|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
หนึ่งตะวันกลางใจ ตอนที่ 5 (โลกกลม)
ตอนที่ 5
โลกกลม
เมื่อออกจากโรงแรมแต่เช้าพฤฒิไม่ได้ไปที่บ้านเดิมแต่ตรงไปหาเพื่อนสมัยเรียนปวช. ช่างยนต์ด้วยกันก่อนที่เขาจะผันไปเรียนปริญญาตรีทางด้านบริหารธุรกิจ ขณะที่สาธิตและเพื่อนๆ คนอื่นๆ ของเขาเรียนในสายช่างต่อ จนขณะนี้สาธิตเรียนปริญญาโทวิศวกรรมต่อที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
ต้องขอบคุณโซเชียลเน็ตเวิร์คการสื่อสารในยุคนี้ทำให้เขาและเพื่อนๆ ยังคงคบหากันได้จนถึงปัจจุบันทั้งที่โอกาสพบหน้าค่าตากันช่างน้อยนิดเหลือเกิน
“ไงวะ ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งหลายปี ไม่เห็นจะขาวขึ้นเลย ดำเหมือนเดิม” สาธิตทักเป็นประโยคแรกเมื่อพบเพื่อนที่ร้านกาแฟในมหาวิทยาลัยเวลาเก้านาฬิกาตามนัดหมาย
“ถ้าข้าดำ เอ็งก็ถ่านแล้ว” พฤฒิสวนกลับทันควันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะผิวของเขาคล้ำเล็กน้อยขณะที่อีกฝ่ายเข้มกว่ามาก
“โห...ย้อนนะเอ็ง ว่าแต่นัดทำไมแต่เช้าวะ ไม่รอค่ำๆ จะได้ยกโขยงมาตั้งวงกันได้”
“นัดยังไงเห็นมีแต่เอ็งที่ว่างอยู่กรุงเทพฯ คนอื่นอยู่โรงงานต่างจังหวัดกันหมด” เพื่อนในรุ่นเดียวกับเขาส่วนใหญ่จะทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมตามโรงงานต่างจังหวัด และเป็นระดับหัวหน้าคุมคนงานกันแล้ว
“เฮ้ย ไม่ได้ว่าง มาเรียนต่อ ทุนบริษัทด้วย ส่วนไอ้พวกนั้นวันหยุดก็แห่กันเข้ามาในกทม. ทั้งนั้น บ้านพวกมันยังอยู่ที่นี่นะโว้ย แล้วนี่ใจคอจะแค่กลับมาเที่ยว ไม่กลับมาทำงานที่นี่ล่ะกิจการบ้านตัวเองไม่รู้จักดูแล ถึงเต็นท์รถกับอู่จะรายได้ดี แต่พวกช่าง พวกลูกน้องดีๆ นี่หายากนะเว้ย” เป็นที่รู้กันว่าตลาดแรงงานด้านนี้กำลังขาดแคลนอย่างยิ่ง “แล้วพวกเจ๋งๆ ก็เอาเรื่องอยู่ มืออ่อนๆ อย่างภาคินจะคุมไม่อยู่เอา”
“เขาทำกับแม่เขามาตั้งสี่ปี ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่”
“นั่นไม่ใช่เพราะลุงบุญช่วยดูแลให้อยู่หรอกเหรอ” สาธิตเอ่ยถึงนายช่างใหญ่ประจำอู่ซ่อมรถของบ้านพฤฒิ ซึ่งเขารู้จักเพราะสมัยเรียนก็ได้อู่ของบ้านเพื่อนเป็นที่ฝึกงาน จึงรู้นอกรู้ในครอบครัวนี้ดี “ลุงแกแก่มากแล้ว ภาคินก็เพิ่งจบ เอ็งก็น่าจะกลับไปช่วยดูๆ มั่ง”
“จริงๆ ก็คิดว่าจะแวะไปดูอยู่เหมือนกัน แต่กลัวคุณอาจะนึกว่าไปก่อกวน” พฤฒิหมายถึงแม่เลี้ยงของตน
“เฮ้ย แกยังไม่กลับบ้านอีกเหรอวะ”
“เพิ่งมาถึงเมืองไทยเมื่อวานเอง”
“เออ ก็นั่นแหละ นี่นอนโรงแรมหรอกเหรอ นึกว่ากลับไปนอนบ้าน”
“มากับเจ้านายจู่ๆ จะกลับไปนอนบ้านได้ยังไง”
“นี่อย่าบอกนะว่าที่บ้านไม่รู้ว่าเอ็งกลับมาเมืองไทย” สาธิตเดาได้อย่างแม่นยำ เมื่อเห็นเพื่อนพยักหน้าให้อย่างไม่มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจจึงพูดต่อ “สบายใจไปหรือเปล่านั่นก็บ้านเอ็งนะ เต็นท์รถกับอู่ก็เป็นของเอ็งตั้งครึ่งถึงจะให้แม่เลี้ยงกับน้องดูแลก็เถอะ น่าจะไปดูให้มันบ่อยๆ หน่อย ลงมือทำด้วยเลยจะดีมาก”
“บ่นอะไรนักหนา ยังไงตอนนี้ทางนู้นก็คงรู้หมดแล้วว่าฉันกลับมา เพราะเมื่อวานไปเจอเด็กข้างบ้านเข้าโดยบังเอิญ”
“ถ้าเขารู้แล้วยิ่งต้องไป ไม่งั้นจะว่าแกหงอไม่กล้าแม้แต่จะกลับบ้านตัวเองได้นะเว้ย”
“พอเหอะ จะแวะไปไม่วันนี้พรุ่งนี้แหละ มาถึงก็พูดๆๆ หิวน้ำหรือเปล่า จะกินอะไรก็สั่งเลย ข้าเลี้ยงเอง”
“เฮ้ย ไม่ต้องๆ ข้าเสียอีกที่ต้องเลี้ยง นานๆ เอ็งจะกลับเมืองไทยสักที ว่าแต่เอ็งรู้จักใครที่นี่หรือเปล่า”
“ไม่นี่” พฤฒิขมวดคิ้ว “ถามทำไม”
“ผู้ชายที่นั่งตรงนั้น เห็นหันมามองหลายรอบแล้ว คุ้นๆ ว่าเป็นอาจารย์ที่นี่ว่ะ” สาธิตพยายามเพ่ง แต่ก็ยังแค่คุ้นหน้าเท่านั้น และค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่คนละมุมของร้านไม่ได้รู้จักเขาแน่
พฤฒิหันไปมองตามสายตาเพื่อน พบว่าคนที่สาธิตพูดถึงเป็นคนที่เขารู้จักจริงๆ
“คนรู้จักจริงๆ ด้วยว่ะ ข้าไปทักเขาก่อนก็แล้วกัน” พฤฒิหันไปบอกเพื่อน แล้วลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะของคนที่เขาไม่คาดว่าจะมาพบกันที่นี่
“สวัสดีครับ คุณปุริม” พฤฒิยิ้มแย้มทักทายอีกฝ่าย
“คุณพฤฒิ เป็นคุณจริงๆ เสียด้วย นึกว่าผมจำคนผิดเสียอีก นั่งก่อนสิครับ” ปุริมเชื้อเชิญ
“สบายดีไหมครับ ผมลืมเสียสนิทว่าคุณก็สอนอยู่มหาวิทยาลัยที่นี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” พฤฒินั่งตามคำเชิญ เขาไม่คิดว่าจะมาเจอพี่ชายคนโตของปัญจพาณ์คนรักของฮิเดกิที่นี่
“สบายดีครับ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ผมไปญี่ปุ่นเมื่อปีก่อน ก็เห็นแต่ฮิเดกิแวะมาไทย ไม่เห็นคุณจะเคยมาด้วยเลยนี่”
“ปกติต้องคอยประสานงานที่นั่นตอนคุณฮิเดกิมาที่นี่ แต่คราวนี้นายท่านให้ผมมาช่วยดูแล เอ่อ...คุณหนูมิโยโกะครับ” ประโยคคำพูดของชายหนุ่มสะดุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยชื่อเด็กสาวชายญี่ปุ่นออกมา แต่ปุริมไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“ได้ยินยัยปั้นบอกอยู่เหมือนกันว่าคุณหนูจอมเฮี้ยวมาด้วย จริงสิ เมื่อเช้าปั้นบอกจะพาพวกคุณเที่ยวนี่ แล้วนี่คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่ได้ไปกับเจ้านายคุณหรอกเหรอ”
“นายท่านเกิดเปลี่ยนใจ อยากให้ผมกลับมาเยี่ยมบ้านมากกว่าน่ะครับ” ตอนนี้พฤฒิไม่ได้ยิ้มอีกต่อไป สีหน้าติดจะเคร่งเครียดเล็กน้อย ทำให้ปุริมแปลกใจและเริ่มเดาเหตุการณ์
“ไปทำอีท่าไหนให้เจ้านายเหม็นหน้าเขาหรือไงครับ” ปุริมสังเกตเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายกระตุกเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตีสีหน้าเรียบเฉย ทำให้คิดว่าสิ่งที่เขาพูดถึงไม่ใช่ก็คงใกล้เคียง “สรุปว่าคุณฟรีอยู่สินะ เย็นนี้ที่บ้านผมจัดงานวันเกิดให้คุณพ่อ คุณก็ไปด้วยกันสิ”
“จะดีเหรอครับ ผมคิดว่า...”
