Neverending Story จินตนาการไม่รู้จบ................
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 

ก้าวไปตามรอยธรรม










แสงธรรมงามเลิศล้นรุจี...



ตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งเพื่อชาร์ทแบตให้ตัวเอง
กังวลอยู่ว่าจะมีปัญหา แต่แล้วทุกอย่างก็ราบรื่นดี
จัดการเคลียร์การงานทั้งหลาย ซื้อข้าวของที่จะไปถวายพระ
ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก และพร้อมที่จะออกเดินทาง..


ได้รับคำเชิญชวนให้ไปที่นี่หลายครั้งแล้ว
เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไปสักที
แต่เมื่อไปถึงและได้สัมผัสความสงบตามธรรมชาติ
ความร่มรื่นภายใต้ร่มเงาแห่งธรรมกับความตั้งใจจริง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็แทบจะลงตัวไปซะทุกอย่าง
วัดหนองไก่เถื่อน... วัดเล็กๆ ห่างไกลผู้คน
บนผืนดินที่แห้งแล้ง ร้อนระอุ ..แต่ใจกลับสงบเย็น
แดดเย็นทอประกายจับยอดโบสถ์ งดงามจับตา
และเมื่อแสงอาทิตย์ลับตา ทุกอย่างก็มืดมิด
แต่แสงแห่งธรรมที่กำลังสัมผัส สว่างไสวอยู่ในใจเรา...


แสงธรรมงามเลิศล้น รุจี
สาดส่องพื้นปฐพี ทั่วหล้า
ธรรมแห่งพระมหามุนี พุทธเจ้า
อาบกายใจอ่อนล้า หลุดพ้นกิเลสมาร









เราต่างเป็นดอกไม้หลายหลากสี


การบวชเนกขัมมะคราวนี้ มีคนมาบวชไม่มากนัก
และแต่ละคนมีความตั้งใจอย่างมากในการมาปฏิบัติ
ทุกคนช่วยกันจัดงานคนละไม้คนละมือ
กวาดเช็ดถูพื้นใต้ศาลาการเปรียญหลังใหญ่
จัดอาสนะที่นั่งสำหรับพระ และผู้มาบวช
ปัดกวาดเช็ดถู เตรียมพร้อมสำหรับพิธีกรรมที่จะเริ่มต้นในไม่ช้า
ได้เห็นแล้วก็ชื่นชมกับหัวใจผู้มาปฏิบัติ
น้องๆช่วยกันยกกระถางต้นไม้มาประดับประดา
ส่วนฉันนั่งพับดอกบัวที่พี่สาวคนหนึ่งเก็บมาจากบึงข้างบ้าน
เพื่อนำไปจัดแจกันถวายที่โต๊ะหมู่บูชาที่วางไว้ด้านหน้า
ดอกบัวสีชมพูสวยกับใบไม้บรรดามีที่ไปตัดมาจากข้างโบสถ์
เฟิร์นใบใหญ่ โกสนหลายสี และใบหมากแดง
บวกกับฝีมือนักจัดดอกไม้สมัครเล่น
ได้แจกันดอกไม้สี่แจกันสำหรับบูชาพระในพิธีบวช









ดอกไม้ใบไม้หลายหลากสีที่งดงามอยู่ในแจกัน
เปรียบเสมือนผู้บวชที่มาจากคนละทิศคนละทาง
มาอยู่ในศีล ในธรรมวินัย
แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ร่วมกันปฏิบัติความดี
ในหนทางแห่งอริยมรรค หนทางที่นำพวกเราทุกคน
ไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ที่ถาวรอย่างแท้จริง
กับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ ความสุขสงบ
ความยินดี สะอาด ผ่องใส และเบิกบาน และน่าชื่นชม...
จิตตัง ทันตัง สุขาวหัง.. จิตที่ฝึกไว้ดีแล้วนำความสุขมาให้
พวกเราทุกคนกำลังกระทำในสิ่งนั้น...









เนกขัมมะ..อาจาริยบูชา


น้องสาวคนเก่งเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนไว้
สำหรับเป็นเครื่องบูชาพระอาจารย์ทุกท่านที่จะมาให้ธรรมะ
ดอกเข็มช่อใหญ่ ธูป เทียน
กับความหมายงดงามที่พระอาจารย์สองท่าน
ได้ให้ความหมายเหล่านั้นดังนี้


ธูป 3ดอกหมายถึง...
พระพุทธคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
บรมครูผู้เลิศของพุทธสาวกทั้งหลาย
พระพุทธคุณที่ประกอบด้วย
พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ

พระบริสุทธิคุณคือ..
ความสะอาดหมดจดแห่งจิตใจของพระพุทธองค์
ในฐานะผู้เป็นบรมศาสดาและตรัสรู้เป็นผู้บริสุทธิ์
เป็นคนแรกของโลก

พระปัญญาธิคุณคือ..
พระปัญญาอันล้ำเลิศและชาญฉลาดของพระพุทธองค์
ที่ทรงมองเห็นความจริงอันเป็นธรรมดาแห่งโลก
ทรงรู้แจ้งทุกข์ และรู้แจ้งถึงทางอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์

