บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
บุญยภู บทที่ ๑๗ จุดจบของจุดเริ่มต้น โดย...นิรีย์




เสียงกรีดร้องของอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่ทั้งเสียงของมนุษย์ หรือสัตว์ชนิดใดที่กุลิสร์เคยได้ยินมาก่อน มันดังโหยหวนแหลมแหวกอากาศจากความมืดของป่าที่รายล้อมรอบตัวเขาและกองทหารที่ซุ่มรออยู่ แต่เพียงไม่นานเสียงประหลาดนั้นก็หายไป กลายเป็นเสียงร้องเอะอะของเหล่าทหาร จากนั้นมีเสียงต่อสู้อย่างดุเดือดอื้ออึงไปทั่วป่าก่อนที่ทหารเกือบทั้งหมดจะถอยร่นออกจากป่าอย่างตื่นตระหนก

“ท่านนายพลขอรับ เราโดนล้อมด้วยตัวอะไรก็ไม่รู้” นายทหารคนหนึ่งรีบวิ่งมาหาเขา และรายงานด้วยปากคอสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้าง

กุลิสร์เม้มปากแน่น กองทหารของเขาไม่เคยกลัวอะไรง่าย ๆ เช่นนี้ แต่เจ้าสิ่งที่อยู่ในความมืดที่ทำให้ทหารกล้ากลัวจนเก็บอาการไม่อยู่ขนาดนี้ ต้องเป็นสิ่งที่น่าขนหัวลุกอย่างที่สุด

“พวกมันเป็นศพเดินได้” เสียงแหบแห้งของนายทหารคนเดิมกระซิบบอก

เขาไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้นาน เพียงชั่วไม่ถึงอึดใจเจ้าสิ่งนั้นนับร้อย ๆ ตัวได้ย่างเท้าออกมาจากเงามืดของป่า มาอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ยิ่งทำให้ร่างฟอนเฟะใหญ่โตเกินกว่ามนุษย์ปกติของพวกมันเหมือนภูติผีร้ายที่หลุดออกมาจากนรกขุมที่ต่ำที่สุด

“เจ้าทำอะไรอาคิราห์” กุลิสร์ตะโกนถามเสียงลั่น

“ข้าสร้างกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยอมแพ้ได้แล้วกุลิสร์” รอยยิ้มของผู้คิดว่าได้ครอบครองโลกไว้แล้ว ระบายไปทั่วหน้าสวยคมเข้มที่จิตใจไม่ได้สวยงามเช่นหน้าตา

“จะให้ข้ายอมแพ้ซากศพเปื่อย ๆ พวกนี้นะหรือ เจ้าลืมไปได้เลย”

“ซากทดลองพวกนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่เจ้าจะคาดคิด ถ้าไม่ยอมแพ้ก็เตรียมตัวตายได้แล้วกุลิสร์”

สิ้นประโยคที่แสนผยองของอาคิราห์ เหล่าซากทดลองที่นางสร้างขึ้นพร้อมกันกรีดเสียงร้องแหลมขึ้นมาอีก แล้วเริ่มเคลื่อนไหวร่างใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมาเป็นสิ่งที่มีเนื้อตัวบวมเน่าส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งชวนสะอิดสะเอียนอย่างเชื่องช้า และเป็นจุดอ่อนเดียวที่กุลิสร์สังเกตเห็นขณะนี้

แต่นั่นเพียงพอแล้วที่เขาจะรับมือกับมัน

นายพลหนุ่มใหญ่กระชับดาบคมกริบในมือแน่นขึ้น วิ่งรี่เข้าใส่ซากที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะฟาดอาวุธคู่กายลงไปสุดแรง เสียงโลหะกระทบกระดูกดังแหวกอากาศสนั่น ตามด้วยเสียงกรีดร้องของเจ้าซากทดลองที่แขนทั้งข้างโดนฟันขาดกระเด็น เสียงร้องนั่นมาจากความโกรธรำคาญที่ดาบเล่มนั้นมาสัมผัสเนื้อตัวมัน

มันย่างสามขุมเข้ามาหาคนที่ก่อความรำคาญให้ทันที แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าทำให้เป้าหมายหลบเลี่ยงออกไปได้ก่อน

“เสียเวลาเปล่ากุลิสร์ ซากทดลองของข้าไม่ใจเสาะแบบพวกทหารของเจ้า”

ถ้อยคำเย้ยเยาะถากถาง พร้อมเสียงหัวเราะดังแหลมอย่างผู้ชนะของอาคิราห์ไม่ทำให้เขาเสียสมาธิ สาตตาคมประดุจเหยี่ยวเพ่งไปที่อสุภเดินได้เบื้องหน้านิ่งโดยเฉพาะซากที่โดนตัดแขนขาดกระจุยเมื่อครู่

