เจ้าช่อมะกอก ::เจ้าดอกมะไฟ
บล๊อคนี้ทีแรกว่าจะไม่เขียน แต่ขอเข้ามาสรุปเรื่องที่คิดทิ้งไว้ก่อนที่ตัวเองจะลืมค่ะ
ประวัติเรื่องของนักกวีในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นที่พูดจากัน วิเคราะห์กันมานาน ตัวเองก็อาศัยจับแพะไปชนกับแกะบ้าง บางทีก็เขาชนไก่ จับให้วุ่นวายไปหมด เรื่องราวของ ท่านสุนทรภู่ กวีเอก ตัวเองก็เพิ่งจะให้ความสนใจในระยะหลังนี้ค่ะเพราะหลังจากอ่านงานท่านในเชิงคำกลอนคำภาษาก็ว่าไป....แต่เมื่อลงลึกพิจารณาถึงเนื้อหาทางการเมืองที่ซ่อนเร้นอยู่ในแต่ละเรื่องราวของท่านแล้ว ก็ให้เห็นสิ่งที่ขยายความมามากกว่า คำกลอนที่ท่านประพันธ์ไว้
เอาละไม่พูดถึงท่านสุนทรภู่ ดีกว่า เพราะจะเปิดบล๊อคนี้ขึ้นมาเพราะอยากเขียนเกี่ยวกับคุณพุ่ม บุษบาท่าเรือ นักกวีหญิง ร่วมสมัยของท่านสุนทรภู่ นั่นเอง
ในสมัยของรัชกาลที่ ๓ ต้นรัตนโกสินทร์ เราต้องบอกว่าเป็นยุคสมัยของสตรีที่มีสิทธิมากกว่าที่เรารู้ เรามองย้อนอดีตไปอาจจะเห็นแต่ภาพของผู้หญิงที่ต้องรักษาเนื้อรักษาตัว อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเท่านั้น.....แต่ขอโทษ....มนุษย์ก็คือมนุษย์ค่ะ ยุคสมัยไหนก็คล้ายๆกันไปหมด มีกิเลส มีตัณหาเสมอเหมือนกัน สังคมสมัยนั้นก็ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องราวเหล่านี้อยู่ภายใต้กรอบประเพณีอันดีงาม แต่มีจารีตปฏิบัติที่น่าสนใจถึงความเป็นเสรีของสตรีอยู่มากพอสมควรทีเดียว
คุณพุ่ม นั้น เป็นธิดาของพระยาราชมนตรี(ภู่) ไม่ใช่ท่านสุนทรภู่นะคะ คนละท่านกัน คุณพุ่มจะเกิดวันเดือนปีใด ยังไม่ได้ค้นเลยค่ะ ทราบแต่ว่าท่านเสียชีวิตในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕
ช่วงชีวิตของท่านแรกเริ่มเดิมที เป็นชาววังตำแหน่งพนักงานอัญเชิญพระแสง ซึ่งมีหน้าที่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน คิดว่าต้องเป็นที่โปรดปราน และทรงไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องเชิญพระแสงตามเสด็จตั้งแต่บนที่ (ที่พระบรรทม เรียกกันสั้นๆ ว่า บนที่) ไปทรงบาตร เมื่อเสด็จกลับขึ้นหอพระต้องคลานผ่าน ๖ เจ้านายฝ่ายใน ซึ่งเฝ้าอยู่ตลอดพระที่นั่งไพศาลทักษิณมาถวายพระแสงให้ทรงถือที่พระทวารา (ในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานชื่อพระทวารานี้ว่า เทวราชมเหศร)...[คัดมาจากคุณ จุลลดา ภักดีภูมิทนร์ ค่ะ] การติดตามเสด็จอย่างใกล้ชิด ผ่านเจ้านายนางในทั้งหลาย คลานผ่านหน้าไปมากันทุกๆวัน คิดดูเอานะคะ คงจะเป็นที่เขม่นหูเขม่นตาบรรดาท้าวนางกันพอควร....
