล่าวถึงการที่จะปฏิบัติการครั้งนี้ว่า...
"การที่จะล้มช้างในครั้งนี้ อาจใช้เวลาสองถึงสี่อาทิตย์ (ในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เขาบอกว่า จะล้ม RAF ได้ภายในสี่วัน) และ
ไอ้ที่ทะเลาะถกเถียงกันนั่น..โอ๊ย...ป่วยการคิด ช๊านนน..ช๊านนเนี่ย เกอริงคนนี้เนี่ย..จะเป็นฝ่ายสยบแสนยานุภาพทัพฟ้าอังกฤษด้วยลุฟท์วัฟฟ์
เพียงหน่วยเดียวเท่านั้น..ไม่เชื่อก็คอยดูเด่ะ"
ซึ่งพูดไปแล้วก็เกรงว่าจะไม่สมจริง เกอริงได้จัดกองบินขึ้นมาสามหน่วยใหญ่
ซึ่งมีเครื่องบินรวมทั้งหมดคือ
Fighter 1,000 ลำ และ Bomber 1,300 ลำ

หน่วยที่หนึ่ง นำโดย นายพล Kesselring เข้าโจมตีจากฐานที่เยอรมันด้านใต้

หน่วยที่สอง นำโดย นายพล Sperrle เข้าโจมตีจากฐานในฝรั่งเศส

หน่วยที่สาม นำโดย นายพล Stumpff เข้าโจมตีจากฐานในนอร์เวย์และเดนมาร์ค
การปฏิบัติการครั้งนี้ ให้ชื่อว่า..Luftflotte ลุฟท์ฝรอทท์ หรือ แผนอินทรีย์จู่โจม
วันเริ่มปฏิบัติการจริงๆ..นั่นก็คือ วันที่ 12 สิงหาคม...ที่เสียงสัญญาณจากเรดาร์ของอังกฤษได้ดังสนั่นไปทั่วเกาะ..

และจากนั้น..ฝูงบิน RAF ก็ขึ้นทะยานออกไปทักทายกันแบบในทันที..อย่างไม่มีการเสียเวล่ำเวลา
ซึ่งเป็นอย่างนี้แทบทุกครั้ง..เยอรมันก็หลับหูหลับตาบอมบ์ โดยไม่ได้คิดว่า
ทำไมจึงไม่ระเบิดทำลายศูนย์เรดาร์อันเป็นสำคัญ ซะให้สิ้นซาก
เพราะถ้าไม่มีสัญญาเตือนภัยนำมาก่อนนับร้อยไมล์ อังกฤษคงต้องอยู่ในสถาพจวนตัวอย่างแน่อน และ ประวัติศาสตร์ของการสู้รบครั้งนี้ อาจเปลี่ยนไป..
ใครจะรู้ ??




วันที่ 13 -14 ก็คงเช่นเดิม..เยอรมันอ้างว่าได้ทำลายสนามบินและกองบินส่วนหนึ่งของอังกฤษเป็นผลสำเร็จ
แต่..ผลออกมาคือ เยอรมันร่วงไป 47 ลำ อังกฤษ 13 ลำ
เกอริงโกรธจนพุงสั่น..วันที่ 15 เขาตัดสินใจส่งฝูงใหญ่ไปกะหมายเผด็จศึกให้รู้มั่งว่าใครใหญ่..โดย ส่งฝูงบินทิ้งระเบิดพันลำ
ฝูงบินโจมตี แปดร้อยกว่าลำ ในทุกทิศและทุกทาง..

ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ(แนวนอร์เวย์)
เกอริงเชื่อว่า ในจุดนั้นคงไม่มีการป้องกันใดๆ แต่ที่ไหนได้..
สปิตไฟร์และ เฮอริเคนของอังกฤษ สยบ
เมสเซอชมิทท์ 110 ของเยอรมันแบบว่า ร่วงไป สามสิบกว่าลำ ในขณะที่ฝ่ายเจ้าภาพเสียไปเพียงหนึ่งเดียว
แต่ทางใต้..เยอรมันสามารถทำสกอร์ไปได้โดยการได้ทำลายโรงงานผลิตเครื่องบินใน Croydon ให้เสียหายไปมากพอสมควร
อีกทั้ง..รันเวย์ของฐานกองทัพอากาศพังไปกว่า ห้าแห่ง..
ในวันนั้นวันเดียว..เยอรมันร่วงไป 182 ลำ เสียหาย อีก 40 กว่าลำ

อ้อ..มีเรื่องของความกล้าหาญแบบขำๆเล่าให้ฟังนะ..
ผู้ฝูงนักบินของอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อว่า Douglas Bader  (ต่อมา..ได้รับแต่งตั้งให้เป็น Sir Douglas Robert Steuart Bader ) เป็นนักบินฝีมือเยี่ยม ระดับ Ace แต่ทว่า เขาเสียขาทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุ
(จากอดีต) แต่ยังสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีด้วยขาเทียมที่ทำมาจากอลูมิเนียม ในช่วงการต่อสู้นั้น เครื่องของเขาได้ถูกยิงตกในฝรั่งเศส ขาเทียมทั้งสองข้างบุบบี้เสียสภาพใช้งานไม่ได้

เขาถูกจับกุมตัวเป็นนักโทษโดยทหารเยอรมัน พอพวกนั้นเห็นว่า..เขาเป็นคนพิการ เสียงหัวเราะฮาเฮก็เกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน
คนหนึ่ง..ได้พูดว่า..เออ..แล้วจะส่งข่าวไปให่อังกฤษรู้แล้วกันนะ เผื่อว่า เขาจะส่งขาเทียมมาให้เอ็งอีกสักคู่หนึ่ง !!
ไม่กี่วันหลังจากนั้น..ขาเทียมคู่ใหม่ ได้ลอยต่องแต่งให้เห็นชัดมาแต่ไกล เหนือ ฐานปฏิบัติการบินของเยอรมัน(ในฝรั่งเศส)
โดยผูกติดมากับร่มชูชีพ !!




การใช้น้ำมันของเครื่องบินนั้นต่า่งกัน ของเยอรมันใช้ออคเทน 86 แต่ของอังกฤษนั้นใช้ ออคเทน 100
ซึ่งทำให้พลังขับเคลื่อนของสปิตไฟร์และเฮอริเคนนั้นทะยานไต่เพดานน่านฟ้าเร็วกว่า คล่องกว่าของเยอรมันร่วม 20-25% แต่เครื่องบินของเยอรมันที่มีอานุภาพสูสี ก็เห็นจะได้แก่
เมสเซอชมิทท์ Bf-109

และตอนที่ต่อสู้ในฝรั่งเศส(Battle of France)ในช่วงบุกแรกๆของเยอรมันนั้น..เสียหายทั้งสองฝ่ายมากมาย
พอสมควร เครื่องบินของเยอรมันถูกสอยร่วงกว่า 500 ลำ นักบินส่วนใหญ่ถูกจับเข้าซังเตในฐานะเชลยศึก
ซึ่งเชอร์ชิลล์นำลงเรือไปอยู่ที่อังกฤษหมด ไม่เหลือให้กลับมาเป็นเสี้ยนหนาม

ในช่วงของกลางเดือนสิงหาคม(ถึงกำหนดตามที่เกอริงได้สัญญาไว้) แต่เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ ทัศนวิสัยไม่ดี เกอริงบอกว่า
ช่วงนี้ไม่นับละกัน เอาเป็นว่า..จะสยบให้อย่างเด็ดขาดแน่ๆ
ในฐานะลูกทัพฟ้าเหมือนกัน เรียนตำราก็คงจะเรียนมาเล่มเดียวกัน เกอริงจึงวางแผนเผด็จศึก โดยการสั่งบอมบ์ศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศทั้งหมดของอังกฤษ
ที่มีอยู่ด้วยกัน เจ็ดแห่งรอบลอนดอน ด้วยฝูงบินนับพันลำ

ภายในวันที่ 23-24 ตุลาคม ศูนย์ที่ว่าเกือบทั้งหมด ถูกทำลายแทบไม่เหลือซาก..
มาถึงตอนนี้..เยอรมันเกือบได้ชัยชนะเหนือน่านฟ้าอังกฤษให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวโลก..
ฮิตเล่อร์เอง..ก็นั่งหัวเราะเอิ้กอ้าก..มั่นใจถึงขนาดให้ฝูงทัพเรือในน่านน้ำแอตแลนติกจอดพักผ่อนก่อนได้เลย..ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย

สองอาทิตย์ต่อมา..เกอริง กะถล่มแบบให้จบๆกันไป..โดยส่งฝูงบินกว่า 1,000 ลำ เข้าไปบอมบ์ศูนย์สื่อสารทั้งหมดของอังกฤษแบบต่อเนื่องทุกวัน
นับว่าอังกฤษได้พบกับกับศึกที่ขนาดใหญ่ยิ่ง นักบินต่างพากันระโหยโรยแรง ที่ต้องบินต่อสู้ในระยะสามอาทิตย์ติดๆกันไม่มีการหยุดพักใดๆ
ความเสียหายคือ เครื่องบินของ อังกฤษร่วงไป 460 ลำ เยอรมัน 355 ลำ
ที่สำคัญที่สุดคือ อังกฤษเสียนักบินมือดีๆไป 25 % ของที่มีอยู่

เชอร์ชิลล์เริ่มเป็นกังวลแบบกินไม่ได้นอนไม่หลับทีเดียว..เพราะ ศึกครั้งนี้..ใหญ่หลวงนัก !!
แต่แล้ว..ทุกอย่างก็พลิกผัน..ไปแบบไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ
ในคืนวันที่ 23 ตุลาคม ที่บอมบ์ๆกันอยู่นั้น
เป้าหมายของเยอรมัน คือ คลังน้ำมันที่อยู่ชายรอบนอกของลอนดอน..นักบินดันอ่านแผนที่ผิดหรือเซ่อกันแน่ก็ไม่รู้
ดันปล่อยระเบิดลงในใจกลางของกรุงลอนดอนอย่างจัง..
เล่นเอาบ้านเรือนพังพินาศ คนตายมากมายหลายร้อย สวนและส่วนหนึ่งของพระราขวังบัคกิงแฮมก็โดนด้วยเหมือนกัน
โอ้โห..นี่มันหยามกันสุดฤทธิ์ อย่าว่าแต่เชอร์ชิลล์เองที่ทนไม่ได้ นักบินหน่วยกล้าตายของอังกฤษต่างพากันลุกฮือ
บอกว่า..เอาวะ..ตายเป็นตาย เรามาแลกกันลูกต่อลูก(หมายถึงระเบิดง่ะ)

คืนต่อมา..ฝูงบินกล้าตายกว่า 80 ลำ ได้ขึ้นฟ้าทะยานสู่น่านฟ้าเยอรมันเป็นครั้งแรก
ครึ่งหนึ่งฝ่าฝูงต่อต้านของเยอรมันเข้าไปได้..จนถึงกรุงเบอร์ลิน..
บอมบ์แม่งมันซะเล๊ย..มีรัยป่ะ !!
ความเสียหายอาจไม่มากเท่ากับที่ลอนดอนได้รับ..หากแต่..ความเสียหน้าอย่างยับเยินของฮิตเล่อร์นี่ซิ..คือปัญหาใหญ่
ไม่นับ..ความหน้าแหกของเกอริง..ที่โวนักโวหนา ท้าทายให้คนมาชี้หน้าด่าว่า ไอ้ชาติหม..ถ้ามีใครบังอาจผ่านน่านฟ้าเยอรมันเข้ามาได้
แล้ว..นี่ไง.บัดนี้เวลานั้นได้มาถึงแล้ว..

ความเจ็บปวดรวดร้าวในดวงใจน้อยๆของฮิตเล่อร์นั้นมันมากมายนัก เพราะ นี่คือครั้งแรกแห่งประวัติศาสตร์ที่กรุงเบอร์ลินถูกถล่ม
จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน..????

(สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..เยอรมันขอยอมแพ้แต่โดยดีเนี่องจากปัญหาภายใน ไม่เคยโดยบอมบ์จากข้าศึก ส่วนลอนดอนเคยโดนมาแล้วจากเครื่องบินและยานลอยหรือที่เคยมีคนตั้งชื่อให้ซะเก๋เชียวว่า โพยมยนต์)




ถ้าจะเล่าถึงนักบินมือหนึ่งพิการของอังกฤษแล้วแต่ไม่เล่าถึงผู้ฝูงคู่กัดของเขาฝ่ายเยอรมันมันก็จะไม่ยุติธรรมนะ ว่าม๊ะ

หลังจากที่ผู้พันบาเดอร์ได้ถูกจับกุมตัวไปเป็นเชลยแล้ว..ความเป็นนักโทษสงครามของเขาอยู่ในความผู้ฝูง Adolf Galland แห่งกองทัพอากาศเยอรมัน
ผู้ฝูง อดอล์ฟ คนนี้ เป็นคนดุดัน เด็ดขาด เยี่ยงชายชาติทหารอย่างแท้จริง..(รูปหล่อต่างหาก ยังกะคล๊าก เกเบิ้ลแน่ะ )
เขาเป็นนักบินระดับ Ace แห่งลุฟท์วัฟฟ์เช่นกัน(พิฆาต 40 ลำในปลายปี 1940) และเป็นนักรบโดยสายเลือด รักชาติ แต่ไม่สยบให้กับนาซีในคำสั่งที่ไม่สมควร
เช่น..ยามที่เกอริงถามเขาว่า..ทำอย่างไรจึงจะเอาชนะ RAF ให้ได้
เขาตอบว่า..อ๋อ..ไม่ยากเลย ขอสปิตไฟร์พร้อมนักบินมาสักฝูงนึงดิ้..!!
และเขาเป็นหนึ่งในทีมผู้ฝูง..ที่ปฏิเสธคำสั่งจากศูนย์บัญชาการในกรณีที่ให้"ยิงทิ้ง" นักบินข้าศึก ทันทีที่เจอ..
เขาสั่งการผ่านไปยังทหารในกอง ME-109 ของเขาว่า..ปฏิบัติต่อนักโทษเช่นชายชาติทหาร คือ เจ็บก็ส่งรักษา และควบคุมตัว..
ขนาดอังกฤษได้สั่งให้มีการบอมบ์โรงพยาบาลเคลื่อนที่ลอยน้ำของเยอรมัน..ผู้ฝูงอดอล์ฟคนนี้ ก็ยังไม่คิดที่จะสังหารนักโทษเป็นการแก้คืนแต่อย่างใด
และเขาคนนี้เอง..ที่ได้เป็นคนจัดการติดต่อเรื่องขาเทียมให้กับผู้พันบาเดอร์..อีกทั้งหลังจากรักษาจนหาย
เขาได้ส่งให้รถส่วนตัวไปรับออกมาจากโรงพยาบาล Saint-Omer และพาไปเยี่ยมชมฐานทัพ พร้อมทั้งเลี้ยงน้ำชาอีกต่างหาก
ทั้งๆที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ค่อยจะเป็นมิตรด้วยสักเท่าใด
หลังจากสงคราม ในปี 1945 ผู้ฝูงอดอล์ฟ ได้กลายเป็นนายพลไปซะแล้วในตอนนั้น ถูกควบคุมตัวไว้เป็นนักโทษตามประสาประเทศที่แพ้สงคราม
เขาถูกส่งไปขึ้นศาลที่อังกฤษ และคนที่ไปเยี่ยมเขาคนแรกพร้อมทั้งหีบซิการ์นั้นคือ ผู้พันบาเดอร์
ซึ่งต่อมา..เขาทั้งสองได้กลายมาเป็นเพื่อนรักที่ผลัดกันแวะเยี่ยมเยียนกันมาโดยตลอด

    Adolf  Galland

ทีนี้พอเบอร์ลินถูกบอมบ์เข้ามั่งปั๊บ..
ประชาชนเริ่มสับสน เพราะ มันช่างผิดไปกับข่าวที่ได้รับตลอดมาว่า เยอรมันกำลังเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ
อังกฤษไม่มีน้ำยาอะไรที่จะมาสู้รบ..แต่แล้ว..อะไรกันนี่ ฮิตเล่อร์จึงต้องออกแถลงการณ์ในวันที่ 4 กันยายน เพื่อตอบคำถามสองข้อแก่ประชาชน
ข้อแรก..คือ จะแก้แค้นเอาคืนครั้งนี้ได้อย่างไร? ข้อสอง คือ เมื่อไหร่จะเผด็จศึกอังกฤษซะที (รำคาญแล้วว้อย) ?
เขาตอบในข้อแรกที่ว่า..เยอรมันจะส่งระเบิดไปบอมบ์ลอนดอนให้มากมายหลายเท่ากว่าที่เบอร์ลินได้รับ
และ..จากเนื้อความในข้อแรก ข้อสองจึงไม่ต้องตอบ..

ผู้ที่ต้องรับหน้าเต็มๆในครั้งนี้..นั่นก็คือ คุณชาติหม..เอ้ย..ไม่ช่ายยย เกอริงนั่นเอง เพื่อเป็นการเอาใจเจ้านาย อีกทั้งกันการเสียหน้า
เขาจึงเปลี่ยนแผนการสู้รบทั้งหมด โดยมุ่งแต่ถล่มลอนดอนอย่างเดียวเลย.. ที่อื่นช่างมัน..

ในเย็นของวันที่ 7 กันยายน..ฝูงบินของเยอรมันขนาดมืดฟ้ามัวดิน ประมาณว่า 1300 ลำ ได้ถูกส่งไปบอมบ์ลอนดอน เป็นครั้งใหญ่
พระเพลิงลุกเผาผลาญไปทั่ว..สถานที่สำคัญๆหลายแห่งถูกทำลาย ประชาชนเสียชีวิตกว่าหนึ่งพัน บาดเจ็บกว่า สามพัน
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจอย่างที่สุด เท่านั้นไม่พอ..วันที่ 15 กันยายน เกอริงหมายใจว่า..วันนี้แหละคือวันเผด็จศึก..เขาได้ส่งไปอีกฝูงบินไปอีกฝูงใหญ่
เครื่องทิ้งระเบิดกว่าสองร้อยลำที่คุ้มกันด้วยเครื่องบินพิฆาตอีกหกร้อยลำ..

แต่..เลือดนักสู้ของนักบินอังกฤษได้พากันบินขึ้นไปต่อสู้แบบถวายหัว..ในวันนั้น เครื่องของเยอรมันร่วงไปกว่า 256 ลำ
อังกฤษเสียหายเพียงแค่ 26 ลำ สาเหตุ คือ..จากวันที่ 7 ถึง วันที่ 15 นั้น ห่างกันไปถึงหนึ่งอาทิตย์..นักบินอังกฤษได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
หลังจากที่ระโหยโรยแรงมานาน จนแทบจะรับไม่ไหว..อาทิตย์นั้น คือ จุดหักเหที่ทำให้เกิดการระดมพละกำลังให้กลับเข้าสู่สภาพปรกติ คือ พร้อมรบในทุกรูปแบบ..