ซากน่าสังเวชนั้นยังคงเดินหน้าเข้ามาหาเขา เช่นเดียวกับพวกพ้องของมันที่เดินทื่อเข้าหาทหารคนอื่น ๆ ทั้งที่โดนฟาดฟันตามเนื้อตัวเป็นแผลเหวอะหวะไม่ใช่น้อย แต่ไม่ทำให้มันระคาย สิ่งที่พวกมันต้องการเวลานี้คือล้อมรอบเหยื่อไว้ในวงล้อมให้ได้ ไม่ให้มีทางหนี ก่อนที่จะฉีกขยี้ให้แหลกเหลวเป็นเศษเนื้อ

“ล้อมแล้วฆ่าให้หมด”

สิ้นเสียงดังแหลมสั่งการของผู้เป็นนายที่บัดนี้เดินกลับขึ้นไปบัญชาการอยู่บนชานหน้าประตูคฤหาสน์ของผู้ทรยศต่อพิชญะ ซากทดลองทุกตัวคำรามลั่น ดวงตาพวกมันแดงฉานดั่งสีเลือด

อาคิราห์เม้มปากแน่นมองดูการการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าของสิ่งที่นางสร้างขึ้นจากความเกียจชัง มันยังมีจุดอ่อนที่เห็นชัด มันยังไม่เป็นกองทัพที่กล้าแข็งอย่างที่อยากให้เป็น มันต้องการเพียงแค่ส่วนผสมสุดท้ายเท่านั้น และมีเพียงอวัศยาเท่านั้นที่จะทำขึ้นมาได้ ซึ่งผู้เป็นอวัศยาได้ในตอนนี้มีแต่เพียง ‘จันทรา’

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกอาคิราห์” นายพลหนุ่มตะโกนก้องกลับไปด้วยคำพูดของนางเมื่อครู่ ร่างสูงใหญ่กระโจนหลบหลีกซากเน่าเฟะที่เคลื่อนไหวงุ่มง่ามได้อย่างง่ายดายเมื่อสามารถจับจังหวะการเคลื่อนที่ของมันได้

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริง ๆ...จุดอ่อนของพวกมัน

แล้วนายพลกุลิสร์ก็ทำให้ความเยือกเย็นของอาคิราห์กลับกลายเป็นความเดือดพล่าน เมื่อซากทดลองที่ดาหน้าเข้ามาห้อมล้อมสิ่งที่พวกมันคิดว่าเป็นเหยื่อต้องล้มครืนระเนระนาดเพราะขาโดนตัดขาดสะบั้นสิ้น

“กรี๊ดดดดดด”

เสียงโหยหวนกึกก้องเมื่อดาบเปื้อนเลือดเล่มเดิมฟาดฉับใส่หัวพวกมันจนสมองแตกกระจาย พวกมันรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว

เจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่ได้รู้สึกใด ๆ อีกต่อไป

หลังจากสิ้นเสียงร้องของซากทดลองที่ล้อมรอบนายพลหนุ่ม เสียงกรีดร้องของพวกมันที่กระจายโดยรอบก็ดังแหลมแหวกความมืดออกมา เหล่าทหารของพิชญะจัดการซากอันน่าสังเวชแบบเดียวกับที่เขาทำ แม้นจะชวนวังเวงใจยิ่งนัก แต่ไม่มีทางเลือกอื่น

จริง ๆ แล้วทางเลือกนี้อาจจะเป็นความเมตตาอย่างที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องกลายสภาพเป็นศพเดินได้ ไม่สามารถตายแม้นว่าเนื้อหนังจะหลุดร่วงเน่าเฟะจนหมดตัว

“ไอ้พวกโง่ ลุกขึ้นมาฆ่ามันให้หมด”

อาคิราห์กราดเกรี้ยว ใบหน้าดุดันน่ากลัวจนศรีเมืองผู้กลายเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยคุ้มครองของประธานสภาสูงสุดแห่งพิชญะ ผู้ชายที่ขึ้นชื่อในความเลือดเย็นยังนึกหวาด แต่ต้องทนอยู่เคียงข้าง ต้องทนเป็นทาสรับใช้ ทำให้ทุกอย่างแม้นแต่การทรยศ

เพราะไม่ต้องการกลายเป็นเหมือนซากน่าสังเวชเบื้องหน้า

ผู้หญิงคนนี้คือหายนะของมวลมนุษย์ หายนะที่ล่อหลอกใช้จิตที่ละโมบของคนให้ดิ่งสู่หลุมพรางแห่งความตาย เช่นเดียวกับศรีเมืองที่ต้องการอำนาจ แต่ก็ต้องแลกกับการตกเป็นทาสยานรกโดยไม่รู้ตัว

“ศรีเมือง”

เสียงที่เปลี่ยนเป็นร้องเบา ๆ อย่างตกใจของอาคิราห์ ทำให้ศรีเมืองต้องละสายตาจากภาพการต่อสู้ที่ฝ่ายตนเริ่มเพลี่ยงพล้ำกลับมาหาต้นเสียงทันที

ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของคนที่เพิ่งเสียหูไปกำลังใช้มือหนึ่งจิกหัวนางจากด้านหลัง อีกมือถือมีดสั้นจ่ออยู่ที่ใบหูข้างเดียวกับที่นางเชือดทิ้งไปเมื่อครู่

“ทิ้งอาวุธ ไอ้คนทรยศ”

“มันก็คนทรยศด้วยกันทั้งนั้น” ศรีเมืองตอบโต้ด้วยเสียงแหบต่ำไร้อารมณ์ และยังคงกำดาบในมือไว้แน่น

“ต้องการให้นังแพศยานี่ตายใช่ไหม ไอ้ศรีเมือง” ตวาดกลับ

“ทำตามเขาศรีเมือง”

สีหน้าเคร่งขรึมของอาคิราห์ทำให้ศรีเมืองต้องทำตาม

“นังชั่ว ถึงทีข้าบ้างแล้ว”

ใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือดแสยะยิ้ม เบียดหน้าใกล้อย่างจงใจจนอีกฝ่ายได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

“ฆ่าข้าแล้ว ท่านอาก็ไปไหนไม่รอดเหมือนกัน เพราะซากทดลองฟังแต่ข้าเท่านั้น” นางบอกด้วยอาการสงบ ความตื่นตกใจในตอนแรกโดนแทนที่ด้วยความเยือกเย็น

“ไอ้ซากศพเดินได้พวกนั้นมันจะช่วยอะไรได้ เห็นไหมกองทัพที่ไม่มีใครพิชิตได้ของแกมีสภาพน่าอนาถขนาดไหน พวกทหารของกุลิสร์กำลังสับมันเป็นชิ้น ๆ อยู่ตรงหน้านี่ เห็นไหม นังตอแหลชาติชั่ว”

เสียงหัวเราะอย่างคุ้มคลั่งของบุรุษชราดังสะท้อนก้องขึ้นมา แต่การฝืนออกแรงมากเกินไปทำให้มือที่ถือมีดเริ่มสั่น ร่างกายหนาวสะท้านเพราะเลือดยังไหลไม่ยอมหยุด ทว่าจำต้องแข็งใจที่จะทำสิ่งหนึ่งเป็นการแก้ตัวครั้งสุดท้าย

มีดในมือพร้อมที่จะยื่นความตายให้กับนังคนชั่วคนนี้

“ไปลงนรกกับซากเน่า ๆ ของแกได้แล้ว”

“อย่า!”

ร่างแบบบางในชุดดำรัดกุมกระโจนเข้ากระแทกร่างเล็กของบุรุษชราที่ใกล้หมดแรงเต็มทีล้มลงไปกองที่พื้น มีดสั้นในมือกระเด็นหายก่อนที่จะได้ดื่มเลือดอาคิราห์

“จันทรา”

“น้าคิรา”

จันทราโผเข้ากอดอาคิราห์แน่น แต่กลับโดนอีกฝ่ายดันตัวออกห่าง แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้แน่น

“ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”

“ถอยไป เจ้ากำลังช่วยฆาตกร” เสียงเบาแหบแห้งจากร่างที่นอนสิ้นแรงดังแทรกขึ้นมา

“จัดการมันศรีเมือง” ปากสั่งการอย่างเลือดเย็น เช่นเดียวกับสายตาที่จับจ้องผู้ที่กำลังตามหา เย็นยะเยือกจนผู้ถูกมองรู้สึกหนาวสั่นจับขั้วหัวใจ
ศรีเมืองไม่รอให้สั่งซ้ำ ก้มลงหยิบดาบที่โดนบังคับให้ทิ้งไปเมื่อครู่ขึ้นมาจับกระชับในมืออีกครั้ง และครั้งนี้ตั้งใจจะทำสิ่งที่อยากทำมาเนิ่นนาน

“อ๊า...”

เสียงร้องยังไม่ทันได้ดังผ่านพ้นริมฝีปากออกมาหมด ลำคอเล็ก ๆ ของบุรุษชราที่ไม่รู้คำว่าพอในอำนาจก็ถูกฟันจนเกือบขาด เลือดสีแดงฉานฉีดพุ่งกระจาย กระเซ็นไปทั่ว

“กรี๊ด!” จันทรากรีดร้อง กายเริ่มสั่นสะท้านเกินจะระงับกับภาพเบื้องหน้า

“หยุดร้องได้แล้วจันทรา ถึงเวลาที่เจ้าต้องกลับไปกับข้า” อาคิราห์บอกด้วยเสียงราบเรียบห่างเหิน ไม่มีความรู้สึกอ่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้นกับผู้ที่เข้ามาช่วยชีวิตนางเมื่อครู่

“ข้าไม่ไป”