และสุดท้ายคือ พระมหากรุณาธิคุณ...
ที่ทรงประกาศและเผยแผ่ธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น
เพื่อช่วยเวไนยสัตว์ที่จมอยู่ในกองทุกข์ทั้งหลาย
ให้ได้พ้นทุกข์เช่นเดียวกับพระองค์


เทียน 1 เล่มหมายถึง
หมายถึงพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา
ที่จะช่วยให้ผู้ยอมรับนับถือ ปฏิบัติตามได้พ้นจากทุกข์
ส่วนเวลาที่เราจุดเทียน 2 เล่มที่โต๊ะบูชานั้น
ก็โดยความหมายถึงธรรม ที่เป็นเนื้อหาหลัก
อันเป็นทางแห่งความหลุดพ้น อีกส่วนหนึ่งก็คือ
พระวินัย ซึ่งเป็นกฎควบคุมพุทธสาวก
ให้อยู่ในระเบียบวินัยและวิธีปฏิบัติอันเดียวกันทั้งหมดนั่นเอง


ดอกไม้ก็หมายความเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้ว
คือความงดงามของบุคคลผู้มาจากทั่วทุกสารทิศ
ที่มาอยู่ร่วมกันเพื่อปฏิบัติความดีในธรรมวินัยเดียวกัน
ความแตกต่างที่ผสมกลมกลืนสวยงาม
เช่นเดียวกับดอกไม้ที่บูชาพระนั่นเอง









แต่ไม่ว่าดอกไม้ ธูปเทียนที่นำมาบูชาพระบรมศาสดา
จะมีความหมายงดงามและดูดีเพียงใดก็ตาม
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการบูชาที่เรียกว่าอามิสบูชาเท่านั้น
หาได้มีค่าเทียบเท่าการปฏิบัติบูชาด้วยใจ ด้วยความดี
อันเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา ก็หาได้ไม่
เพราะการปฏิบัติบูชาคือการน้อมใจยอมรับพระรัตนตรัย
เพราะมีศรัทธา เพราะสัมมาทิฐิได้เกิดขึ้นแล้ว
ในอันที่จะก้าวไปสู่ทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา
เพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้นเอง
เพราะมั่นใจและเห็นประโยชน์แท้จริง
ดังเช่นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพร่ำสอนตลอดมา
ตราบถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพนั่นเอง


เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ดอกไม้ ธูปเทียนที่เราบูชาพระนั้น
ได้แสดงให้พวกเราทุกคนได้มองเห็นถึงกฎแห่งไตรลักษณ์
คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่า...
เครื่องบูชาทั้งหลายเหล่านี้ ไม่อาจคงสภาพเดิมได้ตลอดไป
ที่สุดแล้วก็เปลี่ยนแปลง ดับสลายหมดสิ้นไปในที่สุด
ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของเราทุกคนที่เมื่อถึงจุดสุดท้าย
ก็ต้องมีอันแตกดับไปเช่นเดียวกัน


ความไม่ประมาทในชีวิตจึงเป็นคาถาขลัง
ของผู้ปฏิบัติทุกคน...ที่จะต้องพึงระลึกถึงไว้เสมอ
และเจริญสติเพื่อกำหนดรู้ไว้ว่า
วัตถุธาตุทั้งหลายและชีวิตของเรานั้น
ไม่มีสภาพคงทนตลอดไป
วันใดวันหนึ่ง ก็จะมีสภาพไม่ต่างไปจากดอกไม้ธูปเทียน
ที่เรานำมาบูชาพระรัตนตรัยนี่ละ
เพราะกฎแห่งอนิจจังนี้จะเกิดขึ้นกับทุกสรรพสิ่งในโลก
อย่างแน่นอนเสมอ
เพราะแม้แต่พระบรมศาสดาผู้ค้นพบสัจธรรมนี้
ก็ยังทรงตกอยู่ภายใต้กฎนี้เช่นกัน
และได้ทรงแสดงให้ทุกคนเห็นประจักษ์แล้วเช่นนั้น...









โลกภายนอกมองออกก็แลเห็น
โลกภายในงามเด่นเห็นหรือไม่
โลกภายนอกเห็นฟ้าว่ากว้างไกล
โลกภายในกว้างกว่าฟ้าลองหาดู


โลกภายนอกผันแปรและสับสน
โลกภายในตัวตนก็มีอยู่
เข้าถึงความเกิดตายได้เป็นครู
ใจย่อมรู้โลกทุกแห่งเพราะแจ้งธรรม...









ลมหายใจแห่งสติ


สมาธิคือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
หรือจะมีคำภาวนาตามถนัดควบคู่ไปด้วยก็ได้
ผ่านไปสักพัก..
ก็อาจมีเจตสิกหรือสิ่งปรุงแต่งจิตจรมากระทบเป็นระยะๆ
ไม่ผลักไส ไม่พยายามทำให้หายไป แค่รับรู้ด้วยตัวรู้
ปัญญาก็เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเจตสิกนั้น


เปรียบเหมือนตัวรู้ นั่งอยู่กลางห้องใจ
มองไปที่หน้าประตูเข้าออก
เห็นผู้ผ่านเข้าผ่านออกห้องใจ
แค่กำหนดรู้ไว้ ผู้ผ่านมาเมื่อไม่มีใครสนใจ
ก็กลับออกไปเอง...