แล้วต่อมาเห็นว่าคุณพุ่มท่านกราบบังคมลาออกจากราชการมาอยู่กับบิดาที่เรือนแพ ตรงท่าพระ ไปถามไถ่คนที่รู้ๆกัน ว่ากันว่าท่านผูกแพอยู่ตรงต้นโพธิ์ ใกล้ๆวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร หน้าพระบรมหาราชวัง ในปัจจุบันนั่นเองค่ะ
เหตุที่ท่านถวายบังคมขอลาออกมานั้น มีคนเล่าว่า คุณพุ่มไปทำหน้าที่อัญเชิญพระแสงให้แก่ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ กรมขุนอิศเรศ ในขณะนั้นเสียแทน ว่ากันว่า กรมขุนอิศเรศนั้นท่านทรงงามเหลือ เป็นที่ขึ้นชื่อมานาน ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ ยังมีเรื่องว่า เคยได้รับพระราชทานเจ้านายฝ่ายหญิง มาจากประเทศราชพระองค์หนึ่ง เจ้านายฝ่ายหญิงพระองค์นั้นยังขอสมัครใจไปอยู่กับพระองค์ จนเป็นเรื่องเล่าลือกัน
กลับมาเรื่องคุณพุ่มต่อค่ะ หลังจากที่คุณพุ่ม ไปทำหน้าที่อัญเชิญพระแสงใหกรมขุนอิศเรศอยูระยะหนึ่ง ก็มีเรื่อง เรื่องที่ว่าคือ คุณพุ่มเธอไปยื้อแย่งพระแสงกับกรมขุนอิศเรศ เข้าให้ เรื่องนี้คงเป็นที่ลือกันหนาหู จวบจนสมัยรัชกาลที่ ๕ คุณพุ่มยังมีชีวิตอยู่และได้ติดตามรัชกาลที่ ๕ ไปเล่นสักรวาในสระบางปะอินเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ " พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกระซิบสั่งกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณให้ทรงสักรวาว่าเย้าคุณพุ่ม หมายจะทรงฟังสำนวนกลอนเวลาโกรธจะว่าอย่างไร กรมหลวงบดินทรฯแกล้งอ้างความขึ้นไปถึงครั้งคุณพุ่มชิงพระแสงดาบพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เย้าอยู่หลายบทสักรวา แต่จะเป็นเพราะคุณพุ่มแก่ชราเสียแล้ว หรือเพราะเกรงพระบารมีด้วยเป็นหน้าพระที่นั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งนี้ หาได้โต้ตอบเต็มสำนวนดังแต่ก่อนไม่ บทสักรวาเหล่านั้นปรากฏอยู่ในหนังสือประชุมบทสักรวาเล่นถวายในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหอพระสมุดฯพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑"
ท้ายสุดเมื่อเกิดเรื่องกับ กรมขุนอิศเรศแล้ว คุณพุ่ม ก็เลยกลับมาอยู่ที่เรือนแพที่เก่าตามเดิม แต่ไม่ยอมกลับไปรับราชการในกระบรมมหาราชวัง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานกลอน ให้แก่คุณพุ่มครั้งนั้น ว่ากันว่า กลอนบทนี้ทรงด้นขึ้นสด ออกจากพระโอษฐ์ทีเดียว
"เจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟ
เจ้าเห็นเขางาม เจ้าตามเขาไป
เขาทำเจ้ายับ เจ้ากลับมาไย
เขาสิ้นอาลัย เจ้าแล้วหรือเอย"
คุณพุ่มนั้น คงจะหยั่งรู้ถึงความผิด ที่ทำให้พระเจ้าแผ่นดินทรงตรัสออกมาถึงเพียงนี้ จึงได้มีคำกลอนลุแก่โทษ ตน กล่าวถึงตัวเองในฐานะของธิดา พระยาราชมนตรี ที่เปรียบเสมือน "บ่อแก้ว" ในรัชสมัยของพระองค์ไว้ ว่า
เหตุใด ถึงมีการตรัสพ้อต่อว่า และแก้ตัวกันเพียงนี้
สะดุดใจคนอ่านอย่างเราจริงๆเลยค่ะ
มาต่ออีกค่ะ....มาพบกับบทกลอนอีกบทหนึ่ง คราวที่กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ พระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เสด็จมาด้นกลอนกับคุณพุ่มที่เรือนแพ ตอนนั้น ทราบมาว่าวันนั้นคุณพุ่มนั่งอยู่ด้านในเรือนแพไม่รู้ว่าเป็นใคร พอกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ แต่งกลอนสักวาอ่านออกมา คุณพุ่มจึงรู้ว่าเป็นใครเพราะจับทางเชิงกลอนกันได้ ด้วยรู้ลีลาภาษากลอนกันอยู่
กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ทรงขึ้นต้นกลอนนั้นดังนี้