“ชั่วเดือนเดียวที่ผู้ชายคนนั้นแกล้งทำดีกับเจ้า ทำให้เจ้าลุ่มหลงมันขนาดนี้เชียวหรือ อย่าลืมสองปีที่ต้องอยู่อย่างทรมานใจนั่นซิจันทรา เจ้าอยากกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกหรือไง”

“น้าคิรา ข้า...ได้ยินทุกอย่างแล้ว” จันทราโพล่งขึ้นมาอย่างไม่อาจยับยั้ง เสียงแหบแห้งจนไม่คิดว่าเป็นเสียงของตัวเอง ดวงตาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาจนเป็นดังม่านบาง ๆ กั้นภาพที่เคยชัดเจนของน้าคิราในอดีต

“ตอนนี้เจ้าเลยคิดว่าข้าเป็นนังปีศาจร้าย” สีหน้าของอาคิราห์ไม่เปลี่ยนไปสักนิด

“อยากวิ่งหนีใช่ไหม” นางบีบมือของจันทราแน่นขึ้น แต่แล้วจู่ ๆ ก็ปล่อยมือนั้นให้เป็นอิสระ “หนีไปเลยหนูจัน...หนีไปจากแม่จริง ๆ ของเจ้าคนนี้”

เหมือนสายฟ้าฟาดลงตรงหน้าจันทรา และใครอีกคนที่ตะลุยฝ่าวงล้อมซากทดลองออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นเธอ

“เจ้าพูดว่าอะไรน่ะ อาคิราห์” นายพลกุลิสร์ยืนตระหง่านอยู่ไม่ห่าง กำด้ามดาบที่อาบไปด้วยเลือดไว้แน่นจนมันแทบจะแหลกคามือ

“เจ้าฟังไม่ผิดหรอกลูกเขยของข้า”

อาคิราห์หันไปยิ้มให้เขาอย่างเย้ยเยาะเย็นชา แล้วเบือนกลับมาประสานตากับดวงตาแดงช้ำเบิกกว้างของจันทรา

สายเลือดที่ไม่มีใครรู้ของนาง

ลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง กับชายที่เลือกจะเป็นนักบวชแห่งบุณยภู

ความรักไม่สามารถดับความร้อนแรงแห่งอาฆาตในใจ แต่มันก็ทำให้อาคิราห์โง่งมพอที่จะปล่อยให้เกิดลูกติดท้องที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยรู้ว่ามีตัวตน มันเป็นความตั้งใจของนางที่ต้องการปกปิดเรื่องเด็ก เมื่อเขาไม่สามารถให้ในสิ่งที่ต้องการได้ อาคิราห์ก็ต้องหาคนที่สามารถให้ได้

คนที่สามารถให้อำนาจ

คนที่สามารถดึงนางขึ้นจากหลุมแห่งความต่ำต้อย

และคน ๆ นั้นก็คือเจ้าแก่ที่เพิ่งที่นอนตายอย่างอนาถแทบเท้าอยู่นี่ เจ้าแก่นั่นพูดถูกเรื่องนางกลับไปคามินรัฐอีกครั้งเพื่อหลอกล่อจันทรา หลังจากเคยแอบกลับไปหาธิดาของพระน้องนางกษัตริย์คามินรัฐ

ที่ต้องเป็นเธอเพราะเธอผู้นั้นยังคิดว่าอาคิราห์เป็นน้องสาว

และที่ต้องกลับไปเพราะท้องหกเดือนของนางไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป

อาคิราห์อ้อนวอนขอสถานที่หลบคลอด และขอให้รับเลี้ยงเด็กให้โดยอ้างว่าพ่อเด็กตาย และครอบครัวของเขารังเกียจนางซึ่งไม่หนีจากความจริงนัก นางไม่สามารถเลี้ยงดูลูกในสถานะผู้ลี้ภัยการเมืองได้ แม้นจะเป็นคำขอที่ดูเหมือนจะมากเกินไป แต่คงเพราะคนที่นางถือว่าเป็นลูกหลานศัตรูใจอ่อนกับน้ำตา หรือบางทีคงคิดว่าอยากจะทำบุญล้างบาปที่ฆ่าล้างราชวงศ์ก่อน จึงยอมตกลงรับจันทราเป็นลูกแทนลูกสาวคนแรกที่เพิ่งสิ้นชีวิตหลังคลอดไม่นาน ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนั้นสิ้นไปแล้ว อันที่จริงไม่มีใครรู้ว่าเด็กเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายด้วยซ้ำแม้นแต่ผู้เป็นพ่อที่ยังติดราชการทหารอยู่ชายแดน

เรื่องของจันทราจึงถือว่าเป็นความลับที่มีเพียงสองคนรู้เท่านั้น อาคิราห์คลอดจันทราในสามเดือนต่อมา และจากไปทันทีที่สามารถเดินทางได้

