ฉันฝัน.. กำลังเต้นรำ.. บนหลังคา..
ความฝันที่ใต้หมอน (ตอนที่ 4)

ตอนที่ 4


ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีเมื่ออิ๊กวิ่งหน้าตื่นขึ้นบันไดมาแจ้งข่าวร้ายที่ไม่มีใครอยากได้ยิน

“เฮ้ยยย! เจ้าภูมิถูกรถชนที่เซเว่นหน้าปากซอย”

ศลและเอมอรผุดลุกขึ้นพร้อมกันทันที “แล้วตอนนี้อยู่ไหน เป็นยังไงบ้าง แล้วเขาออกไปตอนไหนเนี่ย” ศลถามรัวเร็ว แต่คนถูกถามตอบไม่ได้สักคำถาม

“ยังไม่รู้เหมือนกัน วินรถปากซอยเพิ่งมาบอกเนี่ยแหละ”

“ทุกคนอยู่ที่นี่ เดี๋ยวครูออกไปพร้อมศลกับอิ๊กเอง” เอมอรสั่งการ

ไม่มีใครมีแก่ใจจะทำอะไรทั้งนั้น เกือบเดือนที่อยู่ด้วยกันมา จากที่ไม่รู้จักกันก็ได้รู้จัก จากที่ไม่สนิทกันก็กลายเป็นความสนิทสนม ความกังวลห่วงใยกดทับความรู้สึกอื่นให้หายไปหมด ผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมงทั้งสามคนกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเครียดขรึม ไร้วี่แววของภูมิ ทุกคนที่รออยู่กรูเข้าไปรุมล้อมทันที

“โชคดีที่ภูมิไม่เป็นอะไรมาก” ศลกล่าวขึ้นเป็นคนแรก “ไหปลาร้ากับแขนซ้ายหัก ต้องผ่าตัดดามเหล็ก เอาน็อตยึดแล้วรอกระดูกติดกัน”

“ส่งภูมิเข้าห้องผ่าตัดไปเมื่อกี้ กว่าจะรู้สึกตัวก็เช้ามืด แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ นั่นแหละ ถึงจะได้กลับมา” อิ๊กพูดเสียงเครือ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เอมอรกล่าวขึ้นในที่สุด

“ไปอาบน้ำนอนเถอะ”


สตูดิโอว่างเปล่า เหลือเพียงศลและเอมอรนั่งกันอยู่เพียงสองคน บรรยากาศหดหู่บอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะมีไฟเปิดไว้เพียงดวงเดียว
“เรามีปัญหาแล้วละครับพี่ อีกไม่ถึง 10 วันก็จะแสดงแล้ว” ศลพูดจบก็หันไปมองหน้าเอมอร ซึ่งนั่งหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ที่มุมห้อง

“ถ้าศลไม่เต้นเอง เราก็คงต้อง รีบฝึกใครสักคนขึ้นมา เธอคิดว่ายังไงถึงจะเหมาะล่ะ”

“ผมเต้นเองคงไม่ไหว ไม่ได้ทำคลาสนานแล้ว สงสัยจะฟิตร่างกายไม่ทันแน่ แต่ถ้าจะฝึกใครสักคนขึ้นมา ผมก็..” ศลระบายลมหายใจยาว “เสียดาย ผมไม่ได้เตรียมตัวสำรองไว้ ไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น”

“ศลรู้ใช่มั้ยว่า...” เอมอรนิ่งเพราะกำลังชั่งใจว่าจะพูดออกไปดีไหม เจ้าเด็กนั่น ’มีแวว’ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าฝีมือเป็นอย่างไร แต่คนเป็นครูอย่างศลต้องรู้ดี

“พี่เอมหมายถึงเจ้าไม้ใช่มั้ยครับ”

“พี่เห็นเขาก็ใช้ได้ แล้วคู่นั้นเขาก็สนิทกันดี บางทีก็เห็นไม้เขาไปซ้อมกับทอแสงอยู่ ตอนพักน่ะ”

จะว่าไปร่มไม้ก็แข็งแรงขึ้นและเต้นได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เพราะว่าได้ซ้อมกับทอแสงทุกวี่ทุกวันเนี่ยแหละ ศลพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

...ก็คงไม่มีใครจะเหมาะสมมากกว่านี้อีกแล้วแหละ


ในที่สุดวันซ้อมใหญ่ที่โรงละครก็มาถึง แม้ว่าในการซ้อมที่ผ่านมาเหล่านักเต้นจะถูกศลเอ็ดตะโรเอาอยู่บ่อยๆ แต่เอมอรและภูมิซึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่กี่วัน และได้รับเชิญมาเป็นผู้ชมการซ้อมในวันสุดท้ายนี้ก็ประทับใจเอามากๆ ทอแสงและร่มไม้เต้นได้จับใจคนดู และงดงามเกินความคาดหมาย ส่วนนักเต้นคนอื่นๆ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

