ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยในออสเตรเลียที่เผยให้เห็นว่าแบคทีเรียวอลบาเชียหลายสายพันธุ์นั้นสามารถหยุดการแพร่ระบาดของไข้เด็งกี่จากยุงได้ ซึ่งบีบีซีระบุว่างานวิจัยดังกล่าวล้ำไปกว่างานวิจัยมาลาเรียนี้ และแสดงให้เห็นว่าการทดลองใหญ่ในป่านั้นก็ได้ผลดีด้วย ดร.แอนโทนี เฟาซี (Dr.Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อสหรัฐฯ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) กล่าวว่า งานวิจัยในออสเตรเลียนั้นเป็นข้อพิสูจน์แนวคิดว่า การทดลองแบบเดียวกันนี้จะได้ผลเมื่อศึกษาในโรคมาลาเรียด้วย ซึ่งหากเราทำให้ยุงเหล่านั้นมีชีวิตรอดและขยายพันธุ์ในสิ่งแวดล้อมของยุงในพื้นที่มีการระบาดของมาลาเรียรุนแรง ก็จะช่วยในการควบคุมโรคมาลาเรียได้ไม่ยาก และมองว่าศักยภาพของงานวิจัยนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ดังนั้น การทำให้งานวิจัยบังเกิดผลจึงเป็นเรื่องท้าทาย อย่างไรก็ดี ศ.เดวิด คอนเวย์ (Prof.David Conway) จากวิทยาลัยสุขอนามัยและโรคเขตร้อนลอนดอน (London School of Hygiene & Tropical Medicine) อังกฤษ ให้ความเห็นงานวิจัยเรื่องนี้น่าสนใจและเป็นรายงานแรกในเรื่องการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียวอลบาเชีย แต่จำนวนของแบคทีเรียก็ทำให้ฤทธิ์เดชที่ควรจะเป็นอ่อนลง เนื่องจากยุงที่ติดเชื้อแบคทีเรียผลิตไข่ออกมาน้อยกว่ายุงที่ไม่ติดเชื้อ นั่นหมายความว่าในโลกของความเป็นจริงการติดเชื้อแบคทีเรียในยุงก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ศ.คอนเวย์ยังเตือนอีกว่า งานวิจัยนี้ศึกษาในยุงเพียงสปีชีส์เดียวคือ แอโนฟิลิสสตีเฟนซี ซึ่งเป็นพาหะของมาลาเรียในตะวันออกกลางและเอเชียใต้ หากแต่ยุงสปีชีส์ แอโนฟิลิส แกมเบีย (Anopheles gambiae) ที่เป็นพาหะในแอฟริกานั้นเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า ดร.สี จื้อหย่ง (Dr. Zhiyong Xi) จากมิชิแกนสเตท หนึ่งในทีมวิจัยบอกทางบีบีซีว่า ตอนนี้พวกเขาศึกษาในยุงเพียงสายพันธุ์เดียว แต่หากมีเป้าหมายที่ยุง แอโนฟิลิส แกมเบีย ก็ต้องใช้เทคนิคเดียวกันในการศึกษา หากการทดลองดังกล่าวได้ผลเช่นกัน การใช้แบคทีเรียวอลบาเชียก็จะเป็นตัวเสริมของตัวเลือกที่มีในปัจจุบัน เช่น การใช้มุ้งกันยุง และการรักษาด้วยยา เป็นต้น
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์ บีบีซีนิวส์ โสรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ |