บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

บุณยภู บทที่ ๑๕ จุดเริ่มต้น (๒) โดย...นิรีย์

ทะเลสาบบัวในยามเช้าตรู่ยังคงความงามวิจิตรอยู่เช่นเดิม บงกชสีขาวบริสุทธิ์ชูดอกบาน และตูมแทรกอยู่ตามความเขียวสดของใบบัวที่แผ่ตัวเต็มทั่วทุ่งน้ำกว้างใหญ่ นายพลกุลิสร์มองนิ่งที่กลีบแบบบางของเหล่าบัวงาม

บางกลีบได้ชอกช้ำไปแล้วด้วยแรงลม

คงเหมือนดอกบัวขาวจันทราในคืนนั้น คืนที่เขาขยี้กลีบบางของเธอด้วยพายุแห่งความใคร่

เขาไม่ต้องการสูญเสียผู้หญิงคนนี้ คิดว่าจะต้องทำเช่นไรถึงจะฉุดรั้งเธอไว้ได้ คิดถึงขนาดว่าจะต้องร้องอ้อนวอน

แต่แล้วความคิดนั้นก็โดนปัดผ่านไปอย่างเร็วด้วยทิฐิ

เขาเป็นนายพลที่ทรงอำนาจที่สุดทางทหารของพิชญะ ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และร่ำรวยที่สุดแห่งคาบสมุทรมายา เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีผู้หญิงมากมายทั้งสูงศักดิ์ และงดงาม ยอมเสนอตัวโดยไม่ต้องเรียกร้อง แต่เขาไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยเห็นใครในสายตา แล้วเพียงค่ำคืนเดียวกลับมีสาวน้อยอ่อนโลกเข้ามาอยู่ในความคิดไม่ว่าจะลืมหรือหลับตา และทำให้เขาทำสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในชีวิต...การแต่งงาน

ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบมาคือความเกลียดกลัว ...ทั้ง ๆ ที่ได้ให้ในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะให้ผู้หญิงคนไหน และได้ช่วยในสิ่งที่หมิ่นเหม่ต่อตำแหน่งของเขาอย่างยิ่งเพื่อเพื่อน

“เราไม่มีทางหนีกันพ้นหรอกจันทรา ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่เราก็หนีกันไม่พ้น”

จำได้ว่าตอบสาวน้อยไปเช่นนั้นเมื่อโดนขับไล่ แม้นอยากจะอ่อนโยนแต่เขากลับรุนแรงราวสัตว์ป่า คิดเพียงว่าถ้ายอมให้สาวรุ่นตัวเล็ก ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียมาบงการได้ นายพลอย่างเขาจะไปคุมทหารทั้งกองทัพได้อย่างไร

นี่ ผ่านมาสองปีแล้วที่เขาผละไปจากที่นี่ในค่ำคืนที่ไม่อยากเก็บไว้ในความทรงจำ ทิ้งให้เธออยู่ที่นี่ตามลำพังกับคนดูแล โดยหวังว่าเวลาที่ไม่ต้องพบหน้าจะรักษาแผลในใจของทั้งเขาและเธอได้บ้าง

สำหรับเธอเขาไม่รู้ว่าเวลาจะช่วยได้หรือไม่ แต่สำหรับเขามันไม่ช่วยอะไร แผลนี้มีแต่จะกลัดหนองเจ็บปวด จนต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อบ่งมันออก

สะพานไม้ไผ่เดิมถูกรื้อทิ้งและสร้างขึ้นใหม่อย่างมั่นคง แต่ม้าก็ยังคงข้ามไปไม่ได้เหมือนเดิม เขาปล่อยให้ม้าคู่กายได้ผ่อนพักริมทะเลสาบกว้างหลังจากที่โดนควบตะบึงมาทั้งคืนจากเมืองชั้นใน ข่าวที่ได้รับเรื่องอาคิราห์ทำให้เขาต้องรีบเร่งมาที่นี่เพื่อสอบถามความจริงบางอย่างจากปากของเมียเพียงคืนเดียวของเขา เป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลพอที่จะพบหน้าเธอ

จันทราที่ไม่เคยส่องแสงสว่างใด ๆ ให้เขาเลย

“นั่นใคร”

เสียงหวานสดใสที่ไม่เคยลืม ดังอยู่เบื้องหลังก่อนที่นายพลแห่งพิชญะจะก้าวขึ้นสะพาน เขารีบหันขวับกลับไปหาต้นเสียงทันที เธออยู่ตรงนั้น แม้นจะอยู่ในอาภรณ์แสนธรรมดา แต่ยังคงเป็นจันทราดวงงาม ที่ยิ่งเปล่งปลั่งด้วยวัยสาว ผมยาวดำสนิทสยายล้อลม สวยงามจนเขาไม่อาจถอนสายตาจากร่างที่แม้นจะยังคงบอบบางเช่นก่อน แต่มาบัดนี้กลับมีส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัด และอวบอิ่มจนนึกเสียดายเวลาสองปีที่ห่างหายไป

“ท่านนายพล” เธอเอ่ยเบา ๆ ไม่มีท่าทีประหลาดใจเลยที่เห็นเขา

“ใช่ข้าเอง ยินดีที่เจอกันอีกหนูจัน”

“เรียกจันทราเถิดเจ้าคะท่านนายพล หนูจันคนนั้นไม่มีอีกแล้ว”

