บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 

บุณยภู บทที่ ๑๓ จันทราในใจ โดย...นิรีย์

“ม่านแม่ขอโทษที่ต้องพาลูกมาไว้ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่เราควรหนีมันไปให้ไกลที่สุด แต่มันไม่มี
ทางเลือก แม่ไม่มีทางไป แม่หวังว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีลูกอยู่ที่นี่”

‘นั่นเสียงของแม่ แม่จ๋า แม่กลับมารับข้าแล้ว’

“เด็กคนนี้มาอยู่ที่เขตในกับใคร”

'แม่...ท่านป้าที่ช่วยเราโดนจับไปแล้ว ผู้หญิงใจร้ายคนนั้นจะฆ่า
ท่านป้า แม่จ๋าช่วยด้วย ช่วยด้วย’


“สายเลือดที่หลบหนีไปหรือนี่”

‘นางพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ ทำไมมองข้าด้วยสายตาน่ากลัวเช่นนั้น’

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุดก็กลับมาโดยไม่ต้องเปลืองแรงตามหา สายเลือดใกล้ชิดที่สุดและ
เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นอวัศยาคนต่อไป”

“แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกเด็กน้อย ต้องรอให้เจ้าพร้อมกว่านี้”

‘ไม่! ข้าไม่ใช่อวัศยา ข้าคือม่าน’
   
“เจ้าพร้อมแล้ว”

‘ไม่เป็น ข้าไม่เป็น’

เสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยินดังสะท้อนอยู่ภายในร่างที่ยังคงนอนนิ่ง แม้ร่างกายจะอุ่น
ขึ้นแล้วแต่ยังไร้หัวใจที่เต้นด้วยจังหวะของชีวิต

“นางเป็นอย่างไรบ้าง”

“อาการเหมือนเดิมเจ้าคะท่านสังฆราช หัวใจยังไม่เต้น”

“นี่คือยาตัวใหม่เพิ่งปรุงเสร็จ วานโยมน้าช่วยป้อนนางทุกสามชั่วยามด้วย”

ม่านรู้สึกถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ผ่านลงลำคออย่างช้า ๆ สิ่งนั้นทำให้เธอตื่นจากฝันร้ายได้
แต่ทำไมร่างกายยังขยับเขยื้อนไม่ได้ และยังคงเย็นยะเยือกที่หัวใจ

“ท่านเจ้าคะ ให้พวกผู้หญิงผลัดเปลี่ยนเข้าไปช่วยในพิธีเถิดเจ้าค่ะ พวกท่านอ่อนแรง
กันมากแล้ว”

“เดี๋ยวพวกโยมน้าทั้งหลายก็เข้าไปนั่งหลับอีกหรอก”

“ท่านสังฆราช! นี่ยังมีใจพูดเล่นอีกหรือ เห็นพวกข้าแก่เกินไปใช่ไหม”

“อ้าว คิดเลยเถิดไปโน่น ไม่ต้องห่วงหรอกพวกเราผลัดเปลี่ยนกันออกมาพักได้ ที่โยมน้า
กำลังทำอยู่นี่คือการช่วยที่ดีที่สุดแล้ว ช่วยคนทั้งคาบสมุทรมายา”

“สาวน้อยที่น่าสงสาร นางคือเด็กที่ติดท้องไปคนนั้นใช่ไหมท่าน”

“ใช่”

“โอ้พระเจ้า เรื่องกำลังจะซ้ำรอยเดิมหรืออย่างไร”

“ไม่มีใครรู้อนาคต เราช่วยให้เขามีปัจจุบันที่ดีที่สุดก็แล้วกัน”

“พ่อจะได้พบลูกสักที”

 “ถ้าพ่อได้พบลูก เจ้าธรรศหลานของพวกเราก็คงได้สมหวัง”

เธอคือเด็กที่ติดท้องที่พูดถึง และกำลังจะได้พบพ่อแท้ ๆ ที่ร่ำร้องหามาชั่วชีวิตหรือ 
แล้วธรรศล่ะ เจ้าอยู่ที่ใด...

'ข้าคิดถึงเจ้า แต่ทำไมหัวใจข้าถึงยิ่งเยือกเย็นลงไปอีก
เจ็บปวดเหลือเกิน'


“เจ้าธรรศมันกำลังจะเจอปัญหาใหญ่ต่างหาก”

“อะไรหรือท่าน”

“อาคิราห์”

“นางมารร้าย แก่จนปูนนี้แล้วยังไม่สำนึกบาปที่ทำ”

“นางอยู่ในความมืดนานเกินไป”

“นางเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองต่างหาก”

“โยมน้าอย่าอคติเลย ไม่มีเหตุก็คงไม่มีผลอย่างทุกวันนี้”

