|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องดีดี(32)...ฟองน้ำ
มาตรวัดความดังของข่าวชาวบ้านข่าวใดข่าวหนึ่งคือก็หูของผมนี่เอง สำหรับคนที่ทั้งปีทั้งชาติไม่ติดตามข่าวเหล่านี้ ไม่สนใจ ไม่เหลือบมอง แทบไม่รู้จักดารานักร้องคนไหน เป็นดัชนีบอกว่า หากผมรู้เรื่องข่าวใดข่าวหนึ่ง ก็แสดงว่ามันเป็นข่าวใหญ่จริง !
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเกือบต้องไปหาหมอเพื่อรักษาอาการแก้วหูฉีกเนื่องจากข่าวใต้สะดือของดาราทิ่มกระแทกแก้วหูของผมจนเกือบพัง อืม! แสดงว่านี่เป็นข่าวดังจริงๆ !
ในช่วงเวลานี้เอง ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ไฟลามทุ่งที่เกิดขึ้นเพราะผู้ให้ข่าวหรือผู้รับข่าวกันแน่ เป็นไปได้ไหมว่า ความวุ่นวายทั้งหลายเกิดเพราะการบอกต่อมากกว่าเพราะความวุ่นวายของตัวปัญหาเอง ยิ่งบอกต่อ ก็ยิ่งขยายขนาดของเรื่อง จากเรื่องที่อาจไม่ใช่ปัญหาแต่แรกกลายเป็นปัญหาจริง จากปัญหาเล็กกลายเป็นปัญหาใหญ่ จากปัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหายักษ์
บางทีปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เหตุการณ์ใครทำใครท้อง ใครสำส่อน ใครมีระดับศีลธรรมสูงกว่าคนอื่น แต่คือลัทธิบริโภคนิยมนี่เอง โดยมีข่าวเป็นสินค้าร้อนแรงตัวใหม่ที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ บางทีปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เหตุการณ์ แต่คือผู้ให้ข่าวกับผู้รับข่าว
ในมุมของผู้ให้ข่าว ปัจจุบันนี้สื่อสารมวลชนส่วนใหญ่เลือกเสนอข่าวตาม เรทติ้ง มากกว่าความสำคัญของเนื้อข่าว สิ่งที่ปรากฏบนสื่อไม่ใช่ 'ข่าว' เสมอไป การแก้ไขเรื่องนี้ (หากเราคิดว่าจำเป็นต้องแก้ไข!) ก็คือการปฏิวัติรื้อระบบการสอนนักศึกษาสายสื่อสารมวลชนเสียใหม่หมด ให้รู้จักความแตกต่างของนักข่าวกับนักขายข่าว
นักข่าวค้นหาความจริง นักขายข่าวเสนอเรื่องอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง แต่ละวันก็ต้องหาเรื่องมาเสนอ แม้จะไม่มีเรื่องก็ตาม
ดาวตลกอเมริกัน เจอร์รี ไซน์เฟลด์ จึงกล่าวเป็นเรื่องขำๆ ว่า "น่าอเมซิงจริงๆ ที่ปริมาณข่าวที่เกิดขึ้นในโลกทุกๆ วันบรรจุพอดีกับหน้าหนังสือพิมพ์เป๊ะเลย!"
ในมุมของผู้รับข่าวกลับเป็นเรื่องที่น่าสนใจกว่า ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนโต ข่าวคาวลักษณะนี้ไม่เคยขาดหายไปจากสังคมไทยหรือเทศ ทำให้เราอาจต้องตั้งทฤษฎีว่า บางทีต่อมความอยากรู้อยากเห็นของคนเราฝังอยู่ในยีน ลบออกไม่ได้ ออกอาการด้วยโรคที่หมอจีนเรียกว่า บ่อสื่อจ่อ (ไม่มีอะไรดีๆ ทำ)
สมองคนเราเปรียบเสมือนฟองน้ำก้อนใหญ่ มีคุณสมบัติดูดซับทุกอย่างรอบตัว การดำรงอยู่ของสมองคือเพื่อเก็บข้อมูลแล้วย่อย ประกอบการตัดสินใจเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ฟองน้ำนี้เองที่ทำให้มนุษย์วิวัฒนาการเหนือสัตว์โลกอื่นๆ
ธรรมชาติยังใจดี กลัวว่าเราจะซับทุกอย่างที่ขวางหน้า จึงเพิ่มอุปกรณ์เสริมอีกตัวหนึ่งติดมาด้วย ก็คือสติสัมปชัญญะ ใช้เป็นเครื่องกลั่นกรอง พิจารณาว่าอะไรควรดูดซับ อะไรไม่ควร อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ
สิ่งแวดล้อมในสังคมทุกวันนี้ปกคลุมด้วยมลพิษทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ รอบตัวเรามีน้ำสกปรกหลายชนิด บ้างซ่อนรูปในสีสันสวยงามจนดูออกยาก แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สกปรกด้วยฝุ่นละอองทางอารมณ์ ไม่ได้แปลว่าเราต้องปล่อยตัวให้เลอะเทอะตามสิ่งแวดล้อมไปด้วย เราไม่จำเป็นต้องดูดซับอะไรก็ได้ที่คนเขายื่นมาให้ เราสามารถเลือกที่จะรักษาความสะอาดของจิตใจอารมณ์ได้
อุ้ย! งั้นก็ตกข่าวซี? แล้วจะเอาอะไรไป เมาธ์ กับคนอื่นล่ะ?
หากชีวิตอยู่ได้ด้วยการเมาธ์ ชาตินี้ทั้งชาติก็ต้องเป็นโรค บ่อสื่อจ่อ ไปจนตาย แต่หากจะเลือกทางเดินสายนี้ ก็ย่อมเป็นเสรีภาพของปัจเจกชน ทว่าทุกครั้งที่เราเข้าไปรับรู้เรื่องชาวบ้าน เรากำลังเสียเวลาอันมีค่าของเราไป ทีละนาที ทีละวินาที
การตกข่าวที่ไม่เป็นข่าวไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียหน้า จะตกเทรนด์ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ การเสียเวลาชีวิตเป็นเรื่องร้ายแรงกว่ามาก
ฝรั่งมีคำกล่าวว่า No news is good news (ไม่มีข่าวคือข่าวดี) ฟองน้ำแห่งชีวิตยิ่งสะอาด จิตใจก็ยิ่งสะอาด สมองยิ่งโล่งจากเรื่องไม่เป็นมงคล ก็มีเวลาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากขึ้น
การตกข่าวไม่ได้หมายถึงการไม่รับรู้ความเป็นไปในโลก การตกข่าวหมายถึงเราเลือกใช้ฟองน้ำของเราอย่างระมัดระวัง ไม่ดูดซับพร่ำเพรื่อ ไม่รับทุกอย่างที่คนขายข่าวป้อนเรา
เราอาจเป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น หากเพียงเรารู้จักตกเทรนด์บ้าง
โรค บ่อสื่อจ่อ แก้ได้ไม่ยาก โดยการ บ่สื่อจ้อ ไม่ต้องเสพสื่อมากนัก
เวลาในชีวิตมีไม่มาก พูดน้อยลงหน่อยก็ดี
เวลาในชีวิตมีน้อย ใช้ฟองน้ำของเราดูดซับแต่เรื่องที่สร้างสรรค์ดีกว่า
เรื่อง :' วินทร์ เลียววาริณ
Create Date : 09 มกราคม 2554 |
Last Update : 9 มกราคม 2554 10:04:33 น. |
|
0 comments
|
Counter : 465 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|