เขารู้สึกถึงลำคอที่แห้งผาก เกือบไร้เสียงจะตอบโต้ รู้แล้วว่าเวลาไม่ได้ช่วยรักษาบาดแผลในใจของเธอเช่นกัน

“ก็ได้ถ้าเจ้าต้องการอย่างนั้น” เขาทำหน้าเก้อ ตอบเสียงอ่อย ๆ

“ท่านคงมาเรื่องของแม่คิรา” น้ำเสียงสำรวมเย็นชา

“ใช่”

“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญท่านนายพลในบ้าน” เธอเชื้อเชิญอย่างมีพิธีรีรอง และห่างเหิน

“เจ้าไปไหนมาแต่เช้า” ถามก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีเขาไป

“ข้าไปถวายอาหารนักบวชที่วิหารใกล้ ๆ” เธอหลบตาเขาตอบเบา ๆ อย่างเย็นชา

นายพลกุลิสร์พยักหน้ารับรู้ ที่จริงแล้วเขารู้อยู่แล้วว่าเธอชอบไปไหนยามเช้าตรู่เช่นนี้ เขารู้แทบทุกย่างก้าวของเธอตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ที่เขาไม่รู้คือความรู้สึกจริง ๆ ของสาวน้อยที่กำลังเดินนำข้ามสะพานไปอย่างชำนาญ เขาเดินตามไปไม่ห่างนัก เฝ้ามองสะโพกกลมส่ายไปมายวนตาอยู่เบื้องหน้า

จันทราแอบชำเลืองมองไปด้านหลังเมื่อเห็นเขาเงียบ ๆ แต่พอเห็นว่าตาคมประดุจเหยี่ยวกำลังดูอะไร ความโกรธก็แทบจะแล่นพุ่งออกมา ถ้าไม่คิดถึงคำของอาคิราห์ที่ให้ดำเนินทุกสิ่งอย่างใจเย็น

“เชิญท่านที่ห้องอาหาร ข้าจะไปเตรียมอาหารเช้าให้”

เขาหรี่ตามองตามร่างบางหากแต่มีอกและสะโพกอวบอิ่มสมส่วน สาวน้อยผละไปทันทีที่นำเขาเข้ามาในบ้าน

‘บ้านของเรา’ ที่มีเพียงเธออยู่เท่านั้นตลอดสองปีที่ผ่านมา นายพลแห่งพิชญะเดินช้า ๆ เพื่อสำรวจไปทั่วบ้านที่เขาอยากให้เป็นบ้านของครอบครัว ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม สวยงามด้วยการตบแต่งที่เรียบง่าย และให้ความสะดวกสบายครบครัน บ้านไม้หลังย่อมชั้นเดียวที่แม้นไม่ใหญ่นัก แต่ก็ใหญ่พอที่จะทำให้คนที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียวเวิ้งว้างได้ เขาเดินเลยห้องอาหารออกมาที่สวนหลังบ้านตรงไปยังใต้ซุ้มการเวก ที่มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้หยาบ ๆ ไว้ใช้นั่งเล่นชมทิวทัศน์ทะเลบัว

สองปีเต็มที่เขาต้องส่งกองทหารลับมาคอยปกป้องคนที่อยู่ที่นี่จากคามินรัฐ และสภาพิชญะ ถ้าไม่อ้างการแต่งงานจันทราคงโดนส่งตัวกลับไปทันทีที่คามินรัฐรู้ว่าเธออยู่กับเขา แต่ในช่วงปีหลัง ดูเหมือนคามินรัฐจะไม่สนใจสถานะใด ๆ ทั้งสิ้น ทางนั้นต้องการเพียงตัวเธอกลับไป และส่งแรงบีบคั้นผ่านมาทางสภาของเขา แต่คนอย่างนายพลกุลิสร์ไม่เคยยอมใคร โดยเฉพาะ
สภาที่มีเบื้องหลังไม่สู้ดีเช่นนี้ เขา และผู้ใหญ่อีกหลายท่านกำลังเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาใหม่ในเร็ววัน...ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ตอนนี้การเมืองภายในพิชญะกำลังก่อตัวเหมือนคลื่นใต้น้ำ ยังไม่มีใครเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ผิดกับสถานการณ์ของคามินรัฐที่ได้เลือกข้างอย่างชัดเจน ที่นั่นกำลังเกิดจลาจล อาคิราห์ใกล้ได้ครอบครองบัลลังก์คามินรัฐอย่างที่หวัง มีผู้แปรพักตร์มาสนับสนุนนางมากขึ้น ๆ ทั้งที่ตัวของนางยังคงลี้ภัยอยู่ที่บุณยภูอย่างสงบเงียบ

ทะเลยามสงบนิ่งที่รอการเกิดพายุร้าย

“อาหารเช้าของท่าน เห็นไม่อยู่ในห้องอาหารก็เลยยกมาให้ที่นี่” เสียงหวานใสทำให้ตื่นจากภวังค์

“ทำไมต้องยกมาเอง” ถามอย่างห่วงใยเมื่อเห็นถาดอาหารที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก

“อยู่กันไม่กี่คน อะไรที่พอทำเองได้ข้าก็ทำเอง” เธอบอกเสียงเรียบ ๆ แล้วก็วางถาดที่ประคองมาวางบนโต๊ะด้วยเสียงที่ไม่เบานัก

