ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..
ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 17)

ตอนที่ 17


ในที่สุดเทอมแรกของการเรียนก็ผ่านพ้นไป ทอแสงรู้สึกได้ว่าความปลอดโปร่งโล่งใจที่ห่างหายไปนานได้มาเยือนอีกครั้ง ทั้งรายงานและการสอบก็จัดการเรียบร้อยไปแล้ว แถมยังไม่ต้องเข้าออฟฟิศอีกด้วยเพราะทุกคนพากันยกโขยงไปต่างจังหวัดกันยังไม่กลับ ช่วงเวลาราวสองสัปดาห์ต่อจากนี้ จึงถือได้ว่าเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง

เช้าวันพฤหัสนี้ทอแสงจึงรู้สึกว่าหัวสมองปลอดโปร่งอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน แต่จิตใจก็วุ่นวายบอกไม่ถูกอีกด้วยเหมือนกัน ความยินดีและความประหม่ายึดครองพื้นที่ในจิตใจเธออย่างไม่มีใครยอมใคร นึกโกรธตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่ยอมโผล่หน้าไปเต้นตามตารางที่นุ่นจดให้เลยสักครั้ง การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันมาตลอด ทำให้ทอแสงรู้สึกเหมือนร่างกายเธอเป็นเครื่องจักรที่ไม่ได้หยอดน้ำมันและไม่พร้อมจะใช้การ

เส้นทางเดิมที่คุ้นเคย กับความรู้สึกแบบเดียวกันนี้เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เธออดนึกไปถึงวันที่เธอมุ่งหน้าเข้าสู่บ้านสวนสตูดิโอเพื่อซ้อมกับผู้ชายครั้งแรกไม่ได้ ผ่านมาหลายปีเต็มทีแล้ว เราก็ยังก้าวไปไม่ถึงไหนเลย ถึงตอนนี้ ความประหม่ากลับเปลี่ยนเป็นความเศร้าใจเสียแล้ว

“น้องทอแสง มาแต่เช้าเชียว” พี่อิ๊กทักทายเมื่อเห็นหน้า

“สวัสดีค่ะ พี่อิ๊ก วันนี้หนูมีซ้อมสิบโมงน่ะค่ะ”

“กับน้ำใช่มั้ย เพิ่งขึ้นไปเมื่อกี้นี้เอง แล้วซ้อมคนเดียวเหรอ”

“พี่อิ๊ก สวัสดีครับ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ทอแสงหันไปหาเจ้าของเสียงซึ่งเดินเข้ามาพอดี

“อ้าว ร่มไม้ มาซ้อมกับทอแสงเหรอ เต้นคู่กันใช่มั้ยเนี่ย ดีจังๆ พี่ไม่ได้เห็นเราสองคนเต้นด้วยกันมานานแล้ว”

“เจ้านุ่นมันมาออดๆ อยู่ว่าต้องไปงานวันเกิดพ่อน่ะค่ะพี่อิ๊ก ตัวสำรองอย่างหนูเลยต้องมาเต้นแทน” ทอแสงตอบ

“บ้าแล้วทอแสง ไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง” คนเป็นเพื่อนสวนกลับทันที

“นั่นสิ พูดอะไรก็ไม่รู้ พี่ยังไม่ลืมว่าเธอน่ะนางเอกของบ้านสวนเชียวนะ” อิ๊กพูดพลางเปิดฝาเตาอบขนมปัง “รีบขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนฉันมันจะมาหาว่าฉันชวนนักเต้นเขาคุย”

“อะไร นินทาอะไรฉัน” เสียงน้ำใสแหวมาถึงก่อนตัว

“นั่นไง โดนเข้าแล้วหนึ่งดอก” อิ๊กว่า ทำให้ร่มไม้และทอแสงต้องหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย คุณเพื่อนขา แค่บอกน้องว่าให้รีบขึ้นไปซ้อมได้แล้ว เดี๋ยวน้ำรอ”

คุณแม่ลูกสองยักไหล่ แลบลิ้นใส่เพื่อนชายที่ชายแต่ตัว เปิดตู้เย็นหยิบน้ำกระเจี๊ยบเย็นเฉียบขึ้นไปหนึ่งขวดแล้วเดินลิ่วขึ้นบันไดไป อิ๊กส่ายหัว ปั้นสีหน้ากังวลใจ

