"ฝนราชการ" ผลกระทบหนึ่งจาก "โดมความร้อน"
| "ฝนราชการ" ผลกระทบหนึ่งจากโดมความร้อน | | | นักวิชาการจุฬาแจงผลกระทบจาก "โดมความร้อน" ชี้ทำให้เกิดฝนในปริมณฑลที่เป็นขอบของเกาะความร้อนจากเมืองใหญ่ อุณหภูมิภายในเมืองคงที่จนอากาศภายนอกพัดเข้ามาไม่ได้ เกิดการสะสมของมลพิษ และ"ฝนราชการ" เป็นอีกหนึ่งผลกระทบ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คลายปมเรื่องโดมความร้อนในกรุงเทพมหานคร ภายในงานเสวนาสำหรับสื่อมวลชน เมื่อ 13 มิ.ย.56 ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้ร่วมในงานเสวนาดังกล่าวด้วย อาจารย์ฟิสิกส์อธิบายว่า กรุงเทพฯ มีสภาพเป็นเกาะความร้อน (urban heat island) เนื่องจากภาพเมืองเต็มไปด้วยตึก ซึ่งมีความสามารถในการกักความร้อนได้ดีกว่าน้ำ 2 เท่า ซึ่งตึกหรืออาคารที่ก่อด้วยอิฐจะเก็บความร้อนจากแสงแดดในช่วงกลางวัน แล้วระบายออกในตอนกลางคืน ทำให้อากาศในเมืองเย็นตัวช้ากว่าอากาศรอบนอกโดมความร้อน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ การใช้รถยนต์ที่มีการพ่นความร้อนจากการเผาไหม้ หรือการใช้เครื่องปรับอากาศระบายความร้อนออกจากอาคาร เป็นต้น ซึ่ง ดร.สธนอธิบายว่าความร้อนเหล่านี้จะลอยตัวขึ้นแล้วระบายออกรอบข้าง กลายเป็นโดมที่ครอบเมืองไว้ โดยอากาศภายในโดมจะมีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ อากาศภายนอกพัดเข้าได้ยาก จึงทำให้เกิดการสะสมของมลพิษที่ไม่ถูกพัดไปที่อื่น โดมความร้อนของกรุงเทพฯ นั้นครอบคลุมเกือบเท่าพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งขับรถยนต์เข้ามาบริเวณรอยต่อระหว่างโดมความร้อน จะพบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ดร.สธนแนะว่าหากขับรถไปบนสะพานพระราม 9 แล้วมองไปทางดาวคะนองจะเห็นว่าฟ้าเป็นคนละสีกับฟ้าในใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจากฝุ่นละอองภายในเมืองที่สะท้อนแสงไฟตอนกลางคืน ผลกระทบจากโดมความร้อนนั้น ดร.สธนระบุว่าจะทำให้เกิดฝนบริเวณขอบของโดม เนื่องจากอากาศจากด้านนอกเข้ามาปะทะขอบโดม แล้วยกตัวกลายเป็นเมฆฝน โดมความร้อนในกรุงเทพฯ จึงส่งผลให้เกิดฝนบริเวณเขตปริมณฑล ขณะเดียวกันความร้อนภายในเมืองยังเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดฝนที่ตกช่วงเวลาคนเมืองเลิกงาน หรือเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า "ฝนราชการ" ฝนราชการที่มักตกในช่วงเวลาเลิกงานนั้น เป็นผลจากการที่เมืองสะสมความร้อนไว้จนสูงสุดในช่วง 15.00 น.เมื่อถึงเวลา 16.00 น. ดวงอาทิตย์คล้อยลงขอบฟ้า ทำให้ความชื้นสะสมได้มากขึ้น กอปรกับสภาพเมืองและโดมความร้อนทำให้ความร้อนไม่ระบาย จึงเกิดเมฆฝนและตกในช่วงเวลาดังกล่าว "สภาพการสะสมความร้อนนี้เกิดขึ้นทุกที่ทั้งในเมืองและตามทุ่งนา โดยความร้อนสะสมสูงสุดช่วงเวลา 15.00 น.เหมือนกัน แต่ตามทุ่งนาหรือต่างจังหวัดมักเป็นที่โล่ง อากาศระบายได้ จึงเกิดเมฆฝนน้อยกว่า ขณะที่ในเมืองมีตึกสูงและโดมความร้อน อีกทั้งสะสมความร้อนได้สูงกว่า จึงเกิดเมฆฝนได้มากกว่า" ดร.สธนอธิบาย
| | ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์ สิริสวัสดิ์ศุกรวารค่ะ | | | |
Create Date : 14 มิถุนายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 14 มิถุนายน 2556 6:44:30 น. |
Counter : 1073 Pageviews. |
|
|
|