“ดีจริงที่เจ้าไม่อยากให้คนอื่นมาปรนนิบัติข้าแทนเจ้า” เขายิ้มยั่วเย้าเมื่อเห็นท่าทีฝืนทำนั้น

“ข้าไม่ใจดีกับท่านขนาดนั้นท่านก็รู้” สายตาคู่งามเรืองรองขึ้นด้วยแรงอารมณ์ในใจ แม้นเสียงที่พูดจะยังคงราบเรียบอยู่เช่นเดิม

“เก่งขึ้นมากนะจันทรา” นายพลกุลิสร์มองนิ่งสบตาอดีตสาวน้อยที่เคยนอนหลับซุกอ้อมกอดเมื่อมาที่บ้านกลางทะเลสาบบัวหลังนี้ อยากให้วันคืนย้อนกลับและหยุดนิ่งตรงนั้น

“คนที่โดนปล่อยเกาะอย่างข้าจำเป็นต้องเก่ง เพื่อความอยู่รอด” เสียงที่พยายามบังคับให้นิ่งสั่นเครือขึ้นมาเล็กน้อยอย่างบังคับไม่อยู่

“ที่นี่เป็นเกาะที่มีทุกอย่าง ข้าไม่ได้ทิ้งให้เจ้าอยู่กับความขัดสน”

“ท่านรู้ได้อย่างไรเล่าว่าข้าไม่ขัดสน”

“เจ้าก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าตลอดสองปีที่ผ่านข้าไม่เคยละสายตาจากที่นี่” หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่เคยละสายตาจากเธอ

“สายตาของทหารมากมายที่ส่งมาล้อมที่นี่นะหรือ ข้าเหมือนเป็นนักโทษของท่านมาสองปีเต็มแล้ว ความขัดสนของข้าก็คืออิสระภาพ โปรดให้ข้ากลับไปหาแม่คิราได้ไหม”

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องอ้อนวอน

“ไม่ได้” จากที่อารมณ์เริ่มกรุ่น ๆ จากคำต่อว่า บัดนี้กลายเป็นไฟขึ้นมาทันที

“ทำไม ทำไมถึงไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่ท่านจะเก็บข้าไว้อย่างนี้ แม่คิราสามารถดูแลข้าได้แล้ว” เธอก็ลุกเป็นไฟเช่นกัน ความเยือกเย็นโดนละลายสิ้น

“เจ้าเป็นเมียข้า ก็ต้องอยู่ในความดูแลของข้า”

“ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือที่พูดออกมาเช่นนี้”

“สิ่งที่จะทำให้ข้าละอายคือ การปล่อยเจ้าออกไปตาย”

“ข้าตายอยู่แล้ว...ตายทั้งเป็น”

“หยุดประชดประชันได้แล้วจันทรา ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรคำตอบของข้าคือ...ไม่ได้”

“ท่าน...”

“หยุด”

เสียงและแววตาที่เคร่งเครียดทำให้เธอจำต้องหยุด การสาดอารมณ์ใส่กันไม่เป็นผลดีต่อเธอแน่นอน...จันทรารู้ซึ้งถึงผลของมันดี

“เชิญรับประทานอาหารของท่าน ข้าขอตัว” สาวน้อยรีบลุกขึ้นเพื่อจะผละไปจากผู้ชายใจร้ายคนนี้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า ฝ่ามือใหญ่สากและแข็งราวคีมเหล็กก็คว้าข้อมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ทันที เขาบีบมันแน่นจนเจ็บแปล๊บ

“ไม่ต้องไปไหน” เขาสั่งเสียงกร้าว แต่พอเห็นดวงตากลมโตสีนิลมีน้ำใส ๆ เออล้นขึ้นมา ความโกรธที่มีก็แทบจะหายไปสิ้นเพราะน้ำตา


“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า” นายพลหนุ่มฉกรรจ์เสียงอ่อนลง ท่าทีแข็งกร้าวเมื่อครู่คลายลงเช่นเดียวกับแรงบีบที่ข้อมือบาง แม้นไม่ยอมปล่อยมือแต่ก็เปลี่ยนเป็นเกาะกุมไว้อย่างอ่อนโยน เขาดึงร่างเล็กบางให้นั่งลงข้าง ๆ ตัว มีอาการขืนตัวในตอนแรก แต่แล้วก็ยินยอมโดยดีเมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องที่ต้องการคุยขึ้นมา

“เรื่องของอาคิราห์”

“มีอะไรที่เกี่ยวกับแม่คิราหรือท่าน” เธอเผลอมองเขาเต็มตาด้วยความอยากรู้เรื่องราว โครงหน้าเรียวใหญ่ที่มีจุดเด่นที่ตาคมดั่งเหยี่ยว และคิ้วหนา ดูหล่อเข้มสมชายแม้นผิวจะค่อนข้างขาว และยิ่งไรหนวดเริ่มขึ้นเขียวครึ้มไปทั่วหน้าเช่นนี้ก็ยิ่งทวีความคมเข้ม จนทำให้หัวใจสาวเต้นถี่อย่างไม่รู้ตัว

“อาคิราห์มาหาเจ้าเมื่อหลายวันก่อนใช่ไหม” เขาถามเสียงเรียบ ๆ สายตาของคนทั้งคู่ยังคงประสานกันนิ่ง