“หรือคุณมีนัดที่ไหนล่ะ”
“ไม่มีครับ แต่ว่า...”
“อย่าปฏิเสธเลยครับ ถือว่าเลี้ยงขอบคุณที่คุณอำนวยความสะดวกตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งก่อน” เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสปฏิเสธ ปุริมฉวยโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ที่บ้านทันที “แม่ครับ เย็นนี้ผมพาเพื่อนไปด้วยคนนึงนะครับ ได้นะครับ...” ปุริมสนทนากับมารดาต่ออีกครู่หนึ่งจึงวางสาย
“มัดมือชกกันเลยนะครับคุณปุริม” พฤฒิยิ้มขำ แม้จะไม่สบายใจเพราะรู้ว่างานเลี้ยงนี้ต้องเจอกับฮิเดกิและมิโยโกะแน่นอน
“ยังไงคุณก็ว่างอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ผมมีสอนถึงบ่ายสามกว่าจะกลับ ไว้เราค่อยนัดเจอกันอีกทีก็แล้วกัน ให้คุณไปเองคงไปบ้านผมไม่ถูก”
“ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือมาครับ” เขารู้ตัวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าโทรศัพท์ของตนอยู่ที่มิโยโกะ แต่ไม่ยังไม่อยากพบเธอในเวลานั้น จึงใช้โทรศัพท์ที่โรงแรมนัดหมายสาธิตแทน ไม่คิดว่าจะมีเหตุให้ต้องใช้โทรศัพท์อีก
“งั้นบ่ายสามนัดเจอกันที่นี่เป็นไง”
“โอเคครับ ว่าไงว่าตามกัน” พฤฒิถอนหายใจ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจจึงตอบตกลงไปร่วมงานเลี้ยงด้วย แม้จะไม่สบายใจที่จะต้องไปพบเจ้านายในงานก็ตาม
ส่วนปุริมลอบยิ้ม รู้ดีว่ากำลังสร้างความอึดอัดให้อีกฝ่าย แต่เขานึกสนุกอยากรู้ว่าเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้ที่แท้มีเรื่องกันจริงหรือไม่ แล้วจะหาวิธีไหนรู้ได้ดีไปกว่าจับทั้งคู่เผชิญหน้ากันอีกเล่า
เวลาประมาณสิบห้านาฬิกาสามสิบนาที ปุริมก็พาพฤฒิมายังบ้านพักสองชั้นเนื้อที่กว่าสองร้อยตารางวาอันเป็นที่พักของเขาและครอบครัว ในตอนนั้นยังไม่มีใครกลับมาทำให้สิ่งที่พฤฒิวางแผนไว้มีเพียงเขาเป็นผู้ช่วย
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงจึงมีคนกลับมา
“นี่อะไรกันจ๊ะเนี่ย” อรอนงค์มารดาของปุริมซึ่งหอบของสดกลับบ้านเพื่อจัดงานเลี้ยงสอบถามเมื่อเห็นสนามหน้าบ้านถูกเนรมิตอย่างสวยงาม โต๊ะพับวงกลมตัวใหญ่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับงานนี้ถูกกางออกทั้งสามตัว ปูทับด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาว โดยมีผ้าพลาสติกลายฉลุสีเขียวอ่อนปูด้านบนอีกชั้นนอกจากเพื่อความสวยงาม ยังง่ายต่อการทำความสะอาดอีกด้วย
แต่ที่ดึงดูดความสนใจของอรอนงค์มากที่สุดคงไม่แคล้วเป็นดอกไม้ในแจกันซึ่งถูกจัดช่อในโทนขาวเขียวดูสดชื่นมีชีวิตชีวา
ปุริมซึ่งกำลังจัดการตั้งเตาบาบีคิวกับพฤฒิเงยหน้าขึ้นจากงานทักทายมารดา
