| ภาพ Portinari Triptych | | | Hugo van der Goes คือ จิตรกรชาวเฟลมิช ถือกำเนิดที่เมือง Ghent ในเบลเยียม เมื่อประมาณ ค.ศ.1440 (ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) ประวัติชีวิตในวัยเด็กของ van der Goes ไม่ปรากฏมาก จะมีก็เพียงว่า เมื่ออายุ 27 ปี van der Goes ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะแห่ง Ghent เมื่อสำเร็จการศึกษาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะแห่ง Ghent จากนั้นได้ไปทำงานในหลายสถานที่และหลายหน้าที่ ทั้งนี้ เพราะจิตรกรในสมัยนั้นหาเงินได้ไม่เพียงพอจะเลี้ยงดูครอบครัว เพื่อเพิ่มความสามารถในการวาดภาพ van der Goes ได้ไปฝึกฝนเรียนงานศิลปะกับ Hans Memling และ Petrus Christus ที่เมือง Bruges จนมีฝีมือมาก และทุกคนประจักษ์ว่า van der Goes เป็นจิตรกรระดับสุดยอด จึงได้งานเป็นช่างวาดพระสาทิสลักษณ์ขององค์สันตะปาปา และยังได้ออกแบบหน้าต่างของโบสถ์ St.Johns รวมถึงได้วาดภาพประดับผนังของโบสถ์แห่งนั้นด้วย ในปี 1468 van der Goes ได้วาดภาพพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง Charles the Bold กับ Margaret of York ผลงานนี้ทำให้ van der Goes ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันศิลปะที่ Ghent จากนั้นก็ได้รับว่าจ้างจาก Tommaso Portinari ให้วาดภาพขนาด 2.5 x 6.0 เมตรประดับเหนือแท่นบูชา ภาพนี้มีชื่อว่า Portinari Triptych ที่ประกอบด้วยสามส่วน (เพราะ Portinari คือคนจ้าง และ Triptych แปลว่า สามส่วน) ณ วันนี้ภาพถูกนำออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Uffizi ในเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี และได้รับการยอมรับว่าเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของ van der Goes เพราะภาพแสดงเหตุการณ์คนเลี้ยงแกะกำลังเข้าเฝ้าพระเยซูขณะเพิ่งประสูติ ภาพมีรายละเอียดมากมาย ซึ่งล้วนแสดงความหมายที่แอบแฝงอยู่อย่างไม่มีใครเคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ศิลปะการวาดภาพของชาวเฟลมิช แต่เมื่อ van der Goes วาดภาพนี้เสร็จ ภาพได้ถูกนำส่งไปที่อิตาลี ดังนั้น จึงไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ต่อวงการศิลปะเฟลมิชในเวลาต่อมาเลย ในค.ศ.1475 van der Goes วัย 35 ปี ได้ลาบวชที่โบสถ์ Rode Klooster ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงบรัสเซลส์ ถึงจะเป็นนักบวช แต่ก็ยังวาดภาพ แม้ผลงานจะมีไม่มาก เพราะ van der Goes ชอบวาดภาพในแนวที่ตนพอใจ หาได้วาดภาพตามใจคนจ้างไม่ เมื่ออายุ 42 ปี van der Goes ได้ล้มป่วยด้วยโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงจนคิดจะฆ่าตัวตายเพราะเชื่ออย่างปักใจว่าตนคือคนที่ถูกพระเจ้าสาป vander Goes เสียชีวิตที่เมือง Oudergem ใกล้กรุงบรัสเซลล์ โดยได้ทิ้งภาพ Portinari Triptych ให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะได้ศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ซาบซึ้งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขา ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลในภาพทำให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะรู้ว่าภาพถูกวาดเมื่อ ค.ศ.1475 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ Tommaso Portinari นายธนาคารผู้ร่ำรวยได้ว่าจ้าง Hugo van der Goes ให้วาดภาพครอบครัวของตน Tommaso Portinari เกิดเมื่อ ค.ศ.1428 และได้ทำงานรับใช้คนในตระกูล Medici มาตั้งแต่หนุ่ม ในเวลาต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายธนาคารประจำตระกูล Medici สาขาเมือง Bruges Portinari ทำงานดีจนได้เข้ามามีหุ้นในธนาคารถึง 15% แต่เมื่อนายธนาคาร Piero de Medici ถึงแก่กรรม ธุรกิจจึงตกเป็นของ Lorenzo de Medici ผู้เป็นลูกที่มีอายุเพียง 21 ปี แต่กลับสนใจการเมืองยิ่งกว่าการธนาคาร ดังนั้นธุรกิจธนาคารจึงตกต่ำลงๆ ตามปรกติ Tommaso เป็นคนชอบเสี่ยงภัย ดังนั้นจึงอาสาลงทุนให้นักเดินเรือชาวโปรตุเกสเดินทางไปสำรวจทวีปแอฟริกา เมื่อเรืออับปาง ธุรกิจจึงขาดทุนยับเยิน มีผลทำให้ธนาคารของตระกูล Medici เป็นหนี้มหาศาลจนต้องล้มเลิกกิจการ และ Tommaso จำต้องใช้ชีวิตที่เหลือทำงานใช้หนี้และต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างเมือง Bruges กับเมืองฟลอเรนซ์ จนถึงปี 1501 ก็เสียชีวิต บรรดาลูกได้ปฏิเสธรับมรดกจากพ่อ เพราะรู้ว่าถึงรับไปก็ไม่มากเพียงพอชดใช้หนี้ที่พ่อได้ก่อไว้ ภาพ Portinari Triptych ที่ van der Goes วาด เป็นภาพที่วาดขณะพำนักอยู่ที่ Ghent ภาพที่วาดเสร็จแล้วถูกส่งโดยทางเรือไปเมืองปิซา โดยให้เรืออ้อมผ่านเกาะซิซิลี จากนั้นเรือได้ล่องตามลำแม่น้ำ Arno จนถึงเมืองฟลอเรนซ์ ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ.1483 ภาพได้ถูกนำไปประดิษยฐาน ที่โบสถ์ San Egidio ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1288 พร้อมโรงพยาบาล Santa Maria Nuova โดย Folco Portinari ผู้เป็นบิดาของ Tommaso Portinari ด้วยเหตุนี้ Hugo van der Goes จึงได้รับการว่าจ้างให้วาดภาพครอบครัว Portinari เพื่อนำไปประดับเหนือแท่นบูชาในโบสถ์ ภาพ Portinari Triptych ที่มีภาพย่อย 3 ภาพ คือภาพซ้าย ภาพกลาง และภาพขวา ภาพซ้ายแสดง Tommaso กับลูกชาย 2 คน คือ Antonio และ Pigello ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่หน้าเทพพิทักษ์ชื่อ St.Thomas ซึ่งกำลังถือหอกยืนอยู่ใกล้ Tommaso กับ St.Antony Abbot ภาพขวามี St.Margaret กับ Mary Magdalene ผู้กำลังถือไหน้ำมันเพื่อใช้ล้างพระบาทของพระเยซู ในการวาดภาพของทุกนักบุญ van der Goes ได้วาดให้มีพระวรกายสูงใหญ่กว่าคนปรกติ ตามความนิยมเชื่อของคนในยุคนั้นว่าขนาดของใครในภาพบอกความสำคัญของเจ้าตัว
|