“ใช่ แม่คิรามาบอกว่าอยากจะรับตัวข้ากลับไป” เธอรับอย่างบริสุทธิ์ใจ “...แต่ติดที่”

“ติดที่เจ้าเป็นเมียข้า” เขาต่อให้เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของสาวน้อย

“ท่านนายพล กรุณา...หย่าให้ข้าได้ไหม” ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจโพล่งสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา เตรียมตัวรับพายุอารมณ์ของเขาอีกครั้ง แต่ก็ผิดคาด ผู้ชายที่อยู่ในความคิดของเธอมาตลอดสองปีกลับนิ่งสงบ

“แม่คิราของเจ้าบอกให้พูดละซิ” เอ่ยขึ้นเบา ๆ ไม่แสดงอาการหรืออารมณ์ใด ๆ เลย

“...” เธอนิ่งเงียบ และความเงียบก็คือคำตอบที่เพียงพอแล้ว

“ข้าสงสัยมานานแล้วว่าแม่คิราของเจ้าอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เขาเรียกกันว่า ยานรก” เขาเริ่มเรื่องขึ้นใหม่ด้วยท่าทางที่ไม่สบายใจนัก

“ยานรก มันคืออะไร”

“เป็นสิ่งเสพติดชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ตอนนี้มันเริ่มระบาดไปทั่วคาบสมุทรฝั่งขวา รวมทั้งคามินรัฐ มันทำให้คนไม่เป็นคน ยอมทำทุกสิ่ง เสียทุกอย่างเพื่อได้มันมาเสพ”

“ทำไมท่านถึงคิดว่าเป็นแม่คิรา”

“เพราะมีแต่นางเท่านั้นที่มีความสามารถพอที่จะทำยานรกเช่นนี้”

“ไม่จริง แม่คิราใจดี อ่อนโยน นางไม่มีทางทำยาบ้า ๆ อย่างนั้น”

“เจ้าไม่เคยรู้จักอาคิราห์อย่างที่ข้ารู้จัก เราเติบโตมาด้วยกัน นางเป็นคนเก่ง และได้ชื่อว่าเป็นหมอยาที่เก่งที่สุดด้วย”

“เหตุผลแค่นั้น จะมาใช้ปรักปรำกันได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ”

“ข้ารู้ว่าเจ้ารักนางมาก และนางก็น่าจะรักเจ้ามากเช่นกัน ข้าไม่อยากทำเช่นนี้แต่เจ้าเป็นคนเดียวที่จะทำให้เราได้รู้ความจริง นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ข้าไม่อาจให้เจ้าไปได้”

“ฮึ! น่าเสียดายนักที่แม่คิราหลงคิดว่าท่านเป็นเพื่อนแท้ ท่านวางแผนไว้ทุกอย่างแล้วใช่ไหมตั้งแต่ต้น แต่ทำไมได้แค่ตัวข้ามาก็พอแล้ว ทำไมต้องใช้การแต่งงานบ้า ๆ นั่นมาผูกพันข้า”

“เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือจันทราว่าเพราะอะไร”

“มันไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องรู้ เพราะถึงรู้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

มีเสียงเหมือนทอดถอนใจจากเขา ก่อนจะพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง “นั่นซินะ”

จันทราเมินหน้าหนีดวงตาคมที่ปรากฎแววอ่อนล้าขึ้นราง ๆ ไม่อยากคิดว่าเขากำลังเสียใจ เธอพยายามไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีก ความสนใจทั้งหมดขณะนี้มาอยู่ที่ภาพทะเลบัวเบื้องหน้าที่สวยสดใสจนพอทำให้คลายความอับเฉาในใจลงได้บ้าง แต่มีบางอย่างเป็นจุดเล็ก ๆ มากมายปรากฎ ณ เส้นขอบน้ำที่ชิดขอบฟ้า จุดเล็ก ๆ เหล่านั้นกำลังเคลื่อนเข้ามา

ใกล้เกาะกลางน้ำนี้อย่างรวดเร็ว และพออยู่ในระยะที่เห็นถนัดว่ามันคืออะไร จันทราก็แทบจะตัวแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก

พร้อมกับเสียงม้าร้องอย่างตื่นตระหนกดังกรีดขึ้นมาในความเงียบ รอบเกาะก็ถูกล้อมด้วยเรือจำนวนมากของนักรบไร้สัญชาติ นายพลกุลิสร์กัดกรามแน่นจนเป็นสัน เขาประมาทพวกสภาชุดนี้เกินไป พวกนั้นคงอาศัยตอนเขาเผลอสั่งให้กองทหารที่เฝ้าอยู่ถอนกำลังออกไป จากเสียงร้องของม้าคู่กาย การจะหนีขึ้นฝั่งก็คงไม่ทันแล้ว ที่นี่โดนล้อมไว้รอบจริง ๆ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือการสงบนิ่งเพื่อรอเจรจาเท่านั้น

ไม่ต้องรอนาน คนที่จะเจรจาด้วยก็เดินเรื่อย ๆ ออกมาจากตัวบ้าน บุรุษสูงวัยร่างผอมเกร็งในชุดเครื่องแบบตำแหน่งสูงสุดทางฝ่ายบริหารของพิชญะ