การซ้อมใหญ่เหน็ดเหนื่อยกว่าการซ้อมปกติมากทีเดียว เพราะต้องลองเต้นกับชุด และลองซ้อมกับฝ่ายเทคนิค อีกทั้งต้องปรับพื้นที่ที่ใช้ในการเต้นให้เข้ากับเวทีด้วย กว่าการซ้อมใหญ่จะเสร็จสิ้นทุกคนก็แทบหมดแรง เมื่อกลับมาถึงสตูดิโอ ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปนอน ศลก็เดินเข้าไปตบบ่าร่มไม้ และทอแสงหนักๆ พร้อมกับสายตาที่ไม่ค่อยมีใครเคยเห็น – สายตาที่แสดงความชื่นชมอย่างเปิดเผย – เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะมีคำชมให้ใครๆ อย่างศล


“ไม้ รอเดี๋ยว” คนถูกเรียกให้รอหันกลับ เห็นทอแสงรั้งท้ายกลุ่มเพื่อนๆ รออยู่

“หืม?”

“คือ.. เราขอบคุณไม้มากนะ” คำพูดนั้นรัวเร็วเกินปกติวิสัย

“ขอบคุณ ขอบคุณเราเรื่องอะไร” คนพูดสงสัยจริงๆ

“ขอบคุณที่ช่วยซ้อมกับเราน่ะสิ ถ้าไม่ได้ไม้ช่วยซ้อมกับเราตั้งแต่ต้น ป่านนี้เราก็คงจะกลัวผู้ชายไม่หายสักที แล้วก็คงจะเต้นไม่ได้อยู่นั่นแหละ”

“ฮ่าๆๆ บ้าน่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องขอบคุณทอแสงเหมือนกัน เราฝึกเธอ เธอก็ฝึกเรา เราช่วยๆ กันฝึก” ประโยคต่อไปร่มไม้แสร้งทำเสียงจริงจัง “ซ้อมกับเธอน่ะดีออก แบกเธอเนี่ย ต้องใช้กำลังแขน กำลังหน้าท้องมากมายเลย นี่เราแข็งแรงเลยนะเนี่ย” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเบ่งกล้ามโชว์เสียอีกด้วย

“ฮื้ออ.. แปลว่าเราหนักเหรอ” คนถามถามเสียงสูง ร้อนรน

“ฮ่าๆๆ เราเปล่าพูดสักหน่อย” เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณสวนร่มรื่นที่ทอดยาวไปยังสตูดิโอ 3 “ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เจอกัน”

แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ เพราะไม่มีใครมีเรี่ยวแรงจะหยอกล้อเล่นกันเหมือนทุกๆ คืน ต่างอาบน้ำแล้วเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อนไปตามๆ กัน ร่มไม้ก็เช่นกัน เขาซุกตัวเข้าผ้าห่มแล้วหลับไปเกือบจะทันที


ห้องแต่งตัวหลังเวทีอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงวิ่งเล่นของเด็กๆ โชคดีที่คราวนี้ทอแสงได้ห้องแต่งตัวแยกออกมาต่างหากเนื่องจากเป็นตัวแสดงนำ ทำให้เพื่อนๆ พลอยได้อานิสงส์ในการใช้ห้องนี้ไปด้วย เวลาแสดงใกล้เข้ามา การอบอุ่นร่างกายร่วมกันก่อนขึ้นแสดงเพิ่งเสร็จสิ้นไป ตอนนี้ทุกคนจะมีเวลาอีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนจะขึ้นแสดงจริง

ทอแสงแต่งหน้าทำผมเสร็จก่อนคนอื่น เธอสวมชุดแสดง เธอเดินออกจากห้องแต่งตัวพร้อมกับพวงมาลัยในมือ มุ่งหน้าไปยังห้องพระหลังเวที เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ เงียบลงแค่เพียงก้าวผ่านเข้าไปยังห้องสี่เหลี่ยมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้บูชา ธูปในกระถางยังไม่หมดดอก แสดงว่าเพิ่งจะมีคนมาไหว้ครูเมื่อสักครู่นี้เอง เธอทรุดตัวลงนั่งพับเพียบตรงหน้าพระพุทธรูป ศีรษะเทพเจ้า และศีรษะครูหัวโขนซึ่งตั้งเรียงรายอยู่หลังควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เบื้องหน้ากำแพงสีดำทึบโดยรอบ ภาพเหล่านี้ทอแสงเห็นมาจนชินตานับแต่ครั้งยังเป็นเด็กตัวน้อย เมื่อเธอได้ร่วมการแสดงของโรงเรียนเป็นครั้งแรก เอมอรพาเธอและเพื่อนๆ เข้ามาในห้องพระแห่งนี้ มือน้อยๆ ถือพวงมาลัยกันมาคนละพวงเพื่อไหว้ครู แต่ไหนล่ะ ไม่เห็นมีครูสักคน ไหว้ครูเอมเหรอ เด็กหญิงทอแสงเคยคิดอย่างนั้น

