|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
นิพพานที่ไม่สนุก แต่สุขอย่างยิ่ง...
ท่านพุทธทาสเคยพูดถึง.. มีหลายคนอยากรู้ว่า.. ในนิพพานมีการร้องรำทำเพลงไหม? เพราะความที่ยังติดในความสุข อยากให้นิพพานเป็นสุข และถ้านิพพานสุขจริง ก็นึกอยากจะให้นิพพานนั้นรื่นเริงสนุกสนาน
ความสุขที่น่าหลงใหล แท้จริงเป็นแค่เพียงอีกขั้วความทุกข์อันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นของคู่.. ไม่อาจพรากจากกัน คือมีความเป็นธรรมดาของสิ่งหนึ่งและอีกสิ่งหนึ่งซึ่งขาดกันไม่ได้ ถ้าไม่มาอีกขั้วหนึ่งก็จะวิ่งไปอีกขั้วหนึ่งตามธรรมชาติของทวิลักษณะ ที่ว่าสุขนั้น.. ที่แท้เป็นเพราะทุกข์น้อยลง จึงทำให้รู้สึกเป็นสุขมากขึ้นมา และความที่ได้ทุกข์น้อยลง จึงเป็นเหตุให้หลงใหล อยากกอดสุขนั้นไว้นานๆ ไม่อยากถูกพัดพาไปในอีกขั้วของความทุกข์มาก นึกถึงและคะนึงหาในสิ่งที่ชอบที่ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกามตัณหา ตัณหาในความอยากจะมีจะเป็น ทั้งความร่ำรวย ความสุขสบาย ความมีชื่อเสียงมีชื่อเสียง ถวิลหาความสุขนั้นไม่อยากจากมันไป แม้มันจะไม่เที่ยง ไม่อาจเป็นไปตามบังคับบัญชา มีการเกิดและมีความสุญสลายไปตามธรรมดา
เฉกเช่นความเป็นหนุ่มสาวที่น่าลุ่มหลงแม้ต้องแลกด้วยความแก่อันยาวนาน แต่ความสดสะพรั่งก็เรียกร้องให้เราอยากกลับมาเป็นอย่างนั้นอีก ความสำคัญมั่นหมายในอุปาทานต่างๆ อย่างไม่เข้าใจธรรมชาติของมันเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้น บางคนเดินทางไกลด้วยเครื่องบินก็รู้สึกสุข อยากเดินทางแบบนั้นอีก ความอยากเป็นเหตุของการเกิดโดยทันทีทันใด รวดเร็วตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท
แต่แม้นเราจะฝันหวานหรือวาดหวังถึงชีวิตที่จะต้องดีขึ้น มีสิ่งดีๆ เข้ามาตามที่เฝ้าฝันเท่าใดก็ตาม ชีวิตแท้จริงก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้น โลกธรรมแปดเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีสุขมีทุกข์ มีสรรเสริญมีนินทา มีลาภเสื่อมลาภ มีเกียรติเสื่อมเกียรติ
และเพราะจิตมีธรรมชาติของความดีความชั่ว เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ขึ้นลงตามอุปาทานและยังมีธรรมชาติดิ่งไปสู่เบื้องต่ำ คือพร้อมที่จะตกต่ำอยู่เสมอ ตกเป็นทาสเป็นกิเลสอย่างละเอียดอย่างกลางหรืออย่างหยาบได้หากขาดสติ ทำให้จิตต้องตกอยู่ในระบบการชดใช้กรรมที่ทำไว้ และกลไกที่จะหลุดจากกระแสขึ้นลงของวัฎฎะนั้น คือจะต้องหลุดจากลักษณะทวิภาวะโดยสิ้นเชิง มันจำเป็นที่จะต้องละทิ้งความลุ่มหลง ความติดยึดในสุข (ซึ่งที่จริงเป็นทุกข์)ลง คือเป็นอิสระจากสุขที่ไม่เที่ยงซึ่งต้องแลกมาด้วยความทุกขฺนั้นเสีย ที่เรียกว่า ลอยบุญลอยบาปดับขันธ์ปรินิพพานด้วย
หากใครยังอยากจะเสวยสุขก่อนนิพพาน อยากจะไปท่องสวรรค์ก่อนนิพพาน ก็ต้องตั้งสติให้ดีก่อน เพราะโอกาสหลงเพลินไปจนตกไปสู่ภูมิต่ำอีกก็มีมาก ใครเบื่อแล้ว เบื่อสุขทุกข์แล้ว เห็นความไม่เที่ยง ความแปรปรวน และการเกิดที่เป็นทุกข์ อยากดับตัวตนลงสักที ก็ลองปล่อยวางความสุขอย่างโลกๆ ที่คิดว่าสุข แต่ที่จริงต้องแลกด้วยทุกข์มหาศาล ก็ต้องเดินตามเส้นทางอริยมรรคมีองค์แปดแล้ว เป็นผู้เข้าใจในอริยสัจสี่แล้ว ตามพุทธดำรัสนี้แล้ว..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่งที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบไม่มากก็น้อย ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง? ภิกษุทั้งหลาย! ความเกิดเป็นความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นความทุกข์ ความแห้งใจ หรือความโศก ความพิไรรำพันจนน้ำตานองหน้า ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากบุคคล หรือสิ่งของอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ ปรารถนาอะไรมิได้ดังใจหมาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น เมื่อกล่าวโดยสรุป การยึดมั่นในขันธ์ห้า ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย! กามคุณนี้เรากล่าวว่าเป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นกำลังพลแห่งมาร ภิกษุผู้ปรารถนาจะประหารมารพึงสลัดเหยื่อแห่งมาร ขยี้พวงดอกไม้แห่งมารและทำลายกำลังพลแห่งมารเสีย ภิกษุทั้งหลาย! เราเคยเยาะเย้ยกามคุณ ณ โพธิมณฑลในวันที่เราตรัสรู้นั้นเองว่า ดูก่อนกาม! เราได้เห็นต้นเค้าของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดความดำริคำนึงถึงนั้นเอง เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีก ด้วยประการฉะนี้ กามเอ๋ย! เจ้าจะเกิดขึ้นอีกไม่ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย! เราตถาคตกล่าวว่า ความทุกข์ทั้งมวลย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์นั้น เรากล่าวว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ตัณหาคือความทะยานอยากดิ้นรนซึ่งมีลักษณ์เป็นสาม คือ ดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนาเรียกกามตัณหาอย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่เรียกภวตัณหาอย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นแล้วเรียกวิภวตัณหาอย่างหนึ่ง นี่แลคือสาเหตุแห่งความทุกข์ขั้นมูลฐาน ภิกษุทั้งหลาย! การสลัดทิ้งโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่างๆ ดับตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแลเราเรียกว่านิโรธ คือความดับทุกข์ได้
การปลอดจากกามตัณหาก็ดี ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี สำหรับปุถุชนแล้วอาจทำให้ถึงกับหดหู่เหี่ยวเฉาและมึนงง เพราะเหมือนสิ้นความสุขความสนุกไปดื้อๆ ไม่มีความรักใคร่ใหลหลง ไม่มีความทะยานอยากในอำนาจบารมี ไม่มีแม้แต่ตัวตน นิพพานดูช่างไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แต่ใครที่เข้าถึงความสงบสุขมาแล้ว เห็นทางแล้ว ย่อมรู้ว่านิพพานเป็นความสุขอย่างถาวรเพราะหมดเชื้อแห่งการเกิด เมื่อไม่มีการเกิด ความทุกข์ย่อมหาที่เกิดไม่ได้เช่นกัน ดังพุทธพจน์นี้..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะย่อมพบกับปิติปราโมทย์อันใหญ่หลวงรู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบมิได้ อิ่มอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนเองนั่นแลเป็นผู้รู้ว่า บัดนี้กิเลสานุสัยต่าง ๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว
นิพพานสำหรับทุกคน ..ท่านพุทธทาส
Create Date : 31 ตุลาคม 2548 |
|
18 comments |
Last Update : 31 ตุลาคม 2548 19:00:51 น. |
Counter : 1164 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: รักดี 31 ตุลาคม 2548 19:40:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 31 ตุลาคม 2548 19:46:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าแจ๋ว IP: 61.91.136.182 31 ตุลาคม 2548 20:11:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 31 ตุลาคม 2548 20:35:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 31 ตุลาคม 2548 22:14:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 31 ตุลาคม 2548 22:59:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: Bluejade 1 พฤศจิกายน 2548 5:55:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: it ซียู 1 พฤศจิกายน 2548 17:13:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปาลินารี 12 พฤศจิกายน 2548 20:56:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: ศาลาลอยน้ำ IP: 58.10.77.208 26 ตุลาคม 2550 16:41:52 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดีค่ะ คุณสุภาฯ
ตอนนี้เริ่มรู้สึกเบื่อๆแล้วล่ะ
อยากแก่ๆๆๆและตายๆๆๆๆไป
แต่ก็ไม่อยากกลับมาเกิดใหม่อีก
มีคนรักมากก็น่าเบื่อ
ไม่มีคนรักก็น่าเบื่อ
คนไม่เข้าใจ
ก็น่าเบื่อๆๆๆ
อะไรๆก็น่าเบื่อ
ปลงๆดีกว่า