“สวัสดีท่านนายพล” เสียงเล็กแหลมปานหญิงดังจากบุรุษชราผู้นั้น

“ท่านเองหรือ...ท่านประธานสภา” เขาพูดเสียงขรึม

“คงไม่แปลกใจมากใช่ไหมที่เราพบกันที่นี่” หน้ายิ้มตอบแต่สายตากลับจัดจ้าอย่างประสงค์ร้าย

“ไม่แปลกใจเลย คิดไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้” นายพลกุลิสร์ตอบผู้มีตำแหน่งสูงสุดทางฝ่ายพลเรือนของพิชญะอย่างเยาะหยัน และอีกฝ่ายคงไม่ชอบท่าทีนี้เอามาก ๆ แต่ยังคงรักษาท่าทีไว้

“เมื่อรู้แล้วก็อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้ ทำตามที่ข้าบอก แล้วข้าอาจจะปรานีท่านนายพลบ้างก็ได้”

“ข้าไม่ต้องการความปรานีจากคนทรยศ” นายพลแห่งพิชญะตวาดใส่หน้าผู้บุกรุกอย่างไม่ยั้งอารมณ์

“ยังปากเก่งดุดันเช่นเดิม ไม่มีอาวุธ ไม่มีทหารมาหนุน ก็ไม่ต่างจากเศษสวะเท่าไหร่นัก” อีกฝ่ายยังคงยิ้มพูดถากถางอย่างใจเย็น

“ส่วนท่านคงเป็นปฏิกูลเลยกระมัง” เขาสวนกลับด้วยคำพูดที่ทำให้หน้ายิ้ม ๆ นั้น แปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวทันที และถ้าไม่เกรงรูปร่างที่แข็งแกร่งสูงใหญ่กว่า เขาก็อาจจะโดนฟาดหน้าสักฉาดไปแล้ว

“พาตัวทั้งสองคนไป” เสียงแหลมดังสั่งการกับผู้ติดตามที่มีมานับสิบคน

ทั้งหมดกรูกันเข้ามาล้อมเขา และเธออย่างหนาแน่น มีบางคนเอื้อมมือมาหาจันทราแต่โดนนายพลหนุ่มปัดออกไปก่อน

“ไม่ต้องจับ พวกเราเดินตามออกไปเอง” น้ำเสียงและแววตาที่ทรงอำนาจดุดันทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าจะแตะต้องตัวผู้ถูกควบคุมทั้งสอง

เขาโอบร่างเล็กบางเข้ามาแนบชิดตัว ก่อนจะเดินตามกลุ่มผู้บุกรุกที่นำไปยังจุดที่เรือเล็กลำหนึ่งจอดเทียบสะพานข้ามอยู่

“เราคงต้องพาท่านนายพลกุลิสร์ และภรรยาแสนสวยคนนี้ไปล่องเรือชมทะเลใหญ่เล่นสักพักรอให้ข้าจัดการพวกที่ร่วมหัวกับท่านคิดเลือกสภาใหม่ก่อน ท่านก็อาจจะได้กลับมา แต่จะครบทุกส่วนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกของท่านจะยอมแพ้เร็วแค่ไหน ถ้าไม่ยอมก็คงต้องเฉือนชิ้นส่วนของท่านที่ละชิ้นส่งให้เป็นแรงกระตุ้นสักหน่อย ส่วนภรรยาคนสวยของท่าน ข้าคงต้องส่งคืน
อาคิราห์ แต่คงต้องต่อรองบางเรื่องกันก่อน เพราะฉะนั้นจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ด้วยกันอย่างเป็นสุขนะ ก่อนจะต้องอำลากันตลอดไป...ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เสียงหัวเราะแหลมดังเสียดใจคนที่ตกเป็นเชลย ฝ่ายหญิงนั้นหน้าซีดเผือกด้วยความหวาดกลัว ส่วนฝ่ายชายกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ร้องดิ้นรนหรือแสดงอาการใดเมื่อถูกจับมัดมือไขว้หลังก่อนจะโดนผลักให้ลงไปนั่งในเรือที่จอดคอยอยู่ มีทหารรับจ้างรูปร่างสูงใหญ่สองคนลงมานั่งขนาบไว้ ฝ่ายหญิงมิได้ถูกมัดแต่ก็โดนนั่งขนาบไว้ด้วยทหารรับจ้างอีกสองคนเช่นกัน

เรือลำเล็กนั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปด้วยฝีมือพายของผู้คุมทั้งสี่ มันมุ่งออกไปสู่ร่องน้ำลึกที่กั้นเขตระหว่างทะเลสาบบัวแห่งนี้กับทะเลใหญ่ ตรงนั้นมีเรือเดินทะเลไร้สัญชาติ หรือเรือโจรสลัดรออยู่ พวกมันคงได้รับค่าจ้างอย่างงามให้ทำการนี้

นายพลกุลิสร์นิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดมาตลอดทาง เฝ้ามองฝีพายที่พยายามแหวกใบบัวหนาเพื่อให้เรือแล่นออกไปได้ พวกมันทำได้ดี เพราะไม่เช่นนั้นคงเข้ามาล้อมเกาะนี้ไม่ได้ ต้องหาทางหยุดเรือลำนี้ให้ได้ ก่อนที่มันจะส่งพวกเขาขึ้นเรือโจร ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่จะรอดแทบไม่มี

แต่ด้วยมือที่ถูกพันธนาการเช่นนี้ทำให้เขาต้องอดทนรอจังหวะอย่างใจเย็น แต่มีบางคนที่ไม่ใจเย็นพอ และมือก็ไม่ได้ถูกผูกมัด

“อ๊าคค!” “อ๊าคค!”