“กลับมาแล้วเหรอครับแม่ นี่ไม่ใช่ไอเดียของผมนะครับ ยกความดีความชอบให้คุณพฤฒิเขาได้เลย”
“สวัสดีครับคุณอรอนงค์” พฤฒิยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า “ผมได้ยินว่าจัดงานเลี้ยงกันง่ายๆ ไม่ได้ตกแต่งสถานที่ ผมไม่รู้จะหาของขวัญอะไรให้คุณประสิทธิ์ดี เลยอยากลงแรงช่วยจัดสถานที่น่ะครับ”
“สวัสดีจ้ะ งานเลี้ยงบ้านน้าแท้ๆ ไม่น่าให้คุณต้องลำบาก”
“นั่นสิครับ บาบีคิว ตั้งเตาหน้าบ้าน กางโต๊ะสองสามตัวก็เรียบร้อยแล้วแท้ๆ” ปุริมส่ายหน้า ตอนที่เขาเห็นของพวกนี้ที่ร้านกาแฟถึงกับอึ้ง คิดไม่ถึงว่าที่พฤฒิเตรียมดอกไม้สดมาเยอะขนาดนี้
สองหนุ่มละมือจากงานมาช่วยคุณอรอนงค์ถือของเข้าครัว และปุริมก็ถือโอกาสนี้แนะนำพฤฒิให้มารดารู้จัก
“คนนี้คุณพฤฒิครับแม่ เคยช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมกับยัยปั้นตอนไปญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว”
“อ๋อ คนนี้ที่ว่าเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของฮิเดกิสินะ เก่งจริง ไปทำงานถึงนู่นคนเดียว”
“เพราะคุณฮิเดกิให้โอกาสมากกว่าครับ”
เมื่อทั้งหมดเข้ามาในห้องครัว คุณอรอนงค์ก็สังเกตเห็นดอกไม้หลายกำซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่จัดอยู่ในแจกันด้านนอกอยู่บนโต๊ะกลางครัว พร้อมแจกันที่จัดแล้วแต่ไม่ได้จัดเป็นช่อน่ารักแบบข้างนอก หากแต่เป็นแบบอิเคบานะในแจกันทรงเตี้ย ซึ่งลูกสาวเคยจัดประดับบ้านบ้างเป็นบางครั้ง
“สวยจริง นี่จัดเองหรือจ๊ะเรียนด้านนี้มาหรือไง” อรอนงค์มองแจกันดอกไม้อย่างชอบใจ
“เรียกว่าครูพักลักจำดีกว่าครับ คุณท่านโอคิสะคุณย่าของนายท่านน่ะครับ มักให้ผมไปช่วยงานสอนพวกนี้ ก็เลยได้เรียนรู้มาบ้าง เป็นศิลปะที่ช่วยให้รู้สึกสงบ และจิตใจเบิกบานไปพร้อมๆ กัน มีโอกาสลองให้นายท่าจัดดูสิครับ นายท่านนับเป็นมือหนึ่งสมกับเป็นผู้สืบทอดของคุณท่านโอคิสะทีเดียว” พฤฒิไม่วายโฆษณาเจ้านายตัวเอง
“เหรอจ๊ะ เห็นทีต้องหาโอกาสให้เขาแสดงฝีมือให้น้าดูเสียหน่อย”
“ฮิเดกิเขาเก่งหลายด้านเลยนะครับ ไม่รู้นึกยังไงมาชอบยัยปั้นของเราได้” ปุริมแขวะทั้งฮิเดกิและน้องสาวตัวเองไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว แม้เขาจะรู้สึกว่าปัญจพาณ์น่ารักน่าเอ็นดูกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่นั่นเป็นความลำเอียงของคนในครอบครัว คนระดับฮิเดกิตามปกติน่าจะมองแต่คนระดับเดียวกัน เพราะเหตุนี้ทำให้เขาบวกคะแนนให้ว่าที่น้องเขยชาวญี่ปุ่นคนนี้ในใจ แม้การแสดงออกมักออกไปทางเหน็บแนมมากว่าก็ตาม
“ปั้นน่ารักนะ ใครเห็นก็เอ็นดูทั้งแหละ จริงไหมล่ะคุณ” คุณอรอนงค์เข้าข้างลูกสาวเต็มที่ ทั้งยังหาลูกคู่โดยหันไปพยักพเยิดกับพฤฒิ