และในวันที่ 15 กันยายนนั้นเอง คือวันที่อังกฤษได้ประกาศศักดิ์ศรีของแสนยานุภาพแห่งการครองน่านฟ้าอย่างงดงาม
ในวันนี้ของทุกๆปี ถือเป็นวัน Battle of Britain ที่มีการเฉลิมฉลองแห่งชัยชนะของชาวอังกฤษ
(หนังสือหลายเล่มได้วิเคราะห์ไว้ว่า...ถ้าเพียงเกอริง สั่งถล่มอย่างไม่มีการหยุดติดๆกันอีกสองวัน..เชื่อว่า กองทัพอากาศของอังกฤษรับมือไม่อยู่อย่างแน่นอน
และนั่นหมายถึงชัยชนะตามที่ต้องการ แต่อาจเป็นเพราะปาฏิหารย์นั้นมีจริง..ที่ทำให้เกิดมีการหยุดชะงัก)



ปาฏิหารย์นั้น..ก็มีอยู่ว่า..ฮิตเล่อร์และนายพลไกเทลได้มานั่งพิจารณากันว่า..ทำไม..อังกฤษจึงได้แข็งแรงอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้..
คำตอบจากนายพลไกเทลก็คือว่า..
จะไม่แข็งแรงได้อย่างไรกัน ในเมื่อมีมหาอำนาจอย่างอเมริกาหนุนหลัง ส่งอาวุธให้อย่างเต็มที่
อีกทั้งความช่วยเหลือในทุกๆด้าน..ทั้งๆที่ประธานาธิบดีรูสเวลต์เองก็ประกาศย้ำนักย้ำหนาว่า อเมริกาจะอยู่เป็นกล๊าง เป็นกลาง
นี่มัน ปากว่า ตาขยิบนี่หว่า...

ฮิตเล่อร์ก็เลยถึงบางอ้อ..ขอเวลากลับไปคิดดูว่า...แล้วตูจะไปสู้รบหาวิมานอะไรกะอังกฤษ ให้เสียเครื่องบินเล่นๆ เพราะไอ้ที่หล่นร่วงราวกับเศษเหล็กมานี่ก็มากมายนักคณานับ..อะไรไม่ว่า..เสียนักบินไปนี่ซิ..กว่าจะสร้างมาใหม่ก็ต้องใช้เวลา..
งั้นก็ต้อง..เพลาๆลงไปหน่อยละกัน..

การบอมบ์ต่อมาในช่วงฤดูหนาว ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร เพราะ เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดสี่เครื่องยนตร์ไม่สามารถพาตัวไปให้ไกล
ในระยะ 1200-1500 ไมล์ได้ และ มันก็อุ้ยอ้ายแถมบินในระยะสูงไม่ได้ดีนัก ส่งไปก็รังแต่จะเป็นเหยื่ออันโอชะของเหล่าเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์
เกอริง..อุตส่าห์ถ่อสังขารไปฝรั่งเศส ไปพบปะหารือ กับนายพลผู้รับผิดชอบรองลงไปสองนาย คือ Kesserling และ Sperrle
ว่า..อารายว๊าาา..ขอข้อมูลหน่อยดิ้ ทำไมถึงได้ผิดพลาดกันมากมายขนาดนี้..
สองนายพลได้ตอบว่า..เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบคล่องงานไม่มี..นักบินอ่อนประสบการณ์ นี่คือหลักสำคัญๆ..
เกอริงบอกว่า..ไม่ต้องมาแก้ตัวใดๆ ผมต้องการการแก้ใขด่วน..!!

การแก้ใขนั้นคือ นับจากวันนั้นมา การไปบอมบ์อังกฤษมีขึ้นด้วยกัน 65 ครั้งใหญ่..บางครั้งมีเครื่องบินทิ้งระเบิดไปถึง 800 ลำ
แต่..ยังไม่สามารถสยบอังกฤษได้แต่อย่างใด
ฮิตเล่อร์เริ่มมองไม่เห็นทางชนะใดๆ นอกจากต้องเปลี่ยนแผนใหม่ เพราะ สงครามที่เปิดอยู่ในด้านอื่น
มีความสำคัญมากกว่า..ต้องการใช้เครื่องบินมากกว่า..
อังกฤษ..นั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทัพเรือ ของท่านแม่ทัพ Donitz และฝูงเรือดำน้ำที่จะต้องเริ่มสงครามในมหาสมุทรแอตแลนติค อย่างจริงจังซะที..!!

ความจริงต้องขอเล่าเบื้องหลังเบื้องลึกของ
แบทเทิล ออฟ บริเตน ครั้งนี้เสียหน่อยนะ
คือว่าเยอรมันเพิ่งมาถล่มอังกฤษตอนเดือนมิถุนายนของ 1940 นี่เอง
(หลังจากที่ประกาศสงครามกันไปตั้งแต่กันยายน 39)
ซึ่งทำให้อังกฤษมีเวลาเตรียมตัวรับศึกอย่างมั่นคง เช่นการสร้างสนามบินฉุกเฉิน การสะสมเสบียง การติดตั้งเรดาร์
และ..การนำนักบินจากประเทศอื่นๆเข้ามาฝึกร่วมด้วย เช่น จากโปแลนด์ เบลเยี่ยม แคนาดา เชคโกสโลวัคเป็นต้น



โดยเฉพาะฝูงบินนักบินชาวโปลิช ที่มีถึง 89 นาย เรียกว่า The Kosciuszko Squadon หนึ่งในนั้นคือ นายพลนักบินชาวโปลิช อเมริกัน
ชื่อว่า Tadeusz Kosciuszko ที่สามารถยิงเครื่องบินของข้าศึกร่วงได้ถึง 273 ลำ นับว่าเป็นคนที่ทำสกอร์ได้สูงสุด
แผนปฏิบัติการสิงโตทะเลดังที่เล่ามาว่า
เกอริงได้ส่งฝูงบินมาอย่างมืดฟ้ามัวดินนั้น..และทุกครั้งที่มาก็ได้รับการต้อนรับอย่างฉับไวจากเจ้าภาพอย่างเหลือเชื่อ
นั่นก็เป็นเพราะว่า..ศูนย์ถอดรหัสของอังกฤษที่ Bletchley Park (ในระบบ Ultra) ได้สกัดและแปลโค้ดการติดต่อสั่งงานของทางฝ่ายเยอรมันแบบละเอียดยิบ
ให้กับท่านแม่ทัพอากาศ H. Dowding แบบชั่วโมงต่อชั่วโมง โดยที่ทางฝ่ายเยอรมันไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรซะเลย
แม้กระทั่งคำสั่งของเกอริงที่ส่งมาให้ลูกน้องว่า
"ในชั่วประเดี๋ยว พวกท่านจะได้มีโอกาสถล่มกองทัพอากาศของอังกฤษให้หายไปจากน่านฟ้าอย่างถาวร..ไฮล์ ฮิตเล่อร์ !!"
เชอร์ชิลล์และแม่ทัพอากาศ ก็รู้ล่วงหน้าเช่นกัน แผนรับมือจึงมีการเตรียมพร้อม..

กระทั่งในวันที่ 17 กันยายน ที่ฮิตเล่อร์ได้สั่งให้มีการชะลอการโจมตีนั้น..ทางฝ่ายอังกฤษก็รู้เช่นกัน รู้ไปตลอดจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย
ของการสู้รบทางอากาศในครั้งนี้

  Bletchley Park Museum 


นายพลไกเทลเองก็เพิ่งกลับมาจากทำไปทำไร่ทำสวนมาแหม็บๆ ฮิตเล่อร์ได้สั่งให้เขาไปเข้าร่วมประชุมกับนายพล Badoglio (อิตาลี) ในหัวข้อที่ว่า
จะร่วมมือช่วยอิตาลีวางแผนศึกกับอังกฤษอย่างไรที่อาฟริกาเหนือ ซึ่งตอนนั้น อังกฤษได้ตีกองทัพของอิตาลีร่นไปจนถึงแนว Tripolitanian แล้ว
ไกเทลจึงบอกในที่ประชุมว่า..
งั้นก็เอาหน่วยรถถังไปสักสองกองพันดิ..
นายพล บาโดกลิโอ บอกว่า..ไม่เอางะ..เอามาทำไมรถถัง มันวิ่งไม่ได้ในทะเลทรายสักหน่อย (หนอย..ยังไม่รู้จักปันเซอร์ของเยอรมัน... โง่....นี่..)

จนไกเทลต้องมาอธิบายให้ฟังถึงประสิทธิภาพว่าวิเศษเลิศเลออย่างไร เจ้าหมอนี่จึงยอมรับมาให้ช่วยเพียงฝูงเดียว ภายใต้การนำของผบ.หน่วย Hans von Funck
แต่ทั้งฮิตเล่อร์และมุสโสลินีได้มีสัญญาสุภาพบุรุษต่อกันว่า ฮิตเล่อร์จะส่งหน่วยลุฟท์วัฟฟ์ฝูงใหญ่ไปช่วยสมทบกับกองทัพของอิตาลีทางด้านใต้
งานศึกแย่งชิงชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับอังกฤษ เพื่อเป็นการตอบแทนที่
มุสโสลินีได้ส่งเรือดำน้ำมาช่วยเยอรมันตั้ง 100 ลำ
เพราะตอนนั้น ท่านแม่ทัพ Donitz ได้บอกกับท่านผู้นำไปว่า เรือดำน้ำไม่พอใช้ แต่การที่ฮิตเล่อร์เอาเรือดำน้ำของกองทัพเรืออิตาลีไปช่วยสมทบนั้น
ท่านแม่ทัพโดนิทซ์ ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก เพราะการปฏิบัติการที่ไม่สอดคล้อง
อีกทั้ง..กล่าวหาว่า พวกทหารสปาเก็ตตี้นั้น มันช่างซุ่มซ่ามไม่เอาไหน..
เรือก็เก่างั่ำก ลำเล็กกระจิ๊ด สรุปว่า ไม่ดีไปซะหมด
ซึ่งจริงๆแล้ว..ความสามารถของกองทัพเรืออิตาเลี่ยนก็ไม่ใช่ย่อย แต่..นี่คือการเย่อหยิ่ง..ไม่รู้จักทำงานเป็นทีมของเยอรมันต่างหาก


ความหวังอีกอย่างหนึ่งที่ฮิตเล่อร์ตั้งเป้าไว้ก็คือ การที่จะเป็นฝ่ายเรียกร้องทวงบุญคุญเอากับนายพลฟรังโกแห่งสเปน(ที่ได้เคยช่วยเหลือทางด้านอาวุธครั้งสงครามกลางเมืองในสเปน) โดยการขอเข้ายึดครองช่องแคบยิบรอลตา และ..จะส่งเรือดำน้ำฝูงใหญ่เข้าไปน่านน้ำเมดิเตอเรเนียน

ซึ่งแม่ทัพโดนิทซ์ได้ยินเข้าถึงกับสะดุ้งโหยง
รีบคัดค้านอย่างสุดชีวิต เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าอังกฤษสามารถปิดประตูตีแมวได้เลย
เพียงแค่ปิดกั้นทางออกทั้งสองทาง เท่านั้น..
ฮิตเล่อร์ จึงจัดแจงส่งนายพล Wilhelm Canaris ไปเป็นฑูตในการเจรจากับนายพลฟรังโกครั้งนี้ เพราะเขาเชื่อว่าเขาเลือกได้ถูกคน..
เพราะนายพลคานาริสคนนี้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในภาษาสเปน มีความหนิดหนมกับนายพลฟรังโกเป็นอย่างดี
อีกทั้งเป็นถึงเจ้ากรมสายลับอีกต่างหาก ไม่มีใครที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่ที่ไหนได้..นายพลคานาริสคนนี้ ได้เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า เป็นผู้ที่เกลียดชังนาซีเป็นที่สุด และทำตัวเป็นสายลับให้กับฝ่ายสพม.ด้วยต่างหาก
เขาใช้ความเป็นเพื่อน..บอกข่าว"วงใน"แก่นายพลฟรังโกว่า..เยอรมันต้องแพ้สงครามในที่สุดแน่นอน ถ้าสเปนไม่อยากเดือดร้อน..อยู่เฉยๆจะดีกว่า
นายพลฟรังโกเห็นดีด้วยตามนั้น จึงบอกกับฮิตเล่อร์ไปว่า..ขออยู่เป็นกลางดีกว่า ไม่อยากทำสงครามกับอังกฤษ
แป่ววววว....!!!

ส่วนอิตาลี..ก็กำลังฮึกเหิม เพราะอยากได้ดินแดนริมเมดิเตอเรเนียนกะเค้าเหมือนกัน ถึงกับยกทัพไปบุกกรีซโดยลำพัง
เพราะ คิดว่า ฮิตเล่อร์
คงไม่อยากจะทำศึกในด้านใต้ให้มากความเข้าไปอีก..และเพื่อเป็นการ"ตีกัน" เยอรมันในชั้นหนึ่ง(เพราะอยากได้ไว้เอง)
แต่..พวกนักรบอิตาเลี่ยนพวกนี้ยังรู้จักฮิตเล่อร์น้อยป๊ายยยย...!!


เพราะหลังจากที่ตีอังกฤษไม่แตก..ฮิตเล่อร์ก็เคว้งคว้าง..หาที่ลงไม่ถูกแล้วทีนี้ จะอยู่เฉยๆก็ไม่ได้อับอายประชาชีชาวโลก
ดังนั้น สิ่งที่เขาคิดจะทำต่อไปนั่นก็คือเข้าครอบครองพื้นที่ในยุโรปทั้งหมดเสียก่อน แล้วค่อยกลับไปคิดบัญชีกับอังกฤษในทีหลัง
นั่นหมายถึง การที่จะต้องบุกโซเวียตอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกรัสเซียได้มีโอกาสตั้งตัว เขาเริ่มคิดแผนการโดยการเรียกประชุมเหล่าขุนพล
และแถลงในนโยบายที่ว่า ถ้าไม่โจมตีรัสเซียเสียก่อน ก็ต้องเสี่ยงเตรียมรับมือกับศึกใหญ่ในหลังเพราะ รัสเซียต้องโจมตีเยอรมันแน่ๆ..ไม่ช้าก็เร็ว
พวกนายพลได้ฟังแล้วถึงกับหนาวไปตามๆกัน ที่ท่านผู้นำเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ถึงกับคิดจะเปิดศึกทั้งสองด้าน ซ้ายขวาแบบนี้
พวกเขาได้ทักท้วงว่า.."จะให้เอากำลังมากจากไหนก๊านน..ที่มีอยู่ก็กระจัดกระจายอยู่ในแถมสแกนดิเนเวียมั่ง เชคโกฯมัง..ฝรั่งเศสมั่ง"
ฮิตเล่อร์ตอบว่า.."ม่ะเป็นรายยย ถอนกำลังออกจากฝรั่งเศสก็ได้ คงไม่มีปัญหา เพราะที่นั่นท่าทางเชื่องจะตาย ไม่มีพิษสงอะไรร๊อก"
นายพลไกเทลเองก็แสนจะหงุดหงิด เพราะ นี่มันผิดตำราพิชัยสงคราม ที่ไหนๆเขาก็ไม่ทำกันถึงเรื่องไปเที่ยวต่อตีกับชาวบ้านเขาไปทั่วเนี่ย..
ถึงกับเขียนรายงานถึงความเป็นไปไม่ได้ของศึกสองด้านขึ้นมาหลายหน้ากระดาษ แจกจ่ายกันอ่าน
ฮิตเล่อร์เข้าใจไปว่า..นายพลไกเทลเกิดเบื่อหน่าย ขัดแย้งต่อสงครามครั้งนี้ จนอยากจะลาออก ถึงกับต้องเรียกตัวเข้ามาพบ พร้อมถามว่า
"อะไรกันนักกันหนา..ผิดใจแค่นี้ถึงกับจะลาออก..ดูอย่างผมซิ ถ้าผมเบื่อ ผมจะเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าลาออกได้หรือก็เปล่า..
ปีที่แล้ว..กับนายพล Brauchitsch ก็เกิดเรื่องคล้ายๆอย่างเงี้ยะ ..ผมละเบื่อ" แล้วก็อ่อนเสียงลงต่อด้วยประโยคว่า
"ก็ผมดูคนไม่ผิด..ผมรู้ดีว่าใครสมควรเหมาะกับงานไหน เพราะ ผมเห็นและเชื่อในความสามารถมาเป็นอันดับแรก คุณเป็นแม่ทัพในครั้งนี้น่ะ เหมาะทึ่สุดแล้ว"
ซึ่งนายพลไกเทล..ได้ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ และหันหลังเดินออกมาจากห้องท่านผู้นำโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียวด้วยอารมณ์ที่ยังขุ่นมัว

Battle of Britain ในช่วงของปี 1941 ต่อมานี้หนักหนาสาหัสนัก..
แต่ประชาชนก็ยอมพร้อมใจกันสู้ถวายชีวิต
ก็มีบ้างในเดือนกันยายนของปี 40 ที่ประชาชนเริ่มมีการระส่ำระสาย เกิดการแตกแยก มีการยุยงเรื่องชั้นวรรณะเกิดขึ้นในหมู่ชนชั้นกรรมกรทางฝั่งตะวันออก
ตามแผนที่ฮิตเล่อร์ต้องการเปี๊ยบเชียว
เพราะเขาเชื่อว่า ประชาชนอดหยากหนักๆเข้า ก็จะต้องเกิดสงครามกลางเมือง
(อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเยอรมันในครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
และเมื่อนั้น
อังกฤษก็จะต้องสูญเสียความเป็นเอกราชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนที่จะมีการปลุกระดมใดๆเกิดขึ้น..

ในเดือนกันยายนนั้นเอง..ระเบิดลงในพระราชวังบัคกิ้งแฮมอันเป็นที่พระทับของพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี พร้อมทั้งเจ้าหญิงเล็กทั้งสองพระองค์ที่ประทับยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชนโดยไม่มีการลี้ภัยไปที่ไหนทั้งสิ้น..

หน่วยข่าว..พยายามเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเกรงว่าจะเสียหน้า(?)
ความรู้ถึงหูท่านเชอร์ชิลล์เข้า..ท่านถึงกับเต้นผาง ด่าเช็ด..ว่า
"Dolts,idiots,stupid fools!" ต่อด้วยว่า
ข่าวอย่างงี้ พวกเอ็งเก็บไว้ได้อย่างไร ตีข่าวลงไปเล๊ยยพร้อมรูปด้วย..บอกให้ประชาชนได้รู้ถึงว่า ความทุกข์ยากในครั้งนี้ มีทั่วถึงกันหมด แม้แต่"เหนือหัว"ก็ทรงได้รับเช่นกัน..

จากนั้นมา..ทุกคนก็อยู่ในความสงบกลับมาสมัครสมานกันเช่นเดิม..ผู้สื่อข่าวอเมริกัน..Edward R. Morrow
ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ปีนขึ้นไปสังเกตการณ์การสู้รบอยู่บนหลังคาตึกสูงๆได้นำข่าวมาออกอากาศว่า..
ผู้คนแทบทั้งเมืองได้ติดธงยูเนี่ยนแจ๊ค
บนหลังคาบ้าน
เห็นได้อย่างชัดเจนที่มันช่างปลิวไสวมาแต่ไกล
ไม่มีใครสักคน..ที่ติด"ธงขาว"

อังกฤษถูกบอมบ์อย่างเละเทะก็จริง..หากแต่มันเป็นการแลกกันอย่างถึงพริกถึงขิง
เพราะความสูญเสียของเยอรมันเองก็เหลือคณานับ..
จนในวันที่ 10 พฤษภาคม1941
จู่ๆ..ก็มีเครื่องบิน(เยอรมัน)ลึกลับ บินมาตกปุในพื้นที่ของคฤหาสน์ครอบครัวขุนนาง Duke of Hamilton ในแคว้น เอดินเบอร์คด้านตะวันออกเฉียงใต้
นักบินบาดเจ็บ ได้รับถูกควบคุมตัว และได้ประกาศตัวในต่อมาว่า เขาคือ Rudolf Hess ทส.หน้าห้องคนสนิทที่ทำหน้าที่เลขานุการในทุกเรื่องของฮิตเล่อร์นั่นเอง
เขาได้แสดงความประสงค์ที่จะพบกับท่านดยุค เพื่อให้พาเขาเข้าพบกับเชอร์ชิลล์ ในทำนองว่า่ เขามาเพื่อสมานสัมพันธไมตรี เป็นทูตสันติ ว่างั้นเถอะ
แต่..แทนที่เขาจะได้พบกับเชอร์ชิลล์ตามที่ต้องการ
กลับถูกส่งตัวไปเข้าคุกขังเดี่ยวต่างหาก นับแต่ชั่วโมงนั้นมา..
ฮิตเล่อร์ พอได้ข่าวเข้า ถึงกับโกรธจนตัวสั่น ออกข่าวแก้ว่า นายเฮสส์ทำไปโดยพลการ ไม่มีใครสั่ง..
และถือว่า นายนี่ได้กระทำการเป็นกบฏ สมควรที่จะถูกยิงเป้านัก..

พูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ..เพราะ ใครๆก็รู้ว่า คนอย่างนายเฮสส์จะไม่มีวันอะไรแบบนี้ด้วยตัวเองเป็นอันขาด
ถ้านายไม่สั่ง..และ..เชื่อว่าเขาจงใจที่จะไปพบกับคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าเชอร์ชิลล์นัก ด้วยข้อเสนอที่เราไม่อาจทราบได้
แต่มันต้องสำคัญมากขนาดที่เขากล้าเสี่ยงบินข้ามไปโดยที่อาจไม่มีชีวิตรอดถึงฝั่งเสียด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า เขาอ้างว่าต้องการพบท่านดยุคที่อ้างว่าเคยรู้จักมักจี่ในครั้งกีฬาโอลิมปิคเบอร์ลิน 1936
แต่ตัวดยุคเอง..บอกว่า..ไม่รู้จักกันซักกะหน่อย
แต่..เขาได้รู้จักและหนิดหนมถึงขนาดร่วมโต๊ะเสวยกับ Duke and Duchess of Windsor ในปี 1937 และมีหลักฐานว่า ทั้งหมดได้มีการติดต่อกันโดยตลอด





ถ้าคนสนใจอ่านเรื่องราวในครั้งนั้นจริงๆ ก็จะทราบว่า
นี่คือแผน"ลักไก่" ครั้งใหญ่ของฮิตเล่อร์อีกตามเคย..
ในช่วงเวลาก่อนวันที่ 10 พฤษภา อังกฤษถูกบอมบ์อย่างหนักจนแทบรับไม่ไหว เพื่อเป็นการสั่งสอนแกมขู่
ว่า..ถ้าไม่ยอมแพ้ ณ.บัดนี้ ก็จะโดนอีกไม่น้อย
แต่พญาสิงห์อย่างเชอร์ชิลล์ก็รู้ทันเกมส์ จากรายงานการถอดรหัสของศูนย์ ที่ได้ส่งข่าวมาว่า จะไม่มีการบอมบ์อังกฤษอีกหลังจากวันนี้ไป..
สายได้รายงานมาว่า
ฮิตเล่อร์ได้เคลื่อนหน่วยทัพบก และอากาศไปทางด้านตะวันออกเพื่อเตรียมเปิดศึกกับรัสเซียแล้ว..
จึงเชื่อว่า..นายเฮสส์ได้นำสาสน์ไปแบบลักไก่ ว่า เยอรมันจะหยุดบอมบ์ ถ้าอังกฤษยอมแพ้แต่โดยดี
และ..คงสันยิง.. สัญญาว่าจะไม่รุกราน และปล่อยให้เป็นอิสระ ว่างั้นเถอะ..
ความจริง..เบื้องลึกของเรื่องนี้ ทีแรกนั้น ฮิตเล่อร์เข้าใจว่้า อังกฤษคงต้องยอมแพ้ง่ายๆในการรุกเพียงไม่กี่วัน
ถึงขนาดส่งแผนที่ ขีดเส้นสีแดงรอบลอนดอนไว้ สั่งว่า
ห้ามหน้าไหนล่วงล้ำเข้าไปทิ้งระเบิดให้เสียหายล่ะ..
เพราะเขาต้องการเก็บสิ่งสวยงามทางด้านสถาปัตย์นั่นไว้อย่างไม่ให้ชอกช้ำ...
จนกระทั่ง อังกฤษไปบอมบ์เบอร์ลินนั่นแหละ..ฮิตเล่อร์ก็เลยหน้ามืด ไม่องไม่เอาแล้ว วังเวิง..
เกอริง..ได้จัดประชุมบรรดานายทหารปีกเหล็กทั้งหลาย พูดจาขึงขังว่า..
"จะมีการบอมบ์ลอนดอนครั้งยิ่งใหญ่มโหฬารอีกครั้ง ครั้งนี้ คงจะเป็นการเผด็จศึก เรือดำน้ำทุกลำก็เตรียมพร้อมบุกคุมทุกท่า"
ผู้ฝูง Adolf Galland ถึงกับเชื่อสนิท..
จนกระทั่งเกอริงเดินลงมาดึงไหล่เขาเข้าไปกระซิบบอกว่า..ที่พูดมานั่น อั๊วโกหกล้วนๆเลยนะ.
"อ้าว..ทำไมล่ะครับท่าน?"
"ก็เพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้ใครรู้ว่าเราจะไปตีรัสเซียงั๊ย"

และนั่นก็จริงๆ..ไม่มีการบอมบ์ในอังกฤษอีกเลยหลังจากวันที่ 10 ที่ว่า..จนทุกคนเริ่มสับสน..สงสัยว่า
ไอ้ฮิตเล่อร์มันจาเอายางไงของมานว๊าาา..?
จนวันที่ 22 มิถุนายน 1941 นั่นแหละ..ทุกคนจึงได้ทราบข่าวสงครามว่า..
เยอรมันเปลี๋ยนไป๋..ไปตีรัสเซียแทนซะแล้ว !!
เสียงไชโยโห่ฮิ้ว..ดังลั่นเกาะ พร้อมกับการเฉลิมฉลองต่อชัยชนะอย่างขาวสะอาดของอังกฤษในครั้งนี้..

ผู้ฝูงอดอล์ฟ ได้ทำเป็นมาไก๋พูดว่า..
"จะบ้าเรอะ..มีที่ไหน ไอ้สงครามบริเตนอะไรเนี่ย..ไม่มี๊๊ ไม่มี..ไม่มีการสู้รบอะไร เพียงแค่เราไปบุก แต่ยังไม่ทันแพ้ชนะ..เราก็เลิกซะก่อน ก็แค่นั้นเอง..มีใครแพ้อะไรที่ไหน พูดจาเลอะเทอะ"
ทหารอากาศอังกฤษก็สวนทันควันว่า..
"น้อยๆหน่อยเพ่..เวลาคนชกมวยกันน่ะ คู่ต่อสู้ขอเลิกชกกลางคันก่อนการจบสิบยกน่ะ เค้าเรียกว่า แพ้ ว้อย"



ที่แผนการได้เปลี่ยนแบบกระทันหันเช่นนั้น เพราะฮิตเล่อร์คิดสะระตะใหม่ว่า ถ้าได้รัสเซียมาครอบครองแล้วอังกฤษจะไปไหนเสีย..
เพราะ ฮิตเล่อร์เสียเวลามากว่าปี เสียหายไปไม่รู้เท่าไหร่..และถ้าได้อังกฤษมาจริงๆตี๊ต่างว่างั้น
ก็เอามาช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอังกฤษกะสู้ตายจนถึง the last man stand...
มาคิดบวกลบคูณหารแล้ว..ต้องลงทุนอีกมากมายกว่าจะได้มาแต่เกาะเปล่าๆ อีกทั้งกลัวว่าอเมริกาจะโดดเข้ามาร่วมด้วย...ก็จะยุ่งกันใหญ่
ฮิตเล่อร์อยากบุกรัสเซียมากกว่าที่ไหนทั้งสิ้น เพราะ
ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของสองอย่างที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต คือ ยิว และ คอมมิวนิสต์
เขาเชื่อว่า อเมริกาก็คงไม่มายุ่งในกิจการสงครามครั้งนี้ เพราะว่า รัสเซียในฐานะเจ้าลัทธิคอมมิวนิสต์อันที่รังเกียจสมควรที่ต้องล้มหายตายจากไปจากโลกนี้
ด้วยน้ำมือของเขา..ฮิตเล่อร์ ผู้ยิ่งใหญ่

จะพบว่า สงครามในประเทศอื่นๆที่เขาผ่านมา
ก็เป็นสงครามแบบธรรมดาคือ มีการสู้รบล้มตายอันเป็นเรื่องปรกติ
หากแต่ที่ไหนมียิว ที่นั่นมีการฆ่าทารุณอย่างเหี้ยมโหด
ผิดมนุษย์มะนา ตัวอย่างคือ โปแลนด์ และ รัสเซีย
ที่กำลังจะเล่าในต่อไป


มีคนถามเรื่องสงครามแอตแลนติค
ต้องเล่าซิคะ..นี่สำคัญมาก ต้องไล่มาตั้งแต่เริ่มที่เชอร์ชิลล์สั่งทำลายฝูงเรือของฝรั่่งเศส..
แต่ขอสดุดีกองทัพอากาศของอังกฤษหน่อย ให้สมกับคำของท่านเชอร์ชิลล์ที่ว่า..
"Never in the field of human conflict was so much owed by so many to so few."

"so few" นั่นหมายถึงนักบินผู้กล้าหาญ 2353 นาย เป็นนักบินจากสพม.เสีย 574 นาย ที่ได้สละชีวิตปกป้องเพื่อเอกราชของประเทศจนสำเร็จ
อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสงครามครั้งไหนๆมาก่อน

นี่คือสิ่งที่น่าจดจำและเรียนรู้ไว้ เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้รู้ว่า ความสามัคคีนั้น เป็นยิ่งกว่าพลังที่สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง
อ้อ..ลืมไป..ว่าต้องมีผู้นำที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ด้วยเช่นกัน

เรื่องสงครามทางน้ำก่อนนะ..
ขอย้อนไปตั้งแต่การจมเรือโดยสาร Athenia ของอังกฤษในวันที่ 3 กันยายน 1939 เลยดีกว่า
ตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ฮึ่มๆกันอยู่ สงครามก็เพิ่งประกาศในบ่ายวันนั้นนั่นเอง
ศูนย์บัญชาการรบในน่านน้ำของเยอรมันได้มีการ
สั่งให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อม ผู้การเรือดำน้ำ U-30 ชื่อว่า Fritz-Julius Lemp ซึ่งลาดตระเวนอยู่ในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์
ขณะนั้นพอดี พอได้รับข่าวจากวิทยุสั่งงาน ก็รับปฏิบัติทันที สอดส่ายตาหาจนได้เรื่อง
นั่นคือ เจอเอาเรือขนาดใหญ่เข้าพอดี
ที่กำลังบ่ายจากฝั่งอังกฤษมุ่งตรงไปทางเหนือ เขาจึงไล่ตามอย่างกระชั้นชิด พอเข้าใกล้
เขาก็ลอยตัวขึ้นส่งกล้องขึ้นไปดู พบว่าเรือลำนั้นได้ขับเคลื่อนไปในวิถีของการสลับฟันปลา และ ดูเหมือนว่า บนดาดฟ้าของเรือ
มีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ซะด้วย เหตุผลเพียงเท่านั้น ก็พอเพียงสำหรับเขา..ต่อการสั่งยิงทอร์ปิโดสู่เป้าหมายข้างหน้าทันที..
เพียงไม่กี่ลูกเท่านั้น..เรือโดยสาร ที่บรรทุก 1103 ชีวิต (อเมริกัน 300) ก็จมลงไปต่อหน้าต่อตา..

จนกระทั่งเขาได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือทางวิทยุ จึงได้ทราบว่า เรือที่เขาเพิ่งจมมันลงไปเมื่อกี้นั้น มันคือเรือโดยสาร
ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามสนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศ
ผู้ฝูง Lemp ตกใจสุดขีด..รีบนำเรือหลบออกมาจากวงจรของสถานที่เกิดเหตุทันที งดการส่งสัญญาณทางวิทยุใดๆ..
รวมไปถึง..การขอความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ลอยคออยู่ในทะเลนับร้อยๆคนนั่นด้วย
(ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ)

หากแต่..ต่อมาในวันที่เขาได้จมเรือ S.S. Blairlogie เขาได้มีการรายงานขอความช่วยเหลือช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนอร์เวย์ Knut Nelson
อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสามารถส่งเรือกู้ภัยมาช่วยได้
เขาได้ทำรายงานการปฏิบัติการทั้งหมดให้ศูนย์ทราบ..แต่ไม่ได้รายงานในเรื่องการจมเรือโดยสาร Athenia
ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่..

อังกฤษรับทราบข่าวนี้ด้วยความแค้นใจอย่างที่สุด เพราะนี่คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนคราวของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ที่เยอรมันได้จมเรือโดยสาร Lusitania แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นกัน..
ข่าวได้ตีออกไปทั่วโลกถึงความไร้ศิลธรรมของเยอรมัน
ฮิตเล่อร์เอง..ก็ยังใหม่ต่อวงการสงคราม ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หากแต่ เกิบเบิลส์ เข้ามาแก้สถานการณ์ให้อย่างทันควันว่า
นี่คือแผนของอังกฤษ ที่ล่มเรือของตัวเองเพื่อป้ายความผิดมาให้กับไอ้ปื๊ดฮิตเล่อร์ โดยหวังที่จะกระตุ้นให้อเมริกาเข้ามาร่วม
สงครามด้วย..
ข่าวนี้ลงในหนังสือเสียงเยอรมัน ของพรรคนาซีเขานั่นแหละ..ในวันที่ 23 ตุลาคม ที่ห่างไปจากวันเกิดเหตุตั้งเดือน
ทั้งๆที่ตอนนั้น
ผู้การ Lemp ได้สารภาพเรียบร้อยกับแม่ทัพ Donitz ในวันที่ 19 กันยายน..ว่าเป็นฝีมือของเขาเอง..
ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันปิดเรื่องนี้อย่างเงียบกริบ..ตลอดจนสิ้นสงคราม..ทุกคนมีความรู้สึกอัปยศต่อการผิดพลาดครั้งนี้มากมาย
อย่างแม่ทัพโดนิทซ์เอง..ที่เขียนบันทึกข้อความของสงคราม ยังไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด
สมุดบันทึกการทำงานของผู้ฝูง Lemp ได้ถูกดึงส่วนนี้ออกไปและ มีการเขียนเติมหน้าใหม่(ให้หมายเลขเรียงกันเหมือนเดิม)
แต่..ด้วยความสะเพร่า จึงเห็นได้ชัดว่า ลายมือไ่ม่เหมือนกัน ข้อความถูกตกแต่งใหม่ให้ดูกลายเป็นว่า
วันนั้น เรือ U-30 ได้อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุตั้งสองร้อยไมล์..

แต่ในวันนั้น..ได้มีทหารคนหนึ่งชื่อว่า..Adolf Schmidt ในเรือดำน้ำ ได้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งผู้การได้ส่งเขาขึ้นบกที่ไอซ์แลนด์
ก่อนหน้านั้น ได้มีการสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้..
จนกระทั่ง อังกฤษได้เข้ายึดไอซ์แลนด์ และนายอดอล์ฟคนนี้ได้กลายมาเป็นนักโทษ..ในปี 1940 ไม่ว่าจะซักฟอกอย่างไร นายนี่ก็ไม่ยอมหลุดพูดอะไร
จนกระทั่งสงครามเลิก..จึงได้มาให้การเรื่องราวตามความเป็นจริงในศาลนูเรมเบอร์ค

ผลพวงที่ได้จากการเกิดเหตุนี้แม้จะไม่เป็นชนวนสงครามอย่างคราวของเรือ Lusitania ก็ตาม หากแต่เล่นเอาจอมทัพมือใหม่อย่างฮิตเล่อร์ ก็ขวัญผวาพอสมควร
(เพราะตอนนั้น เยอรมันรู้อยู่แก่ใจว่ากำแหงทำสงครามทั้งๆที่ยังไม่พร้อม)
จึงออกคำสั่งห้ามรบกวนเรือเดินสมุทรทุกลำ
ให้ถือปฏิบัติตามข้อตกลง..
ทีนี้ก็เล่นเอาทหารสับสนกันไปหมด..เพราะ ไม่รู้ว่าอะไรคือเป้าหมายกันแน่..
ก็ไอ้เรือเดินสมุทร ส่งสินค้าและผู้โดยสารนี่แหละ ตัวดีนัก...ขนอาวุธยุทโธปกรณ์กันทั้งนั้น..


มีแฟนกระทู้มาช่วยแจมให้..


กระผมอยากจะขอเพิ่มเติมด้วยว่ามูลเหตุของสงครามรัสเซีย-เยอรมันครั้งนี้เกิดจากเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ที่เยอรมัน
ต้องการครอบครองแหล่งสำรองน้ำมันดิบที่มีมากที่สุดในโลกคือบริเวณเทือกเขาคอเคซัสและต้องการยึดครองดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีดินอุดมสมบูรณ์ที่สุด
แห่งหนึ่งของโลกคือที่ราบยูเครนเพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตอาหารเพื่อนำมาใช้เป็นทุนรอนในการทำสงครามแผ่ขยายอาณาจักรไรท์ต่อไป


อนึ่ง ที่มีคนถามว่า แล้วทำไมเยอรมันไม่ตีอังกฤษให้แตกไปเลย คำตอบง่ายๆครับ "หมดปัญญา" เพราะตามแผนบุกอังกฤษของฮิตเลอร์นี้ มันมีอยู่ ๓ ขั้นตอนคือ

๑. ต้องครองน่านฟ้าอังกฤษให้ได้เสียก่อน เพื่อที่ว่ากองทัพเรือเยอรมันจะสามารถปิดล้อมเกาะอังกฤษได้

๒.เมื่อครองน่านฟ้าอังกฤษได้แล้ว เรือรบเยอรมันก็จะสามารถปิดล้อมเส้นทางลำเลียงของเรือสินค้าอังกฤษได้สบายโดยไม่ห่วงว่าจะมีเครื่องบิน
ลำไหนของอังกฤษมาบอมบ์เรือ ทั้งยังสามารถใช้การผสานกันระหว่างกองทัพเรือและทัพอากาศต่อสู้กับกองเรือพิฆาตของอังกฤษที่ว่าเกรียงไกรได้

๓. เมื่อทั้งน่านฟ้าและผืนแอตแลนติกเป็นของเยอรมันแล้ว การยกพลขึ้นบกที่แผ่นดินอังกฤษก็เป็นเรื่องสบายบรื๋อ


แต่จากความไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวของเกอริ่งขี้โม้ ทำให้แผนแรกต้องล่มไม่เป็นท่า ฮิตเลอร์จึงมีความหวังอยู่อย่างเดียวคือการปิดล้อมอังกฤษ
ด้วยฝูงเรืออูเท่านั้น (ส่วนเรือพิฆาตนั้น....ให้คุณวิวันดาเล่าถึงฝันล่มบทนี้ของฮิตเลอร์เถิด) ส่วนเรื่องการยกพลขึ้นบกนั้น ม้วนเสื่อไปได้เลย
เพราะกองทัพเรือโดดๆของฮิตเลอร์อย่างเดียวไม่สามารถจะครองช่องแคบอังกฤษให้เป็นเส้นทางลำเลียงทหารให้ยกพลขึ้นบกที่เกาะอังกฤษได้