“ตูม”

“ตูม”

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดจากผู้คุมด้านหลัง ตามด้วยสียงของหนักหล่นลงไปในน้ำไล่ ๆ กันสองครั้งทำให้พวกที่อยู่ด้านหน้ารีบหันกลับไปดูทันที และเพียงแค่นั้นก็เปิดโอกาสให้คนที่รอคอยอยู่แล้ว

นายพลแห่งพิชญะใช้จังหวะนั้นกระแทกหัวใส่คางผู้คุมทางขวามือเต็มแรงจนได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อน เท้าที่ว่างก็ถีบตรงเข้าไปที่ลิ้นปี่ของผู้คุมอีกคน ร่างทั้งสองส่งเสียงครางฟุบอยู่ที่กราบเรือ แต่มันยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด ที่สิ้นสุดของพวกมันคือในน้ำกลางทะเลบัวต่างหาก

“ตูม”

“ตูม”

เสียงน้ำแตกกระจายขึ้นอีก และเขาก็พอมีเวลาที่จะหันกลับไปสำรวจคนที่ไม่เคยคิดว่าจะกล้าตีใครให้เจ็บ เธอนั่งตะลึงด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม ในมือทั้งสองกำมีดสั้นเปื้อนเลือดไว้แน่น

“จันทรา ตัดเชือกให้ข้าเร็ว” เขารีบร้องสั่ง สาวน้อยยังมีท่าทางงง ๆ แต่ก็รีบเข้ามาตัดเชือกที่มัดมือเขาออกทันที

“พวกมันน่าจะยังไม่ตาย รีบพายเรือหนีกันก่อน”

พอได้ยินว่าคนที่เธอเสียบมีดเข้าสีข้างทั้งสองคนอาจจะยังไม่ตาย ความรู้สึกของจันทราก็เริ่มดีขึ้น แม้นจะเป็นศัตรูแต่ก็คือคนด้วยกัน

“ข้าจะพายเรือหลบเข้าไปในกอบัวใหญ่ข้างหน้าคงพอพรางตัวไว้ได้ เจ้าก็หมอบลงซะจะได้ไม่เจ็บตัว” น้ำเสียงห่วงใยในตอนท้ายทำให้จันทรายอมทำตามแต่โดยดี เธอลงหมอบที่พื้นเรือที่มีพื้นที่พอสมควร

เขาพายเรือได้เก่งมาก เรือพุ่งตรงเข้าไปหาที่หมายอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ยิ่งลึกเข้าไปในกอบัว บัวยิ่งสูงใหญ่และหนาแน่นขึ้นทุกที และก็เป็นอย่างที่เขาเตือน แม้นขนาดว่าเธอหมอบอยู่เช่นนี้ก็ยังมีก้านบัวที่มีหนามแหลมตีละลงมาที่หลังเป็นระยะ ส่วนเขาก็คงโดนเข้าเต็ม ๆ เพราะเป็นคนพาย

ผ่านไปได้สักพักเรือก็หยุดลง เธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัยก็พอดีกับที่เขาเอี้ยวตัวมาหา

“คงไกลพอแล้ว แต่เราต้องหลบอยู่ที่นี่จนกว่าจะมืด” เขาบอกเบา ๆ

จันทราพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่พอเห็นสายตายิ้มเอ็นดูที่มองมาก็เชิดหน้าเมินหนีทันที แล้วก็ต้องรีบหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่าเรือไหวโคลงเพราะการเปลี่ยนที่มานั่งข้างเธอของคนตัวโต

“ยังโกรธเกลียดข้าอยู่อีกหรือหนูจัน” โน้มตัวลงกระซิบถามอย่างออดอ้อน มือใหญ่ข้างหนึ่งอ้อมมาโอบรอบตัวเธอไว้ และเพียงตวัดเบา ๆ ร่างบางสมส่วนก็ขึ้นไปทาบทับอยู่บนตัวของคนฉวยโอกาสที่เลื่อนตัวลงมาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยพาดต้นคอไว้บนกราบท้ายเรือ ท่าทางสบายอารมณ์เหมือนกำลังพักผ่อนมากกว่าหลบการไล่ล่าของศัตรู

“ใช่ แล้วก็ไม่ต้องเรียกว่าหนูจันอีกแล้ว” สาวน้อยกระซิบกลับด้วยเสียงขุ่น พยายามใช้มือทั้งสองยันอกหนาไว้ แต่สาบเสื้อที่เปิดกว้างออกทำให้มือของเธอไถลเข้าไปข้างในเสื้อ สัมผัสความสากระคายของขนหน้าอกดกดำที่ทำให้ความรู้สึกวูบวาบที่ห่างหายไปแสนนานกลับมาอีกครั้ง

“ไม่จริง ถ้าเกลียดก็คงไม่ช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าคงไม่รอดถ้าขึ้นเรือโจรนั่น หนูจันที่รักข้าคงหยุดเรียกเจ้าเช่นนั้นไม่ได้ เจ้ายังเป็นหนูจันของข้าเสมอ...ข้ารักเจ้านะหนูจัน หลงรักตั้งแต่แรก และคงทรมานต่อไปเพราะได้แต่รักข้างเดียวเช่นนี้”

