เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ประกันภัยรถ แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ คือ ชั้น 1 , 2 และ 3 ซึ่งแน่นอนว่าการให้ความคุ้มครองก็มีความแตกต่างออกไปเช่นเดียวกัน ด้วยความคุ้มครองที่แตกต่างนี้ล่ะที่อาจทำให้คุณคิดหนักว่าควรทำประกันชั้นไหน แล้วจะได้ประโยชน์คุ้มค่าหรือเปล่า เราจะช่วยไขข้อกระจ่างให้คุณเองครับ

ประกันเป็นผู้จ่ายค่าชดเชย

ความคุ้มครองตามลำดับชั้นของประกันนั้น มีการคุ้มครองบุคคลที่สามรวมถึงการจ่ายสินไหมทดแทนอยู่แล้ว เช่น ประกันภัยชั้น 1 จะมีส่วนรับผิดชอบต่อร่างกาย 1,000,000 บาท สูงสุด 10,000,000 บาท ต่อครั้ง และค่าความเสียหายของทรัพย์สิน 2,500,000 บาท ต่อครั้ง ผู้โดยสารและคนขับจะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 6 คน ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท ต่อคน รวมถึงค่าประกันตัวต่อสู้คดีที่วงเงินตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท เหล่านี้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจ่ายค่าชดเชยของประกันภัยรถยนต์ สามารถเช็คกับบริษัทประกันภัยได้ก่อนเลือกใช้บริการ

ค่าชดเชยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

เมื่อคุณเลือกซื้อ ประกันภัย สักตัวแล้ว คุณควรมองหาหมายเลขติดต่อฉุกเฉินเพื่อไว้สำหรับติดต่อขอความคุ้มครองและการจ่ายสินไหมทดแทน ต่อมาคือจำนวนทุนเอาประกัน ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์มูลค่า 700,000 บาท ทุนประกันจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 70-90% จากราคารถยนต์ ในกรณีสำหรับการชนหนัก น้ำท่วมหรือสูญหาย รวมถึงกรณีอื่นๆ ที่กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองไว้ สัดส่วนที่แตกต่างกันนั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มได้ เพื่อให้ทุนประกันของเราสูงขึ้นและครอบคลุมในหลายกรณี การที่เราได้ทุนประกันสูงทำให้ได้ประโยชน์ในการจัดการกับปัญหาต่างๆ และเรายังมีเงินก้อนไปชำระค่าเสียหายต่างๆ ช่วยลดปัญหาเรื่องหนี้สินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

จ่ายเบี้ยสูง การคุ้มครองก็สูง

ความจริงก็คือ ทุน ประกันภัย จะขึ้นอยู่กับเบี้ยประกัน ความพิเศษบางอย่างเป็นการตัดทอนการคุ้มครองลงไปเพื่อให้เบี้ยประกันถูกลง เช่น ประกันภัยชั้น 1 แต่ได้เบี้ยถูกลง ความคุ้มครองด้านอุบัติเหตุหรือชดใช้ความเสียหายต่างๆ ยังคงอยู่ แต่ทุนประกันจะลดน้อยลงเหลือแค่ 200,000-300,000  บาท เท่านั้น ในกรณีสูญหาย ไฟไหม้หรืออื่นๆ จะเห็นได้ว่าทางบริษัทให้เราเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มขึ้นหรือปรับเปลี่ยนได้

ท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้นใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือการขับรถอย่างมีสติ ไม่ประมาท นั่นล่ะคือสิ่งที่จะคุ้มครองคุณได้ดีที่สุด