จากตอนที่เคยเล่าถึง ความเป็นมาของ ลูกปัด ที่ได้เคยกล่าวมาแล้ว มาครั้งนี้จะขอเล่ารายละเอียดถึง แรงจูงใจ และที่มาของ ลูกปัดลึกลับ ที่ มีชื่อว่า "อขิทโร" เม็ดนี้
ข้อมูลของ "อขิทโร" นั้นมีการกล่าวถึงอยู่เสมอเมื่อมีการอ้างอิงถึงลูกปัดโบราณที่มีคำจารึก เม็ดนี้ ที่ถูกค้นพบในประเทศไทย เพราะถือว่า เป็น "จารึก" ที่อยู่บนลูกปัด เม็ดแรกๆ แต่เมื่อได้สอบถามกับ ทางผู้เชี่ยวชาญด้านลูกปัดหลายคนต่อหลายคน ปรากฏว่า ไม่เคยมีใครได้พบเห็นลูกปัดเม็ดดังกล่าวเลย...จนทำให้เกิดข้อกังขาว่า ลูกปัดเม็ดนี้มีจริงหรือไม่ คำว่า อขิทโร เป็นคำที่มีจริง หรือ อย่างไร
ผู้เขียนไม่ใช่คนที่สะสมเครืองประดับเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบเรื่องแปลก และแง่คิดต่างๆของผู้คนในสมัยต่างๆ จึงมักจะได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับบุคคลที่ชอบสะสมของเก่า พวกสร้อย ลูกปัดเก่าแก่ทั้งหลาย ก็จะมีอะไรติดมาด้วย เป็นความเชื่อว่า อาจจะเป็นเจ้าของเดิม หรือ บางอย่าง ที่ตอบไม่ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ครั้งหนึ่งเคยฟัง เรื่องราวเกี่ยวกับโบราณวัตถุ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นชิ้นส่วนในการประกอบพิธีกรรมที่เชื่อกันว่าเป็นพิธี "ศิวาราตรี" ที่ผู้ทำพิธี จะต้องกระทำเพื่อให้เข้าถึง กิเลสทั้งปวง อย่างเต็มที่ เสพ มัวเมา แล้วสละทุกสิ่งเพื่อเข้าสู่การปฏิบัติอย่างคร่ำเคร่งเพื่อให้บรรลุสู่มรรคา โดยพลัน หินก้อนเล็กๆ ที่ถูกเผาไฟเพื่อประดิษฐ์ให้เป็นสัญญลักษณ์แห่งโลกและจักรวาลภายใต้พิธีกรรม ...คล้ายคลึงกับการทำลูกปัด
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของผู้เขียนที่เริ่มสนใจ ลูกปัด อยากรู้ความหมายของลูกปัด...เกินเลยกว่าการเป็นแค่เครื่องประดับ ของมนุษย์
และพอมาช่วง เดือนธันวาคม 2552 ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ ของทาง สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ รับฟังอภิปรายเกี่ยวกับหลุมขุดค้นทางโบราณคดีจนถึงแฟชั่นลูกปัดของคนในในยุคปัจจุบัน เรื่องของปริศนาลูกปัดแก้วในเอเชียตอนใต้ ตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้” โดย ดร. เอียน โกลเวอร์ สถาบันโบราณคดี มหาวิทยาลัยลอนดอน “องค์ประกอบในลูกปัดแก้วกับการบอกเล่าเส้นทางเดินของลูกปัดแก้วในเอเชียใต้ และตะวันออกเฉียงใต้” โดย ดร. ลอร์ ดูบิซิเยอร์ นักวิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา รัฐชิคาโก สหรัฐอเมริกา และฟังเรื่องเสน่ห์แห่งลูกปัด” ของ นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช และเรื่องราวจาก รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม
จากการสัมมนา ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลูกปัดโบราณมากขึ้น และยิ่งเกิด "ฉันทะ" ในการที่จะเขียนนิยายเกี่ยวกับ ลูกปัด ให้สำเร็จ
