|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
วิภาษวิธีของท่านนาคารชุนะ (ต่อ)
วิภาษวิธี (Dialectic)
ไม่อาจยืนยันใดๆ ได้ว่า ว่าง ไม่ว่าง ทั้งว่าง และไม่ว่าง และไม่ใช่ทั้งว่างหรือไม่ว่าง เหล่านี้ถูกแสดงไว้เพื่อจุดประสงค์ในการสื่อสาร (หรือเพื่อความเข้าใจในเชิงปฏิบัติ) เท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ อย่ายึดติดที่ถ้อยความ แต่ทะลวงไปถึงสิ่งที่ผู้สื่อต้องการจะบอก ไม่ว่าจะอคติชอบชังคนพูดก็ดี หรือยึดกับภาษาจนเกินไปว่าถูกไม่ถูก ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผู้รับสารหลุดจากการรับสารนั้นอย่างตรงไปตรงมาทันที การเข้าใจไปเองอย่างที่ตัวเองคิดมีความเป็นไปได้สูง จึงจำเป็นจะต้องรับสารอย่างเป็นกลาง ปล่อยวาง (จขบ.อธิบายเพิ่มเอง)
คำว่า วิภาษวิธี หมายถึงการดำเนินการอภิปรายหรือโต้วาที เป็นกระบวนการทางความคิดที่นำไปสู่การตระหนักรู้อย่างแจ่มแจ้งถึงข้อจำกัดของเหตุผล ถูกนำมาใช้ในการโต้แย้งความคิดผู้อื่น เป็นไปในเชิงปฏิเสธหรือหักล้าง (negative / destructive dialectic) หรือเพื่อแสดงจุดยืนทางความคิดของผู้เสนอ โดยพยายามหาบทสรุปหรือเป้าหมายที่เป็นสัจจะ ให้หยั่งเห็นความจริง (constructive dialectic)
วิภาษวิธี มีจุดหมายหลักคือให้บุคคลตระหนักรู้ในข้อจำกัดของเหตุผล ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว ทุกๆ ความเห็นหรือทฤษฎีบัญญัติต่างๆ จะประสบกับสภาวะการขัดแย้งในตัวเอง ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดทางภาษาหรือความคิด เหตุผลอาจเป็นวิถีทางที่ทำให้เกิดปัญญา แต่ที่สุดแห่งปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อละวางความเป็นเหตุเป็นผลที่มีข้อจำกัดทั้งปวงลง การละวางเหตุผลไม่ใช่การทิ้งเหตุผล แต่คือการหยั่งรู้ว่าเหตุผลเป็นเพียงวิถีแต่ไม่ใช่เป้าหมาย ดังนั้นการละวางเหตุผลก็คือการถอนอุปาทานที่เกิดจากความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งในทุกแง่มุม
วิภาษวิธี เป็นเครื่องมือที่ท่านนาคารชุนะนำมาใช้ จุดประสงค์คือชี้ให้เห็นข้อจำกัดของปรัชญาอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสมัยของท่าน หลักๆ ได้แก่คำสอนของสำนักสรวาสสติวาทะ เสาตรานติกะ มหาสังฆิกะ รวมถึงฮินดู เช่น สางขยะ เป็นต้น (ถ้าเป็นยุคไอทีปัจจุบัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีแต่พวกยึดความรู้ที่เป็นขยะเต็มไปหมด -_-)
นับว่าวิภาษวิธี เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ตรวจสอบคำสอนของพุทธศาสนา ด้วยการริเริ่มให้เห็นในเชิงรูปธรรมของท่านนาคารชุนะโดยแท้
ฉะนั้นยิ่งพูดมากอาจยิ่งปวดหัว ไม่มีใครยอมใคร พวกมีปัญญาบรรลุธรรมไปจากการวิภาษวิธี (ปล่อยวางในที่สุด) พวกด้อยปัญญาเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ถอนอุปาทานจากความคิดไม่ได้ .... โฮ้ ... ซวยจริงๆ ก็อัตตานี่ ถอนไม่ง่าย ไม่งั้น จขบ. คงไม่ต้องมาสร้างบล็อกอยู่ตอนนี้ Y_Y
เขียนยาวเดี๋ยวไม่มีใครอ่าน แค่นี้ก่อนนะ
....................... เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งในหนังสือ พระนาคารชุนะ ของคุณสุมาลี มหณรงค์ชัย หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ พระนาคารชุนะ
ใครดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า จะเห็นว่า ผู้ที่เข้ามาศึกษาที่นาลันทา (ในนวนาลันทามหาวิทยาลัย โดยถูกสร้างแทนนาลันทามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเดิม ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของโลก แต่ถูกพวกมุสลิมทำลายไปหลายศตวรรตมาแล้ว และพระไปสร้างนวนาลันทามหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ ใกล้ๆ กับที่เดิม) ทั้งภิกษุและภิกษุณีที่มาศึกษาที่นี่ (แต่งกายอย่างกับพระทิเบต) ใช้วิธีวิภาษวิธีนี้ ในการปุจฉา-วิสัชนา ซึ่งกันและกัน คือถามตอบกันจนหมดความสงสัย ได้ประโยชน์มากๆ
การถามตอบเพื่อค้นเอาสัจธรรมจากการโต้ตอบกัน ท่านกฤษณะมูรติเรียวว่า เสวนาธรรม คือถามตอบกันอย่างไม่มีอัตตา แต่เพียงจะหาความจริงจากสนทนานั้น ที่สุด ก็จะเห็นว่า ความคิดนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่ง ล้วนแต่ขัดแย้งกันเองโดยสิ้นเชิง ไม่มีความคิดความเชื่อใดยึดถือได้ และจะได้ทำความเข้าใจถึงข้อจำกัดของขอบข่ายความคิดที่กว้างใหญ่แต่คับแคบ
คนรู้ ไม่พูด เพราะพูดไปไม่มีวันจบ.. แต่ที่พูด เพราะเป็นวิถีแต่ไม่ใช่จุดหมาย
Create Date : 16 พฤษภาคม 2549 |
|
4 comments |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 13:20:18 น. |
Counter : 3049 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: สีน้ำฟ้า 17 พฤษภาคม 2549 9:11:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 18 พฤษภาคม 2549 9:02:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: ร้ IP: 203.113.17.173 23 พฤษภาคม 2550 11:13:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: wbj 23 กรกฎาคม 2550 9:40:39 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แต่ว่า วันนี้สีน้ำฟ้าเพิ่งตื่น เดี๋ยวไปทำงานก่อนนะคะ
แล้วค่อยมาสำรวจบล็อก
อรุณสวัสดิ์ค่ะ
สายไปหน่อย ไม่ว่ากันเนอะ