สะดุดไหมคะ......"พุ่มพวงดวงเนตรของเชษฐา..." เข้าทางเลยค่ะ
ทำไมต้องเป็น -พุ่มพวง -ดวงเนตร และ -ของเชษฐา
ตัวเองรีบไปเปิดตรวจสอบพระประวัติ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ หรือพระองค์เจ้าทินกร ทรงเป็นพระโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ประสูติเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๓๔๔
แต่ถามว่า "พระเชษฐา" ในสักวาบท นั้นจะหมายถึง กรมขุนอิศเรศ ได้หรือไม่ เพราะตัวคุณพุ่มเอง เธอก็เคยไปอยู่ในวังของกรมขุนอิศเรศช่วงหนึ่ง ก็เลยต้องตรวจสอบพระราชประวัติต่อไปค่ะ จึงพบว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือกรมขุนอิศเรศ นั้น ทรงพระราชสมภพ ๔ กันยายน ๒๓๕๑.....ทรงพระชันษาเยาว์กว่า กรมหลวงภูวเนตร อยู่หลายปีค่ะ
ดังนั้น ความหมายของ....พระเชษฐา....ในกลอนบทนี้.....เห็นทีจะมีพระองค์เดียว
พระองค์ที่เคยตรัสต่อว่าคุณพุ่มนั่นเอง
มาเพิ่มเติมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคุณพุ่มที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันนะคะ
มีเรื่องเล่ากันว่า......คุณพุ่มนั้นเคยถูกเรียกไปถวายงานในพระบรมมหาราชวัง แต่เธอบ่ายเบี่ยงอ้างว่าตนนั้น "ไม่สะอาด" จึงขอทำงานถวายพระเจ้าแผ่นดินอยู่ตรงเรือนแพด้านนอกพระบรมมหาราชวังแล้วเย็บ "พู่กลิ่น" ถวายบนพระที่ในห้องบรรทมทุกคืนเสียแทน ว่ากันว่า หากคืนใดไม่มีพู่กลิ่นถึงกับไม่เสด็จเข้าในพระที่ทีเดียว (อันนี้ฟังผู้ใหญ่เล่ามาอีกที ยังหาหนังสือไม่เจอค่ะ)
และจากบทประพันธ์ของกรมหลวงภูวเนตร แล้วเราก็เดาได้ว่า สมัยนั้นคงจะเป็นทราบกันดีว่า คุณพุ่ม คงไม่ใช่เพียงแค่ "สาวเปรี้ยว" ที่มีวาจากล้าหาญตัดพ้อถึงคำอธิษฐานเหน็บแนมใครต่อใครได้มากมายถึงขนาดออกคำกลอนอธิษฐาน ๑๒ ข้อ
ทำไม คุณพุ่มสามารถประพันธ์คำอธิษฐานอันแสนเฉือดเชือนบุคคลในวงสังคมชั้นสูงได้เพียงนั้น
....เพราะที่สำคัญ....ทุกคนทราบดีว่า เธอ เป็น ใคร
เคยผ่านตาบทกลอนของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่บทหนึ่งที่พระราชทานไปยังจมื่นไวยวรนาถ ในสมัย รัชกาลที่ ๓ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ยังเป็น จมื่นไวยวรนาถ เพิ่งยี่สิบเศษๆ
ท่านจมื่นไวยฯผู้นี้ เป็นหนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลายที่ไปเยี่ยมเยียนที่ท่าแพของคุณพุ่มอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกับหนุ่มๆแวดวงชั้นสูงสมัยนั้นต้องไปเล่นสักวา ที่เรือนแพคุณพุ่มเป็นสโมสรนักกลอน
คราวนั้นเพิ่งมีเหตุที่ลูกพี่ลูกน้องของจมื่นไวย ต้องโทษประหารเพราะไปส่งเพลงยาวให้เจ้าจอมข้างใน จมื่นไวยวรนาถจึงได้รับพระราชทานกลอนจากพระเจ้าแผ่นดินมาเสียบทหนึ่ง ว่า
หลังจากได้รับพระราชทานกลอนบทนั้น จมื่นไวย คงระมัดระวังตนมากขึ้นไม่พยายามทำสิ่งที่ได้รับการตักเตือนจากพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ให้หลงมัวเมาในเรื่องของสตรีจนเสียหน้าที่ราชการอย่างเช่นตัวอย่างที่เกิดขึ้น
และ......ถ้อยคำกลอนที่ว่า... "เจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟ...." คงจะมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าที่เห็น......
แอบคิดต่อไปไม่ได้ว่า....หลังจากที่ท่านจมื่นไวยฯได้รับกลอนเตือนจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านคงไม่ได้กลับไปที่ เรือนแพคุณพุ่มหลังจากนั้นอีกเลย
แต่ว่า - -
ภาพในกล่องคอมเม้นต์เร้าใจมากกกกกกกกค่ะ
สมาธิแตกซ่าน