แต่ในเวลานั้น ผู้เขียนก็ยังไม่อาจตกตะกอนทางความคิดได้ว่า การนำลูกปัดเหล่านั้นมาใช้ จะเป็นเรื่องใด.....ภาพของพิธีกรรม แห่งศิวาราตรี กับลูกปัดพวกนั้น ก็ยังอยู่ในสมอง จนเกิดเป็น อขิทโร ฌัลล์ ขึ้นมา ตัวละครของฌัลล์ ...ดวงจิตนักบวชที่เคร่งครัด และมีวัตรปฏิบัติชัดเจน... ทำให้ผู้เขียนเริ่มสนใจการนั่งสมาธิ และเรียนวิปัสสนา จาก ครูบาอาจารย์หลายท่าน ทำโดยไม่ได้มีคำถาม แต่คำถามมาเกิดเมื่อได้ทำไป เมื่อคำถามเกิด คำตอบก็ตามมา เมื่อได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง เคร่งครัด ก็เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น ถึงคำว่า ศาสนา และ กระบวนการพิธีกรรม และเข้าใจไปถึง สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนกระบวนการทางศาสนา นั่นคือ ลัทธิแห่งการปฏิบัติ ที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ไว้ นั่นคือ กระบวนการของสมาธิฌาน ที่มาจาก ลูกประคำ นักบวช..."การนับลูกปัด" นั่นเอง
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ.... หลักการแห่ง อขิทโร ก็ชัดเจน... แนวทางการเขียนของตัวเองเพื่อเล่าเรื่องนี้ก็เริ่มชัด โครงที่วางไว้เหมือนได้รับการเติมเต็ม และสามารถกำหนดกรอบการเขียนได้ครบทุกมิติ รวมมิติต่างๆของตัวละครทุกตัว จึงได้ยอมรับว่า การเขียนอขิทโร เรื้องนี้ เหมือนกับการทำให้ตัวเองได้เติบโตไปพร้อมกับตัวละครด้วยเช่นกัน จากคนที่เคยปล่อยชีวิตเรื่อยเปื่อย เริ่มมีหลักการมากขึ้น จากชีวิตที่นั่งฝันไปตามอารมณ์ ก็สามารถควบคุมด้วยสติได้มากขึ้น ล้วนเป็นผลมาจากการปฏิบัติที่ได้เรียนรู้ควบคู่ไปกับการเขียนและการค้นคว้าข้อมูลเพื่อทำงานชิ้นนี้ หากจะมีปัญหาข้อติดขัดก็เป็นปัจจัยภายนอก นั่นคือ ความไม่สะดวกในการแบ่งเวลาทำงานของผู้เขียนนั่นเอง จึงเป็นคำตอบว่าทำไม อขิทโร จึงต้องใช่เวลาเดินทางถึง สามปี เกือบสี่ปี กว่าจะเดินทางมาถึงบรรทัดสุดท้าย
ในช่วงเวลานั้น ผู้เขียนไม่เคยลดละความพยายามที่จะเสาะแสวงหา ลูกปัด เม็ดลึกลับที่มีคำว่า "อขิทโร" จนกระทั่งติดต่อไปยังอาจารย์ที่ท่านทำการอ่านลูกปัดเม็ดนั้น คือ อาจารย์ ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณ ของ กรมศิลปากร ท่านกรุณายืนยันว่า หลักฐานเกี่ยวกับ "ลูกปัดอขิทโร" นั้น มีอยู่จริง ท่านได้อ่านจริง และตีพิมพ์การอ่านตัวอักษรนั้นลงในวารสาร เป็นหลักฐาน และหนังสือหลายเล่มที่ค้นคว้าเกี่ยวกับ ลูกปัด และเครื่องแก้วในทางโบราณคดี ก็ได้นำหลักฐานชิ้นนี้ไปกล่าวอ้างอย่างกว้างขวาง แต่กลับเป็นว่า ไม่เคยมีใครได้เห็นลูกปัดเม็ดนั้น
"ลูกปัดอขิทโร" เม็ดนี้ช่างลี้ลับจริงหนอ