“จริงครับ” พฤฒิพยักหน้ารับทันที ปัญจพาณ์เป็นคนอัธยาศัยดี ร่าเริงแจ่มใส จริงใจ ตรงไปตรงมา บุคลิกเช่นนี้เอาชนะใจเจ้านายผู้เคร่งขรึมของเขาได้ไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย ติดตรงที่ฐานะที่ต่างกันมากทำให้คนไพล่คิดไปว่าทั้งสองไม่เหมาะสมกัน
ปุริมสังเกตเห็นมารดายังหมุนแจกันดอกไม้ที่พฤฒิจัดไปมาอย่างชื่นชมจึงอดเสนอความคิดไม่ได้
“ถ้าแม่ชอบเอาออกไปโชว์ข้างนอกเลยดีไหมครับ ใครๆ จะได้เห็นกันทั่วๆ คุณพฤฒิเขาไม่ว่าอะไรหรอก”
“ได้หรือจ๊ะ น้าเห็นไม่ได้เอาออกไปแต่แรกคิดว่าคุณคงอยากไว้ในนี้” คุณอรอนงค์หันไปถามพฤฒิ
“ได้ครับ ที่ไม่ได้เอาออกไปเพราะเห็นไม่เข้ากับบรรยากาศข้างนอกน่ะครับ” พฤฒิและปุริมช่วยกันจัดโต๊ะง่ายๆ สไตล์ตะวันตก การวางดอกไม้ที่จัดแบบอิเคบานะอาจดูผิดที่ผิดทางเกินไป
“เอาไว้ตรงโต๊ะหินหน้าซุ้มกล้วยไม้ก็ได้จ้ะ น่าจะไปด้วยกันได้” ซุ้มกล้วยไม้อยู่ติดรั้วด้านหนึ่ง ไม่ห่างจากลานหน้าบ้านนัก จากจุดนั้นย่อมเห็นแจกันดอกไม้ใบนี้ได้
“ตามใจคุณน้าเถอะครับ” พฤฒิตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากนั้นก็ช่วยคุณอรอนงค์และปุริมจัดเตรียมอาหารในครัวเพื่อใช้ในงานเลี้ยงคืนนี้
ส่วนกลุ่มของมิโยโกะ นอกจากปัญจพาณ์จะพาเด็กสาวและพี่ชายไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในย่านสนามหลวงแล้ว ยังชวนมิโยโกะไปเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นย่านบางลำพูเมื่อเห็นเสื้อผ้าของเด็กสาวชาวญี่ปุ่นไม่เหมาะกับสภาพอากาศในเมืองไทยสักเท่าไหร่
ตกบ่ายมิโยโกะจึงได้เสื้อผ้ามาหลายชุดและจัดแจงเลือกชุดที่จะสวมใส่ในตอนเย็นส่งให้พนักงานโรงแรมไปซักรีดแบบด่วนที่สุด
ปัญจพาณ์รอสองพี่น้องอาบน้ำแต่งตัวใหม่อยู่ที่โรงแรม จากนั้นก็พาพวกเขามาที่บ้านตนเองตอนเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาตรง ซึ่งตอนนั้นคนในครอบครัวของเธอกลับมาเกือบครบแล้ว จะเหลือก็แต่เจ้าของวันเกิดที่มีติดสอนพิเศษให้นักเรียนที่โรงเรียน หญิงสาวจึงพามิโยโกะไปแนะนำตัวกับมารดาก่อน ที่หน้าบ้านในขณะนั้นยังมีพี่ชายทั้งสามของเธอซึ่งก็คือ ปุริม ปฐวี ปัฐน์ ที่ยินดีต้อนรับเด็กสาวอย่างเต็มที่ ส่วนฮิเดกินั้นรู้จักกับครอบครัวของเธอดีอยู่แล้ว
“น่ารักเหมือนตุ๊กตา น่าเอ็นดูขนาดนี้พี่ชายคงหวงเอาการสินะ” คุณอรอนงค์พูดภาษาอังกฤษกับเด็กสาว ซึ่งเธอก็ใช้ภาษานี้ในการสื่อสารกับฮิเดกิเช่นกัน
“พี่ก็หวงน้อง น้องก็หวงพี่ค่ะคุณแม่” ปัญจพาณ์ล้อสองพี่น้อง “ฉะนั้น ถ้าพี่ๆ ของปั้นคิดจะจีบล่ะก็ ยาก!” เธอเน้นคำสุดท้ายโดยหันไปทางพี่ชายทั้งสามซึ่งแต่ละคนก็ออกความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามิโยโกะตัวจริงน่ารักกว่าในภาพถ่าย และภาพที่พวกเขาเห็นผ่านสื่อออนไลน์เสียอีก