“เฮ้อ.. น้ำนี่มันจะเลี้ยงหลานฉันออกมาเป็นผู้เป็นคนมั้ยเนี่ย”

ร่มไม้และทอแสงหัวเราะให้กับคำพูดของอิ๊ก แล้วเดินตามน้ำใสขึ้นบันไดไป


“เอ๊ะ ครูเอมทำห้องแต่งตัวผู้ชายแล้วเหรอ” ร่มไม้พูดขึ้นเมื่อขึ้นมาถึงชั้นสอง

“ทำไมเหรอ”

“ก็ตอนนั้นมายังไม่มีเลย แล้วพวกเราก็ยึดห้องพวกเธอไปเลย ตอนหลังครูเอมถึงไล่ให้พวกผู้ชายไปใช้ห้องฝั่งสตูดิโอสามแทน”

“แล้วนุ่นมันก็เปิดประตูเข้าไปใช่มั้ย มันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องน้ำเลย วันนั้นน่ะ” ทอแสงหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น

“นั่นนุ่นเหรอ เราจำได้แต่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา แล้วพอเห็นพี่ภูมิถอดกางเกงอยู่ เขาก็รีบปิดประตูดังลั่นเลย เดาว่าคงตกใจมาก แต่จำหน้าไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะมันเร็วมาก” ร่มไม้เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดต่อยิ้มๆ

“จริงๆ ยังเคยแซวพี่ภูมิเลยนะ ว่าสงสัยคนนั้นต้องเป็นพี่ปลาแน่ๆ เลย แบบว่าอาจจะติดใจติดตาอะไรกัน เลยได้มาลงเอยกันตอนนี้น่ะ”

ทอแสงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตีแขนร่มไม้เข้าป้าบใหญ่

“บ้า ร่มไม้ทะลึ่ง”

“โอ๊ย เจ็บนะ” ร่มไม้หน้าเหยเกแต่ยังคงหัวเราะออก พอๆ กับทอแสงที่ยังคงนั่งหน้าบึ้ง แต่ปากกระตุกเพราะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“เราไม่ได้พูดนะ ไอ้ต๊ะนู่น เดี๋ยวเราไปฟาดมันต่อให้” ร่มไม้แก้ตัวอ่อยๆ ทอแสงเก๊กแตกปล่อยเสียงหัวเราะพรืดออกมา แล้วพูดต่อในที่สุด

“ผ่านมานานแล้วนะ” ทอแสงก้มหน้ามองพื้นอย่างไม่มีความหมายอะไร

“อืม ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปเนอะ หลายๆ อย่างก็เกินที่เราจะคาดเดาได้” ร่มไม้เป็นคนพูดประโยคนี้ออกมาเอง ทอแสงไม่แน่ใจนักว่าเขาหมายถึงอะไร

“ไปเปลี่ยนเสื้อซ้อมกันเถอะ” ทอแสงชวน แล้วเดินแยกเข้าห้องแต่งตัวผู้หญิงไป


“นุ่นต่อท่าให้ทอแสงแล้วใช่มั้ย” น้ำใสถาม

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวเต้นทวนท่ากันก่อนสักรอบสองรอบแล้วกัน ถือว่าเป็นการวอร์มไปด้วยเลย” น้ำใสพูดพลางหันไปเปิดเพลง

ก็อย่างที่บอกแหละ ท่าเต้นนั้นเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลย นับได้ว่าเป็นการเต้นสนุกๆ คงเพราะนี่ไม่ใช่งานแสดงอะไรใหญ่โตที่การเต้นเป็นพระเอก ก็คงเป็นเพียงแค่น้ำจิ้มของงานเท่านั้น แต่...

“เอาล่ะ ดีมาก ไม่มีปัญหาใช่มั้ย งั้นวันนี้เรามาต่อท่าตรงท่อนที่ต้องเต้นคู่กันเลยนะ” น้ำใสพูดแล้วหันมามองทอแสงซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืด และกางเกงแนบเนื้อ “ทอแสงไปใส่ชุดบัลเล่ต์ดีกว่า เวลายกจะได้สะดวก เอามาใช่มั้ย”
ทอแสงก็รู้แหละว่าการซ้อมเต้นกับผู้ชายนั้นควรจะใส่ชุดบัลเล่ต์ เพราะการใส่เสื้อยืดนั้น เวลาทำท่ายกแบบต่างๆ แล้วมีโอกาสที่จะลื่นแล้วเกิดอุบัติเหตุได้ แต่สิ่งที่ทอแสงไม่รู้ก็คือ น้ำใสจะทำท่ายกอะไรพวกนั้นด้วย