ผมมองว่าการที่ฮิตเลอร์ไม่สามารถปิดเกมส์สงครามแห่งอังกฤษนี้ได้เป็นจุดหักเหสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ ๒ จุดหนึ่ง เพราะการเหลืออังกฤษ
ไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามนั่นหมายความว่ากองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรมีฐานที่มั่นสำคัญในยุโรปคือเกาะอังกฤษ เอาไว้คอยรุกรานอาณาจักรไรท์ของฮิตเลอร์ได้
เพราะดูตามจุดยุทธศาสตร์แล้ว มันอยู่แค่ปลายจมูกของฮิตเลอร์เท่านั้นเอง



มีเกร็ดเกี่ยวกับเรื่องนี้เล่าให้ฟังอยู่ว่า เมื่อคราวสงครามจบ จอมพล Gerd von Rundstedt ซึ่งเป็นนักโทษสงครามของฝ่ายรัสเซีย โดนเจ้าหน้าที่รัสเซีย
สอบถามว่าสมรภูมิแห่งไหนที่เป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุด ถามด้วยยิ้มกรุ้มกริ่มในใบหน้า ในมือถือสมุดโน้ตพร้อมปากกาด้วยหวังจะได้บันทึกในประวัติศาสตร์
จากปากจอมพลแห่งอาณาจักรไรท์จะตอบว่าสตาลินกราด คือมูลเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของเยอรมัน

ท่านจอมพลเงยหน้าขึ้นมอง ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า "Battle of Britain"

เล่นเอาคนถามฝ่ายรัสเซียหน้าแหก ทำหน้าเซ็งๆปิดสมุดโน้ต สะบัดก้นจากห้องขัง


   Karl Gerd von Runstedt

จะเล่าเสริมถึงความผิดพลาดอีกส่วนหนึ่งในสงครามน่านฟ้าอังกฤษนี้ที่มีสาเหตุจากความจองหองมั่นใจในศักยภาพทางทหารของฮิตเล่อร์  และความหูเบาที่เลือกฟังแต่นายพลที่ดีแต่สอพลอ ..
บ่างช่างยุตัวสำคัญในงานของ Battle of Britain ครั้งนี้
ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก ท่านรมต. ต่างประเทศ นาย
ฟอน ริบเบนทรอป ที่เคยไปรับราชการเป็นทูตอยู่ที่อังกฤษ ในตอนที่นำสาสน์แนะนำตัวไปถวายแก่ King George VI ช่างหยิ่ง ยะโส โอหังอย่างไม่มีอะไรปานเปรียบ..และแทนที่จะถวายพระพร ด้วยคำว่า
long live the king เจือกพุ่งแขน ตบเท้าปัง แหกปากตะโกนว่า "ไฮล์ ฮิตเล่อร์"
เล่นเอาคนอังกฤษเหม็นหน้า และ หยามเหยียดในทุกโอกาสที่จะอำนวย
จนนายริบเบนทรอปแทบกระอักเลือดไปเหมือนกัน เขาผูกใจเจ็บมาก
หวังเสมอว่าสักวันหนึ่ง เขาจะให้คนทั้งเกาะอังกฤษรวมไปถึงพระราชวงค์ทั้งหมด ทำ Nazi salute และ ใช้ " Heil Hitler" เป็นคำทักทายแทน
เขาได้พยายามทุกอย่างในการป้อนข้อมูลเกี่ยวกับทัพอากาศของอังกฤษว่า ไม่มีน้ำยา อ่อนแอ ตีแตกได้ในไม่กี่วัน..
แล้วถ้าไม่เชื่อ รมต.ต่างประเทศ ที่เคยเป็นทูตอยู่แล้วจะให้ไปเชื่อใครที่ไหน ใช่ป่ะ?
ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นๆ..
ในวันที่ 10 พฤษภาคม นั่น
เขาได้พยายามบอกกับท่านผู้นำว่า..
"อย่าหยุด ส่งไปถล่มอีก เป้าหมายเอาเป็น ลอนดอนและ ลอนดอนอย่างเดียวเลยนะ.."

แต่..ฮิตเล่อร์ก็ได้หมดหวังและถอนใจจากอังกฤษไปซะแล้ว..!!
ทั้งหมดนี่ เป็นเพราะความแค้นส่วนตัวของคนเพียงคนเดียว ซึ่งที่จริงแล้ว..ฮิตเล่อร์น่าจะตี
รัสเซียก่อน ให้รวมตัวเบ็ดเสร็จเป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน
จากนั้นค่อยคิดอ่าน หาทางทีหลังแบบค่อยเป็นค่อยไป
การครองโลก ก็คงไม่ไกลเกินฝัน !!



มีคนถามมาเกี่ยวกับคำว่า The Third Reich  

ตอบค่ะ..

The 1st. Reich นะ หมายถึงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งโรมัน หรือที่เรียกว่า Roman Empire ตั้งแต่ครั้งอยู่ในความปกครองของพระเจ้า
Charlemagne (Charles the Great) อ่านว่า ชาร์ลมาญ หรือ พระเจ้าชาร์ลมหาราช (ประสูติ ค.ศ. 742)
และด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ ยุโรปสามารถรวมตัวได้อย่างเป็นปึกแผ่น เพราะ ทรงเป็นทั้งนักรบ และ คริสต์ชนที่เคร่งครัดในศาสนา
พระองค์และพระอนุชา พระเจ้า คาร์โลมัน ได้ขยายแสนยานุภาพเข้าจัดระบบถึงในฝรั่งเศสซึ่งยังอยู่ในยุคเถื่อน ไม่รู้หนังสือ ไม่มีศาสนา
(ในยุคนั้น ชาวเมดิเตอเรเนียนเรียกพวกตะวันตกเช่นฝรั่งเศส อังกฤษ ว่า Frank อันเป็นที่มาของภาษาไทยที่เรียกว่า ฝรั่ง)
ซึ่งนับว่าไม่ง่ายนัก แต่พระองค์ไม่ได้ทรงลดละ ตราบจนถึง 30 ปีแห่งความพยายาม (ค.ศ. 800) ยุโรปก็อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์อย่างเด็ดขาด
(Germany, Austria, Eslovenia, Switzerland, Belgium, Netherlands,
Belgium, Czech Republic, eastern France, Northern Italy and western Poland)
และได้รับการสวมมงกุฏทองคำจากพระสังฆราช Leo lll ในพระวิหาร St. Peter อันศักดิ์สิทธิ ณ.กรุงโรม ในวันคริสต์มาสแบบเซอร์ไพรส์
เพราะพระองค์มิได้ทรงรู้มาก่อน ว่าจะได้รับการสถาปนา (ให้เป็น Christian King) ในวันนั้นด้วย

ข้อมูลปลีกย่อยเกี่ยวกับพระองค์นั้นว่าไว้ว่า..ไม่โปรดการมหรสพใดๆ โปรดการอ่านหนังสือ การพูดคุยกับปราชญ์ และ ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์
ให้เป็นกองทุนแก่ชาวไร่ชาวนา รวมไปถึงการศึกษาและการศาสนา
อาณาจักรแห่งความยิ่งยงนี้ได้ยืนยาวมาถึงศตวรรษที่ 19...ซึ่งต่อเนื่องมาถึง The Second Reich หรือที่รู้จักกันในนามของ อาณาจักรเยอรมัน
(The German Empire) ที่ปกครองโดยไกเซอร์แห่งราชวงค์ Hohenzollern ซึ่งมีการรบทัพจับศึกมากมายกับประเทศต่างๆในปกครองที่ต้องการ
ความเป็นอิสระ รวมไปถึงการรบพุ่งกับฝรั่งเศสใน Franco-Prussian war โดยมี บุรุษเหล็ก Otto von Bismarck ได้ทำการบัญชาการรบจนได้รับชัยชนะ
และ เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น the new empire’s first imperial Chancellor.

และด้วยความสามารถของบิสมาร์ค เยอรมันภายใต้การนำของเขาได้รุ่งเรืองในด้านการอุตสาหกรรมอย่างมากมาย ในปี 1871-1875 เยอรมันได้รับการยกย่อง
ว่าเป็นประเทศที่มีระบบการรถไฟที่ดีที่สุดในโลก การส่งออกได้เพิ่มขึ้นถึง 250%
เพราะต่อสู้รบพุ่งในอดีตที่เคยมีมา..บิสมาร์คก็เกรงนักหนาถึงศึกทั้งซ้ายและขวาอันอาจเกิดขึ้นได้ หรือเรียกว่าศึกสองด้าน..เขาจึงผูกมิตรกับรัสเซียและ
ออสเตรีย-ฮังการี เพื่อเป็นการตีกันไว้ไม่ให้ไปเข้าร่วมกับฝรั่งเศส ศัตรูถาวร แต่..เรื่องที่จะเอา ออสเตรีย-ฮังการี มาผูกข้อมือกับรัสเซียนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง
เพราะปัญหาเรื่องดินแดนในบอลข่าน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือแตกคอกันในที่สุด
ในปี 1879 บิสมาร์คจึงจัดรูปสัมพันธมิตรใหม่ เป็นไตรภาคีกับ..อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี
ต่อมา..เมื่อการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเกิดขึ้น ไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่สอง ขึ้นครองราช..พระองค์ทรงเหม็นเบื่อที่เห็นบิสมาร์คคอยบงการสั่งงานใช้พระบิดา
(พระเจ้า Wilhelm ที่หนึ่ง) ราวกับเป็นหุ่นกระบอก..มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์
เมื่อโอกาสมาถึง พระองค์ก็เลยทรงบีบคั้นให้
บิสมาร์ค ลาออกจากตำแหน่งในปี 1890
จากนั้นก็เข้าสู่ยุคของรัฐบาลไวมาร์ และ..การเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..
สาเหตุคืออะไรนั้น..กลับไปอ่านเอาใหม่ ตั้งแต่ภาคแรกเลยเชียว..!!

King Charlemagne   







 

Create Date : 26 มีนาคม 2548
14 comments
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 5:36:01 น.
Counter : 2839 Pageviews.

 



วันที่ 13 -14 ก็คงเช่นเดิม..เยอรมันอ้างว่าได้ทำลายสนามบินและกองบินส่วนหนึ่งของอังกฤษเป็นผลสำเร็จ
แต่..ผลออกมาคือ เยอรมันร่วงไป 47 ลำ อังกฤษ 13 ลำ
เกอริงโกรธจนพุงสั่น..วันที่ 15 เขาตัดสินใจส่งฝูงใหญ่ไปกะหมายเผด็จศึกให้รู้มั่งว่าใครใหญ่..โดย ส่งฝูงบินทิ้งระเบิดพันลำ
ฝูงบินโจมตี แปดร้อยกว่าลำ ในทุกทิศและทุกทาง..

ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ(แนวนอร์เวย์)
เกอริงเชื่อว่า ในจุดนั้นคงไม่มีการป้องกันใดๆ แต่ที่ไหนได้..
สปิตไฟร์และ เฮอริเคนของอังกฤษ สยบ
เมสเซอชมิทท์ 110 ของเยอรมันแบบว่า ร่วงไป สามสิบกว่าลำ ในขณะที่ฝ่ายเจ้าภาพเสียไปเพียงหนึ่งเดียว
แต่ทางใต้..เยอรมันสามารถทำสกอร์ไปได้โดยการได้ทำลายโรงงานผลิตเครื่องบินใน Croydon ให้เสียหายไปมากพอสมควร
อีกทั้ง..รันเวย์ของฐานกองทัพอากาศพังไปกว่า ห้าแห่ง..
ในวันนั้นวันเดียว..เยอรมันร่วงไป 182 ลำ เสียหาย อีก 40 กว่าลำ

อ้อ..มีเรื่องของความกล้าหาญแบบขำๆเล่าให้ฟังนะ..
ผู้ฝูงนักบินของอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อว่า Douglas Bader เป็นนักบินฝีมือเยี่ยม ระดับ Ace แต่ทว่า เขาเสียขาทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุ
(จากอดีต) แต่ยังสามารถเข้าปฏบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีด้วยขาเทียมที่ทำมาจากอลูมิเนียม ในช่วงการต่อสู้นั้น เครื่องของเขาได้ถูกยิงตกในฝรั่งเศส ขาเทียมทั้งสองข้างบุบบี้เสียสภาพใช้งานไม่ได้

เขาถูกจับกุมตัวเป็นนักโทษโดยทหารเยอรมัน พอพวกนั้นเห็นว่า..เขาเป็นคนพิการ เสียงหัวเราะฮาเฮก็เกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน
คนหนึ่ง..ได้พูดว่า..เออ..แล้วจะส่งข่าวไปให่อังกฤษรู้แล้วกันนะ เผื่อว่า เขาจะส่งขาเทียมมาให้เอ็งอีกสักคู่หนึ่ง !!
ไม่กี่วันหลังจากนั้น..ขาเทียมคู่ใหม่ ได้ลอยต่องแต่งให้เห็นชัดมาแต่ไกล เหนือ ฐานปฏิบัติการบินของเยอรมัน(ในฝรั่งเศส)
โดยผูกติดมากับร่มชูชีพ !!

 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:46:28 น.  

 



การใช้น้ำมันของเครื่องบินนั้นต่า่งกัน ของเยอรมันใช้ออคเทน 86 แต่ของอังกฤษนั้นใช้ ออคเทน 100
ซึ่งทำให้พลังขับเคลื่อนของสปิตไฟร์และเฮอริเคนนั้นทะยานไต่เพดานน่านฟ้าเร็วกว่า คล่องกว่าของเยอรมันร่วม 20-25% แต่เครื่องบินของเยอรมันที่มีอานุภาพสูสี ก็เห็นจะได้แก่
เมสเซอชมิทท์ Bf-109

และตอนที่ต่อสู้ในฝรั่งเศส(Battle of France)ในช่วงบุกแรกๆของเยอรมันนั้น..เสียหายทั้งสองฝ่ายมากมาย
พอสมควร เครื่องบินของเยอรมันถูกสอยร่วงกว่า 500 ลำ นักบินส่วนใหญ่ถูกจับเข้าซังเตในฐานะเชลยศึก
ซึ่งเชอร์ชิลล์นำลงเรือไปอยู่ที่อังกฤษหมด ไม่เหลือให้กลับมาเป็นเสี้ยนหนาม

ในช่วงของกลางเดือนสิงหาคม(ถึงกำหนดตามที่เกอริงได้สัญญาไว้) แต่เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ ทัศนวิสัยไม่ดี เกอริงบอกว่า
ช่วงนี้ไม่นับละกัน เอาเป็นว่า..จะสยบให้อย่างเด็ดขาดแน่ๆ
ในฐานะลูกทัพฟ้าเหมือนกัน เรียนตำราก็คงจะเรียนมาเล่มเดียวกัน เกอริงจึงวางแผนเผด็จศึก โดยการสั่งบอมบ์ศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศทั้งหมดของอังกฤษ
ที่มีอยู่ด้วยกัน เจ็ดแห่งรอบลอนดอน ด้วยฝูงบินนับพันลำ

ภายในวันที่ 23-24 ตุลาคม ศูนย์ที่ว่าเกือบทั้งหมด ถูกทำลายแทบไม่เหลือซาก..
มาถึงตอนนี้..เยอรมันเกือบได้ชัยชนะเหนือน่านฟ้าอังกฤษให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวโลก..
ฮิตเล่อร์เอง..ก็นั่งหัวเราะเอิ้กอ้าก..มั่นใจถึงขนาดให้ฝูงทัพเรือในน่านน้ำแอตแลนติกจอดพักผ่อนก่อนได้เลย..ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย

สองอาทิตย์ต่อมา..เกอริง กะถล่มแบบให้จบๆกันไป..โดยส่งฝูงบินกว่า 1,000 ลำ เข้าไปบอมบ์ศูนย์สื่อสารทั้งหมดของอังกฤษแบบต่อเนื่องทุกวัน
นับว่าอังกฤษได้พบกับกับศึกที่ขนาดใหญ่ยิ่ง นักบินต่างพากันระโหยโรยแรง ที่ต้องบินต่อสู้ในระยะสามอาทิตย์ติดๆกันไม่มีการหยุดพักใดๆ
ความเสียหายคือ เครื่องบินของ อังกฤษร่วงไป 460 ลำ เยอรมัน 355 ลำ
ที่สำคัญที่สุดคือ อังกฤษเสียนักบินมือดีๆไป 25 % ของที่มีอยู่

เชอร์ชิลล์เริ่มเป็นกังวลแบบกินไม่ได้นอนไม่หลับทีเดียว..เพราะ ศึกครั้งนี้..ใหญ่หลวงนัก !!
แต่แล้ว..ทุกอย่างก็พลิกผัน..ไปแบบไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ
ในคืนวันที่ 23 ตุลาคม ที่บอมบ์ๆกันอยู่นั้น
เป้าหมายของเยอรมัน คือ คลังน้ำมันที่อยู่ชายรอบนอกของลอนดอน..นักบินดันอ่านแผนที่ผิดหรือเซ่อกันแน่ก็ไม่รู้
ดันปล่อยระเบิดลงในใจกลางของกรุงลอนดอนอย่างจัง..
เล่นเอาบ้านเรือนพังพินาศ คนตายมากมายหลายร้อย สวนและส่วนหนึ่งของพระราขวังบัคกิงแฮมก็โดนด้วยเหมือนกัน
โอ้โห..นี่มันหยามกันสุดฤทธิ์ อย่าว่าแต่เชอร์ชิลล์เองที่ทนไม่ได้ นักบินหน่วยกล้าตายของอังกฤษต่างพากันลุกฮือ
บอกว่า..เอาวะ..ตายเป็นตาย เรามาแลกกันลูกต่อลูก(หมายถึงระเบิดง่ะ)

คืนต่อมา..ฝูงบินกล้าตายกว่า 80 ลำ ได้ขึ้นฟ้าทะยานสู่น่านฟ้าเยอรมันเป็นครั้งแรก
ครึ่งหนึ่งฝ่าฝูงต่อต้านของเยอรมันเข้าไปได้..จนถึงกรุงเบอร์ลิน..
บอมบ์แม่งมันซะเล๊ย..มีรัยป่ะ !!
ความเสียหายอาจไม่มากเท่ากับที่ลอนดอนได้รับ..หากแต่..ความเสียหน้าอย่างยับเยินของฮิตเล่อร์นี่ซิ..คือปัญหาใหญ่
ไม่นับ..ความหน้าแหกของเกอริง..ที่โวนักโวหนา ท้าทายให้คนมาชี้หน้าด่าว่า ไอ้ชาติหม..ถ้ามีใครบังอาจผ่านน่านฟ้าเยอรมันเข้ามาได้
แล้ว..นี่ไง.บัดนี้เวลานั้นได้มาถึงแล้ว..

ความเจ็บปวดรวดร้าวในดวงใจน้อยๆของฮิตเล่อร์นั้นมันมากมายนัก เพราะ นี่คือครั้งแรกแห่งประวัติศาสตร์ที่กรุงเบอร์ลินถูกถล่ม
จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน..????

(สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..เยอรมันขอยอมแพ้แต่โดยดีเนี่องจากปัญหาภายใน ไม่เคยโดยบอมบ์จากข้าศึก ส่วนลอนดอนเคยโดนมาแล้ว
จากเครื่องบินและยานลอยหรือที่เคยมีคนตั้งชื่อให้ซะเก๋เชียวว่า โพยมยนต์)






 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:51:36 น.  