สิ่งกระทบทั้งหลายอาจจรมากระทบเป็นระยะ
เมื่อใดที่จรเข้ามา สมาธิก็อ่อนกำลังลง
บางทีก็เป็นความปวดเมื่อย ความคิดต่างๆ เสียง กลิ่น
ความร้อนของอากาศที่กายสัมผัส
ก็แค่รู้อยู่ ไม่ยินดียินร้าย ก็หายไป...
แม้การกำหนดรู้ในเบื้องแรกจะดูเหมือนหยาบ
แต่ก็รู้ ก็เข้าใจ..ถ้าไม่เผลอสติ
ลมหายใจแห่งสติก็จะเกิดขึ้น
จิตจะสงบเยือกเย็นและรวมตัวได้ในที่สุด









หายใจเข้า.. หายใจออก

หายใจเข้า ... หายใจออก

ลมหายใจเริ่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เหมือนเปลที่แกว่งไปมาเป็นจังหวะ
ราบเรียบ .. เบาสบาย...ผ่องใสขึ้นโดยลำดับ
เกิดความอิ่มใจ เกิดความสุขจากความสงบระงับ
และจิตก็เริ่มรวมเป็นหนึ่งเดียว
ผ่องใสมากยิ่งขึ้น สว่างกระจ่างใจมน....


ไม่ใช่แค่กายเท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
แต่เพราะกายเป็นของหยาบ เป็นรูปธรรม มองเห็นได้ต่างหาก
แท้จริงแล้ว อารมณ์เกิดดับรวดเร็วยิ่งกว่า
และเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน
รู้หรือไม่.. ว่าความตายเกิดขึ้นกับเราไม่เคยหยุด
กำหนดรู้ทันไหม ... เกิดความสลดใจบ้างหรือเปล่า
ทุกอย่างเกิด - ดับ เกิด - ดับ ต่อเนื่องกันเหมือนสายน้ำ
ที่ไหลผ่านไปชั่วแว่บ เหมือนเป็นน้ำเดียวกัน
น้ำที่เราจุ่มมือลงไปได้ครั้งเดียวเท่านั้นก็เลยผ่าน
น้ำที่ไหลต่อมาไม่ใช่น้ำส่วนเดิม


ชีวิตที่ล่วงไปก็เหมือนกัน
เราเกิดแล้วตาย แล้วเกิด แล้วตาย ตลอดเวลา
เราไม่ใช่คนๆเดิม ทุกนาที ทุกวินาทีนั้น
เราเกิดใหม่ ตายใหม่ ตลอดเวลา
แต่ความต่อเนื่องเป็นสันตติของชีวิตเป็นเช่นเดียวกับสายน้ำ
และเราไม่ใช่เรา...คนเดิมอีกต่อไป
พอหรือยัง..กับการเกิดและตายไม่รู้จบ
ถามแล้วก็หาคำตอบให้เจอด้วยล่ะ...
ว่าอยากจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน....











สงบกายสงบใจให้อยู่นิ่ง
แล้วละวางทุกสิ่งที่เป็นอยู่
ก้าวบนทางตามสมเด็จพระพุทธครู
แต่ตัวกู..ของกู ก็โผล่มา


ทั้งปวดเมื่อยทั้งสงสัยและสับสน
ยังวกวนอยู่ในสิ่งที่ปรารถนา
พอกระทบจิตเตลิดเกิดเวทนา
ทั้งสติและปัญญาตามไม่ทัน


ช่างรวดเร็วแล้ววับหายคล้ายลมพัด
ยิ่งคิดตัดก็ยิ่งฟุ้งไปกับขันธ์
พอตามดูแล้วปล่อยวางว่าช่างมัน
เวทนาเช่นนั้นก็หยุดไป


มีสติรู้ทันพลันระงับ
เจตสิกเกิด-ดับ แล้วเกิดใหม่
ต่อเนื่องเป็นสันตติอยู่ในใจ
เกิด ตั้งอยู่ ดับไปในตัวเรา


อันกายจิตเวทนานั้นไม่เที่ยง
เป็นแค่เพียงอวิชชาพาโง่เขลา
เพราะยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา
จึงมัวเมากับตัวกูอยู่เนิ่นนาน


ครั้นปล่อยวางตัวตนก็พ้นทุกข์
จึงรับรู้ความสุขอันแผ่วผ่าน
อนิจจังทุกขังที่ทรมาน
ก็ดับพร้อมปัญญาญาณที่ตามมา


เราอ่านมากฟังมากเพราะอยากรู้
จึงมีโลกเป็นครูให้ศึกษา
อ่านใจตนจิตจักพ้นอวิชชา
เพราะรู้แจ้งด้วยปัญญาถึงแก่นธรรม...










สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป


ท่านอาจารย์วิทยากรให้ธรรมะสำหรับวันนี้
คือการให้คิดถึงความจริงของชีวิตได้แก่..


