มองโลกให้งาม ชีวิตก็งดงาม....................
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
29 เมษายน 2550
 
All Blogs
 

ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม

ชีวิตมีเหตุให้ไปปฏิบัติธรรม

ก่อนหน้านี้ เหมือนยืนอยู่คนละข้างกับผู้ปฏิบัติธรรม

แล้วเกิดเหตุพลันหลงเข้ามาทดลองปฏิบัติธรรมดู (เหมือนมาสำรวจสถานที่ก่อน) เพื่อจะพาพนักงานมาปฏิบัติธรรม จากคิดว่ามาแค่สำรวจเส้นทางและดูสถานที่แค่ 2 วัน (เสาร์และอาทิตย์)

พอมาเจอหลวงตา บอกให้ปฏิบัติจริง 7 วัน เพื่อให้เห็นผล ยังไงก็เสียเวลามาแล้ว ได้แต่พร่ำบอกหลวงตาว่าไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเสื้อผ้ามา เมื่อการเจรจาต่อรองไม่ได้ผล ด้วยความเกรงใจหลวงตาและผู้ที่พาไป ก็ต้องทดลองดู ความรู้สึกเหมือนตกบันไดพลอยโจน ทุกอย่างเป็นของแปลกใหม่หมด ต้องลองดู

ไม่รู้หรอกว่าแยกรูป แยกนามเป็นยังไง ชื่อหลวงพ่อเทียนก็ไม่เคยได้ยิน ในชีวิตนี้รู้จักแต่ท่านพระพุทธทาส หลวงพ่อชา หลวงพ่อคูณ เท่านั้น ปฏิบัติธรรมสายนั้นสายนี้ไม่รู้จัก คำว่าอนุโมทนาก็พึ่งมาเคยได้ยินที่วัดนี้ และพึ่งรู้ว่าวัดป่าฉันอาหารแค่มื้อเดียว นี่เราเป็นคนไกลวัดขนาดนี้เลยเหรอ.... ช่วงที่ไปครูบาส่วนใหญ่เข้าเก็บอารมณ์กันหมด เหลือหลวงตาที่เป็นพระพี่เลี้ยง ไม่รู้ว่าให้ทำอะไรบ้าง ผู้มาปฏิบัติธรรมประมาณ 10 คน ต่างคนก็ต่างปฏิบัติ และก็ทยอยกลับ เหมือนไม่มีเพื่อนปฏิบัติเลย

สองสามวันแรกอึดอัดมาก ที่น้ำตาไหลไม่ใช่เห็นปิติอะไรหรอกนะ มันอึดอัดคับข้องใจ หายใจไม่ออก มันทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินกลับไปกลับมา “นี่เรามาทำบ้าอะไรที่นี่” ถามตัวเองเป็น 100 ครั้ง เดินเหมือนเสือติดจั่น เรามาเดินหาอะไร นับ 1 2 3 ซ้าย ขวา ดูท้องฟ้า ดูต้นไม้ไป จิตมันวิ่งไปมา เหมือนมี 2-3 คน คุยกันไปมาเหมือนเราเป็นผู้ดู อีกสักพักก็เป็นผู้ทะเลาะ ดูวุ่นวาย เหมือนเล่นชักกะเย่อกันไปมา เบื่อ เหนื่อยล้าไปหมด เวลาแต่ละ วิ นา ที ผ่านไปอย่างเชื่องช้ามาก แทบจะหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูทุก 5 นาที มันเหมือนใจจะขาด เหมือนคนจนมุม ต้องหนีไปอาบน้ำก่อนระฆังตีด้วยซ้ำ เครียด ปวดหัวตัวร้อนไปหมด เหมือนจะเป็นไข้ ทำไมการปฏิบัติธรรมมันหดหู่ มันเบื่อ เซ็ง มันฟุ้งซ่านอย่างนี้ จิตมันพล่านดีดดิ้นไปมา หดหู่สุดๆ จนอยากปืนขึ้นไปบนต้นไม้ ยิ่งเดินยิ่งคิดสารพัดเรื่อง คิดหาหนทางกลับบ้านด้วยซ้ำ แทบจะคุยกับมดกับแมลงกับต้นไม้ได้แล้ว ทั้งเดินช้า เดินเร็ว ทั้งวิ่ง ทั้งกระโดดข้ามทางเดินจงกรมไปมา บางทีพาลนึกโกรธผู้พามาด้วยซ้ำ แต่ทำอะไรไม่ได้

กว่าจะผ่อนคลายลงได้ก็ล่วงเข้าวันที่ สี่ จากจะอยู่แค่ 7 วัน ก็กลับกลายเป็น 10 วัน ทำได้บ้าง หลุดบ้าง ใจมันวิ่งไปมา ยื้อไปมา สู้กับใจตัวเองทั้งวัน อากาศก็หนาวจัด ไม่ใส่เสื้อกันหนาวเพื่อให้ความหนาวมันกระทบจะได้รู้สึกตัว ห้องนอนก็ขนาดใหญ่จุคนได้ 20 คน แต่เราอยู่คนเดียว เหมือนถูกขังเดี่ยว ยังไงไม่รู้ประหลาดใจตัวเองมาก มันเหมือนคนสายตาสั้นมาก แล้วมีคนเอาแว่นตามาใส่ให้ มันสว่าง ตาสว่าง ใจสว่างไปหมด เห็นทุกอย่างชัดเจนมาก มันเหมือนแทงทะลุหัวใจไปเลย