 



ถ้าจะเล่าถึงนักบินมือหนึ่งพิการของอังกฤษแล้วแต่ไม่เล่าถึงผู้ฝูงคู่กัดของเขาฝ่ายเยอรมันมันก็จะไม่ยุติธรรมนะ ว่าม๊ะ

หลังจากที่ผู้พันบาเดอร์ได้ถูกจับกุมตัวไปเป็นเชลยแล้ว..ความเป็นนักโทษสงครามของเขาอยู่ในความผู้ฝูง Adolf Galland แห่งกองทัพอากาศเยอรมัน
ผู้ฝูง อดอล์ฟ คนนี้ เป็นคนดุดัน เด็ดขาด เยี่ยงชายชาติทหารอย่างแท้จริง..(รูปหล่อต่างหาก ยังกะคล๊าก เกเบิ้ลแน่ะ )
เขาเป็นนักบินระดับ Ace แห่งลุฟท์วัฟฟ์เช่นกัน(พิฆาต 40 ลำในปลายปี 1940) และเป็นนักรบโดยสายเลือด รักชาติ แต่ไม่สยบให้กับนาซีในคำสั่งที่ไม่สมควร
เช่น..ยามที่เกอริงถามเขาว่า..ทำอย่างไรจึงจะเอาชนะ RAF ให้ได้
เขาตอบว่า..อ๋อ..ไม่ยากเลย ขอสปิตไฟร์พร้อมนักบินมาสักฝูงนึงดิ้..!!
และเขาเป็นหนึ่งในทีมผู้ฝูง..ที่ปฏิเสธคำสั่งจากศูนย์บัญชาการในกรณีที่ให้"ยิงทิ้ง" นักบินข้าศึก ทันทีที่เจอ..
เขาสั่งการผ่านไปยังทหารในกอง ME-109 ของเขาว่า..ปฏิบัติต่อนักโทษเช่นชายชาติทหาร คือ เจ็บก็ส่งรักษา และควบคุมตัว..
ขนาดอังกฤษได้สั่งให้มีการบอมบ์โรงพยาบาลเคลื่อนที่ลอยน้ำของเยอรมัน..ผู้ฝูงอดอล์ฟคนนี้ ก็ยังไม่คิดที่จะสังหารนักโทษเป็นการแก้คืนแต่อย่างใด
และเขาคนนี้เอง..ที่ได้เป็นคนจัดการติดต่อเรื่องขาเทียมให้กับผู้พันบาเดอร์..อีกทั้งหลังจากรักษาจนหาย
เขาได้ส่งให้รถส่วนตัวไปรับออกมาจากโรงพยาบาล Saint-Omer และพาไปเยี่ยมชมฐานทัพ พร้อมทั้งเลี้ยงน้ำชาอีกต่างหาก
ทั้งๆที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ค่อยจะเป็นมิตรด้วยสักเท่าใด
หลังจากสงคราม ในปี 1945 ผู้ฝูงอดอล์ฟ ได้กลายเป็นนายพลไปซะแล้วในตอนนั้น ถูกควบคุมตัวไว้เป็นนักโทษตามประสาประเทศที่แพ้สงคราม
เขาถูกส่งไปขึ้นศาลที่อังกฤษ และคนที่ไปเยี่ยมเขาคนแรกพร้อมทั้งหีบซิการ์นั้นคือ ผู้พันบาเดอร์
ซึ่งต่อมา..เขาทั้งสองได้กลายมาเป็นเพื่อนรักที่ผลัดกันแวะเยี่ยมเยียนกันมาโดยตลอด


ทีนี้พอเบอร์ลินถูกบอมบ์เข้ามั่งปั๊บ..
ประชาชนเริ่มสับสน เพราะ มันช่างผิดไปกับข่าวที่ได้รับตลอดมาว่า เยอรมันกำลังเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ
อังกฤษไม่มีน้ำยาอะไรที่จะมาสู้รบ..แต่แล้ว..อะไรกันนี่ ฮิตเล่อร์จึงต้องออกแถลงการณ์ในวันที่ 4 กันยายน เพื่อตอบคำถามสองข้อแก่ประชาชน
ข้อแรก..คือ จะแก้แค้นเอาคืนครั้งนี้ได้อย่างไร? ข้อสอง คือ เมื่อไหร่จะเผด็จศึกอังกฤษซะที (รำคาญแล้วว้อย) ?
เขาตอบในข้อแรกที่ว่า..เยอรมันจะส่งระเบิดไปบอมบ์ลอนดอนให้มากมายหลายเท่ากว่าที่เบอร์ลินได้รับ
และ..จากเนื้อความในข้อแรก ข้อสองจึงไม่ต้องตอบ..

ผู้ที่ต้องรับหน้าเต็มๆในครั้งนี้..นั่นก็คือ คุณชาติหม..เอ้ย..ไม่ช่ายยย เกอริงนั่นเอง เพื่อเป็นการเอาใจเจ้านาย อีกทั้งกันการเสียหน้า
เขาจึงเปลี่ยนแผนการสู้รบทั้งหมด โดยมุ่งแต่ถล่มลอนดอนอย่างเดียวเลย.. ที่อื่นช่างมัน..

ในเย็นของวันที่ 7 กันยายน..ฝูงบินของเยอรมันขนาดมืดฟ้ามัวดิน ประมาณว่า 1300 ลำ ได้ถูกส่งไปบอมบ์ลอนดอน เป็นครั้งใหญ่
พระเพลิงลุกเผาผลาญไปทั่ว..สถานที่สำคัญๆหลายแห่งถูกทำลาย ประชาชนเสียชีวิตกว่าหนึ่งพัน บาดเจ็บกว่า สามพัน
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจอย่างที่สุด เท่านั้นไม่พอ..วันที่ 15 กันยายน เกอริงหมายใจว่า..วันนี้แหละคือวันเผด็จศึก..เขาได้ส่งไปอีกฝูงบินไปอีกฝูงใหญ่
เครื่องทิ้งระเบิดกว่าสองร้อยลำที่คุ้มกันด้วยเครื่องบินพิฆาตอีกหกร้อยลำ..

แต่..เลือดนักสู้ของนักบินอังกฤษได้พากันบินขึ้นไปต่อสู้แบบถวายหัว..ในวันนั้น เครื่องของเยอรมันร่วงไปกว่า 256 ลำ
อังกฤษเสียหายเพียงแค่ 26 ลำ สาเหตุ คือ..จากวันที่ 7 ถึง วันที่ 15 นั้น ห่างกันไปถึงหนึ่งอาทิตย์..นักบินอังกฤษได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
หลังจากที่ระโหยโรยแรงมานาน จนแทบจะรับไม่ไหว..อาทิตย์นั้น คือ จุดหักเหที่ทำให้เกิดการระดมพละกำลังให้กลับเข้าสู่สภาพปรกติ คือ พร้อมรบในทุกรูปแบบ..

และในวันที่ 15 กันยายนนั้นเอง คือวันที่อังกฤษได้ประกาศศักดิ์ศรีของแสนยานุภาพแห่งการครองน่านฟ้าอย่างงดงาม
ในวันนี้ของทุกๆปี ถือเป็นวัน Battle of Britain ที่มีการเฉลิมฉลองแห่งชัยชนะของชาวอังกฤษ
(หนังสือหลายเล่มได้วิเคราะห์ไว้ว่า...ถ้าเพียงเกอริง สั่งถล่มอย่างไม่มีการหยุดติดๆกันอีกสองวัน..เชื่อว่า กองทัพอากาศของอังกฤษรับมือไม่อยู่อย่างแน่นอน
และนั่นหมายถึงชัยชนะตามที่ต้องการ แต่อาจเป็นเพราะปาฏิหารย์นั้นมีจริง..ที่ทำให้เกิดมีการหยุดชะงัก)




 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 2:56:00 น.  

 



ปาฏิหารย์นั้น..ก็มีอยู่ว่า..ฮิตเล่อร์และนายพลไกเทลได้มานั่งพิจารณากันว่า..ทำไม..อังกฤษจึงได้แข็งแรงอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้..
คำตอบจากนายพลไกเทลก็คือว่า..
จะไม่แข็งแรงได้อย่างไรกัน ในเมื่อมีมหาอำนาจอย่างอเมริกาหนุนหลัง ส่งอาวุธให้อย่างเต็มที่
อีกทั้งความช่วยเหลือในทุกๆด้าน..ทั้งๆที่ประธานาธิบดีรูสเวลต์เองก็ประกาศย้ำนักย้ำหนาว่า อเมริกาจะอยู่เป็นกล๊าง เป็นกลาง
นี่มัน ปากว่า ตาขยิบนี่หว่า...

ฮิตเล่อร์ก็เลยถึงบางอ้อ..ขอเวลากลับไปคิดดูว่า...แล้วตูจะไปสู้รบหาวิมานอะไรกะอังกฤษ ให้เสียเครื่องบินเล่นๆ เพราะไอ้ที่หล่นร่วงราวกับเศษเหล็กมานี่ก็มากมายนักคณานับ..อะไรไม่ว่า..เสียนักบินไปนี่ซิ..กว่าจะสร้างมาใหม่ก็ต้องใช้เวลา..
งั้นก็ต้อง..เพลาๆลงไปหน่อยละกัน..

การบอมบ์ต่อมาในช่วงฤดูหนาว ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร เพราะ เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดสี่เครื่องยนตร์ไม่สามารถพาตัวไปให้ไกล
ในระยะ 1200-1500 ไมล์ได้ และ มันก็อุ้ยอ้ายแถมบินในระยะสูงไม่ได้ดีนัก ส่งไปก็รังแต่จะเป็นเหยื่ออันโอชะของเหล่าเฮอร์ริเคนและสปิตไฟร์
เกอริง..อุตส่าห์ถ่อสังขารไปฝรั่งเศส ไปพบปะหารือ กับนายพลผู้รับผิดชอบรองลงไปสองนาย คือ Kesserling และ Sperrle
ว่า..อารายว๊าาา..ขอข้อมูลหน่อยดิ้ ทำไมถึงได้ผิดพลาดกันมากมายขนาดนี้..
สองนายพลได้ตอบว่า..เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบคล่องงานไม่มี..นักบินอ่อนประสบการณ์ นี่คือหลักสำคัญๆ..
เกอริงบอกว่า..ไม่ต้องมาแก้ตัวใดๆ ผมต้องการการแก้ใขด่วน..!!

การแก้ใขนั้นคือ นับจากวันนั้นมา การไปบอมบ์อังกฤษมีขึ้นด้วยกัน 65 ครั้งใหญ่..บางครั้งมีเครื่องบินทิ้งระเบิดไปถึง 800 ลำ
แต่..ยังไม่สามารถสยบอังกฤษได้แต่อย่างใด
ฮิตเล่อร์เริ่มมองไม่เห็นทางชนะใดๆ นอกจากต้องเปลี่ยนแผนใหม่ เพราะ สงครามที่เปิดอยู่ในด้านอื่น
มีความสำคัญมากกว่า..ต้องการใช้เครื่องบินมากกว่า..
อังกฤษ..นั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทัพเรือ ของท่านแม่ทัพ Donitz และฝูงเรือดำน้ำที่จะต้องเริ่มสงครามในมหาสมุทรแอตแลนติค อย่างจริงจังซะที..!!

ความจริงต้องขอเล่าเบื้องหลังเบื้องลึกของ
แบทเทิล ออฟ บริเตน ครั้งนี้เสียหน่อยนะ
คือว่าเยอรมันเพิ่งมาถล่มอังกฤษตอนเดือนมิถุนายนของ 1940 นี่เอง
(หลังจากที่ประกาศสงครามกันไปตั้งแต่กันยายน 39)
ซึ่งทำให้อังกฤษมีเวลาเตรียมตัวรับศึกอย่างมั่นคง เช่นการสร้างสนามบินฉุกเฉิน การสะสมเสบียง การติดตั้งเรดาร์
และ..การนำนักบินจากประเทศอื่นๆเข้ามาฝึกร่วมด้วย เช่น จากโปแลนด์ เบลเยี่ยม แคนาดา เชคโกสโลวัคเป็นต้น

โดยเฉพาะนักบินชาวโปลิช ที่มีถึง 89 นาย หนึ่งในนั้นคือ นายพลนักบินชาวโปลิช อเมริกัน
ชื่อว่า Tadeusz Kosciuszko ที่สามารถยิงเครื่องบินของข้าศึกร่วงได้ถึง 273 ลำ นับว่าเป็นคนที่ทำสกอร์ได้สูงสุด
แผนปฏิบัติการสิงโตทะเลดังที่เล่ามาว่า
เกอริงได้ส่งฝูงบินมาอย่างมืดฟ้ามัวดินนั้น..และทุกครั้งที่มาก็ได้รับการต้อนรับอย่างฉับไวจากเจ้าภาพอย่างเหลือเชื่อ
นั่นก็เป็นเพราะว่า..ศูนย์ถอดรหัสของอังกฤษที่ Bletchley Park (ในระบบ Ultra) ได้สกัดและแปลโค้ดการติดต่อสั่งงานของทางฝ่ายเยอรมันแบบละเอียดยิบ
ให้กับท่านแม่ทัพอากาศ H. Dowding แบบชั่วโมงต่อชั่วโมง โดยที่ทางฝ่ายเยอรมันไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรซะเลย
แม้กระทั่งคำสั่งของเกอริงที่ส่งมาให้ลูกน้องว่า
"ในชั่วประเดี๋ยว พวกท่านจะได้มีโอกาสถล่มกองทัพอากาศของอังกฤษให้หายไปจากน่านฟ้าอย่างถาวร..ไฮล์ ฮิตเล่อร์ !!"
เชอร์ชิลล์และแม่ทัพอากาศ ก็รู้ล่วงหน้าเช่นกัน แผนรับมือจึงมีการเตรียมพร้อม..

กระทั่งในวันที่ 17 กันยายน ที่ฮิตเล่อร์ได้สั่งให้มีการชะลอการโจมตีนั้น..ทางฝ่ายอังกฤษก็รู้เช่นกัน รู้ไปตลอดจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย
ของการสู้รบทางอากาศในครั้งนี้






 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:00:33 น.  

 



นายพลไกเทลเองก็เพิ่งกลับมาจากทำไปทำไร่ทำสวนมาแหม็บๆ ฮิตเล่อร์ได้สั่งให้เขาไปเข้าร่วมประชุมกับนายพล Badoglio(อิตาลี) ในหัวข้อที่ว่า
จะร่วมมือช่วยอิตาลีวางแผนศึกกับอังกฤษอย่างไรที่อาฟริกาเหนือ ซึ่งตอนนั้น อังกฤษได้ตีกองทัพของอิตาลีร่นไปจนถึงแนว Tripolitanian แล้ว
ไกเทลจึงบอกในที่ประชุมว่า..
งั้นก็เอาหน่วยรถถังไปสักสองกองพันดิ..
นายพล บาโดกลิโอ บอกว่า..ไม่เอางะ..เอามาทำไมรถถัง มันวิ่งไม่ได้ในทะเลทรายสักหน่อย (หนอย..ยังไม่รู้จักปันเซอร์ของเยอรมัน... โง่....นี่..)

จนไกเทลต้องมาอธิบายให้ฟังถึงประสิทธิภาพว่าวิเศษเลิศเลออย่างไร เจ้าหมอนี่จึงยอมรับมาให้ช่วยเพียงฝูงเดียว ภายใต้การนำของผบ.หน่วย Hans von Funck
แต่ทั้งฮิตเล่อร์และมุสโสลินีได้มีสัญญาสุภาพบุรุษต่อกันว่า ฮิตเล่อร์จะส่งหน่วยลุฟท์วัฟฟ์ฝูงใหญ่ไปช่วยสมทบกับกองทัพของอิตาลีทางด้านใต้
งานศึกแย่งชิงชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับอังกฤษ เพื่อเป็นการตอบแทนที่
มุสโสลินีได้ส่งเรือดำน้ำมาช่วยเยอรมันตั้ง 100 ลำ
เพราะตอนนั้น ท่านแม่ทัพ Donitz ได้บอกกับท่านผู้นำไปว่า เรือดำน้ำไม่พอใช้ แต่การที่ฮิตเล่อร์เอาเรือดำน้ำของกองทัพเรืออิตาลีไปช่วยสมทบนั้น
ท่านแม่ทัพโดนิทซ์ ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก เพราะการปฏิบัติการที่ไม่สอดคล้อง
อีกทั้ง..กล่าวหาว่า พวกทหารสปาเก็ตตี้นั้น มันช่างซุ่มซ่ามไม่เอาไหน..
เรือก็เก่างั่ำก ลำเล็กกระจิ๊ด สรุปว่า ไม่ดีไปซะหมด
ซึ่งจริงๆแล้ว..ความสามารถของกองทัพเรืออิตาเลี่ยนก็ไม่ใช่ย่อย แต่..นี่คือการเย่อหยิ่ง..ไม่รู้จักทำงานเป็นทีมของเยอรมันต่างหาก


ความหวังอีกอย่างหนึ่งที่ฮิตเล่อร์ตั้งเป้าไว้ก็คือ การที่จะเป็นฝ่ายเรียกร้องทวงบุญคุญเอากับนายพลฟรังโกแห่งสเปน(ที่ได้เคยช่วยเหลือทางด้านอาวุธครั้งสงครามกลางเมืองในสเปน) โดยการขอเข้ายึดครองช่องแคบยิบรอลตา และ..จะส่งเรือดำน้ำฝูงใหญ่เข้าไปน่านน้ำเมดิเตอเรเนียน

ซึ่งแม่ทัพโดนิทซ์ได้ยินเข้าถึงกับสะดุ้งโหยง
รีบคัดค้านอย่างสุดชีวิต เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าอังกฤษสามารถปิดประตูตีแมวได้เลย
เพียงแค่ปิดกั้นทางออกทั้งสองทาง เท่านั้น..
ฮิตเล่อร์ จึงจัดแจงส่งนายพล Wilhelm Canaris ไปเป็นฑูตในการเจรจากับนายพลฟรังโกครั้งนี้ เพราะเขาเชื่อว่าเขาเลือกได้ถูกคน..
เพราะนายพลคานาริสคนนี้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในภาษาสเปน มีความหนิดหนมกับนายพลฟรังโกเป็นอย่างดี
อีกทั้งเป็นถึงเจ้ากรมสายลับอีกต่างหาก ไม่มีใครที่เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่ที่ไหนได้..นายพลคานาริสคนนี้ ได้เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า เป็นผู้ที่เกลียดชังนาซีเป็นที่สุด และทำตัวเป็นสายลับให้กับฝ่ายสพม.ด้วยต่างหาก
เขาใช้ความเป็นเพื่อน..บอกข่าว"วงใน"แก่นายพลฟรังโกว่า..เยอรมันต้องแพ้สงครามในที่สุดแน่นอน ถ้าสเปนไม่อยากเดือดร้อน..อยู่เฉยๆจะดีกว่า
นายพลฟรังโกเห็นดีด้วยตามนั้น จึงบอกกับฮิตเล่อร์ไปว่า..ขออยู่เป็นกลางดีกว่า ไม่อยากทำสงครามกับอังกฤษ
แป่ววววว....!!!

ส่วนอิตาลี..ก็กำลังฮึกเหิม เพราะอยากได้ดินแดนริมเมดิเตอเรเนียนกะเค้าเหมือนกัน ถึงกับยกทัพไปบุกกรีซโดยลำพัง
เพราะ คิดว่า ฮิตเล่อร์
คงไม่อยากจะทำศึกในด้านใต้ให้มากความเข้าไปอีก..และเพื่อเป็นการ"ตีกัน" เยอรมันในชั้นหนึ่ง(เพราะอยากได้ไว้เอง)
แต่..พวกนักรบอิตาเลี่ยนพวกนี้ยังรู้จักฮิตเล่อร์น้อยป๊ายยยย...!!



 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:04:56 น.  