สี่คนหาม...คือขันธ์ 5 หรือร่างกายของคนเรา
ที่ประกอบด้วย กายและใจ (หรือจิต)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รูป กับ นาม
ส่วนที่เป็นรูปหรือกายนั้นคือ การประชุมกันของธาตุ 4
อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นที่มาของคำว่า สี่คนหาม...


สามคนแห่..มีความหมายว่า รูปหรือขันธ์ 5 ทั้งหมดนั้น
ตกอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่โดยเปลี่ยนแปลงทุกขณะ และดับไปทั้งสิ้น
ไม่สามารถยึดไว้เป็นตัวตนเราเขาได้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ขันธ์ 5 ของเราก็มีอันต้องแตกสลายไป
กลับไปสู่ที่มาของมันคือความเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นเดิม
เมื่อเราไปยึดไว้เพราะความอยาก แต่มันไม่เป็นดังต้องการ
ก็เกิดทุกข์..ทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น
โลกนี้จึงประกอบด้วยทุกข์ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเท่านั้น


หนึ่งคนนั่งแคร่.. หมายถึงจิต ที่เป็นอีกส่วนหนึ่งของตัวเรา
เป็นส่วนที่เป็นนามธรรม เป็นส่วนที่ไปจุติในภพภูมิอื่น
คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดาพรหม
และที่สุดแห่งทุกข์ คือ นิพพาน
โดยมีสองสิ่งที่จะพาเราไปก็คือสองสิ่งสุดท้าย


สองคนพาไป...ซึ่งหมายถึงบุญและบาป
อันเกิดจากกรรมคือการกระทำของเรา
กฎแห่งกรรมจึงหมายถึงกฎแห่งการกระทำความดีความชั่ว
ที่ทุกคนไม่ว่าผู้ใดที่กระทำเหตุคือกรรมนั้นแล้ว
ย่อมได้รับผลของกรรมดังเช่นที่ตนได้กระทำไว้
เปรียบเสมือนวงล้อเกวียนที่หมุนตามรอยเท้าโคฉะนั้น









กรรมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้แตกต่าง
มีสุขบ้างทุกข์บ้างด้วยเหตุผล
มิใช่เทพองค์ไหนบันดาลดล
ให้บุคคลมีสุขหรือทุกข์ใจ...


พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ปัญญา
พิจารณาเหตุผลตนทำไว้
เมื่อสร้างเหตุหนทางไว้อย่างไร
ย่อมได้รับปัจจัยนั้นแน่นอน...









ก้าว-กระทบ-รู้สึก กับรูป-จิต-เจตสิก-นิพพาน


เช้านี้ไปเดินจงกรมตรงที่ว่างข้างโบสถ์
ขณะเท้าสัมผัสพื้นหญ้าที่เปียกชื้นจากน้ำค้างยามเช้า
กับแสงแรกของตะวันที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าไม่นาน
หญ้าแข็ง..หยาบ..เจ็บเท้าเล็กน้อย
แต่ภาพที่มองเห็นเบื้องหน้าคือแสงทองที่สาดส่องมา
หลับตาลง...ขณะยืนนิ่งอยู่
จิตรู้สึกเหมือนร่างกายเราอาบอยู่ด้วยแสงทองแห่งธรรม
อบอุ่น..สดชื่น...และสงบเย็น
จิตและสติที่กำหนดอยู่กับอิริยาบถของการก้าวเดินไปช้าๆ
กับความรู้สึกของการก้าวเดิน ของเท้าที่กระทบพื้นหญ้า
และผืนดินว่าเป็นอย่างไร ช้าๆๆ
ก้าว..กระทบ..รู้สึก...ก้าว..กระทบ..รู้สึก...
ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ


การเกิดขึ้นของรูป..เจตสิก..เวทนา..นั้นเร็วมาก
การกระทบจากตามองพื้นดิน
การกระทบของเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ ระมัดระวัง
การกระทบของหูที่ได้ยินเสียงธรรมชาติรอบตัว
กลิ่นหอมของหญ้าที่กระทบจมูกยามก้าวเดิน
และความรู้สึกที่สงบเย็น และอากาศที่สดชื่นยามเช้า
ทั้งหมดที่อายตนะรับรู้สู่ใจเกิดขึ้น
แทบจะในทันที และเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
เอาจิตหรือตัวรู้มองตามสิ่งเหล่านั้น
ที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ เปลี่ยนแปลง แล้วก็จบลง
ทั้งกาย อารมณ์ความรู้สึก ทันบ้างไม่ทันบ้าง
ก็อย่างที่บอกว่า มันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
จิตรู้ความเคลื่อนไหวนั้น ไม่ยินดียินร้าย ไม่ปรุงแต่ง
เอาสติตามดูเฉยๆ และทำไม่รู้ไม่ชี้กับมันให้เกิดเวทนา
คือ ชอบ หรือ ไม่ชอบ มันก็มีแค่นี้ ไม่มีอะไรอื่นที่ยิ่งไปกว่านี้









ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ ... ถ้าทุกอย่างมันแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เวียนไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ไม่มีอะไรที่จะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ
ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง สักแต่ว่ามีอยู่เป็นอยู่
เวลาที่ผ่านมานับกัป พอหรือยังกับการแสวงหาสิ่งที่ไม่จริง
หรืออะไรที่มันเลื่อนลอย ไม่แน่นอน ยึดถือไม่ได้
เวลาที่เหลืออยู่คงจะน้อยกว่าเวลาที่ต้องไปเกิดอีกนับภพนับชาติ
โดยไม่รู้จุดแห่งการสิ้นสุด...
วันนี้แหละดีที่สุดที่ควรยอมรับความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน
และความจริงของชีวิตและโลก และทุกอย่างควรยุติเสียที..