หลวงตามีเมตตามาก เอาใจใส่ ปฏิบัติเป็นเพื่อน เช้ามืดตี 4 เดินจงกรมเป็นเพื่อนบ้าง ไปสอบอารมณ์ถึงที่เดินจงกรมทุกวัน และก็โดนหลวงตาทดสอบ ทั้งให้ไปทำทางเดินจงกรมเอง เดินจงกรมถอยหลังบ้าง ฟุ้งซ่านมากก็ให้ไปเดินกวาดป่า แก้วิธีปฏิบัติให้ สอนการใช้ชีวิตทั้งทางโลกทางธรรม รู้สึกเลื่อมใสและศรัทธาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก(เหมือนได้ดวงตาเห็นธรรม)

ครบกำหนด 10 วัน กลับมาเล่าให้ทุกคนฟัง เพื่อทุกคนเตรียมตัวเตรียมความพร้อมออกเดินทางไปปฏิบัติบ้าง ไปคราวนี้ประมาณ 50 คน

ระยะเวลาห่างจากการไปครั้งแรก 1 เดือน เหมือนตัวเองมีเสบียงไว้แล้ว พร้อมตะลุยต่อยอดสิ่งที่หลวงตาสอนไว้คราวที่แล้ว แต่ยังนึกห่วงน้องๆ ที่มากันครั้งแรกอาการคงจะเหมือนเราแน่ๆ เป็นไปดังคาดเหมือนมองเห็นตัวเองเลย บางคนก็นอนกอดกระเป๋า ทนไม่ไหวแล้ว อ้อนวอนอยากจะกลับบ้านอยากจะหนีไปเลย ไม่อยากทำ ไม่อยากมาอีกแล้ว บางคนก็มุ่งมั่นมาก ต่างคนต่างต่อสู้กับใจตัวเอง


การมาปฏิบัติครั้งที่ 2 นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง นิ่งมาก ลมหายใจกระทบกับปลายจมูกชัดมาก ดูไปเรื่อยๆ เหมือนตัวเองกระโดดข้ามมิติมายืนอีกฝั่งหนึ่ง จิตใจสงบ เยือกเย็น โปร่ง โล่ง เหมือนรื้นถอนความทรงจำเก่าๆ ความเชื่อความศรัทธาใหม่เข้ามาแทนที่ จนต้องถามตัวเองว่า เมื่อก่อนเราแปลก หรือตอนนี้เราแปลกไป นึกถึงคำพูดที่ตัวเองเคยถามนักปฏิบัติธรรมว่า
ทำไมต้องไปวัดไปแล้วไปอีก ปฏิบัติที่บ้านไม่ได้เหรอค่ะ
สิ่งที่สอนอยู่ที่วัดตั้ง 7 วัน จำไม่ได้เหรอ ถึงต้องไปอีก
เข้าใจอะไรผิดหรือป่าวที่ว่าตัวเราไม่ใช่ของเรา
ทุกคำถามที่ถามคนอื่น ต้องกลับมาย้อนตอบตัวเอง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ด้วยความเสียดายสิ่งที่หลวงตาสอน ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ตัดสินใจบุกเดี่ยวเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ม่อนพระเจ้าหลวงที่ อ.แม่ขะจาน จ.เชียงราย ไปทุกเดือน ไปปฏิบัติธรรมบนเขาสูง เดินจงกรมขึ้นลงเขาทุกวัน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ (ปกติวันหยุดยาวต้องไปเที่ยว)เพื่อนสนิทกลับมองว่าเราป่วยหรือทุกข์เรื่องอะไรหรือป่าว ทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัยและเป็นห่วง

อยากไปพิสูจน์ตัวเองในที่ ที่ไม่เคยไป และไม่รู้จักใคร ว่าจะทำได้ไหม จะตื่นตระหนก ขลาดกลัวหรือเลิกล้มความตั้งใจไปเลย ไม่น่าเชื่อว่ามันมีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่

หนทางสายนี้ช่างดูเงียบเหงายังไงไม่รู้ แต่ก็ทำให้ชีวิตที่จะก้าวไปข้างหน้าตื่นรู้อย่างบอกไม่ถูก







 

Create Date : 29 เมษายน 2550
0 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 20:05:50 น.
Counter : 2063 Pageviews.


Mena Summer
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




1.ชอบท่องเที่ยว ชอบเดินทาง
2.ศึกษาปฎิบัติธรรม เจริญสติแบบเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียน ตามธรรมะจัดสรร
3.สนใจงานถักนิตติ้ง
4.สะสมไหมพรม มีอุปกรณ์งานถักหลากหลาย
5.รักการอ่านหนังสือ สนุกกับการอ่านหนังสือหลายแนว มีความฝันว่าอยากมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง แต่สุดท้ายก็เอาหนังสือที่ตนเองมีอยู่ทะยอยแบ่งปันกันไป ...
6.ชอบซีรีย์ญี่ปุ่น และเกาหลี
7.ชอบกีฬาว่ายน้ำ
8.เติมเต็มเรื่องราวดีๆ ให้ชีวิต ไปเรื่อยๆ
Friends' blogs
[Add Mena Summer's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.