“เอามาค่ะพี่น้ำ แต่ว่า..” ทอแสงทำหน้ายุ่งยากใจ “..พี่น้ำจะให้ทำท่าอะไรจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

น้ำใสคงจะงง เพราะเธอขมวดคิ้วมองหน้าทอแสง แล้วหันไปมองหน้าร่มไม้ ก่อนจะหันกลับมามองรุ่นน้องเธออีกที

“อะไรจริงจังเหรอ หมายถึงอะไรเอ่ย พี่งง”

“คือว่า.. เอ่อ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูมา” ว่าแล้วก็เดินออกไปเปลี่ยนชุด เพียงไม่นานก็เดินกลับเข้ามา ใส่ชุดบัลเล่ต์เรียบร้อย มีกางเกงยืดแนบเนื้อทับอยู่ข้างนอกอีกที

“เมื่อกี้พี่คุยกับไม้ว่าตอนเปิดการแสดงเนี่ย พี่อยากได้ท่าที่มันดูแล้วยิ่งใหญ่ ลองทำท่าพร็อมเมอนาดส์ซิ แบบยกขาสูงเลยได้มั้ย” ทอแสงและร่มไม้พยักหน้า ทอแสงก้าวขึ้นไปยืนบนปลายเท้า แล้วยกขาหลังสูงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่ก็ได้ไม่สูงเท่าที่เคยยกได้หรอกเพราะติดเนื้อที่เอว เธอวางมือในมือร่มไม้เหมือนที่เคยทำเมื่อคราวนั้น แล้วให้ร่มไม้พาเธอหมุนอยู่บนปลายเท้า น้ำใสส่ายหน้า

“มันดูบัลเล่ต์เกินไป ไม่เข้ากับเพลงเลย หรือคิดว่าไง” น้ำใสถามความเห็นนักเต้น

“อืม.. เราดัดแปลงท่าพร็อมเมอนาดส์ให้มันดูโมเดิร์นมากขึ้นก็ได้ครับ แต่ผมคิดว่าเพลงตรงนี้ถ้าให้ผมยกทอแสง มันน่าจะเข้ากับเพลงได้มากกว่า เพราะเพลงมันใหญ่ทีเดียว”

“เฮ้ย เอาจริงเหรอ” ทอแสงหันขวับมาหาคู่เต้นทันควัน ร่มไม้รับคำด้วยสีหน้าเฉยๆ ตามแบบของเขา

“ก็น่าลองนะ ยกท่าอะไรล่ะ” น้ำใสถามร่มไม้

“ก็ทอแสงวิ่งเข้ามาจากฝั่งโน้น พอถึงตัวเราก็ก้าวขาขวาแล้วกระโดดท่านี้” ร่มไม้พูดพลางทำท่าให้ดู “เอามือแบบนี้ก็ได้ จะได้ไม่ดูบัลเล่ต์เกินไป ที่เหลือเราจัดการเอง”

แต่ทอแสงยังอิดออดทำสีหน้าปั้นไม่ถูกอยู่นั่นเอง จนน้ำใสต้องถามซ้ำ “โอเคมั้ย ลองดูสิ”

“ค่ะพี่น้ำ แต่.. เอ่อ.. ไม้ เราอ้วนขึ้นเยอะเลยนะ แล้วก็ไม่ฟิตด้วย เอาท่าอื่นที่ไม่ใช่ท่ายกมั้ย เดี๋ยวเธอเจ็บหลัง” ทอแสงพูดรวดเร็ว


ก็เธอยังจำได้ แม่ของรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งนั่งดูการซ้อมเคยถามภูมิ ตอนที่เขายังไม่ประสบอุบัติเหตุจนไม่ได้ร่วมแสดงด้วย

“ยกผู้หญิงไม่หนักเหรอ”

“ไม่หนักครับ มันมีเทคนิคอยู่ แต่ถ้าน้ำหนักตัวมากเกินไป บางทีผมก็เลี่ยงไม่ยกดีกว่า เดี๋ยวเจ็บหลัง”