เมื่อตัดได้ทุกอย่างจบ
ก็สิ้นภพแห่งจุติ
ปัญญา ศีล สมาธิ
ก็ถึงพร้อมเพื่อนิพพาน...









มาฆบูชาปุรณมี


วันพระใหญ่อันเป็นวันมาฆบูชาเวียนมาอีกครั้ง
วันแห่งพระธรรม...ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แจ้ง
เป็นจาตุรงคสันนิบาต ถึงพร้อมด้วยองค์ 4 คือ


1.เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ดาวจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
2. เป็นวันที่พระสงฆ์สาวกที่จาริกไปเผยแผ่ธรรม
กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เวฬุวันพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
3. พระสงฆ์ทั้งหมดนั้นเป็นพระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้
ด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา
4. พระสงฆ์ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น


ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์
อันเป็นหัวใจและทิศทางแห่งศาสนาไว้อย่างชัดเจนคือ


1. อุดมการณ์แห่งพระศาสนา 2ข้อ ได้แก่
ความอดทน และ ความไม่เบียดเบียน
"ขันติ ปรมัง ตโป ตีติกขา"
"น หิ ปัพพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรัง วิเหฐยันโต"

2. เป้าหมายหนึ่งเดียว คือนิพพาน
"นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา"

3. หลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา 3ข้อได้แก่
การไม่ทำบาปทั้งปวง "สัพพปาปัสสะ อกรณัง"
การทำดีให้ถึงพร้อม "กุสลสูปสัมปทา"
และการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว"สจิตตปริโยทปันนัง"

4. วิธีการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา 6 ข้อได้แก่
การไม่กล่าวร้าย "อนูปวาโท"
การไม่ทำร้าย "อนูปฆาโต"
ความสำรวมในปาติโมกข์ "ปาติโมกเข จ สังวโร"
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร"มัตตัญญุตา จ ภัตตัสมิง"
อยู่ในสถานที่ที่สงบ "ปันตัญจะ สยนาสนัง"
การประกอบความเพียรในอธิจิต "อธิจิตเต จ อาโยโค"


และทั้งหมดนี้ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า
"เอตัง พุทธานะ สาสนัง"
นี่คือคำสอนของท่านผู้ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย









มาฆบูชาจึงเป็นวันแห่งความรักในพระพุทธศาสนา
ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกระทำ
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาคุณ
ที่ทรงมีต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง


วันนี้จึงเป็นวันที่เราจะได้ระลึกถึงคุณแห่งพระรัตนตรัย
คือพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐหาประมาณมิได้
พระธรรมคำสอนที่จะนำเราไปถึงความหลุดพ้นแท้จริง
และพระอริยสงฆ์ ผู้เป็นพุทธบุตร สืบทอดคำสอนนั้น
มาถ่ายทอดให้ทางแก่เราทุกวันนี้


ก้มลงกราบแทบพระบาทสมเด็จพระบรมศาสดา
รำลึกถึงพระคุณความดีของท่านที่มีต่อเราทุกคน
รำลึกถึงพระธรรมอันบริสุทธิ์ที่เป็นศาสดาแทนพระองค์
และรำลึกถึงพระอริยสงฆ์ผู้เดินตามรอยบาทนั้น
ไปสู่ความพ้นทุกข์แล้ว..
ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสำนึก
ด้วยความตั้งใจที่จะก้าวตามไป
บนหนทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จไปแล้วด้วยดี
สาธุ..........









องค์ใดพระสัมพุทธ ธวิสุทธสันดาน
ตัดมูลกิเลสมาร บมิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร....


ธัมมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร
ดุจดวงประทีปชัชวาล
แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน
สว่างกระจ่างใจมน...


สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏิบัติมา
แด่องค์สมเด็จภควัน
เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร- ลุทางที่อัน
ระงับและดับทุกข์ภัย....



