| ภาพการประท้วงหน้าโรงงาน Chisso | | | | อีกหนึ่งปีต่อมา บรรดาแมวที่เลี้ยงในหมู่บ้านเริ่มเดินตัวเซ บางตัวมีน้ำลายฟูมปาก ชาวบ้านจึงเรียกอาการแปลกๆ นี้ว่า โรคแมว และโรคก็ได้เริ่มรุนแรงขึ้นๆ เพราะแมวที่เป็นโรคจะเดินเวียนวนจนหมดแรง แล้วฟุบขาดใจตาย อีก 5 ปีต่อมา แมวทุกตัวในหมู่บ้านได้พากันล้มตายจนหมด ลุถึงวันที่ 21 เมษายน ปี 1956 เด็กหญิงวัย 5 ขวบคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเด็ก เพราะอาการแสดงว่าร่างกายของเธอมีความผิดปกติ เช่น พูดเพ้อตลอดเวลา เดินไม่ได้ ชัก มือไม่มีแรง มองอะไรไม่ชัด และมีอารมณ์ขึ้น-ลงจนคนรอบข้างรับลูกไม่ทัน อีก 5 สัปดาห์ต่อมา น้องสาวของเด็กผู้หญิงคนนี้กับเด็กเพื่อนบ้านอีก 5 คน ก็เริ่มแสดงอาการเดียวกัน และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจึงรายงานความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในเมืองและนอกเมืองให้เจ้าหน้าที่สุขภาพแห่งเมือง Minamata ทราบว่า ขณะนี้ได้เกิดการระบาดของโรคระบบประสาทที่ไม่มีแพทย์คนใดเคยทราบสาเหตุมาก่อน และเมื่อถึงฤดูร้อนของปีนั้น ผู้ใหญ่หลายคน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวหมู่บ้านแถบอ่าว Minamata) ก็แสดงอาการของโรคระบบประสาทนี้บ้าง ดังนั้น แพทย์จึงตั้งชื่อโรคว่า โรค Minamata ครั้นเมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเริ่มสำรวจหาข้อมูลการระบาด ก็ได้พบว่าในบริเวณนั้นมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 30 คน คนไข้ส่วนใหญ่ได้ล้มป่วยเป็นมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดแพทย์ก็ได้ข้อสรุปว่า สาเหตุคงเกิดจากการติดเหล้าของคนไข้จนทำให้สมองอักเสบ และคนไข้มีโรคอื่นๆ แทรก แต่โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ วันที่ 24 สิงหาคม 1956 เมื่อคณะแพทย์จากมหาวิทยาลัย Kumamoto ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาก็ได้พบว่า อาการป่วยทั้งหมดที่ปรากฏ เกิดจากการที่ร่างกายได้สะสมโลหะหนักในปริมาณมากเกินไปจนเป็นพิษ และร่างกายได้รับโลหะหนักนี้จากการบริโภคปลาหมึกและหอยในอ่าว Minamata นั่นเอง ถึงเดือนตุลาคมม 1956 จาก 40 คนที่ป่วยมีคนตาย 14 คน สำหรับคนที่รับผิดชอบในการปล่อยโลหะหนักลงทะเล จนทำให้น้ำในอ่าวเป็นพิษนั้น คณะแพทย์ได้ตั้งข้อสงสัยว่าโรงงาน Chisso เป็น ฆาตกร เพราะโรงงานได้เทสารประกอบของปรอท ทองแดง ตะกั่ว เซเลเนียม อาร์เซนิค แมงกานีส และแทลเลี่ยม ลงอ่าวเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว และโลหะหนักที่เป็นพิษได้กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำในอ่าว ดังนั้นเมื่อปลา และหอยได้บริโภคสารพิษ และสัตว์น้ำนี้ถูกคนบริโภคอีกทอดหนึ่ง พิษที่ตกค้างในสัตว์น้ำจึงเข้าสู่ร่างกายคนได้ในที่สุด ลุถึงปลายปี 1956 จำนวนผู้ป่วยด้วยโรค Minamata ได้เพิ่มมากถึง 52 ราย ก่อนเสียชีวิตคนเหล่านี้ล้วนพูดไม่ชัด ตัวสั่น อ่อนแรง เป็นอัมพฤกษ์ มีอาการชักกระตุก จนทำให้ร่างกายพิการ และตายในที่สุด สถิติระบุว่าจากคนไข้ทั้ง 52 คน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ได้เสียชีวิต 21 คน ภายในเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ที่รู้ว่ากำลังเป็นโรค แม้รายงานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้จะแพร่ในหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ผู้บริหารจึงไม่ได้วางแผนใดๆ ที่จะควบคุมจำนวนผู้ป่วยให้คงตัว หรือออกกฏหมายห้ามชาวบ้านบริโภคปลา ปู หอยที่จับได้ในอ่าว ดังนั้น เมื่อไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โรงงาน Chisso ก็ยังปล่อยโลหะหนักลงอ่าวต่อไป จนกระทั่งถึงปี 1958 โรงงานจึงเปลี่ยนไปปล่อยของเสียลงแม่น้ำ Minamata ซึ่งไหลออกสู่ทะเล Shiranui โดยตรง การชันสูตรศพของผู้เสียชีวิตในปี 1960 แสดงให้เห็นว่า ในกระเพาะผู้ตายทุกคนมีปรอทปริมาณมากผิดปกติ และต้นเหตุสำคัญของโรค คือ สารประกอบ methylmercury ที่แพทย์ได้พบว่าเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ในขั้นตอนการได้ข้อสรุปนี้ ทางบริษัท Chisso มิได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของบริษัทมาร่วมประชุมด้วยเลย ในปี 1959 แพทย์ประจำบริษัท Chisso ท่านหนึ่งได้ทดลองเอาน้ำเสียที่ถูกปล่อยจากโรงงานไปให้แมวกิน และแมวได้ป่วยเป็นโรค Minamata ทันทีที่รู้ข่าว บริษัท Chisso ได้เลิกจ้างแพทย์คนนั้น และสั่งห้ามไม่ให้ใครใดทำการทดลองเรื่องทำนองเดียวกันนี้อีกอย่างเด็ดขาด เพราะผู้บริหารของบริษัทเชื่อว่า ปรอทเป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับสิ่งมีชีวิตใดๆ แม้การทดลองในห้องปฏิบัติการจะพบความจริงชัดว่า จุลินทรีย์และแบคทีเรียในอ่าว Minamata สามารถแปลงสารอนินทรีย์เช่นปรอทให้เป็นสารประกอบที่สามารถละลายน้ำได้ให้ปลาและหอยกินเข้าไปก็ตาม แต่เมื่อแพทย์ตรวจเส้นผมของผู้เสียชีวิต และของชาวบ้านที่ยังเป็นปกติก็พบว่าปริมาณปรอทที่พบในคนตายมีมากถึง 175 เท่าของคนปกติที่อยู่ห่างไกล และมากเป็น 4 เท่าของคนที่อยู่แถบอ่าว Minamata
|