“แล้วเท่าไหร่ล่ะ ถึงเรียกว่ามากเกิน” คุณแม่คนเดิมถาม

ภูมิเหลียวมองไปรอบๆ แวบหนึ่งก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคำตอบเขาจะไม่ทำร้ายจิตใจใคร

“ถ้าเต้นด้วยกัน ผมไม่เคยยกผู้หญิงหนักกว่า 48 กิโลกรัมน่ะครับ เกินกว่านี้ก็พอไหวถ้าไม่ถึง 50 แต่มีข้อแม้ว่าผู้หญิงต้องฟิตมากๆ”

“ทำไมล่ะ” คุณแม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

“เพราะผู้หญิงที่แข็งแรงจะรู้วิธีการเกร็งกล้ามเนื้อให้ถูกส่วน ซึ่งจะเบาแรงผู้ชายได้เยอะครับ” ภูมิอธิบายต่อ “กลับกัน ถ้าผู้หญิงผอมๆ แต่กลับไม่เกร็งกล้ามเนื้อตัวเองเลย ก็จะเหมือนตุ๊กตานิ่มๆ ที่เต้นด้วยลำบาก”

“อืม” คุณแม่คนเดิมพยักหน้า


อย่าถามเลยว่าตอนนี้ทอแสงหนักเท่าไหร่ เธอเลิกเหยียบขึ้นตาชั่งมาตั้งแต่ใส่กระโปรงนิสิตไม่ได้แล้ว มันคงเกินน้ำหนักมาตรฐานของนักเต้นมาหลายกิโลทีเดียว แต่กระนั้น ร่มไม้ก็ยังบอกว่า

“เฮ้ย สบายน่า ยกเฉยๆ แค่นี้เอง ไอ้พวกผู้หญิงที่นู่นตัวใหญ่ๆ กันทุกคน”

“เอ้า ทอแสงลองดูสิ” น้ำใสกำชับมาเมื่อเห็นเธอยังยืนนิ่งอยู่

“แต่ พี่น้ำ..”

“ไว้ใจเราสิทอแสง” ร่มไม้พูด “เรายังยืนยันคำเดิมนะ ว่าเราจะดูแลความปลอดภัยของเธอให้ดีที่สุดเลย เพราะนั่นคือหน้าที่ของเรา”

ประโยคนี้ของร่มไม้ทำให้ทอแสงต้องหันไปมองเขาเต็มตา ดวงตาของร่มไม้ที่มองกลับมาทำให้ทอแสงรู้ทันทีว่าเขายังจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ได้ซ้อมด้วยกันเป็นครั้งแรกได้เป็นอย่างดี จำได้แม้กระทั่งว่า เขาพูดกับเธอว่าอย่างไรเธอถึงได้ยอมซ้อมกับเขาในวันนั้น

ความรู้สึกผิดแล่นปร๊าดเข้าจับหัวใจทอแสงทันที นั่นสินะ เธอไม่ไว้ใจเขาแล้วเหรอ ในวันนั้นที่เขาและเธอต่างก็ด้อยประสบการณ์ เธอยังไว้ใจเขาเลย แล้วในวันนี้ วันที่ร่มไม้เก่งกาจขึ้นมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอจะมัวมากลัวอยู่ทำไมเล่า

น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทำให้ทอแสงสูญเสียความมั่นใจ แต่น่าแปลกที่คำยืนยันของร่มไม้พาเอาความมั่นใจที่หล่นหายไปนั้นกลับคืนมา เธอเดินไปสุดห้องอีกด้าน พยักหน้าเป็นสัญญาณแก่ร่มไม้ก่อนจะวิ่งเข้าหา ใกล้ถึงตัวร่มไม้แล้ว

หนึ่งก้าว.. สองก้าว.. สามก้าว..

ทอแสงกระโดดในท่าตามที่ได้นัดกันไว้ ในจังหวะเดียวกับที่ร่มไม้ช้อนชายโครง และต้นขาข้างที่เธอเหยียดตรงออกด้านหลัง ยกชูขึ้นจนสุดแขน แล้วทอแสงก็ลอยขึ้นสู่อากาศเบื้องบนอย่างง่ายดายยิ่ง

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


Create Date : 11 ตุลาคม 2552
Last Update : 24 ธันวาคม 2552 8:20:37 น. 0 comments
Counter : 296 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
11 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.