นบนิ้วประณตทั้ง ใจวจี
กราบบาทมหามุนี พุทธเจ้า
ระลึกพระคุณความดี คู่สาม โลกเฮย.
เชิญชวาลช่วงโชติเฝ้า ถวายพร้อมบูชา

เพียงเพ็ญเดือนสามจ้า แจ่มจันทร์
พันสองร้อยห้าสิบอรหันต์ ผ่องแผ้ว
เป็นจาตุรงคสัน- นิบาต
เอหิภิกขุแล้ว ย่างเยื้องตามรอย

ทรงแสดงปาติโมกข์ทั้ง หมดนั้น
ละบาปก่อทุกข์อัน เดือดร้อน
กระทำความดีสรร สร้างสุข
กุศลกรรมจักย้อน จิตแผ้วผ่องใส

หัวใจแห่งพระพุทธ ศาสนา
ที่พระบรมศาสดา กล่าวไว้
เพื่อสืบทอดเจตนา แห่งท่าน
ปฏิบัติบูชาได้ แก่นแท้ถึงธรรม

เวียนวนบรรจบแล้ว ราตรี
กรองผกาธูปเทียนศรี นอบน้อม
มาฆปุรณมี รำลึก
ด้วยกายใจถึงพร้อม สู่แสงแห่งธรรม









ชีวิตต้องการอะไร


ชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตอยู่
ตามสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์โลก
แสวงหาสิ่งที่ปรารถนา แต่ไม่ค่อยสมปรารถนา
ผิดหวัง สมหวัง ได้มา เสียไป วนเวียนอยู่ในโลกธรรม 8
ครั้งแล้วครั้งเล่า..
สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครได้อะไรไปจากโลกนี้
กรรมคือการกระทำ ถูกหรือผิด..ดีหรือชั่ว..
จะถูกบันทึกไว้เป็นวิบากกรรม...รอวันที่จะสนองตอบ
สร้างเหตุไว้เช่นไร..ผลย่อมเป็นเช่นนั้น
"กัมมุนา วตตี โลโก" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


ความมีอัตตาตัวตน ว่าสิ่งนั้นเป็นเราเป็นของเรา
มันเกิดขึ้นเร็ว กำหนดให้สติตามรู้ให้ทันเป็นเรื่องยาก
มันมาแบบไม่ค่อยจะรู้เนื้อรู้ตัว
ความเป็นตัวตนของคนเรานี่มันใหญ่คับฟ้า
พอมันโตขึ้นๆๆ ก็ทำท่าจะเอาไม่อยู่
และสุดท้ายก็ทำให้เราเป็นทุกข์..ไม่รู้จบ
ไม่ว่ามากหรือน้อย มันก็คือทุกข์
"อัตตาของคนเราใหญ่ยิ่งกว่าจักรวาล
และมืดดำยิ่งกว่าหลุมดำของดวงอาทิตย์"
มันจึงปิดทางที่จะเห็นธรรม...











พระท่านว่า.."วันพรุ่งนี้จะมีหรือไม่...ยังไม่แน่"
ก็ถ้าชีวิตแสวงหาความสุข
แล้วอะไรล่ะ คือความสุขที่มนุษย์ต้องการ
ความสุขใจ...การไม่ต้องเจอกับความทุกข์
และชีวิตที่ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก..
เรากำลังเดินอยู่บนหนทางที่พระบรมศาสดาก้าวไปถึงแล้ว
"เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา"
ทางเอกที่จะนำเราไปสู่ความบริสุทธิ์สะอาด


ก้าวต่อไป...จุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้อยู่เบื้องหน้า
ความสุขเช่นนี้เองที่มนุษย์ผู้มีปัญญาแสวงหา
ก้าวสุดท้ายที่พยายามจะก้าวไปให้ถึงจุดหมาย
เมื่อไม่เกิด ก็จะไม่ตาย และทุกอย่างจะยุติเสียที
ทีนี้ก็ตาเราแล้ว..ก้าวสิ ..ก้าวไปเรื่อยๆ
ตราบใดที่ยังไม่หยุด ยังไม่ละความพยายามเสียก่อน
จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้สักวัน..อีกไม่นานนักหรอก..



กรรมกำหนดขีดไว้ให้สัตว์โลก
จะมีโชคหรือเคราะห์เพราะทำไว้
กรรมเป็นกฎกำหนดเหตุเขตปัจจัย
ว่าทำเหตุสิ่งใดไม่พ้นกรรม...


เหมือนปลูกข้าวได้ข้าวคราวออกผล
ถ้าปลูกหญ้าก็สุดทนต้องกลืนกล้ำ
ต้องกินหญ้าแทนข้าวสุดระกำ
คือเหตุผลของกรรมที่ทำเอง...









ดอกไม้ต่างสี คนดีก็ยังต่างใจ


ผู้มาปฏิบัติธรรมไม่มากนัก
แต่ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนนั้นมีอยู่
เพราะต่างจริต ความคิด และสติปัญญา
ทุกอย่างเป็นครูให้ได้ศึกษาเรียนรู้
ต้นไม้ สัตว์ มนุษย์ ธรรมชาติรอบตัว ก็เป็นครูของเราได้
เพราะต่างล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งอนิจจังที่เปลี่ยนแปลงเสมอ
ฉันกำลังนั่งมองความแตกต่างเหล่านั้น


รู้เท่าทันใครใครในทั้งหล้า
ไม่มีค่าให้เห็นเป็นแก่นสาร
รู้เท่าทันจิตตนจึงพ้นมาร
เพื่อละวางสังสารนั่นจึงดี...