“ที่เห็นอยู่นี้คือครูบาอาจารย์ของพวกเราจ้ะ เป็นครูของครูของครูของครู” เอมอรพูดยิ้มๆ แล้วพาเด็กๆ นั่งต่อหน้าศีรษะเทพเจ้าและศีรษะครูหัวโขนที่เรียงรายอยู่ในห้อง “ก่อนจะขึ้นแสดง เราจะต้องไหว้ครูกันก่อนนะจ๊ะ เพื่อให้เราเต้นได้อย่างมั่นใจไงล่ะ” เอมอรอธิบายเท่าที่เด็กน้อยจะเข้าใจได้ เธอกล่าวคำบูชาครูตามเอมอร ก้มกราบตามคำสั่ง พอเสร็จสิ้นก็รีบกระถดถอยออกจากห้องด้วยความเกรงกลัว

แต่ในวันนี้ ความรู้สึกเช่นนั้นปลาสนาการไปสิ้น เธอนั่งพับเพียบ จุดธูปแล้วยกมือประนมระหว่างอก กล่าวคำบูชาครูที่เธอจำได้หมดแล้วในใจ และแทนที่จะรีบลุกออกไปอย่างรวดเร็วอย่างที่เคยเป็นเมื่อก่อน เธอกลับยังคงนั่งพับเพียบอยู่ในห้องนั้น สงบสติอารมณ์ และภาวนาขอพรจากบรรดาครูบาอาจารย์ให้การแสดงวันนี้ผ่านไปด้วยดี ความตื่นเต้นไล่ขึ้นมาเป็นริ้ว ถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาใกล้เข้ามา ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เธอบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมา


ธูปใกล้หมดดอกตอนที่ร่มไม้โผล่หน้าเข้ามายังห้องพระ

“เราเข้ามากวนรึเปล่า คือเราเห็นเธอนั่งตรงนี้นานแล้ว กลัวว่าเป็นเหน็บอยู่เลยลุกไม่ขึ้น” คนพูดทำหน้าตาเป็นห่วงเสียเหลือเกิน

“บ้าสิ เรามานั่งสงบสติอารมณ์ต่างหากล่ะ”

“ตื่นเต้นเหรอ” ทอแสงพยักหน้าแทนคำตอบ

“เราก็ตื่นเต้นเหมือนกันแหละ แต่ก็พยายามคิดให้ได้ตามที่ครูเราเคยบอกไว้ ว่าตื่นเต้นไปก็เท่านั้น บนเวทีน่ะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มันสายเกินไปแล้วที่จะมากังวลกับเทคนิคต่างๆ ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามเสียงเพลงแล้วมีความสุขกับมันดีกว่า” น้ำเสียงนั้นพูดเรื่อยๆ แต่ทอแสงก็อดคิดไม่ได้ว่า มันมีกระแสความอาทรอยู่ในนั้นด้วย เธอหลบตาร่มไม้พลางลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องพระโดยไม่เป็นเหน็บ

“ถึงตอนนี้แล้ว คิดแค่จะเต้นให้เต็มที่ที่สุด และสวยที่สุดก็พอแล้วล่ะทอแสง” เสียงร่มไม้อ่อนโยนเหมือนพี่ชายปลอบน้องสาว แล้วทอแสงก็คงคิดว่าตัวเองเป็นน้องสาวเข้าแล้วจริงๆ เพราะเธอบอกร่มไม้เหมือนเด็กๆ ว่า
“ขอกอดทีสิ” ไม่พูดเปล่า สองมือสวมฉับ แล้วกอดร่มไม้แน่นเหมือนเด็กน้อยที่ไขว่คว้าหาความมั่นคง สองแขนแข็งแรงสวมกอดตอบกระชับในความมืดสลัวของหลังเวที



(โปรดติดตามตอนต่อไป)


Create Date : 20 สิงหาคม 2552
Last Update : 26 ธันวาคม 2552 11:24:13 น. 3 comments
Counter : 343 Pageviews.

 
ชอบจังครับอยากเขียนเก่งอย่างนี้บ้าง


โดย: taki2link วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:1:56:13 น.  

 
Keep up your good work! :D


โดย: KS IP: 58.64.82.240 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:23:36:52 น.  

 
ชอบๆ จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ


โดย: เหมียวน้อยจอมza@หมาป่าอิสระ วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:12:11:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วิปุลา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เต้นมา 19 ปี
เล่นดนตรีมา 18 ปี
(ขอ) เขียนหนังสือมา 10 ปี


สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


ความฝันที่ใต้หมอน

เพราะกาลเวลาย้อนกลับไม่ได้ ความฝันจึงยังคงเป็นได้เพียงความฝัน และบางครั้งเงื่อนไขในชีวิตก็ทำให้เราต้องทิ้งร้างความฝันนั้นไว้ และซ่อนมันเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะลืมความฝันที่ซุกไว้ใต้หมอนนั้นไปได้ในที่สุด

แต่กระนั้น สิ่งที่ถูกลืมเลือน ใช่จะเป็นสิ่งที่เลือนหาย ความฝันนั้นจึงยังคงรอให้ถึงวันที่เราจะไปค้นมันเจออีกครั้ง
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
20 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add วิปุลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.