“ปั้นเพิ่งกลับมาไปอาบน้ำอาบท่าก็เถอะ เดี๋ยวฮิเดกิกับหนูมิโยโกะ แม่กับพวกพี่ๆ จะช่วยดูแลให้” คุณอรอนงค์ไล่ลูกสาวคนเดียวไปอาบน้ำ ทำให้หญิงสาวต้องถอยจากวงสนทนาไป
มิโยโกะมองไปรอบๆ สวนหน้าบ้านของปัญจพาณ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นในสถานที่ไม่คุ้นตา บ้านหลังนี้มีบรรยากาศร่มรื่นและเนื้อที่กว้างขวางทีเดียวจนเธออดรู้สึกชอบไม่ได้ เมื่อไล่สายตาไปเรื่อยๆ เด็กสาวก็สะดุดตากับแจกันดอกไม้ที่ชุดโต๊ะม้าหินที่อยู่ห่างจากสถานที่จัดงานไม่มาก และเผลอมองอยู่ครู่ใหญ่จนใครๆ สังเกตเห็น
“มีอะไรหรือจ๊ะ หนูมิโยโกะ” คุณอรอนงค์ถามขึ้น
“ใครจัดดอกไม้แจกันนั้นคะ สไตล์เหมือนซากิเลย ไม่ใช่ฝีมืออาอิแน่ๆ” เธอจำฝีมือปัญจพาน์ครั้งล่าสุดที่เห็นได้ ไม่มีทางก้าวหน้าเร็วขนาดนี้แน่นอน อีกทั้งไม่มีทางเลียนแบบพฤฒิที่มักจัดดอกไม้ได้ดูอบอุ่นอ่อนโยน ซึ่งเป็นคนละสไตล์กับคุณย่าและพี่ชายของเธอที่จะเน้นความสง่างาม
“ซากิ? อ๋อหมายถึงคุณพฤฒิใช่ไหม ก็ฝีมือเขานั่นแหละจ้ะ ตอนนี้อยู่ในครัวกับนายปาเขาน่ะ” คุณอรอนงค์ตอบ
“ซากิมาด้วยเหรอครับ” ฮิเดกิถามเสียงขรึม
“ผมเชิญเองแหละครับ” ปุริมตอบ “บังเอิญคุณพฤฒิไปเยี่ยมเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่ผมสอนอยู่ ผมก็เลยชวนมาด้วยกันเสียเลย นี่ก็เลยได้คนมาช่วยจัดสถานที่ให้ดอกไม้ที่ประดับอยู่ฝีมือเขาทั้งนั้นเลย”
“ก็พอใช้ได้ครับ” ฮิเดกิเอ่ยหลังจากกวาดตามองรอบๆ ครั้งหนึ่ง
“ได้ยินคุณพฤฒิบอกว่าฝีมือคุณเหนือชั้นกว่าเขาหลายขุมเลยไม่ใช่หรือครับ ผมล่ะทึ่งคุณจริงๆ ทำอะไรได้เยอะแยะ ไม่เหมือนน้องสาวผมทำอะไรแทบไม่เป็น ดีแต่พูดมากไปวันๆ”
“นั่นผมถือว่าเป็นเสน่ห์ของอาอิเขาครับ”
ฮิเดกิเข้าข้างคนรักอย่างออกนอกหน้า ทำให้คนในครอบครัวของปัญพาณ์ต่างอมยิ้มไปตามๆ กัน เห็นคนรักของปัญจพาณ์เป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อม และแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่ารักหญิงสาวผู้เป็นดวงใจของบ้าน บรรดาพี่ชายที่เคยตั้งป้อมจึงใจอ่อนเปิดใจให้หนุ่มญี่ปุ่นผู้นี้ จะเหลือก็เพียงประมุขของบ้านที่ดูจะทำใจไม่ได้สักทีที่ลูกสาวจะต้องไปอยู่ไกลถึงญี่ปุ่นหากแต่งงานกับฮิเดกิ จึงไม่ยอมรับการคบหากันครั้งนี้ง่ายๆ
“แล้วห้องครัวไปทางไหนคะ มิโยโกะจะเอาโทรศัพท์มือถือไปคืนซากิค่ะ” มิโยโกะแทบไม่ได้ฟังที่คนอื่นเขาคุยกัน เพราะหาจังหวะถามหาพฤฒิอยู่
“ตรงเข้าบ้านแล้วอยู่หลังสุดเลยครับ ผมพาไปก็ได้ครับ” ปฐวีเสนอตัวดูแลแขกสาว
“ผมเองดีกว่า มาครับเดี๋ยวพี่ปัดพาไปเอง พี่ปูนอยู่ช่วยแม่กับพี่ปุ๊จัดของที่นี่แหละ” ปัฐน์ไม่ยอมน้อยหน้า
“ไม่รบกวนคุณปูนกับคุณปัดดีกว่าครับ เดี๋ยวผมพามิโยโกะเข้าไปทักทายซากิเอง” ฮิเดกิกันท่า