พลันเมื่อจิตสงบ ..
ฉันกลับมองเห็นความวุ่นวายในจิตของคนเหล่านั้น
ภายใต้ทีท่าที่สงบเรียบร้อย แต่ทุกคนมีทุกข์
และต้องการหนีจากทุกข์ที่ตนกำลังประสบอยู่
โลกนี้ประกอบด้วยทุกข์
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสอนพวกเรา
ให้รู้จักทุกข์ เหตุของทุกข์ การดับไปของทุกข์
และทางที่จะไปถึงความดับทุกข์นั้น ทรงสอนเพียงเท่านี้
สิ่งอื่นที่ไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ รู้ไปก็แค่นั้น
เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังทำให้จิตฟุ้งซ่านไปเปล่าๆ









เห็นคนอื่นทำสิ่งใดใจรู้คิด
ตามดูจิตเขาไปไม่ยากเข็ญ
รู้ว่าชั่วว่าดีที่เขาเป็น
แต่รู้เห็นใจตนยากลำบากจริง...


ส่งใจออกมองใครก็ไม่รู้
ใจของตัวมีอยู่ไม่เคยนิ่ง
มองใจตัวเปิดใจให้เห็นจริง
ทุกๆสิ่งแก้ไขได้ที่ใจตน...


จะสนใจจริยาและความรุ้สึกของคนอื่นทำไมกัน
ในเมื่อเราเองยังเป็นผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์เช่นกัน
ปัดความคิดที่ส่งออก มองกลับเข้าหาใจตัวเอง
ก็รูป - นามนี้แหละ ที่เกิด - ดับ ไม่ต้องไปหาดูจากที่อื่น
รู้แจ้งกาย - ใจดวงนี้ ก็รู้แจ้งโลก...


มองคนอื่นทำไมในสิ่งผิด
มนุษย์เรามีจริตที่แตกต่าง
เห็นคนอื่นทำสิ่งใดให้ละวาง
ให้ย้อนดูตัวเองบ้างนั้นจึงดี...


ว่าสิ่งใดถูกผิดวินิจฉัย
ตนเตือนตนเอาไว้ในวิถี
โทษคนอื่นเห็นได้ไม่เข้าที
โทษตนนั่นแหละดีควรหลาบจำ...


อัตตนาโจทยัตตานัง
ตนเตือนตนเอาไว้ไม่ถลำ
ผิดก็รู้แก้ไขให้จดจำ
จักสิ้นเวรสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ทน...










ตอบปัญหาธรรม หรือ ตอบปัญหาโลก


ทุกคนล้วนแล้วแต่มีปัญหา
แม้แต่การปฏิบัติธรรมก็ยังมีปัญหา
เพราะคนเรามีสติปัญญาเข้าถึงธรรมที่ไม่เท่ากัน
พระพุทธเจ้าท่านจึงเปรียบเทียบมนุษย์กับบัว 4 เหล่า


ปฏิบัติแล้ว จิตไม่สงบระงับ ไม่รู้จะทำยังไง
สงบระงับแล้วก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
ปรโตโฆสะ และ กัลยาณมิตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ
นอกเหนือไปจากธัมมานุธัมมปฏิบัติ
ถึงกระนั้น หากฟังแล้วไม่คิดตาม ปัญญาก็ไม่เกิด
หรือไม่โยนิโสมนสิการ น้อมธรรมนั้นมาสู่ใจ
เพื่อพิจารณา ก็แค่นั้น..ธรรมก็ไม่เกิดขึ้น
การปฏิบัติก็ไม่ได้ผล ..
ยิ่งถ้าไร้ความพยายาม เพราะยังไม่เห็นทุกข์โทษของโลก
การปฏิบัติก็กลายเป็นความน่าเบื่อหน่าย
จิตที่เดินในทางที่ถูกต้อง อาจท้อถอย กิเลสก็เข้าแทรก
กลายเป็นว่า ไม่มีจริง ไม่ใช่ เพราะทำแล้วไม่มีผลกับตน



เมื่อชีวิตมีอยู่ก็รู้ว่า
วันเวลาผ่านไปไม่เคยหยุด
อันชีวิตของสัตว์และมนุษย์
ย่อมถูกฉุดลากผ่านกาลเวลา


ไม่มีสัญญาณใดหมายบอกเหตุ
ให้เป็นที่สังเกตเพื่อรู้ว่า
ถึงวาระความตายวายชีวา
จะเดินเข้ามาหาชีวิตตน


อย่าประมาทขาดสติดำริไว้
หมั่นคิดถึงความตายในทุกหน
ว่าเกิดแล้วต้องตายไปทุกคน
แล้วสร้างผลกรรมดีนี้ก่อนตาย...










ฉัน..ในฐานะของผู้เป็นกัลยาณมิตร
ที่เป็นผู้ตอบปัญหาธรรมให้กับผู้ปฏิบัติ
แม้จะมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยเขาเหล่านั้น
ด้วยจิตที่ประกอบด้วยพรหมวิหาร 4
มีความรักความเมตตาที่อยากช่วย
มีมุทิตา ความยินดีกับการปฏิบัติที่เขาทำได้ผลแล้ว
ก็ยังต้องมีอุเบกขาธรรมเป็นเครื่องประกอบด้วย
การให้จึงหวังผลไม่ได้มากนัก
แต่ก็ให้ ... ในฐานะของผู้ให้ก็ให้อย่างเต็มที่ แล้วก็วาง
คนรับจะรับได้แค่ไหน ก็สุดแต่ปัญญาของคนๆนั้น
ทุกคนต้องเดินเอง ไม่มีใครเดินแทนใคร
ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้
"อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน


เดินไปด้วยกันนี่แหละ สหายธรรม
จะเดินเร็วหรือช้า ตรงบ้าง อ้อมไปบ้าง
แต่วันหนึ่งเราจะถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน
ถ้าเธอไม่ละความพยายามเสียก่อน
นิพพาน..อันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ก็เป็นอันแน่นอน
ไม่เลื่อนลอยสำหรับเธอ...