นางทิ้งสายเลือดไว้กับศัตรูโดยไม่อาลัย

แต่เพราะความลับที่ค้นพบในสามปีต่อมาหลังจากนั้น ทำให้อาคิราห์ต้องกลับไปหาสายเลือดคนนี้ และพยายามทุกวิถีทางที่พาออกจากคามินรัฐ ทว่าเวลานั้นนางยังไม่แกร่งพอ แม้นจะได้ผู้ช่วยเหลือที่ผูกพันไว้ด้วยกามตัณหา แต่ยังไม่ทำให้นางมีอำนาจพอ

สิ่งที่จะทำให้ก้าวสู่อำนาจสูงสุดคือสายเลือดที่ไม่ตั้งใจให้เกิดคนนี้ต่างหาก คนที่เป็นอวัศยาเช่นเดียวกับนาง

ใช่แล้วนางเป็นอวัศยาเช่นกัน

เป็นคนที่สามารถปรุงยานรกได้ นางเพิ่งรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองหลังจากคลอดจันทราไม่นาน

แต่คนปรุงยามีขีดจำกัดที่อายุ ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งไม่สามารถทำมันได้ต่อไป

ตอนนี้อาคิราห์ต้องการทายาทปรุงยาที่ยังสาว เพื่อสร้างกองทัพอมนุษย์ที่โหดเหี้ยมที่สุด แข็งแกร่งที่สุด และที่สุดแล้วคือกองทัพที่ไม่มีวันตาย

“ไม่จริง จันทราอย่าเชื่อ” ในที่สุดนายพลกุลิสร์ก็เป็นผู้ได้สติขึ้นมาก่อนคนแรก เขาถลาเข้าประคองร่างของภรรยาที่ซวนเซใกล้จะล้มลงได้ทันเวลา

“คำพูดอาจไม่พอที่จะทำให้เชื่อ แต่ความเจ็บปวดที่วิ่งพล่านไปทั่วเส้นเลือดของเจ้าตอนนี้ น่าจะเพียงพอที่ทำให้เจ้าต้องเชื่อข้า เพราะมีแต่แม่เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าเป็นอะไร”

“ข้าเป็นอะไร”

“เจ้าคืออวัศยาคนใหม่ ทายาทคนปรุงยานรกของแม่”

“หยุดหลอกลวงได้แล้วอาคิราห์ และตอนนี้แม้นแต่ตัวเจ้าเองก็ไม่มีทางได้กลับไปทำยานรกนั่นอีกตลอดไป เจ้าและซากผีดิบพวกนั้นแพ้แล้ว ยานรกของเจ้าจบสิ้นลงแล้ว”

“มันเพิ่งเริ่มต้นต่างหากกุลิสร์ และคนที่เล่นบทต่อไปก็คือเมียรักของเจ้า นางจะเป็นอวัศยาคนต่อไปแม้นว่าเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”

“ไม่ ข้าไม่ใช่อวัศยา”

“เจ้าเป็นสายเลือดของข้า เจ้าไม่มีวันหนีมันพ้นหรอกจันทรา ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“จับสองคนนี่” สิ้นคำสั่งของนายพลแห่งพิชญะ ทหารหลายนายกรูกันเข้ามาล้อมจับผู้ทรยศทั้งสองทันควัน

ศรีเมืองกระชับดาบในมือและสู้อย่างหมาจนตรอก แต่อาคิราห์ไม่แยแส ไม่สะทกสะท้านแม้นว่าทาสยานรกที่เหลือเพียงคนเดียวจะล้มลงขาดใจตายแทบเท้า

“ความตายไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นหรอกกุลิสร์” นางประสานตากับเขานิ่ง

กุลิสร์เม้มปากแน่น ใช่แล้วทุกสิ่งนับแต่นี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดอีกแล้วโดยเฉพาะเรื่องของจันทรา แต่ถึงแม้หนทางข้างหน้าจะลำบากยากเย็นเพียงไร เขาก็จะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้อีก

“ข้าจะทำทุกวิถีทางให้จันทราพ้นจากคำสาปร้ายของเจ้า” เสียงเขาหนักแน่นปานหินผา แววตามุ่งมั่นไม่หวาดหวั่น

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำได้ ดูซากทดลองพวกนั้นซิ แม้นแต่ความตายก็ไม่ทำให้มันหลุดพ้นจากข้า”

“ปีศาจนรกอย่างเจ้า ไม่ควรอยู่ต่อไป”

กุลิสร์ปล่อยมือจากร่างในอ้อมกอดที่เริ่มจะทรงตัวเองได้ และด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เขาเดินเข้าไปจนเกือบประชิดอาคิราห์ เงื้อดาบในมือขึ้น ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะปลิดชีวิตผู้หญิงตรงหน้า ตอนนี้นางอันตรายเกินกว่าที่ปล่อยไปได้ แม้นว่านางจะเป็นเพื่อน หรือเป็นมารดาของผู้หญิงที่เขารักที่สุดก็ตาม