“ไม่ใช่ว่าคุณโดนพ่อผมสั่งห้ามไม่ให้เข้าบ้านหรอกเหรอคุณฮิเดกิ ไม่งั้นเราจะมาจัดงานกันหน้าบ้านทำไม ให้ผมพาคุณหนูมิโยโกะเข้าไปเองดีกว่า” ปุริมนึกสนุก เลยร่วมวงกับน้องๆ ด้วย
“โอ๊ย ไม่ต้องแย่งกันเอาใจมิโยโกะหรอกค่ะ มิโยโกะไปถูกอยู่แล้ว ขออนุญาตนะคะ” เด็กสาวหันไปกล่าวประโยคหลังกับคุณอรอนงค์ เมื่ออีกฝ่ายอนุญาตก็เดินตัวปลิวเข้าไปในบ้านตามลำพัง ทิ้งให้หนุ่มๆ มองตามหลังตาปริบๆ
มิโยโกะมองซ้ายมองขวาอย่างสนใจ บ้านหลังนี้เล็กกว่าบ้านเธอตั้งเยอะ ไม่มีทางหลงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พี่ๆ ของปัญจพาณ์มาดูแลเพราะขี้เกียจปั้นหน้ารักษามารยาท
ภายในบ้านไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร เดินเข้าไปเพียงครู่เดียวมิโยโกะก็หาห้องครัวเจอ และได้ยินเสียงพฤฒิดังลอดออกมาพร้อมกับเสียงผู้ชายอีกคน
“ซากิ”
เสียงเด็กสาวที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้พฤฒิและปารเมศน้องชายของปัญจพาณ์ซึ่งกำลังสนทนากันถึงเรื่องการเรียนในมหาวิทยาลัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ของปารเมศต้องหยุดชะงักลง
“คุณหนูมิโยโกะ มาแล้วหรือครับ” พฤฒิยิ้มต้อนรับเด็กสาวอย่างอ่อนโยน
“ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
มิโยโกะตรงเข้าไปนั่งข้างๆ พฤฒิ โดยไม่ได้หันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่มองเธอตาค้างเลย แต่พฤฒิเห็นท่าทีนั้นและรู้สึกไม่ชอบปารเมศขึ้นมาตงิดๆ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังคุยกันอย่างถูกคอ ทว่าโดยมารยาทแล้วทำให้เขาต้องแนะนำเด็กสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก
“ผมกำลังนั่งคุยกับคุณปาอยู่ครับ คุณหนูมิโยโกะครับนี่คุณปารเมศน้องชายคุณอาอิครับ คุณปาครับนี่คุณหนู คิคุจิ มิโยโกะน้องสาวคุณฮิเดกิครับ”
ปารเมศถูกภาษาอังกฤษเข้าโจมตีเป็นชุดก็เบลอไปชั่วขณะกว่าจะนึกออกว่าที่พฤฒิพูดเมื่อครู่เป็นการแนะนำตัวแบบเบสิคมากๆ เพียงแต่ว่าเขาเคยแต่เรียนในห้องเรียนไม่เคยนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงได้แต่เลือกคำพูดง่ายๆ ตอบกลับไป
“ผมปารเมศครับ ยินดีที่ได้พบกัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” มิโยโกะกดยิ้มที่มุมปากเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่ได้ทำให้ดูเป็นมิตรขึ้นเลย กลับแลดูไว้ตัวเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่คิดทำความสนิทสนมเพิ่มเติมแต่หันกลับไปคุยกับพฤฒิต่อเป็นภาษาญี่ปุ่น “นี่ซากิ นายลืมโทรศัพท์มือถือได้ยังไง ถ้าเกิดฉันกับพี่ฮิเดะมีเรื่องต้องใช้งานนายจะทำยังไง หือ?”