ก็ทางนี้อย่างไรเล่าเราเคยเดิน
เพลิดเพลินโลกธรรมมิรู้หน่าย
สุขทุกข์ เกิดแก่ เจ็บและตาย
เวียนว่ายชั่วกาลที่ผ่านมา


แล้วก็ถึงวันนี้ของชีวิต
เมื่อได้คิดถึงธรรมอันล้ำค่า
พระจอมไตรบรมนาถศาสดา
กล่าววาจาเป็นสัจไว้ให้แทนองค์


คือทางแห่งสายกลางอย่างประณีต
ดุจขึ้นสายพิณดีดไว้สูงส่ง
ไม่ตึงหย่อนสมเหตุเจตน์จำนง
ด้วยสติมั่นคง ด้วยปัญญา


ไม่ลุ่มหลงเริงใจในทางสุข
ไม่เป็นทาสแห่งทุกข์อันต่ำช้า
เมื่อสิ่งใดทั้งมวลล้วนธรรมดา
เป็นมัชฌิมาปฏิปทาให้ก้าวไป


กิเลสเหมือนน้ำหยดรดใบบัว
จะเปียกเปื้อนหมองมัวก็หาไม่
ทั้งบัว..น้ำ..ยังคงอยู่คู่กันไป
แต่ในใจรู้เท่าทันว่ามันมี


โลกธรรมครอบงำส่ำสัตว์โลก
ให้ทุกข์โศกทรมานทุกวันนี้
ดุจเพลิงผลาญร้อนเร่าเผาชีวี
คือส่วนสุดอันมีอวิชชา...


ก็ทางนี้อย่างไรเล่า..เราจักละ
ไปสู่ทางแห่งธรรมะที่ดีกว่า
มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา
ทางแห่งผู้ปรารถนาพระนิพพาน.....











พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นมัสสามิ

ขอนอบน้อมต่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ
ขอนอบน้อมต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่เป็นสัจธรรมแท้จริง
ขอนอบน้อมต่อพระอริยสงฆ์สาวก ผู้นำพระธรรมคำสอนเหล่านี้มาสู่จิตใจ
และเป็นผู้แนะแนวทางการปฏิบัติทุกอย่าง


กราบนมัสการขอบพระคุณ พระคุณเจ้าผู้เป็นพระอาจารย์ผู้ให้ธรรมะ
และพระคุณเจ้าทุกๆรูปที่ให้ความสะดวกสบายในการปฏิบัติทุกอย่าง

กราบขอบพระคุณพ่อและแม่ผู้ให้ชีวิต
ให้โอกาสและทำให้ลูกมีวันดีๆเช่นนี้เกิดขึ้น
ขอบคุณป๊ะป๋า ลูกๆทุกคน และพี่ๆ
ที่ให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติตลอดมา


สหายธรรมผู้ร่วมปฏิบัติธรรมทุกๆท่าน ในฐานะเป็นครูที่ทำให้เห็นธรรม
คณะแม่ครัวที่มาทำอาหารเลี้ยงผู้ปฏิบัติธรรม ชาวบ้านที่มีน้ำใจงาม
และเพื่อนๆที่น่ารักทุกๆท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตรทางธรรมเสมอมา


อานิสงส์แห่งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครั้งนี้จะมีแค่ไหนเพียงใด
ขอกุศลผลบุญเหล่านี้จงถึงแด่ผู้มีพระคุณทั้งหมดข้างต้นนี้ด้วยเถิด...













 

Create Date : 15 มีนาคม 2555
2 comments
Last Update : 15 มีนาคม 2555 22:09:29 น.
Counter : 2761 Pageviews.

 

แวะมาเยี่ยมยามค่ำ...สวัสดีครับ

 

โดย: **mp5** 15 มีนาคม 2555 19:05:37 น.  

 



แวะมาทักทาย ตอนเย็นๆค่ะ...

 

โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 22 มีนาคม 2555 18:00:18 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


vistapa
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]











ปีใหม่นี้ไม่มีของขวัญมาให้
มีก็แต่หัวใจดวงนี้
มามอบให้แด่เพื่อน..ที่แสนดี
ด้วยรักและหวังดีอย่างจริงใจ


ให้ร่ำรวยสวยฉลาดสมปรารถนา
ให้ชีวิตมีคุณค่าดังฝันใฝ่
ให้พ้นทุกข์พ้นโศกไร้โรคภัย
ตั้งแต่นี้ตลอดไปทุกท่านเทอญ...




Friends' blogs
[Add vistapa's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.