“อย่าฆ่าแม่คิรา ข้าขอร้อง” จันทราร่ำไห้ ยื้อยุดเขาไว้จากเบื้องหลัง

“ข้าจำเป็นต้องทำ จันทรา” นายพลกุลิสร์แกะมือเรียวบางออกจากตัว รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดผ่านเสียงร้องสะอื้นปานจะขาดใจนั้น แต่เขาจะใจอ่อนไม่ได้

“น้ำตาเป็นอาวุธไม่ได้นะหนูจัน แต่สิ่งนี้ต่างหากคืออาวุธ” อาคิราห์พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากกลับทรงพลังอย่างน่ากลัว ทั้งแข็งกระด้าง เยียบเย็น และ...อำมหิต

แล้วคลื่นความร้อนสีดำสนิทก็ถูกขับออกมาจากกายของนาง มัน... รุนแรงจนทุกร่างที่อยู่ในรัศมีโดนปะทะทรุดฮวบ และทิ้งร่องรอยเผาไหม้เป็นประจักษ์พยาน

กุลิสร์ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน มองรอยไหม้ของเสื้อเกราะที่สวมใส่อย่างไม่เชื่อสายตา ถ้าเขา และเหล่าทหารไม่สวมมัน สิ่งที่ไหม้คงเป็นเนื้อสด ๆ ของพวกเขาเอง...แต่มีคนที่ไม่ได้สวมเสื้อเกราะ

“จันทรา!”

กุลิสร์รีบหันกลับไปหาร่างที่อยู่ข้างหลังทันควัน ร่างบางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีร่องรอยโดนทำร้ายอย่างที่เขาหวาดระแวง ทว่ามีสัญญาณบางอย่างบอกให้เขารู้ว่า

‘ความทรมานแทบทุกค่ำคืนในหนึ่งเดือนที่ผ่านมากำลังเริ่มขึ้นอีกแล้ว’

ผิวขาวนวลเนียนของจันทราเหมือนจะยิ่งขาวขึ้นอีก ขาวซีดจนคล้ายซากศพ แล้วเพียงไม่นานร่างบางก็งุ้มงอสั่นสะท้านอยู่เบื้องหน้าเขา...ทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่งกว่าครั้งก่อน ๆ

“ท...ท่านพี่...ข้า...เจ็บ...หัวใจ”

“หนูจัน” นายพลหนุ่มคราง แทบจะคลานเข้าไปกอดร่างนั้นไว้ เพราะแรงปะทะทำให้ทั่วร่างเขาชาจนไม่มีความรู้สึก และหลงเหลือเรี่ยวแรง

“กลับไปกับข้าจันทรา” อาคิราห์เดินช้า ๆ ไปหาคู่รักทั้งสอง แล้วหยุดนิ่งในระยะที่เกินไขว่คว้าถึง

“ไม่” แม้นเกือบจะไร้สิ้นเรี่ยวแรง แต่จันทรายังคงยืนยันความตั้งใจอย่างหนักแน่นด้วยเสียงแผ่วแสนแผ่ว

“ถ้าเจ้าไม่ไปก็จงตายอยู่ตรงนี้” แววตาเฉยเมย เย็นชา จนไม่คิดว่าจะเป็นสายตาของคนที่เรียกตัวเองว่าแม่

“ข้าขอร้องอาคิราห์ ช่วยหนูจันด้วย นางเป็นลูกสาวของเจ้าไม่ใช่หรือ” ในที่สุดกุลิสร์ก็ต้องยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำอย่างที่สุด คือ การขอร้องต่ออาคิราห์ เมื่อร่างในอ้อมกอดของเขากระตุกเกร็งถี่ขึ้น มีหลายครั้งที่สะดุ้งเฮือกผวาสูดหาอากาศหายใจ

ความทรมานของเธอทำให้เขาปวดร้าวจนถึงวิญญาณ

“น่าชมเชยความรักของเจ้าน่ะกุลิสร์ ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะขอร้องข้าเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง”

น้ำเสียงเยาะ ๆ นั้นทำให้จันทราเงยหน้าที่ซีดเผือกขึ้นมอง ตอนนี้ความเจ็บปวดโดนข่มลงด้วยพลังใจทั้งหมดที่มีเหลืออยู่

“ข้ารู้แล้วว่าข้าเป็นอะไร รู้แล้วว่าท่านใช้ข้าปรุงยานรกได้อย่างไรตลอดสองปีที่ท่านมาหาข้าที่ทะเลสาบบัว”

“เจ้าฉลาดมาก มันไม่ยากเลยใช่ไหมหนูจัน หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทรมานอย่างนี้ แล้วที่ดียิ่งกว่านั้นคือเรามีอำนาจที่จะสยบโลกนี้ได้”

“มันยากสำหรับข้า และยากสำหรับทุกคนที่ยังมีความเป็นมนุษย์”

“เจ้ากล้าด่าข้าหรือจันทรา” ประกายตาของอาคิราห์จ้าจัดราวไฟ แต่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวความร้อนแรงนั้น