เขากอดเธอแนบแน่นเข้ามาอีก กระซิบสารภาพสิ่งที่อัดอั้นในใจอย่างหมดทิฐิ เพราะถ้าไม่พูดเดี๋ยวนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย หนทางข้างหน้ายังคงมืดมน ชีวิตก็อาจไม่เหลือรอดจนผ่านวัน

“คนใจร้าย ทำร้ายกันขนาดนั้นแล้วยังจะมาบอกรักทำไม” เธอซบหน้าลงกับอกกว้าง น้ำตาที่ไม่คิดจะหลั่งเพื่อผู้ชายคนนี้อีกแล้วร่วงพรูลงมา จันทรากัดฟันกลั้นเสียงสะอื้นไว้จนตัวสั่นสะท้าน

“ข้าขอโทษสำหรับความบ้าคลั่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น ยกโทษให้ข้าด้วยที่รัก” เขาเชยคางเธอขึ้นมาจูบซับน้ำตาไปทั่วหน้าเนียน และท้ายสุดก็หยุดลงที่ริมฝีปากรูปกระจับ เริ่มจุมพิตแผ่ว ๆ พยายามให้อ่อนโยนอย่างที่สุด

“ข้าอยากแก้ตัว อยากลบความทรงจำร้าย ๆ ในคืนนั้น ให้โอกาสข้าได้ไหมหนูจัน” เขาพูดไปจุมพิตไปอย่างอ้อยอิ่ง ไม่บังคับรุกเร้า ให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความปรานีของเธอ

“ข้าไม่รู้ว่าเราจะยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่า” จันทราหลบจุมพิตหวานด้วยความรู้สึกที่เศร้าสร้อย อีกฝ่ายเหมือนจะเดาใจถูกไม่ตามฝืนใจ คงกอดร่างที่นอนอยู่บนตัวไว้อย่างหลวม ๆ

“โอกาสมีสำหรับคนไม่ยอมแพ้เสมอคนเก่งของข้า เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากที่เจ้าพกมีด และก็ใช้มันได้อย่างดีด้วย” เขาพยายามชวนคุย และคอยเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวรอบตัวไปด้วย

“ผู้หญิงในราชสกุลคามินรัฐทุกคนพกมีดสั้นสองเล่มติดตัวเสมอ มันเป็นประเพณี”

“เพื่ออะไร” ถามอย่างสงสัยจริง ๆ เพราะไม่เคยได้ยินประเพณีเช่นนี้มาก่อน

“ถ้าเราถูกข่มขืน เล่มหนึ่งจะไว้ฆ่าไอ้คนนั้น แต่ถ้าพลาดเราก็จะใช้อีกเล่มฆ่าตัวเอง” เธอมองเขานิ่งก่อนที่จะพูดตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ

“แล้วคืนนั้นทำไมเจ้าไม่แทงข้าสักแผล” ความละอายใจทำให้นายพลแห่งพิชญะอยากจะหลบสายตาผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้เหลือเกิน

“เพราะท่านเป็น...สามีข้า”

คำตอบนั้นทำให้เขากระชับอ้อมกอดเข้ามาทันที ไม่คิดที่จะรั้งรอเวลาอีกแล้ว

“ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ให้ข้ามอบความสุขให้เจ้านะ”

“ไม่นะ! มันไม่ใช่เวลาเช่นนี้”

“นี่คือเวลาของเรา เชื่อข้าเราจะไม่เป็นไร เราอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด” เขากระซิบสัญญา ไม่มีใครรู้จักทะเลบัวแห่งนี้ดีเท่าเขาอีกแล้ว เพียงแต่รอเวลาพระอาทิตย์ลับฟ้าเท่านั้น

“แต่ที่สำคัญเจ้าห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”

สายตาเขาวาววามอย่างมีเล่ห์กล และทำให้เธอเริ่มหลงกลด้วยริมฝีปากร้อน ๆ ที่ซุกไซ้ลงมาที่ซอกคอ ปลายลิ้นอุ่นแลบออกมาแตะแผ่ว ๆ ตรงแอ่งชีพจรที่เริ่มเต้นถี่แรง เสื้อถูกร่นขึ้นสูงจนทรวงอกอวบสีงาช้างโดนเปิดเปลือยออกมา ละลานตาจนใจเขาแทบบังคับตัวเองไม่อยู่ แต่วันนี้จะไม่เป็นเช่นคืนนั้น ทุกอย่างจะต้องดำเนินไปเพื่อความสุขของเธอเท่านั้น

บัวงามสล้างทั้งสองข้างจึงโดนเคล้าคลึงอย่างนุ่มนวลด้วยมือใหญ่สาก ให้ความรู้เบาสบายจนเธอต้องครางออกมาเบา ๆ

