|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องดีดี(14)...มูลค่าของชีวิต
"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย"
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อ หมูในตลาดไปอย่างรวดเร็วทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า
"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"
"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"
ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกันและเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจแถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว
เสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือแม่จึงเดินเข้าไปถาม
"พี่หนอม มีไรหรอคะ"
"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุพอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งทีและคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้นซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า
"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะเอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"
ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"
แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า
"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง..."
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า
"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะน้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"
แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที
"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"
แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า
"ไม่รู้จักหรอก
แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูกแต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"
"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"
ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆเมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า
"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"
"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"
"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ
บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"
"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุขแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า
"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆแม่ถึงช่วยแกเอาไว้"
แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้ง นี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดแล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณสามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียนแม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงินแม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแค่ทำงานหนักมากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ
หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไปฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือนแม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้วยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด
หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันทีไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วนหากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที
แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้นฉันก็ตกลง
หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้วแม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอกทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมากโอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท
ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลยแต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง
หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉันปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาลนางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ
นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกาแต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้นเมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้ ค่าผ่าตัด 0 บาท ค่ายาทั้งหมด 0 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุงขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
จาก Mail ฉบับหนึ่ง
Create Date : 03 มกราคม 2554 |
Last Update : 3 มกราคม 2554 19:54:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 377 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|