 



เพราะหลังจากที่ตีอังกฤษไม่แตก..ฮิตเล่อร์ก็เคว้งคว้าง..หาที่ลงไม่ถูกแล้วทีนี้ จะอยู่เฉยๆก็ไม่ได้อับอายประชาชีชาวโลก
ดังนั้น สิ่งที่เขาคิดจะทำต่อไปนั่นก็คือเข้าครอบครองพื้นที่ในยุโรปทั้งหมดเสียก่อน แล้วค่อยกลับไปคิดบัญชีกับอังกฤษในทีหลัง
นั่นหมายถึง การที่จะต้องบุกโซเวียตอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกรัสเซียได้มีโอกาสตั้งตัว เขาเริ่มคิดแผนการโดยการเรียกประชุมเหล่าขุนพล
และแถลงในนโยบายที่ว่า ถ้าไม่โจมตีรัสเซียเสียก่อน ก็ต้องเสี่ยงเตรียมรับมือกับศึกใหญ่ในหลังเพราะ รัสเซียต้องโจมตีเยอรมันแน่ๆ..ไม่ช้าก็เร็ว
พวกนายพลได้ฟังแล้วถึงกับหนาวไปตามๆกัน ที่ท่านผู้นำเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ถึงกับคิดจะเปิดศึกทั้งสองด้าน ซ้ายขวาแบบนี้
พวกเขาได้ทักท้วงว่า.."จะให้เอากำลังมากจากไหนก๊านน..ที่มีอยู่ก็กระจัดกระจายอยู่ในแถมสแกนดิเนเวียมั่ง เชคโกฯมัง..ฝรั่งเศสมั่ง"
ฮิตเล่อร์ตอบว่า.."ม่ะเป็นรายยย ถอนกำลังออกจากฝรั่งเศสก็ได้ คงไม่มีปัญหา เพราะที่นั่นท่าทางเชื่องจะตาย ไม่มีพิษสงอะไรร๊อก"
นายพลไกเทลเองก็แสนจะหงุดหงิด เพราะ นี่มันผิดตำราพิชัยสงคราม ที่ไหนๆเขาก็ไม่ทำกันถึงเรื่องไปเที่ยวต่อตีกับชาวบ้านเขาไปทั่วเนี่ย..
ถึงกับเขียนรายงานถึงความเป็นไปไม่ได้ของศึกสองด้านขึ้นมาหลายหน้ากระดาษ แจกจ่ายกันอ่าน
ฮิตเล่อร์เข้าใจไปว่า..นายพลไกเทลเกิดเบื่อหน่าย ขัดแย้งต่อสงครามครั้งนี้ จนอยากจะลาออก ถึงกับต้องเรียกตัวเข้ามาพบ พร้อมถามว่า
"อะไรกันนักกันหนา..ผิดใจแค่นี้ถึงกับจะลาออก..ดูอย่างผมซิ ถ้าผมเบื่อ ผมจะเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าลาออกได้หรือก็เปล่า..
ปีที่แล้ว..กับนายพล Brauchitsch ก็เกิดเรื่องคล้ายๆอย่างเงี้ยะ ..ผมละเบื่อ" แล้วก็อ่อนเสียงลงต่อด้วยประโยคว่า
"ก็ผมดูคนไม่ผิด..ผมรู้ดีว่าใครสมควรเหมาะกับงานไหน เพราะ ผมเห็นและเชื่อในความสามารถมาเป็นอันดับแรก คุณเป็นแม่ทัพในครั้งนี้น่ะ เหมาะทึ่สุดแล้ว"
ซึ่งนายพลไกเทล..ได้ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ และหันหลังเดินออกมาจากห้องท่านผู้นำโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียวด้วยอารมณ์ที่ยังขุ่นมัว

Battle of Britain ในช่วงของปี 1941 ต่อมานี้หนักหนาสาหัสนัก..
แต่ประชาชนก็ยอมพร้อมใจกันสู้ถวายชีวิต
ก็มีบ้างในเดือนกันยายนของปี 40 ที่ประชาชนเริ่มมีการระส่ำระสาย เกิดการแตกแยก มีการยุยงเรื่องชั้นวรรณะเกิดขึ้นในหมู่ชนชั้นกรรมกรทางฝั่งตะวันออก
ตามแผนที่ฮิตเล่อร์ต้องการเปี๊ยบเชียว
เพราะเขาเชื่อว่า ประชาชนอดหยากหนักๆเข้า ก็จะต้องเกิดสงครามกลางเมือง
(อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเยอรมันในครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)
และเมื่อนั้น
อังกฤษก็จะต้องสูญเสียความเป็นเอกราชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนที่จะมีการปลุกระดมใดๆเกิดขึ้น..

ในเืดือนกันยายนนั้นเอง..ระเบิดลงในพระราชวังบัคกิ้งแฮมอันเป็นที่พระทับของพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี พร้อมทั้งเจ้าหญิงเล็กทั้งสองพระองค์ที่ประทับยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชนโดยไม่มีการลี้ภัยไปที่ไหนทั้งสิ้น..

หน่วยข่าว..พยายามเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเกรงว่าจะเสียหน้า(?)
ความรู้ถึงหูท่านเชอร์ชิลล์เข้า..ท่านถึงกับเต้นผาง ด่าเช็ด..ว่า
"Dolts,idiots,stupid fools!" ต่อด้วยว่า
ข่าวอย่างงี้ พวกเอ็งเก็บไว้ได้อย่างไร ตีข่าวลงไปเล๊ยยพร้อมรูปด้วย..บอกให้ประชาชนได้รู้ถึงว่า ความทุกข์ยากในครั้งนี้ มีทั่วถึงกันหมด แม้แต่"เหนือหัว"ก็ทรงได้รับเช่นกัน..

จากนั้นมา..ทุกคนก็อยู่ในความสงบกลับมาสมัครสมานกันเช่นเดิม..ผู้สื่อข่าวอเมริกัน..Edward R. Morrow
ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ปีนขึ้นไปสังเกตการณ์การสู้รบอยู่บนหลังคาตึกสูงๆได้นำข่าวมาออกอากาศว่า..
ผู้คนแทบทั้งเมืองได้ติดธงยูเนี่ยนแจ๊ค
บนหลังคาบ้าน
เห็นได้อย่างชัดเจนที่มันช่างปลิวไสวมาแต่ไกล
ไม่มีใครสักคน..ที่ติด"ธงขาว"

อังกฤษถูกบอมบ์อย่างเละเทะก็จริง..หากแต่มันเป็นการแลกกันอย่างถึงพริกถึงขิง
เพราะความสูญเสียของเยอรมันเองก็เหลือคณานับ..
จนในวันที่ 10 พฤษภาคม1941
จู่ๆ..ก็มีเครื่องบิน(เยอรมัน)ลึกลับ บินมาตกปุในพื้นที่ของคฤหาสน์ครอบครัวขุนนาง Duke of Hamilton ในแคว้น เอดินเบอร์คด้านตะวันออกเฉียงใต้
นักบินบาดเจ็บ ได้รับถูกควบคุมตัว และได้ประกาศตัวในต่อมาว่า เขาคือ Rudolf Hess ทส.หน้าห้องคนสนิทที่ทำหน้าที่เลขานุการในทุกเรื่องของฮิตเล่อร์นั่นเอง
เขาได้แสดงความประสงค์ที่จะพบกับท่านดยุค เพื่อให้พาเขาเข้าพบกับเชอร์ชิลล์ ในทำนองว่า่ เขามาเพื่อสมานสัมพันธไมตรี เป็นทูตสันติ ว่างั้นเถอะ
แต่..แทนที่เขาจะได้พบกับเชอร์ชิลล์ตามที่ต้องการ
กลับถูกส่งตัวไปเข้าคุกขังเดี่ยวต่างหาก นับแต่ชั่วโมงนั้นมา..
ฮิตเล่อร์ พอได้ข่าวเข้า ถึงกับโกรธจนตัวสั่น ออกข่าวแก้ว่า นายเฮสส์ทำไปโดยพลการ ไม่มีใครสั่ง..
และถือว่า นายนี่ได้กระทำการเป็นกบฏ สมควรที่จะถูกยิงเป้านัก..

พูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ..เพราะ ใครๆก็รู้ว่า คนอย่างนายเฮสส์จะไม่มีวันอะไรแบบนี้ด้วยตัวเองเป็นอันขาด
ถ้านายไม่สั่ง..และ..เชื่อว่าเขาจงใจที่จะไปพบกับคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าเชอร์ชิลล์นัก ด้วยข้อเสนอที่เราไม่อาจทราบได้
แต่มันต้องสำคัญมากขนาดที่เขากล้าเสี่ยงบินข้ามไปโดยที่อาจไม่มีชีวิตรอดถึงฝั่งเสียด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า เขาอ้างว่าต้องการพบท่านดยุคที่อ้างว่าเคยรู้จักมักจี่ในครั้งกีฬาโอลิมปิคเบอร์ลิน 1936
แต่ตัวดยุคเอง..บอกว่า..ไม่รู้จักกันซักกะหน่อย
แต่..เขาได้รู้จักและหนิดหนมถึงขนาดร่วมโต๊ะเสวยกับ Duke and Duchess of Windsor ในปี 1937 และมีหลักฐานว่า ทั้งหมดได้มีการติดต่อกันโดยตลอด




 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:10:43 น.  

 



ถ้าคนสนใจอ่านเรื่องราวในครั้งนั้นจริงๆ ก็จะทราบว่า
นี่คือแผน"ลักไก่" ครั้งใหญ่ของฮิตเล่อร์อีกตามเคย..
ในช่วงเวลาก่อนวันที่ 10 พฤษภา อังกฤษถูกบอมบ์อย่างหนักจนแทบรับไม่ไหว เพื่อเป็นการสั่งสอนแกมขู่
ว่า..ถ้าไม่ยอมแพ้ ณ.บัดนี้ ก็จะโดนอีกไม่น้อย
แต่พญาสิงห์อย่างเชอร์ชิลล์ก็รู้ทันเกมส์ จากรายงานการถอดรหัสของศูนย์ ที่ได้ส่งข่าวมาว่า จะไม่มีการบอมบ์อังกฤษอีกหลังจากวันนี้ไป..
สายได้รายงานมาว่า
ฮิตเล่อร์ได้เคลื่อนหน่วยทัพบก และอากาศไปทางด้านตะวันออกเพื่อเตรียมเปิดศึกกับรัสเซียแล้ว..
จึงเชื่อว่า..นายเฮสส์ได้นำสาสน์ไปแบบลักไก่ ว่า เยอรมันจะหยุดบอมบ์ ถ้าอังกฤษยอมแพ้แต่โดยดี
และ..คงสันยิง.. สัญญาว่าจะไม่รุกราน และปล่อยให้เป็นอิสระ ว่างั้นเถอะ..
ความจริง..เบื้องลึกของเรื่องนี้ ทีแรกนั้น ฮิตเล่อร์เข้าใจว่้า อังกฤษคงต้องยอมแพ้ง่ายๆในการรุกเพียงไม่กี่วัน
ถึงขนาดส่งแผนที่ ขีดเส้นสีแดงรอบลอนดอนไว้ สั่งว่า
ห้ามหน้าไหนล่วงล้ำเข้าไปทิ้งระเบิดให้เสียหายล่ะ..
เพราะเขาต้องการเก็บสิ่งสวยงามทางด้านสถาปัตย์นั่นไว้อย่างไม่ให้ชอกช้ำ...
จนกระทั่ง อังกฤษไปบอมบ์เบอร์ลินนั่นแหละ..ฮิตเล่อร์ก็เลยหน้ามืด ไม่องไม่เอาแล้ว วังเวิง..
เกอริง..ได้จัดประชุมบรรดานายทหารปีกเหล็กทั้งหลาย พูดจาขึงขังว่า..
"จะมีการบอมบ์ลอนดอนครั้งยิ่งใหญ่มโหฬารอีกครั้ง ครั้งนี้ คงจะเป็นการเผด็จศึก เรือดำน้ำทุกลำก็เตรียมพร้อมบุกคุมทุกท่า"
ผู้ฝูง Adolf Galland ถึงกับเชื่อสนิท..
จนกระทั่งเกอริงเดินลงมาดึงไหล่เขาเข้าไปกระซิบบอกว่า..ที่พูดมานั่น อั๊วโกหกล้วนๆเลยนะ.
"อ้าว..ทำไมล่ะครับท่าน?"
"ก็เพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้ใครรู้ว่าเราจะไปตีรัสเซียงั๊ย"

และนั่นก็จริงๆ..ไม่มีการบอมบ์ในอังกฤษอีกเลยหลังจากวันที่ 10 ที่ว่า..จนทุกคนเริ่มสับสน..สงสัยว่า
ไอ้ฮิตเล่อร์มันจาเอายางไงของมานว๊าาา..?
จนวันที่ 22 มิถุนายน 1941 นั่นแหละ..ทุกคนจึงได้ทราบข่าวสงครามว่า..
เยอรมันเปลี๋ยนไป๋..ไปตีรัสเซียแทนซะแล้ว !!
เสียงไชโยโห่ฮิ้ว..ดังลั่นเกาะ พร้อมกับการเฉลิมฉลองต่อชัยชนะอย่างขาวสะอาดของอังกฤษในครั้งนี้..

ผู้ฝูงอดอล์ฟ ได้ทำเป็นมาไก๋พูดว่า..
"จะบ้าเรอะ..มีที่ไหน ไอ้สงครามบริเตนอะไรเนี่ย..ไม่มี๊๊ ไม่มี..ไม่มีการสู้รบอะไร เพียงแค่เราไปบุก แต่ยังไม่ทันแพ้ชนะ..เราก็เลิกซะก่อน ก็แค่นั้นเอง..มีใครแพ้อะไรที่ไหน พูดจาเลอะเทอะ"
ทหารอากาศอังกฤษก็สวนทันควันว่า..
"น้อยๆหน่อยเพ่..เวลาคนชกมวยกันน่ะ คู่ต่อสู้ขอเลิกชกกลางคันก่อนการจบสิบยกน่ะ เค้าเรียกว่า แพ้ ว้อย"

แล้วทำไม เยอรมัน ไม่ ตีอังกฤษ ให้แตก ไปเลย..(มีคนถามมา)

ทำไม ต้องรีบไปตี รัสเซีย ด้วยคะ ในเมื่อถ้า รุก อังกฤษ หนัก ๆ อีกไม่เท่าไหร่
ก้อ น่าจะได้อังกฤษแล้ว การตีอังกฤษให้แตกนั้น ฮิตเลอร์จะได้ ขุมทรัพย์
และกำลังพล กำลังทรัพยากร อีก เยอะแยะมากมายเลยนะคะ

หรือ อย่างที่ป้าวิบอก ด้านบนว่า ตีอังกฤษไม่แตก แล้วตัวเองก้อ เสียหายด้วยเหมือนกัน เลย
หันมา ตี รัสเซีย เพื่อครองยุโรปให้หมดก่อน แล้วค่อย กลับไปตีอังกฤษ

อย่างงี้ มันผิด ตำราพิชัยสงคราม จริง ๆ แหละค่ะ รบ ต้องรบให้ขาดสิคะ ไม่ใช่เปิดศึกหลายด้านแบบนี้

ปล. ขอบคุณ คุณดอนนี่ มากค่ะ รูป เข้ากับบรรยากาศมาก ๆ เลยค่ะ

จากคุณ : นุ่มนิ่ม - [ 29 เม.ย. 47 10:21:09 A:70.16.22.92 X: ]



ตอบค่ะ>>>>

ฮิตเล่อร์คิดอย่างนั้นจริงๆ คือว่า ถ้าได้รัสเซียมาครอบครองแล้วอังกฤษจะไปไหนเสีย..
เพราะ ฮิตเล่อร์เสียเวลามากว่าปี เสียหายไปไม่รู้เท่าไหร่..และถ้าได้อังกฤษมาจริงๆตี๊ต่างว่างั้น
ก็เอามาช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอังกฤษกะสู้ตายจนถึง the last man stand...
มาคิดบวกลบคูณหารแล้ว..ต้องลงทุนอีกมากมายกว่าจะได้มาแต่เกาะเปล่าๆ อีกทั้งกลัวว่าอเมริกาจะโดดเข้ามาร่วมด้วย...ก็จะยุ่งกันใหญ่
ฮิตเล่อร์อยากบุกรัสเซียมากกว่าที่ไหนทั้งสิ้น เพราะ
ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของสองอย่างที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต คือ ยิว และ คอมมิวนิสต์
เขาเชื่อว่า อเมริกาก็คงไม่มายุ่งในกิจการสงครามครั้งนี้ เพราะว่า รัสเซียในฐานะเจ้าลัทธิคอมมิวนิสต์อันที่รังเกียจสมควรที่ต้องล้มหายตายจากไปจากโลกนี้
ด้วยน้ำมือของเขา..ฮิตเล่อร์ ผู้ยิ่งใหญ่

จะพบว่า สงครามในประเทศอื่นๆที่เขาผ่านมา
ก็เป็นสงครามแบบธรรมดาคือ มีการสู้รบล้มตายอันเป็นเรื่องปรกติ
หากแต่ที่ไหนมียิว ที่นั่นมีการฆ่าทารุณอย่างเหี้ยมโหด
ผิดมนุษย์มะนา ตัวอย่างคือ โปแลนด์ และ รัสเซีย
ที่ำกำลังจะเกิดขึ้นในต่อไป (ของการเล่า)





 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:15:33 น.  

 



มีคนถามเรื่องสงครามแอตแลนติค
ต้องเล่าซิคะ..นี่สำคัญมาก ต้องไล่มาตั้งแต่เริ่มที่เชอร์ชิลล์สั่งทำลายฝูงเรือของฝรั่่งเศส..
แต่ขอสดุดีกองทัพอากาศของอังกฤษหน่อย ให้สมกับคำของท่านเชอร์ชิลล์ที่ว่า..
"Never in the field of human conflict was so much owed by so many to so few."

"so few" นั่นหมายถึงนักบินผู้กล้าหาญ 2353 นาย เป็นนักบินจากสพม.เสีย 574 นาย ที่ได้สละชีวิตปกป้องเพื่อเอกราชของประเทศจนสำเร็จ
อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสงครามครั้งไหนๆมาก่อน

นี่คือสิ่งที่น่า่จดจำและเรียนรู้ไว้ เพื่อให้เด็กรุ่นหลังได้รู้ว่า ความสามัคคีนั้น เป็นยิ่งกว่าพลังที่สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง
อ้อ..ลืมไป..ว่าต้องมีผู้นำที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ด้วยเช่นกัน

เรื่องสงครามทางน้ำก่อนนะ..
ขอย้อนไปตั้งแต่การจมเรือโดยสาร Athenia ของอังกฤษในวันที่ 3 กันยายน 1939 เลยดีกว่า
ตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ฮึ่มๆกันอยู่ สงครามก็เพิ่งประกาศในบ่ายวันนั้นนั่นเอง
ศูนย์บัญชาการรบในน่านน้ำของเยอรมันได้มีการ
สั่งให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อม ผู้การเรือดำน้ำ U-30 ชื่อว่า Fritz-Julius Lemp ซึ่งลาดตระเวนอยู่ในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์
ขณะนั้นพอดี พอได้รับข่าวจากวิทยุสั่งงาน ก็รับปฏิบัติทันที สอดส่ายตาหาจนได้เรื่อง
นั่นคือ เจอเอาเรือขนาดใหญ่เข้าพอดี
ที่กำลังบ่ายจากฝั่งอังกฤษมุ่งตรงไปทางเหนือ เขาจึงไล่ตามอย่างกระชั้นชิด พอเข้าใกล้
เขาก็ลอยตัวขึ้นส่งกล้องขึ้นไปดู พบว่าเรือลำนั้นได้ขับเคลื่อนไปในวิถีของการสลับฟันปลา และ ดูเหมือนว่า บนดาดฟ้าของเรือ
มีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ซะด้วย เหตุผลเพียงเท่านั้น ก็พอเพียงสำหรับเขา..ต่อการสั่งยิงทอร์ปิโดสู่เป้าหมายข้างหน้าทันที..
เพียงไม่กี่ลูกเท่านั้น..เรือโดยสาร ที่บรรทุก 1103 ชีวิต (อเมริกัน 300) ก็จมลงไปต่อหน้าต่อตา..