“บอกแล้วไงว่าอย่าส่งเสียง” เขาหัวเราะเบา ๆ เตือน โดยมือทั้งคู่ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปไม่หยุด คราวนี้เพิ่มแรงบีบเค้นขึ้นจนร่างบางแอ่นตัวเข้าหาอย่างลืมตัว นายพลกุลิสร์ยิ้มอย่างสมใจ ละมือจากการคลึงเคล้นเพื่อดึงร่างสาวน้อยให้เขยิบสูงขึ้นมาในระดับที่บัวงามเต้นสะท้อนขึ้นลงอยู่ตรงหน้า เห็นยอดบัวเป็นเม็ดสีชมพูจัดชวนเชิญให้ลิ้มรส เมื่ออดใจไม่อยู่มือใหญ่ก็กดหลังร่างบางให้แอ่นตัวเข้ามาหาอีกเพื่อจะได้ชิมความหวานของเม็ดบัว
ได้สะดวกขึ้น เขาใช้ลิ้นค่อย ๆ แตะชิมยอดบัวทั้งสองอย่างไม่เร่งร้อน แต่กลับทำให้เจ้าของบัวงามดิ้นเร่าอย่างซ่านเสียว แค่ชิมยังไม่หน่ำใจอุ้งปากอุ่นครอบลงไปบนยอดบัว ดูดดึงกินราวเด็กน้อยที่หิวกระหาย

“พอแล้ว พอแล้ว” เธอลืมสิ้นถึงคำเตือน ร้องครางขอให้เขายุติความเสียวซ่านที่แผ่พิษทรมานไปทั่วตัวเช่นนี้ แต่ไม่เป็นผลยอดอกของเธอยังคงถูกดูดกินไม่หยุด จากซ้ายไปขวา วนเวียนกลับไปมาจนสาวน้อยใจจะขาด

“อย่าร้อง”

เขาปล่อยปากจากเม็ดบัวงามเพื่อเตือนเธออีกครั้ง ใช้มือข้างหนึ่งจับศรีษะที่ปกคลุมด้วยผมยาวดำสลวยให้ก้มลงมาหาเพื่อจูบปิดเสียงร้องให้สิ้น เมื่อกระโปรงยาวโดนปลดออก ฝ่ามือข้างที่เหลือก็ตะโบมลูบไล้สะโพกกลมเนียนนุ่มก่อนจะเลยลึกลงไปถึงเนินเนื้ออ่อนไหว

ร่างบางพยายามจะเบี่ยงหนี แต่ส่วนล่างก็โดนเขาเกี่ยวทับไว้ด้วยท่อนขาใหญ่ เขาใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ สะกิดเกสรแห่งความเป็นหญิงให้ตื่นจากหลับไหล

ความรู้สึกเสียวซ่านกระหน่ำใส่จันทราจนเกินจะรับเมื่อมิใช่แค่ปลายนิ้วที่ลูบวนอยู่ภายนอกเนินนาง ขณะนี้นิ้วมือใหญ่กำลังดันแทรกเข้ามาในความฉ่ำชื้น และเมื่อถึงที่สุดก็ถอดถอยแล้วก็กลับเข้าไปใหม่ สลับเป็นจังหวะที่สร้างทั้งสุข และทรมาน เสียงร้องไม่อาจผ่านจุมพิตร้อนแรง ลิ้นอุ่นยังคงเกี่ยวกระหวัดลิ้นของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย เช่นเดียวกับนิ้วมือของเขาที่ไม่ยอมหยุดจังหวะ ยิ่งทียิ่งถี่กระชั้น จนเธอสั่นระริก

และในที่สุดก็ถูกชักพาให้ลอยล่องไปในดินแดนแสนไกลที่สุดขอบฟ้าแห่งความสุข

“มีความสุขกับมันจันทรา มีความสุขเพื่อข้า” กระซิบแผ่วกับร่างบางที่ซวนซบลงมาบนตัวเขาอย่างสิ้นแรง แต่ด้วยสีหน้าที่อิ่มเอม

เขาจัดการเสื้อผ้าของเธอให้เข้าที่ก่อนจะค่อย ๆ วางร่างที่อ่อนปวกเปียกให้นอนลงในท่าที่สบายที่สุดบนพื้นเรือ ส่วนตัวเขาเองขยับมานั่งข้างสตรีอันเป็นที่รัก เพื่อรอเวลาแห่งรัตติกาล

รอคืนแรมที่น้ำทั้งทะเลสาบจะแห้งขอดลง






 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
7 comments
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 9:56:14 น.
Counter : 432 Pageviews.

 

อะ ไม่เห็นมีไรเลย T^T

 

โดย: sakeena IP: 124.120.79.35 19 กรกฎาคม 2553 17:42:04 น.  

 

มาอัพให้แล้วค่ะ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ตกใจ อิอิ

 

โดย: Mercury (sorwor ) 21 กรกฎาคม 2553 14:01:46 น.  

 

รออยู่ค่ะ

 

โดย: maream IP: 172.16.2.34, 119.42.64.98 29 กรกฎาคม 2553 1:51:17 น.  

 

มาแล้ววววว...
สมค่าแห่งการรอคอยย อิอิ

 

โดย: sakeena IP: 124.122.83.238 29 กรกฎาคม 2553 20:06:19 น.  

 


อิอิ ดีใจที่ชอบค่ะ

 

โดย: นิรีย์ IP: 125.25.68.66 30 กรกฎาคม 2553 12:17:38 น.  

 

ชอบสิจ๊ะ
ชอบคนเขียนนะ คิคิ

 

โดย: sakeena IP: 110.168.121.245 30 กรกฎาคม 2553 13:46:34 น.  

 


ปลื้มคนอ่านเหมือนกันค่ะ จุ๊บ จุ๊บ

 

โดย: นิรีย์ IP: 58.8.141.76 30 กรกฎาคม 2553 21:24:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.