“ข้าไม่กล้าทำให้คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อย่างท่านโกรธเคืองหรอก ข้าเพียงอยากจะบอกท่านว่าข้าเป็นเพียงมนุษย์ใจเสาะธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ท่านต้องการให้สืบทอดมันเกินกว่าที่ข้าจะรับได้”

“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจันทรา ในไม่ช้าเจ้าจะกลายเป็นอวัศยาที่ไม่มีหัวใจให้กับเรื่องไร้สาระอย่างเช่นมโนธรรมบ้า ๆ นั่น เจ้าได้ฟังเรื่องของข้าแล้วนี่ เจ้ารู้แล้วว่าข้าจะไม่ยอมอยู่อย่างอัปยศเช่นนั้นอีก”

“ท่านผิดแล้ว ข้ามีทางเลือก” จันทราใช้มือที่สั่นเทาหยิบขวดแก้วใบเล็กที่บรรจุของเหลวสีแดงจัดออกมาจากอกเสื้อ “นี่ไงทางเลือกของข้า...ยาตัดรัก”

“อะไรน่ะ!”

“ข้าไปบุณยภูมาแล้ว และได้พบนักบวชท่านหนึ่งที่ใกล้จะสิ้นลม เขามอบสิ่งนี้ให้ข้า บอกว่าหลังจากข้าดื่มมัน หัวใจที่กำลังจะตายจากความเป็นมนุษย์ของข้าจะเริ่มเต้นขึ้นใหม่ เป็นหัวใจดวงใหม่ที่จะตัดทุกสิ่งทุกอย่าง จากใจได้ รวมทั้งความเป็นอวัศยา”

“หนูจัน อย่าดื่มมันนะลูก” เป็นครั้งแรกที่อาคิราห์ตื่นตระหนก นางรู้โดยสัญชาตญาณว่านักบวชผู้นั้นคือใคร วูบหนึ่งที่ใจของนางสั่นไหวเมื่อคิดว่าเขาได้จากไปแล้ว แต่ก็เพียงวูบเดียว แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงหัวใจที่เย็นชา กระด้าง และความคุมแค้น

อาคิราห์ไม่เคยได้พบเขาผู้นั้นอีกเลยแม้นจะไปที่บุณยภูครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่คิดว่าเขาจะทำมันได้จริง ค้นพบสิ่งที่จะหยุดอวัศยาได้ เพราะเป็นเขาเองที่บอกว่านางจะกลายเป็นอวัศยาแต่ต้น เป็นเขาที่ทำให้นางค้นพบอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในตัว และเป็นเขาที่พยายามหยุดยั้งนางไว้ด้วยความรัก แต่นางไม่หยุดจนกว่าจะได้คืนทุกสิ่งกลับมา...ดังนั้นจึงเป็นเขาเองที่หยุด และเป็นเหตุผลจริง ๆ ที่เขาตัดทุกอย่างแล้วจากไปสู่โลกแห่งพระธรรม เมื่อไม่อาจตัดใจฆ่านางได้

ตอนนี้แม้นตายไปแล้วเขาก็ยังพยายามจะหยุดยั้งนางอีกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าจันทราตัดใจจากทุกอย่างจริง นางจะไม่สามารถปรุงยานรกได้อีกต่อไป แล้วการสร้างกองทัพซากทดลองขึ้นมาใหม่ก็จะไม่มีทางเป็นไปได้

“ข้าจะไม่ดื่มมันถ้าแม่คิราปล่อยท่านกุลิสร์ และทุกคนที่นี่ไป”

“ตกลง” รับปากโดยไม่ต้องคิด

“ไม่ได้” นายพลแห่งพิชญะร้องห้าม พยายามรั้งร่างของจันทราที่ลุกขึ้นยืนและค่อย ๆ ถอยห่างเขาไปทุกที

“ท่านพี่ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยทุกคนได้”

“พี่จะให้คนอื่นไป แต่พี่จะอยู่กับเจ้า”

“ถ้าท่านอยู่ พิชญะก็จะไม่เหลือใครเลย”

กุลิสร์อึ้งกับเหตุผลนั้น ใช่แล้วถ้าเขาเป็นอะไรไปอีกคน พิชญะจะไม่เหลืออะไรเลย อาคิราห์จะยึดครอง และทำลายทุกอย่างที่นี่จนป่นปี้

“จันทรา” เสียงเรียกของกุลิสร์แหบแห้ง ดวงตาบอกความรวดร้าวล้ำลึก

“ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่เป็นอะไร ข้าจะไม่ตายแน่นอน”

“ไปกันได้แล้วจันทรา”

เสียงเร่งของอาคิราห์ทำให้ใจของจันทราแทบขาด เวลาแห่งการจากลามาถึงแล้ว หูของหญิงสาวอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินว่ากุลิสร์พูดว่าอะไร

“ข้าจะตามไปช่วยเจ้า”