จนกระทั่งเขาได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือทางวิทยุ จึงได้ทราบว่า เรือที่เขาเพิ่งจมมันลงไปเมื่อกี้นั้น มันคือเรือโดยสาร
ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามสนธิสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศ
ผู้ฝูง Lemp ตกใจสุดขีด..รีบนำเรือหลบออกมาจากวงจรของสถานที่เกิดเหตุทันที งดการส่งสัญญาณทางวิทยุใดๆ..
รวมไปถึง..การขอความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ลอยคออยู่ในทะเลนับร้อยๆคนนั่นด้วย
(ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ)

หากแต่..ต่อมาในวันที่เขาได้จมเรือ S.S. Blairlogie เขาได้มีการรายงานขอความช่วยเหลือช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนอร์เวย์ Knut Nelson
อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสามารถส่งเรือกู้ภัยมาช่วยได้
เขาได้ทำรายงานการปฏิบัติการทั้งหมดให้ศูนย์ทราบ..แต่ไม่ได้รายงานในเรื่องการจมเรือโดยสาร Athenia
ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่..

อังกฤษรับทราบข่าวนี้ด้วยความแค้นใจอย่างที่สุด เพราะนี่คือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนคราวของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ที่เยอรมันได้จมเรือโดยสาร Lusitania แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นกัน..
ข่าวได้ตีออกไปทั่วโลกถึงความไร้ศิลธรรมของเยอรมัน
ฮิตเล่อร์เอง..ก็ยังใหม่ต่อวงการสงคราม ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หากแต่ เกิบเบิลส์ เข้ามาแก้สถานการณ์ให้อย่างทันควันว่า
นี่คือแผนของอังกฤษ ที่ล่มเรือของตัวเองเพื่อป้ายความผิดมาให้กับไอ้ปื๊ดฮิตเล่อร์ โดยหวังที่จะกระตุ้นให้อเมริกาเข้ามาร่วม
สงครามด้วย..
ข่าวนี้ลงในหนังสือเสียงเยอรมัน ของพรรคนาซีเขานั่นแหละ..ในวันที่ 23 ตุลาคม ที่ห่างไปจากวันเกิดเหตุตั้งเดือน
ทั้งๆที่ตอนนั้น
ผู้การ Lemp ได้สารภาพเรียบร้อยกับแม่ทัพ Donitz ในวันที่ 19 กันยายน..ว่าเป็นฝีมือของเขาเอง..
ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันปิดเรื่องนี้อย่างเงียบกริบ..ตลอดจนสิ้นสงคราม..ทุกคนมีความรู้สึกอัปยศต่อการผิดพลาดครั้งนี้มากมาย
อย่างแม่ทัพโดนิทซ์เอง..ที่เขียนบันทึกข้อความของสงคราม ยังไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด
สมุดบันทึกการทำงานของผู้ฝูง Lemp ได้ถูกดึงส่วนนี้ออกไปและ มีการเขียนเติมหน้าใหม่(ให้หมายเลขเรียงกันเหมือนเดิม)
แต่..ด้วยความสะเพร่า จึงเห็นได้ชัดว่า ลายมือไ่ม่เหมือนกัน ข้อความถูกตกแต่งใหม่ให้ดูกลายเป็นว่า
วันนั้น เรือ U-30 ได้อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุตั้งสองร้อยไมล์..

แต่ในวันนั้น..ได้มีทหารคนหนึ่งชื่อว่า..Adolf Schmidt ในเรือดำน้ำ ได้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งผู้การได้ส่งเขาขึ้นบกที่ไอซ์แลนด์
ก่อนหน้านั้น ได้มีการสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้..
จนกระทั่ง อังกฤษได้เข้ายึดไอซ์แลนด์ และนายอดอล์ฟคนนี้ได้กลายมาเป็นนักโทษ..ในปี 1940 ไม่ว่าจะซักฟอกอย่างไร นายนี่ก็ไม่ยอมหลุดพูดอะไร
จนกระทั่งสงครามเลิก..จึงได้มาให้การเรื่องราวตามความเป็นจริงในศาลนูเรมเบอร์ค

ผลพวงที่ได้จากการเกิดเหตุนี้แม้จะไม่เป็นชนวนสงครามอย่างคราวของเรือ Lusitania ก็ตาม หากแต่เล่นเอาจอมทัพมือใหม่อย่างฮิตเล่อร์ ก็ขวัญผวาพอสมควร
(เพราะตอนนั้น เยอรมันรู้อยู่แก่ใจว่ากำแหงทำสงครามทั้งๆที่ยังไม่พร้อม)
จึงออกคำสั่งห้ามรบกวนเรือเดินสมุทรทุกลำ
ให้ถือปฏิบัติตามข้อตกลง..
ทีนี้ก็เล่นเอาทหารสับสนกันไปหมด..เพราะ ไม่รู้ว่าอะไรคือเป้าหมายกันแน่..
ก็ไอ้เรือเดินสมุทร ส่งสินค้าและผู้โดยสารนี่แหละ ตัวดีนัก...ขนอาวุธยุทโธปกรณ์กันทั้งนั้น..



 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:22:07 น.  

 



มีแฟนกระทู้มาช่วยแจมให้..


>>>แต่จากความเห็นที่ 45 นั้น กระผมอยากจะขอเพิ่มเติมด้วยว่ามูลเหตุของสงครามรัสเซีย-เยอรมันครั้งนี้เกิดจากเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์ที่เยอรมัน
ต้องการครอบครองแหล่งสำรองน้ำมันดิบที่มีมากที่สุดในโลกคือบริเวณเทือกเขาคอเคซัสและต้องการยึดครองดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีดินอุดมสมบูรณ์ที่สุด
แห่งหนึ่งของโลกคือที่ราบยูเครนเพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตอาหารเพื่อนำมาใช้เป็นทุนรอนในการทำสงครามแผ่ขยายอาณาจักรไรท์ต่อไป


อนึ่ง ที่มีคนถามว่า แล้วทำไมเยอรมันไม่ตีอังกฤษให้แตกไปเลย คำตอบง่ายๆครับ "หมดปัญญา" เพราะตามแผนบุกอังกฤษของฮิตเลอร์นี้ มันมีอยู่ ๓ ขั้นตอนคือ

๑. ต้องครองน่านฟ้าอังกฤษให้ได้เสียก่อน เพื่อที่ว่ากองทัพเรือเยอรมันจะสามารถปิดล้อมเกาะอังกฤษได้

๒.เมื่อครองน่านฟ้าอังกฤษได้แล้ว เรือรบเยอรมันก็จะสามารถปิดล้อมเส้นทางลำเลียงของเรือสินค้าอังกฤษได้สบายโดยไม่ห่วงว่าจะมีเครื่องบิน
ลำไหนของอังกฤษมาบอมบ์เรือ ทั้งยังสามารถใช้การผสานกันระหว่างกองทัพเรือและทัพอากาศต่อสู้กับกองเรือพิฆาตของอังกฤษที่ว่าเกรียงไกรได้

๓. เมื่อทั้งน่านฟ้าและผืนแอตแลนติกเป็นของเยอรมันแล้ว การยกพลขึ้นบกที่แผ่นดินอังกฤษก็เป็นเรื่องสบายบรื๋อ


แต่จากความไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวของเกอริ่งขี้โม้ ทำให้แผนแรกต้องล่มไม่เป็นท่า ฮิตเลอร์จึงมีความหวังอยู่อย่างเดียวคือการปิดล้อมอังกฤษ
ด้วยฝูงเรืออูเท่านั้น (ส่วนเรือพิฆาตนั้น....ให้คุณวิวันดาเล่าถึงฝันล่มบทนี้ของฮิตเลอร์เถิด) ส่วนเรื่องการยกพลขึ้นบกนั้น ม้วนเสื่อไปได้เลย
เพราะกองทัพเรือโดดๆของฮิตเลอร์อย่างเดียวไม่สามารถจะครองช่องแคบอังกฤษให้เป็นเส้นทางลำเลียงทหารให้ยกพลขึ้นบกที่เกาะอังกฤษได้


ผมมองว่าการที่ฮิตเลอร์ไม่สามารถปิดเกมส์สงครามแห่งอังกฤษนี้ได้เป็นจุดหักเหสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ ๒ จุดหนึ่ง เพราะการเหลืออังกฤษ
ไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามนั่นหมายความว่ากองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรมีฐานที่มั่นสำคัญในยุโรปคือเกาะอังกฤษ เอาไว้คอยรุกรานอาณาจักรไรท์ของฮิตเลอร์ได้
เพราะดูตามจุดยุทธศาสตร์แล้ว มันอยู่แค่ปลายจมูกของฮิตเลอร์เท่านั้นเอง

มีเกร็ดเกี่ยวกับเรื่องนี้เล่าให้ฟังอยู่ว่า เมื่อคราวสงครามจบ จอมพล Gerd von Rundstedt ซึ่งเป็นนักโทษสงครามของฝ่ายรัสเซีย โดนเจ้าหน้าที่รัสเซีย
สอบถามว่าสมรภูมิแห่งไหนที่เป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุด ถามด้วยยิ้มกรุ้มกริ่มในใบหน้า ในมือถือสมุดโน้ตพร้อมปากกาด้วยหวังจะได้บันทึกในประวัติศาสตร์
จากปากจอมพลแห่งอาณาจักรไรท์จะตอบว่าสตาลินกราด คือมูลเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของเยอรมัน

ท่านจอมพลเงยหน้าขึ้นมอง ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า "Battle of Britain"

เล่นเอาคนถามฝ่ายรัสเซียหน้าแหก ทำหน้าเซ็งๆปิดสมุดโน้ต สะบัดก้นจากห้องขัง

โดยส่วนตัวยังไงผมก็มองว่าสตาลินกราดคือจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุดของสงครามโลกอยู่ดีนะ ที่จอมพล Gerd von Rundstedt ตอบไปคงจะหวังให้
ทางฝ่ายรัสเซียที่คนเยอรมันแสนเกลียดหน้าแหกเอาเท่านั้น อีกอย่าง คนเยอรมันมีความยกย่องในอารยธรรมของอังกฤษเป็นทุนเดิม ยอมรับว่าแพ้เพราะศัตรูที่
ตัวเองนับถือก็คงจะดีกว่ายอมรับว่าแพ้เพราะศัตรูที่ตัวเองดูถูกแหละเนอะ


เคยได้ยินจากหลายๆที่เหมือนกันว่าหากฮิตเลอร์ไม่บุกรัสเซียคงไม่ย่อยยับอย่างนี้ แต่ผมไม่เห็นด้วยนะ ผมว่าแผ่นดินทางรัสเซียนี่น่าจะรีบยึดครองทันทีหลังจาก
ตีฝรั่งเศสแตกเสียด้วยซ้ำด้วยเหตุที่ว่าความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมันที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการดำเนินสงครามในยุคใหม่
ซึ่งยุโรปตะวันตกไม่ค่อยมีตรงนี้เสียด้วย

ติดแต่ความจองหองมั่นใจในศักยภาพทางทหารของฮิตเลอร์ ความหูเบาที่เลือกฟังแต่นายพลที่ดีแต่สอพลอ และความไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวทางการฑูตที่สร้าง
แนวรบหลายด้าน แม้แต่กับพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นฮิตเลอร์ยังปากบอนไปหยามเอาว่าเป็นแค่พวกลิงเหลือง หลังจากรับฟังข่าวพ่ายแพ้ที่คาลคินกอลแทนที่จะชวน
มาตีกระหนาบรัสเซียด้วยกันอีกครั้ง

ด้วยข้อด้อยเหล่านี้ของฮิตเลอร์แหละครับ ที่ทำให้เขาเจอกับหายนะด้วยน้ำมือคนรัสเซียที่ฮิตเลอร์เกลียดแสนเกลียด



จากคุณ : เมธาวดี -

 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:25:12 น.  

 



คุณเมฯคะ ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยขยายให้ ขอให้มาบ่อยๆนะ น่ารักที่ซู๊ดดด..
จะเล่าเสริมถึงตอนที่คุณเมฯเธอบอกว่า..
"ติดแต่ความจองหองมั่นใจในศักยภาพทางทหารของฮิตเลอร์ ความหูเบาที่เลือกฟังแต่นายพลที่ดีแต่สอพลอ .."
บ่างช่างยุตัวสำคัญในงานของ Battle of Britain ครั้งนี้
ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก ท่านรมต. ต่างประเทศ นาย
ฟอน ริบเบนทรอป ที่เคยไปรับราชการเป็นทูตอยู่ที่อังกฤษ ในตอนที่นำสาสน์แนะนำตัวไปถวายแก่ King George VI ช่างหยิ่ง ยะโส โอหังอย่างไม่มีอะไรปานเปรียบ..และแทนที่จะถวายพระพร ด้วยคำว่า
long live the king เจือกพุ่งแขน ตบเท้าปัง แหกปากตะโกนว่า "ไฮล์ ฮิตเล่อร์"
เล่นเอาคนอังกฤษเหม็นหน้า และ หยามเหยียดในทุกโอกาสที่จะอำนวย
จนนายริบเบนทรอปแทบกระอักเลือดไปเหมือนกัน เขาผูกใจเจ็บมาก
หวังเสมอว่าสักวันหนึ่ง เขาจะให้คนทั้งเกาะอังกฤษรวมไปถึงพระราชวงค์ทั้งหมด ทำ Nazi salute และ ใช้ " Heil Hitler" เป็นคำทักทายแทน
เขาได้พยายามทุกอย่างในการป้อนข้อมูลเกี่ยวกับทัพอากาศของอังกฤษว่า ไม่มีน้ำยา อ่อนแอ ตีแตกได้ในไม่กี่วัน..
แล้วถ้าไม่เชื่อ รมต.ต่างประเทศ ที่เคยเป็นทูตอยู่แล้วจะให้ไปเชื่อใครที่ไหน ใช่ป่ะ?
ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นๆ..
ในวันที่ 10 พฤษภาคม นั่น
เขาได้พยายามบอกกับท่านผู้นำว่า..
"อย่าหยุด ส่งไปถล่มอีก เป้าหมายเอาเป็น ลอนดอนและ ลอนดอนอย่างเดียวเลยนะ.."

แต่..ฮิตเล่อร์ก็ได้หมดหวังและถอนใจจากอังกฤษไปซะแล้ว..!!
ทั้งหมดนี่ เป็นเพราะความแค้นส่วนตัวของคนเพียงคนเดียว ซึ่งที่จริงแล้ว..อย่างที่คุณเมฯพูด ฮิตเล่อร์น่าจะตี
รัสเซียก่อน ให้รวมตัวเบ็ดเสร็จเป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน
จากนั้นค่อยคิดอ่าน หาทางทีหลังแบบค่อยเป็นค่อยไป
การครองโลก ก็คงไม่ไกลเกินฝัน !!

(ความเห็นจากแฟนอีกคนหนึ่งค่ะ)

>>>หืมมมมมม

ตีรัสเซียก่อนไม่โดนอังกฤษแทงข้างหลังเอาเละเทะเหรอครับ ก็อย่างที่ป้าเล่า เกาะอังกฤษเตรียมพร้อมตั้งกะไก่โห่ ไหนจะมีอเมริกาหนุนหลังอีก
ซ้ำร้ายยังประกาศสงครามไปแล้วด้วยนะครับ

แต่กะรัสเซียของสตาลินนี่มีสัญญาต่างคนต่างอยู่ค้ำคอเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วยนะครับ ผิดก็คงผิดที่ไม่ดึงพวกซามูไรไปร่วมขบวนด้วยนี่แหละครับ
แต่ถึงมาร่วมจริงๆญี่ปุ่นจะมาเร้อ.... ช่วยบุกก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่ให้ญี่ปุ่นบุกไซบีเรียนี่รัฐบาลทหารของญี่ปุ่นก็คงส่ายหน้าดิกๆ เช่นกัน
บุกไป 200 กิโลจะเจอบ้านซักกี่หลังกันเชียว กว่าจะไปบรรจบกะพวกนาซีนี่ไม่อยากนึกครับ

แค่ความเห็นเล็กๆนะครับ ผมว่าฮิตเลอร์บุกอังกฤษก่อนก็ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ยอมปิดเกมส์นี่แหละ แต่ก็อย่างว่านะครับ เอาสิบโทมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็ลงเอยแบบเนี้ย

ขนาดบ้านเราเอาขงเบ้งบัญชาการ ยังไม่ชนะเลย ล่าสุดก็สั่งย้ายคนที่ประชาชนสนับสนุนกันทั้งเมืองอีก (วกมาแขวะเค้าได้ไงเนี่ย)

จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง

การประกาศสงครามไม่ได้หมายความว่าต้องมีการสู้รบกันจริงๆเสมอไปนี่ครับ ตราบใดที่หากประเมินกำลังทางทหารแล้วมองว่ายังไม่พร้อมที่จะสู้

ดูอย่าง Phoney War นั่นปะไร ประกาศกันตั้งนมนานแต่ไม่ได้สาดกระสุนใส่กันซักทีทั้งๆที่เยอรมันตั้งแนวซิกฟรีดยาวเหยียดเพราะว่าต่างฝ่ายยังคิดว่าไม่พร้อมจะสู้

ในตอนนั้นผมมองว่าสถานการณ์ของกองทัพอังกฤษหลังจากการหนีหัวซุกหัวซุนที่ดันเคิร์กแล้ว หากเยอรมันไปตีรัสเซียตอนนั้นอังกฤษไม่อาจหาญยกพลขึ้นบก
ไปรบเยอรมันหรอกครับ

ไหนจะเสียอาวุธให้กับทางเยอรมันมากมายที่ดันเคิร์กแล้ว

การตั้งตัวเป็นฝ่ายจู่โจมยังต้องทุ่มกำลังทหารมากกว่าฝ่ายตั้งรับหลายเท่านะครับ ซึ่งทั้งดูจากกำลังอาวุธของอังกฤษ และขวัญกำลังใจ
ตอนนั้นอังกฤษไม่อาจหาญยกพลขึ้นบกที่แผ่นดินใหญ่ยุโรปแน่นอนครับ ดูจากคราวที่พันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีสิครับ
เฉพาะหาดเดียวต้องทุ่มกำลังพลไปล้านครึ่ง ไหนจะทัพเรือทัพอากาศอีก

ซึ่งสภาพทางทหารของเยอรมันหลังจากสมรภูมิดันเคิร์กแล้ว เรียกว่า อยู่ ณ จุดสูงสุด ในขณะที่ฝ่ายอังกฤษหัวเดียวกระเทียมลีบ เพิ่งแพ้มาเสียอาวุธมากมาย

ปี 1941 ทั้งปี อังกฤษไม่มีปัญญายกพลขึ้นบกที่ยุโรปแน่นอนครับผม

ถ้าหากทางฮิตเลอร์ดำเนินนโยบายทางการฑูตดีๆ ก็อาจจะมี Phoney War รอบสอง หรือเผลอๆถ้าโชคดีก็ได้ทำภาคี ต่างคนต่างอยู่กับอังกฤษ แล้วไปมุ่งตีรัสเซียดีกว่า