ชื่อของฮิเดกิทำให้รอยยิ้มของพฤฒิเจื่อนลงเล็กน้อย
“นายท่านเป็นคนให้ผมหยุดพักเองครับ”
“ไม่รู้ล่ะ เอานี่พกติดตัวไว้ ฉันจะได้เรียกใช้งานนายได้สะดวกๆ” มิโยโกะหยิบโทรศัพท์ของพฤฒิออกมาจากกระเป๋าถือของตนแล้วจัดแจงหย่อนลงกระเป๋าเสื้อโปโลของชายหนุ่ม “อย่าลืมอีกล่ะ”
“ครับ”
พฤฒิตอบรับพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งที่เป็นรอยยิ้มที่แสนใจคุ้นเคยแต่เมื่อสบตาเขาตรงๆ จนเห็นประกายวิบวับในดวงตาอีกฝ่ายเช่นนี้มิโยโกะกลับรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นผิดจังหวะจนต้องรีบหลบสายตา
ดูเหมือนทั้งสองจะลืมไปแล้วว่าในห้องครัวยังมีใครอีกคนนั่งหัวโด่อยู่ในนั้นด้วย ปารเมศซึ่งฟังการสนทนาของทั้งสองไม่ออกสักกระผีกได้แต่มองคนทั้งคู่อย่างสงสัยในความสัมพันธ์ ทั้งยังลอบถอนหายใจที่เห็นว่าสาวน้อยที่เขาถูกตาเมื่อแรกเห็นไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
............(โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ).............
************************* ต้องขอโทษทุกคนที่ติดตามบล็อกด้วยนะคะ ที่ไม่ได้เข้ามาซะนานเลย ตอนที่5 นี่ก็เขียนทิ้งไว้มาพักนึงแล้วแต่ไม่ได้เอามาแปะ ส่วนตอนที่ 6 ค้างไว้ที่ครึ่งตอนนานมากๆ แล้ว เนื่องจากวาโยไม่เจียมตัว (อีกตามเคย) เขียนสองเรื่องควบ กะว่าอาทิตย์นึงต้องสามารถเขียนได้2ตอนแน่ๆ ไปๆ มาๆ ตอนเดียวก็แย่แล้ว (T-T) ตอนนี้เลยกลับไปเขียนแบบเดิม คือค่อยเป็นค่อยไปอ่าค่ะ ขออนุญาตแปะนิยายแบบกระดึ๊บๆ ต่อไปนะคะ *********************
Create Date : 21 ตุลาคม 2554 |
|
6 comments |
Last Update : 21 ตุลาคม 2554 14:37:59 น. |
Counter : 957 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: wayo 21 ตุลาคม 2554 19:16:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: โอ๋ IP: 124.122.152.218 21 ตุลาคม 2554 20:52:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 21 ตุลาคม 2554 21:35:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: Natee IP: 184.56.150.138 24 ตุลาคม 2554 2:32:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: wayo 3 พฤศจิกายน 2554 13:37:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เอ่อ...ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงคลิกกล่องคอมเม้นต์ไม่ได้ กดไม่ติดเลยอะค่ะ ตอบคอมเม้นไม่ได้ เดี๋ยวขอหาทางแก้ก่อนนะคะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกคน ที่แวะมานะคะ (Y)(^O^")(Y)
|
|
|
|
|
|
|
|