จันทราลูบแก้มสาก ๆ ของเขาอย่างแผ่วเบา ยิ้มน้อย ๆ ให้ก่อนจะก้มลงแตะริมฝีปากของเขาด้วยริมฝีปากของเธอเป็นครั้งสุดท้าย

“ข้าพร้อมจะไปแล้ว”

อาคิราห์เดินนำจันทราออกไปยังด้านหลังคฤหาสน์ มีม้าหลายตัวผูกรอไว้อยู่แล้ว ทั้งสองขึ้นม้าและขี่เคียงกันไปอย่างสงบท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาลที่ยังคละคลุ้งไปด้วยคาวเลือด

“แม่คิรา ข้าอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไร” ปากพูด แต่ตาคอยชำเลืองไปมองขวดแก้วที่ถูกบีบแน่นในมือของผู้เป็นสายเลือดอย่างหมายมั่น ให้พ้นจากที่นี่ไปก่อนนางจะหาทางทำลายไอ้สิ่งนั้นไม่ให้เหลือซาก ไม่ให้จันทรามีโอกาสได้ใช้มันข่มขู่นางได้อีก

“พ่อของข้าคือนักบวชบุณยภูที่ให้ยาตัดรักข้าใช่ไหม”

“จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่สำคัญแล้ว เรามีงานอีกมากที่จะต้องทำตอนกลับคามินรัฐ”

“สำคัญซิ เพราะถ้าเขาเป็นพ่อข้าจริง ข้าจะบอกเรื่องหนึ่งกับท่าน”

“นังลูกไม่รักดี อย่ามาล้อเล่นกับข้า”

อาคิราห์หันควับไปตวาดลั่น แส้ม้าในมือตวัดอย่างรวดเร็วและรุนแรงไปที่มือที่กำขวดแก้วอยู่

ขวดหล่นแตกกระจาย เช่นเดียวกับหัวใจของจันทราที่แหลกละเอียดแล้วด้วยน้ำมือของมารดา

“ที่นี้เจ้าก็ไม่มีทางเลือกเหลืออีกแล้ว นอกจากต้องเป็นคนปรุงยานรก”

จันทรานิ่งเงียบ แววตาว่างเปล่าไร้จุดหมาย ได้แต่นั่งบนหลังม้าไปราวกับคนเลือนลอย ไม่สนใจแม้นแต่จะมองดูข้อมือที่เริ่มบวมเปล่งจากฤทธิ์แส้ เนื่องจากหัวใจของเธอกำลังเต้นช้าลงเรื่อย ๆ

เวลาใกล้มาถึงแล้ว...เวลาที่จะไม่มีหัวใจดวงเดิมอีกต่อไป

เธอกำลังจะได้หัวใจดวงใหม่

ใช่แล้ว...จันทราดื่มยาตัดรักไปครึ่งหนึ่งก่อนที่จะปรากฎตัว แต่ต้องเหลือไว้อีกครึ่งเพื่อการต่อรองกับอาคิราห์ ด้วยยาเพียงครึ่งเดียวคงนานพอที่จะไม่มีอวัศยาคนนี้

แต่จะนานพอที่ปิดบังอวัศยาคนใหม่อีกคนหรือเปล่า

‘แม่จะพาลูกหนีไปให้ได้’

จันทราลูบท้องตัวเองอย่างเศร้าสร้อย เพิ่งรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์อ่อน ๆ อยากจะบอกให้พ่อของลูกรู้ แต่นั่นจะยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด เธอจะให้เขาเป็นห่วงมากกว่านี้ไม่ได้

การจะลืมความเป็นอวัศยาต้องแลกด้วยตัดใจจากรักทุกอย่าง ก่อนที่เธอจะลืมเรื่องราวทุกสิ่งสิ้น จันทราอยากบอกเรื่องหนึ่งที่ค้างอาคิราห์ไว้อย่างเหลือเกิน

‘เธอดีใจที่เกิดมาจากความรัก’








Create Date : 12 สิงหาคม 2553
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 9:56:37 น. 4 comments
Counter : 459 Pageviews.

 
คุ้มค่าแก่การรอคอย
รักคนเขียนเสมอ จุ๊บๆๆ


โดย: sakeena IP: 124.122.169.40 วันที่: 13 สิงหาคม 2553 เวลา:10:38:18 น.  

 

ขอบคุณคนอ่านที่น่ารักคนนี้มากค่ะ
^_^


โดย: นิรีย์ IP: 58.8.227.124 วันที่: 13 สิงหาคม 2553 เวลา:22:17:46 น.  

 
กรี๊ดๆๆๆ เราชิมิ


โดย: sakeena IP: 124.121.230.198 วันที่: 16 สิงหาคม 2553 เวลา:13:31:11 น.  

 

ใช่แล้วค่ะ คนอ่านคนนี้น่ารักที่สุด


โดย: นิรีย์ IP: 58.8.143.200 วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:12:25:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.