| แผนที่โลกบนแผ่นดินเหนียวของชาวบาบิโลเนียน | | | ส่วนประวัติการทำแผนที่โดยคนไทยในสมัยโบราณไม่มีปรากฏชัดเจน มีเพียงหลักฐานเกี่ยวกับแผนที่ยุทธศาสตร์สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ที่น่าจะเก่าแก่ที่สุด จนถึงรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลไทยจึงเริ่มจริงจังกับการทำแผนที่ โดยร.5 ทรงตั้งกองทำแผนที่ขึ้นตามคำแนะนำของ นายเฮนรี่ อาสาบาสเตอร์ ที่ปรึกษาส่วนพระองค์เมื่อ พ.ศ.2418 ต่อมาในปี พ.ศ.2424 จึงจ้างชาวอังกฤษ ชื่อ เจมส์ แมคคาร์ธี เจมส์ (พระวิภาคภูวดล) เป็นเจ้ากรมแผนที่โดยใช้ระบบ Triangular coordination วางโครงข่ายสามเหลี่ยมเพื่อหาจุดตัดบนสิ่งอ้างอิงทางราบจากสถาบันแผนที่ของอินเดีย ผ่านพม่าเข้าสู่ไทยทางจังหวัดกาญจนบุรี จนถึงกรุงเทพฯ โดยมีจุดกึ่งกลางเพื่ออ้างอิงแผนที่ของไทยอยู่ที่ภูเขาทอง และพระปฐมเจดีย์ จากนั้นมีการลากเส้นอ้างอิงไปบรรจบกับฐานข้อมูลจากอินเดียที่ปากอ่าวไทย และลากเส้นโยงต่อไปยังประเทศลาว และเขมร โดยใช้ระบบนี้ในการปักปันเขตแดนและสร้างแผนที่ใช้เองในประเทศขนาด 1:50,000 เพื่อประโยชน์ในการทำถนน ขุดคลอง วางรางรถไฟ ทำโฉนดที่ดิน แบ่งเขตปกครอง และส่งเสริมการค้าขายระหว่างประเทศ โดยใช้เวลาถึง 40 ปี (พ.ศ. 2453-2493) แต่ก็ทำสำเร็จไปเพียง 50% ระหว่างนั้นฝรั่งเศสก็เริ่มเข้ามาทำแผนที่เขตแดนของลาวและเขมรในปี พ.ศ. 2447 มาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2491 รัฐบาลอเมริกาได้ ส่งหน่วยงานทำแผนที่ มาช่วยสำรวจและถ่ายภาพทางอากาศเพื่อทำแผนที่ภูมิประเทศขนาดมาตราส่วน 1 : 50,000 ซึ่งต่อมากรมแผนที่ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงใหม่ทุกๆ 10-12 ปี มาจนถึงปัจจุบัน ในด้านของเทคนิคการสร้างแผนที่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อความถูกต้องของข้อมูลในยุคเริ่มแรก การวาดแผนที่มักอาศัยการจำมากกว่าพึ่งพาอุปกรณ์อื่นๆ ต่อมา เข็มทิศ จึงถูกนำมาใช้เพื่อคำนวนทิศทางและระยะทาง ต่อมานักวิทยาศาสตร์จึงสร้างอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อคำนวนระยะและทิศทางบนแผนที่ เช่น เครื่องมือวัดมุมแนวตั้ง (Quadrant และ sextant) เครื่องมือวัดระยะอย่างละเอียด หรือเวอร์เนียร์ (Vernier) ร่วมกับการตั้งหอสูงเพื่อสังเกตภูมิประเทศด้วยกล้องส่องทางไกลร่วมกับการลากพิกัดแบบโครงร่างสามเหลี่ยม และเริ่มใช้ระบบเส้นรุ้งเส้นแวงเป็นระบบสากลโดยอ้างอิง 0 องศาที่จุดกรีนิชเมื่อปี พ.ศ.2427 เมื่อถึงคริสตศตวรรษที่ 19 การสร้างแผนที่จึงก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอลพร้อมกับพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ พร้อมๆ กับเทคโนโลยีภาพถ่ายก็ถูกใช้เพื่อพัฒนาแผนที่ให้มีมุมมองกว้างและถูกต้องมากกว่าเดิม จนถึงคริสตศวรรษที่ 20 เทคโนโลยีดาวเทียมก็ถูกนำใช้ในการสร้างแผนที่ร่วมกับคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย และเข้าถึงโดยคนทั่วไปได้ง่าย จนปัจจุบันคนธรรมดาเดินดินก็สามารถครอบครองเครื่องรับสัญญาณพิกัดดาวเทียม (GPS) สำหรับดึงข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเพื่อนำทางและปักหมุดสถานที่สำคัญ ไม่ต้องเป็นกัปตันเรือล่าอาณานิคมก็มีแผนที่โลกแบบละเอียดอยู่ในมือ พัฒนาการของแผนที่ล้วนแต่ต้องอาศัยรากฐานการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ หน่วยงานต่างๆ ล้วนต้องมีนักพัฒนาและวิเคราะห์แผนที่นั่งทำงานอยู่ เช่น กรมแผนที่ทหารซึ่งทำหน้าที่พัฒนาแผนที่มาตั้งแต่สมัย ร.5 ก็ยังมีหน้าที่เดิมแต่ก้าวไกลด้วยระบบภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง เพื่อให้บริการข้อมูลให้กับหน่วยงานราชการและการป้องกันประเทศ ส่วนสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ให้บริการข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจากดาวเทียมของไทยและการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคใหม่ๆ ให้กับภาครัฐและเอกชน ถือเป็นความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ที่มีความจำเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาและจัดการฐานข้อมูลที่สำคัญของประเทศ โดยเมื่อถึงเวลาวิกฤติ ทั้ง 2 หน่วยงานก็สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อสังคมได้ เช่น การให้บริการประชาชนเมื่อเกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ซึ่งทั้งกรมแผนที่ทหารและ GISTDA ก็ได้เปิดให้ดาวน์โหลดฐานข้อมูลแผนที่ปริมาณน้ำของแต่ละจังหวัดและเขตการปกครองกันชนิดวันต่อวันเลยทีเดียว
|