ตัวผู้เขียนที่ได้สัมภาษณ์นักสะสมลูกปัดมาหลายท่าน ต่างก็ยืนยันว่า ลูกปัดเม็ดนั้นไม่มีใครได้พบเห็นอีก ซึ่ง อาจารย์ก่องแก้ว ได้ยอมรับข้อนี้ และยืนยันว่า ลูกปัดเม็ดนั้น เป็นสมบัติส่วนตัวของเอกชน ไม่ได้นำเข้ามาเก็บไว้เป็นของหลวง เพราะท่านได้อ่านจากการที่เอกชนนั้นนำมาให้ท่านอ่าน เมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้น ท่านก็ได้ช่วยค้นหาเอกสารหลักฐาน ในการอ่าน จารึกบนลูกปัดเม็ดนั้น ให้กับผู้เขียน เพื่อเป็นการยืนยัน ความมีอยู่จริงของ "ลูกปัดอขิทโร"
และไม่กี่วันนี้เอง ที่ปรากฏว่า ท่านได้ค้นพบหลักฐาน จากบันทึกการอ่าน "ลูกปัด อขิทโร" เมื่อปี พ.ศ. 2524
ระบุชัดว่าเป็นอักษร "พราหมี" มีคำอธิบายประกอบว่า เป็นลูกปัดสีส้ม ทำจากหินคาร์เนเลี่ยน ขนาดเล็ก 0.45 ซม. X 0.85 ซม. มีตัวจารึกอยู่ด้านบน
นี่เป็นภาพตัวอย่าง ว่า ลูกปัด อขิทโร คงจะมีขนาดประมาณนี้ แต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ๆมากกว่า
และบนลูกปัดเม็ดนั้น...มีจารึกเขียนด้วยเหล็กแหลม เป็นตัวหนังสือ ด้วยในสมัยนั้น ยังไม่มีการทำสำเนาถ่ายเอกสาร และท่านก็ไม่ได้รับอนุญาตในการถ่ายรูป จึงมีเพียงการคัดลอกตัวหนังสือที่อยู่บนจารึกเม็ดนั้น เก็บไว้ด้วยลายมือว่า
ซึ่งท่านได้แปลว่า ไม่อ่อนแอ แข็งแรง อดทน
ภาพนี้ ถ่ายมาจากลายมือ อาจารย์ ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้เป็นอย่างสูงค่ะ
และปัจจุบัน ลูกปัดเม็ดนี้ เก็บสะสมอยู่ที่บุคคลมีชื่อ ผู้เขียนจึงขอเว้นที่จะเอ่ยนาม แต่เพราะเหตุนี้ เราจึงสามารถยืนยันได้ว่า ลูกปัด อขิทโร นั้น มีอยู่จริง และ อขิทโร ก็สามารถดำเนินเรื่องราว ไปตามภาพฝัน และเล่าขานถึง เสี้ยวส่วนหนึ่งของลูกปัดที่เคยทำหน้าที่ให้แก่มนุษยชาติ มากกว่าแค่คำว่า "เครื่องประดับ" คือ ในความหมายของ การบำเพ็ญเพียร และ ตามความหมายของ การดำรงอยู่ของมนุษย์ ที่เข้มแข็ง อดทน ไม่อ่อนแอ
เพราะเหตุนี้ ฌัลล์ ...นามของบุรุษ หมายถึง นักสู้ นักชกผู้แกร่งกล้า
เคียงคู่กับ หวายิน...นามของสตรี หมายถึง ความกล้าหาญ
ได้เล่าขานเรื่องราว อันเข้มแข็ง อดทน และไม่อ่อนแอ ของพวกเขา
ผ่าน "ลูกปัดอขิทโร" มาจนถึงบรรทัดสุดท้ายได้อย่างหมดจด สมบูรณ์
ด้วยความตั้งใจของผู้เขียนที่อยากทำงานชิ้นนี้ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของ ลูกปัด ที่มีค่าและความหมายอันลึกซึ้ง และเกี่ยวพันกับมนุษยชาติ ความเป็นมาของพวกเรา บนผืนแผ่นดินนี้.....ให้ทุกคนได้รับรู้ ร่วมกัน
..........จนถึงวันนี้ ลูกปัดอขิทโร ในความเป็นจริง อาจจะถูกเลือนหายไปกับการเก็บสะสม และวันเวลาอาจทำให้ผู้คนลืมเลือน ไม่ได้สนใจ ลูกปัด ที่มีคำจารึกเม็ดนี้ไป
..........แต่ อย่างน้อย วันนี้ ชื่อของ อขิทโร เพิ่งจะเริ่มต้นปรากฏขึ้นในบรรณพิภพ .....ผู้เขียนจึงใคร่ขอฝาก อขิทโร ทั้งห้าเล่ม ไปยังทุกท่านที่ได้อ่านได้ผ่านตา.....รับฝากลูกปัดเม็ดนี้ ไว้ในหัวใจของท่าน ให้อยู่ในแวดวงของท่านนักอ่านไปอีกนานแสนนาน ....เท่าที่ผู้อ่านจะกรุณาด้วยเถิดค่ะ
เรายังขาดอีก 2 เล่มค่ะ เพราะงานหนังสือตอนที่หนังสือออกเราไม่ได้
ไป
ไว้รอให้สอยครบก่อนเถอะ จะนอนอ่านซะให้เปรมเชียวว.... อิอิ