ที่สำคัญ ตอนนั้นเยอรมันกับอเมริกายังไม่ประกาศสงครามกันนะครับ

อีกประการ

ญี่ปุ่นอยากตีรัสเซียครับ อยากตีมากๆพอๆกับการรุกรานเอเชียบูรพาด้วย คอนเฟิร์มฮับ

เพราะหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นก่อตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดที่แมนจูกัวโดยมี อั้ยซิง เจี่ยวหรอ ฟู้อี้ (จาเรียกงี้อ่ะ ครายจาทำไม) เป็นจักรพรรดิ ทางฝ่ายเสนาธิการญี่ปุ่น ก็เกิดตั้งกระทู้ถกกันว่า
จะเริ่มสงครามแผ่ขยายอาณาจักรต่อไปยังไง ฝ่ายหนึ่งก็บอกให้บุกรัสเซียก่อนเพราะรัสเซียอ่อนแอหลังจากการกวาดล้างคนรัสเซียด้วยกันของสตาลิน
อีกฝ่ายก็บอกให้ให้ตีเอเชียบูรพา

ตอนนั้นฮิโรฮิโตตัดสินใจให้ตีรัสเซียก่อนครับ โดยเปิดสมรภูมิชิมลางที่ลุ่มแม่น้ำคาลคินกอลซึ่งเป็นพรมแดนแบ่งเขตแคว้นมองโกลเลียนอกกับมองโกลเลียในเมื่อปี 1939

ตอนแรกญี่ปุ่นก็ทำท่าชนะครับ แต่พอเจอยอดขุนศึกซูคอฟจอมอหังการ์ฟัดกองทัพประจำมณฑลกวางตุ้งของญี่ปุ่นจนยับเยิน เอาจนถึงขนาดที่ว่าหน่วยกองพันที่ ๒๓
ของญี่ปุ่นมีสัดส่วนการสูญเสียถึง 99%

เล่นเอาฮิโรฮิโตเบือนหน้าหนีการตีเหนือ ทั้งๆที่ว่านายพลประจำกองทัพในจีนขอแก้หน้าด้วยการรบอีกครั้ง ฮิโรฮิโตก็ไม่ยอม

ส่วนนายพล มัตซึบารา ผู้บัญชาการกองพันที่ ๒๓ ของญี่ปุ่น ต้องขอเรียกเกียรติยศคืนด้วยการฮาราคีรี

และฮิโรฮิโตก็ปลงใจได้ว่า จะทุ่มกำลังส่วนใหญ่ไปที่เอเชียบูรพาครับกระผม

จากคุณ : เมธาวดี -


หวัดดีค่ะป้า
ต้องขออภัยอีกครั้งที่รบกวนถามขัดจังหวะป้านะคะ แต่เผอิญว่าคำถามที่ยกมาถามนี้เป็นคำถามที่เพื่อนของแจนซึ่งได้ยืมหนังเรื่อง Nuremberg
ไปดูแล้วข้องใจ เลยมาถามเจ้าของแผ่น แล้วเผอิญว่าเจ้าของแผ่นตอบไม่ได้เลยเกิดอาการเสียหน้านิดๆ ในที่สุดก็เล็งเห็นป้านี่แหละค่ะที่จะพอเป็นที่พึ่งได้

คำถามแรกเป็นคำถามที่เรียกได้ว่าสร้างความ “เสียหน้า” อย่างยับเยิน เพราะฟังดูเหมือนคำถามหมูๆแต่พอจะอ้าปากตอบแล้วมันไม่หมูเลย
เพราะเพื่อนถามว่า “ทำไมถึงเรียกเยอรมันสมัยนาซีว่า ‘ไรค์ที่3’ วะ“ ครั้นจะตอบไปว่า“ก็มันเป็นไรค์ที่เกิดหลังไรค์ที่1 กะ 2 เด่ะ”
ก็ดูจะขอไปทีเกินไป แถมจำไม่ได้อีกว่า 2 ไรค์ก่อนหน้านี้มันไรค์อะไร (แต่รู้สึกว่าเป็นโรมันกับสมัยบิสมาร์กใช่มั้ย?คะ) ดังนั้นจึงขอความกรุณาช่วยอธิบาย
ความหมายของ “ไรค์” ให้กระจ่างหน่อยนะคะ

คำถามที่ 2 ถามว่า (ไม่ใช่เกมเศรษฐีมหาชนนะ..) การแบ่งพิจารณาคดีระหว่างโซเวียตกะแก๊งสหรัฐ (ขอภัยที่ต้องใช้คำนี้ ไม่สุภาพแต่ตอนถามมันถามเช่นนี้จริงๆ)
มันแบ่งกันอย่างไร? - อันนี้เจ้าของแผ่นก็ตอบไปตามเนื้อเรื่องว่า “แบ่งกันเท่าที่ได้” ซึ่งตัวเองก็งงเหมือนกันว่าตกลงแก๊งสหรัฐตัดสินชั้นหัวหน้า
ส่วนโซเวียตตัดสินปลายแถวหรืออย่างไร?

คำถามที่ 3 ถามว่า (อันนี้ถามนอกแผ่น) เป็นทำนองว่าถ้าพวกโซเวียตได้ตัดสินนาซีปลายแถวแล้วทำไมสหรัฐถึงเอาตัวพวก SS พวก Gestapo เก่ามาทำงานด้วย
ได้ในภายหลัง? ซึ่งก็ตอบไปแบบงูๆปลาๆเช่นเดิมว่าอาจจะได้ตัวมาก่อนถูกจับก็ได้ (???-ขอไปทีมากเลย)

ส่วนคำถามเกี่ยวกับชีวประวัติอื่นๆนั้นจัดการเองด้วยความมั่นใจ ไม่เสียชื่อเป็นลูกศิษย์ป้า (เหอๆ เป็นตอนไหนฟะ) เรียบร้อยหมดแล้วค่ะ…..

ขอบคุณค่ะ

ปล.ขอถามเองอีก 1 คำถาม ไอ้หนังสือเล่มเหลืองๆที่ป้าเคยเอามาถ่ายรูปให้ดูที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Heinrich Himmler นั้นนอกจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวประวัติแล้ว
ข้างในมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ?













จากคุณ : ผู้ อปฺปญฺญา (เสียวเกี้ยว) - [ 3 พ.ค. 47 01:09:34 ]






ความคิดเห็นที่ 74

จ๊ากกกก.......ก รูปข้างบนนี้ห้ามเอามาโพสต์ เห็นแล้วเจ็บใจ ฮือๆๆ เราไม่ยอมแพ้ง่ะ




อุจจาระศักสิทธิ์ (holy shit !)





ขี้แพ้ชวนตี.........

จากคุณ : พีรนัทธ์ ว่าที่ด๊อก (เตอร์) - [ 3 พ.ค. 47 02:01:15 A:203.170.129.49 X: ]






ความคิดเห็นที่ 75

ยัยหนูแจน..หารูปอะไรมาก็ได้สารพัด แต่ไม่ยักหาอ่านเรื่องที่น่าจะเป็นความรู้นะยะ เดี๋ยวตีตาย
มะนี่..ป้าจะเล่าให้ฟัง..
The 1st. Reich นะ หมายถึงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งโรมัน หรือที่เรียกว่า Roman Empire ตั้งแต่ครั้งอยู่ในความปกครองของพระเจ้า
Charlemagne (Charles the Great) อ่านว่า ชาร์ลมาญ หรือ พระเจ้าชาร์ลมหาราช (ประสูติ ค.ศ. 742)
และด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ ยุโรปสามารถรวมตัวได้อย่างเป็นปึกแผ่น เพราะ ทรงเป็นทั้งนักรบ และ คริสต์ชนที่เคร่งครัดในศาสนา
พระองค์และพระอนุชา พระเจ้า คาร์โลมัน ได้ขยายแสนยานุภาพเข้าจัดระบบถึงในฝรั่งเศสซึ่งยังอยู่ในยุคเถื่อน ไม่รู้หนังสือ ไม่มีศาสนา
(ในยุคนั้น ชาวเมดิเตอเรเนียนเรียกพวกตะวันตกเช่นฝรั่งเศส อังกฤษ ว่า Frank อันเป็นที่มาของภาษาไทยที่เรียกว่า ฝรั่ง)
ซึ่งนับว่าไม่ง่ายนัก แต่พระองค์ไม่ได้ทรงลดละ ตราบจนถึง 30 ปีแห่งความพยายาม (ค.ศ. 800) ยุโรปก็อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์อย่างเด็ดขาด
(Germany, Austria, Eslovenia, Switzerland, Belgium, Netherlands,
Belgium, Czech Republic, eastern France, Northern Italy and western Poland)
และได้รับการสวมมงกุฏทองคำจากพระสังฆราช Leo lll ในพระวิหาร St. Peter อันศักดิ์สิทธิ ณ.กรุงโรม ในวันคริสต์มาสแบบเซอร์ไพรส์
เพราะพระองค์มิได้ทรงรู้มาก่อน ว่าจะได้รับการสถาปนา (ให้เป็น Christian King) ในวันนั้นด้วย
(เชื่อเหอะ..ว่าทรงทราบมาก่อน ไม่งั้นใครจะกล้า)
ข้อมูลปลีกย่อยเกี่ยวกับพระองค์นั้นว่าไว้ว่า..ไม่โปรดการมหรสพใดๆ โปรดการอ่านหนังสือ การพูดคุยกับปราชญ์ และ ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์
ให้เป็นกองทุนแก่ชาวไร่ชาวนา รวมไปถึงการศึกษาและการศาสนา
อาณาจักรแห่งความยิ่งยงนี้ได้ยืนยาวมาถึงศตวรรษที่ 19...ซึ่งต่อเนื่องมาถึง The Second Reich หรือที่รู้จักกันในนามของ อาณาจักรเยอรมัน
(The German Empire) ที่ปกครองโดยไกเซอร์แห่งราชวงค์ Hohenzollern ซึ่งมีการรบทัพจับศึกมากมายกับประเทศต่างๆในปกครองที่ต้องการ
ความเป็นอิสระ รวมไปถึงการรบพุ่งกับฝรั่งเศสใน Franco-Prussian war โดยมี บุรุษเหล็ก Otto von Bismarck ได้ทำการบัญชาการรบจนได้รับชัยชนะ
และ เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น the new empire’s first imperial Chancellor.

จากคุณ : WIWANDA - [ 3 พ.ค. 47 10:49:16 ]






ความคิดเห็นที่ 76

และด้วยความสามารถของบิสมาร์ค เยอรมันภายใต้การนำของเขาได้รุ่งเรืองในด้านการอุตสาหกรรมอย่างมากมาย ในปี 1871-1875 เยอรมันได้รับการยกย่อง
ว่าเป็นประเทศที่มีระบบการรถไฟที่ดีที่สุดในโลก การส่งออกได้เพิ่มขึ้นถึง 250%
เพราะต่อสู้รบพุ่งในอดีตที่เคยมีมา..บิสมาร์คก็เกรงนักหนาถึงศึกทั้งซ้ายและขวาอันอาจเกิดขึ้นได้ หรือเรียกว่าศึกสองด้าน..เขาจึงผูกมิตรกับรัสเซียและ
ออสเตรีย-ฮังการี เพื่อเป็นการตีกันไว้ไม่ให้ไปเข้าร่วมกับฝรั่งเศส ศัตรูถาวร แต่..เรื่องที่จะเอา ออสเตรีย-ฮังการี มาผูกข้อมือกับรัสเซียนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง
เพราะปัญหาเรื่องดินแดนในบอลข่าน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือแตกคอกันในที่สุด
ในปี 1879 บิสมาร์คจึงจัดรูปสัมพันธมิตรใหม่ เป็นไตรภาคีกับ..อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี
ต่อมา..เมื่อการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเกิดขึ้น ไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่สอง ขึ้นครองราช..พระองค์ทรงเหม็นเบื่อที่เห็นบิสมาร์คคอยบงการสั่งงานใช้พระบิดา
(พระเจ้า Wilhelm ที่หนึ่ง) ราวกับเป็นหุ่นกระบอก..มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์
เมื่อโอกาสมาถึง พระองค์ก็เลยทรงบีบคั้นให้
บิสมาร์ค ลาออกจากตำแหน่งในปี 1890
จากนั้นก็เข้าสู่ยุคของรัฐบาลไวมาร์ และ..การเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..
สาเหตุคืออะไรนั้น..กลับไปอ่านเอาใหม่ ตั้งแต่ภาคแรกที่เขียนนะ..!!

จากคุณ : WIWANDA - [ 3 พ.ค. 47 10:51:33 ]






ความคิดเห็นที่ 77

เรื่องของนูเรมเบอร์ค..อัยการโจทก์นั้นมาจากสี่ประเทศ คือ อเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ โซเวียต โดยตั้งชื่อเป็นกลุ่มว่า International Military
Tribunal หรือ IMT โดยมีหัวหน้าคือ นาย Robert Jackson (อเมริกา) เป็นผู้นำกลุ่ม จำเลย คือ หัวกระทิของนาซี 22 คน
ที่หนูแจนว่าแบ่งไม่ลงตัว..หมายถึง..คณะผู้พิพากษาที่มีเจ็ดคน..อังกฤษ สอง อเมริกา สอง ฝรั่งเศส สอง โซเวียต หนึ่ง..ใช่ใหมคะ
เสียงทั้งหมดต้องเป็นเลขคี่..และเพื่อความยุติธรรม รัสเซีย ที่โดนทารุณกรรมมากที่สุดจะได้ไม่ถือโอกาสแก้แค้นจึงมีเสียงเดียว
ขนาดนี้..ก็ยังมีเสียงว่าไม่ยุติธรรมต่อจำเลย เพราะ ทั้งหมดเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง..ที่ต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเท่านั้น

ส่วนทำไมอเมริกาจึงต้องมีการทำงานกับเกสตาโปและเหล่า SS (กลับใจ) เพราะข้อมูลต่างๆได้ถูกทำลายไปแทบหมดก่อนที่กองทัพจะถึงเบอร์ลิน
นาซีตัวสำคัญหลายตัวได้หลบหนีหายไป เช่น Martin Bormann และ Dr. Josef Mengele, the Angel of Death ซึ่งต้องมีการสืบสวน
โยงใยไปหมด รวมไปถึง การที่นาซีได้รับการรับรองทองคำอุดหนุนค่าเงินมาร์คจากธนาคารในสวิสด้วย..ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นคดีเรียกร้องทรัพย์สินของ
ทายาทชาวยิวที่ตายในค่ายกักกันอยู่ เนื่องจากชาวยิวนั้นเชื่อว่า การเข้าค่ายกักกันนั้นเป็นเพียงชั่วคราว อย่างเลวร้ายที่สุดก็ถูกยึดทรัพย์ และเนรเทศ
ไม่มีใครคิดว่า จะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังว่า เขาจึงนำเงินทองทั้งหมด(ตามคำสั่งของนาซีที่จำกัดจำนวนเงินติดตัว) เข้าไปฝากในธนาคารในสวิส
ที่เชื่อว่า ปลอดภัยที่สุด แต่แล้วก็โอละพ่อ..เงินทองเหล่านั้นได้แปรรูปมาเป็นด๊อยชมาร์คเสียสิ้น
ต่อมาไม่นานมานี้เอง ทายาททั้งหลายรวมตัวกันเรียกร้องขอทรัพย์สินคืน..แต่ธนาคารบอกว่า..ด๊ายย..คืนก็ได้ แต่ต้องไปเอาใบมรณะบัตรมาก่อน..ไหนล่ะ..???
(ก็คนถูกส่งเข้าห้องแก๊ส..จะไปเอาใบมรณะบัตรมาจากหนายฟะ??)
นี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องภายในนาซีที่ฝ่ายสพม.ต้องชำระสะสาง รวมไปถึงสถานที่สร้างอาวุธ V1 V2 อีก







 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:31:46 น.  

 



อ้อ..เพ้อเจ้อมาเรื่อย ลืมคำถามไปเลยว่า
"ไรค์" นั้นหมายถึง ดินแดนแคว้นเยอรมัน หรือ เรียกว่า German State
ไม่ใช่หมายถึงประเทศเยอรมันในปัจจุบันนี้
แต่หมายถึง..ความเป็นปึกแผ่นของอาณาจักรแห่งเยอรมันในกาลก่อน
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเรียกไทยว่า..สุวรรณภูมิที่หนึ่ง
คงคิดภาพออกว่าเราต้องหมายถึงดินแดนแต่ก่อนที่ไทยมียาวไปจนถึงแหลมมลายู ใช่ป่ะ..
แล้วถ้าจะตั้งว่า สุวรรณภูมิที่สอง
แต่ประเทศหดจุนกู๋ เหลือแค่สุไหงโกลก มันจะไปเข้าท่าอะไร..
นี่คือเหตุผลที่ฮิตเล่อร์ได้ขยายวงให้กว้างออกไปให้เต็มทวีป เพื่อ เดอะไรค์ที่สามจะได้ยิ่งยงไปจนนับพันปี..
เด่นดังกว่า ครั้งที่หนึ่งและที่สองรวมกัน..

เพิ่งรู้ตัวนะว่า..เรื่องนี้เขียนเล่นๆไม่ได้ พลิกตำรากันจ้าละหวั่นเลยเหมือนกัน เพราะเกรงว่าจะสะดุดข้ามไปมา
ขนาดทำพล๊อตที่จะเขียนแล้วนะ..ยังยากเอาการ
นี่กะว่าจะไปขอโทษคุณสื่อศิลปเค้าซะหน่อย ที่เมื่อก่อนไปเร่งเขาจัง..บ่นเป็นหมีกินผึ้งเวลาที่เขียนช้า..
ตอนนี้เข้าใจแล๊ะ..
และ..ต้องเขียนเรื่องอื่นๆด้วย เลยต้องสลับลิ้นชักในสมองไปมา..(แบบนโปเลียนท่านเคยทำได้.. 55555)

เรื่องหนังสือ Himmler ที่ยัยหนูแจนถามถึงนั่น คือชีวประวัติการทำงาน และชีวิตส่วนตัวของเขาแหละ..ค่อนข้างละเอียดมาก
อ่านแล้ว..ไม่ค่อยซาบซึ้งเท่าไหร่ หรือจะอคติก็ไม่รู้
แต่อ่านของ รอมเมล
แล้ว..น้ำตาไหลทุกที..น่าสงสารมากกก..คิดดูซิว่า..ในวาระสุดท้ายที่เขาจะเอาตัวไป..เดินขึ้นไปลาเมียบนบ้าน
บอกว่า จากนี้ไปครึ่งชั่วโมง..คุณจะได้รับโทรศัพท์ว่า..ผมตายแล้ว..!!



 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:36:25 น.  

 



สำหรับคนที่สนใจ..หนังสือเรื่องราวของวีรบุรุษรอมเมล ต้องนี่เลย..

Knight's Cross : A Life of Field Marshal Erwin Rommel

Attacks: ROMMEL by Erwin Rommel,

Rommel: Desert Fox
by Desmond Young (Author)

Rommel and His Art of War (Greenhill Military Paperbacks.)
by Erwin Rommel, John Pimlott (Editor)

The Rommel Papers (Da Capo Paperback)
by Erwin Rommel

ทั้งห้าเล่มนี้ถือว่าเป็นเบญจภาคีทีเดียวเจียว..

 

โดย: WIWANDA 26 มีนาคม 2548 3:38:18 น.  

 

ตามมาอ่านครับ อัพแต่เช้าเลยน๊าคุนป้าวิ :)
อ่านแล้วผมเชียร์เยอรมันแฮะ - -''

 

โดย: นายFee 26 มีนาคม 2548 19:40:13 น.  

 

สุดยอดแห่งเหตุผลของการรุกรานนั่นคือการรวบ รวมมมมม

 

โดย: แอ็ท IP: 61.19.95.125 14 มิถุนายน 2549 15:47:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]