“ข้าก็ไม่อยากอคติ ข้ารู้ดีถึงสิ่งที่พวกนั้นทำกับนาง แต่สิ่งที่นางทำมันเกินไป เกินไปจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ให้เกิดอวัศยาขึ้นอีกคน มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะหยุดอาคิราห์ได้”

“ข้าเต็มใจช่วยแม่หนูคนนี้อยู่แล้ว”

“ขอบใจโยมน้า”

การสนทนาสิ้นสุด หญิงสาวได้ยินเหมือนเสียงเดินจากไปและเสียงประตูเปิดเบาๆ ประมุข
แห่งบุณยภูคงกำลังจะจากไป หัวใจที่เย็นจัดจนเจ็บบรรเทาลงไปเมื่อความอบอุ่นบาง
อย่างเริ่มกระจายไปทั่วร่าง คงเป็นเพราะยาตัวใหม่ของท่านสังฆราช ม่านพยายามขยับมือ
...แต่มือทั้งสองหนักเสียจนไม่อาจเขยื้อน

‘ธรรศ เจ้าอยู่ที่ไหน’ เจ็บที่หัวใจอีกแล้ว ทำไมถึงเจ็บขึ้นมาอีก

“แม่หนู! ท่านเจ้าคะ มาดูแม่หนูนี่ก่อน”

“นางเริ่มรู้สึกตัวแล้ว”

“แต่ทำไมหัวใจยังไม่เต้น”

“เพราะอวัศยาไม่มีหัวใจ”

“นี่แสดงว่านางยังไม่หายหรือเจ้าคะ”

“ใช่นางยังไม่หาย จนกว่าหัวใจจะเต้นขึ้นมาอีกครั้ง”

“ทำอย่างไรล่ะท่าน ดูซิสีหน้าเจ็บปวดเหลือเกิน หรือจะเป็นแบบเมื่อครั้งนั้น
หรือเราต้องใช้ยานั้นอีกครั้ง”

“ตัดรัก...ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย มียาอีกชนิดที่กำลังทดลองอยู่ หวังว่ามันคง
เสร็จทันเวลา”

ตัดรัก หมายความว่าอย่างไร ข้าจะต้องตัดรักของเราหรือธรรศ

ม่านรู้สึกเจ็บวาบที่หัวใจขึ้นมาอีก ปวดร้าวรุนแรงกว่าครั้งใด ๆ จนความอบอุ่นที่พยายาม
แผ่กระจายเข้ามาบรรเทาอาการรวดร้าวนั้นต้องคืนกลับไป ในหัวตอนนี้คิดถึงแต่สัมผัส
ของเขา คิดถึงจุมพิตที่จะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นล่ะหรือ

“โยมน้า...ให้นางดื่มยาเพิ่มทันทีถ้ามีอาการเจ็บปวดอีก”

ของเหลวอุ่น ๆ อย่างเดิมโดนป้อนเข้ามาอีกครั้ง และเพียงครู่เดียวก็เหมือนมีมืออบอุ่น
มาปลอบโยนหัวใจที่กำลังเจ็บช้ำ คลายความเย็นชาจนเกือบจะรับรู้ถึงแสงนุ่มนวล
แห่งชีวิต

“นี่คงพอช่วยให้นางผ่านคืนนี้ไปได้”

“ท่านสังฆราชขอรับ ทางพิธีแย่แล้ว ผู้อาวุโสหลายท่านกระอักเลือด”   

ใจที่สงบลงบ้างแล้วทำให้ม่านสัมผัสถึงความตึงเครียดในทันทีที่มีใครคนหนึ่งร้อนรน
เข้ามารายงาน

“ให้น้าช่วยเถิด ท่านสังฆราช”

“ยังไม่ถึงเวลา”

เธอได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ เพียงครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นรอบตัวก็ตกอยู่ในความ
เงียบ เนิ่นนานจนอึดอัด แต่หญิงสาวก็ทำได้เพียงนอนอยู่นิ่ง ๆ ที่เดิม รับรู้ถึงการดูแล
ทว่าไม่สามารถตอบสนองต่อสัมผัสอบอุ่นนั้นได้

เหมือนสัมผัสของ...แม่ที่โหยหา

ในชั่วพริบแห่งความคำนึงถึงนั้น ราวกับว่าม่านได้ล่องลอยเข้าไปในอีกมิติ เข้าไปห้องที่มี
สภาพคล้ายคลึงกับห้องที่เธอพักบนบุณยภู เพียงแต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย และไม่เหน็บหนาว
เท่าคืนแห่งความทรงจำของธรรศ และเธอ

บนเตียงไม้เล็ก ๆ มีเด็กสาวร่างผอมบางคนหนึ่งนิทรารมณ์อยู่อย่างเป็นสุข

‘แม่’
   
ร่างที่นอนยิ้มละไมนั้นคล้ายแม่เหลือเกิน แต่เป็นมารดาในวัยสาวแรกรุ่น สวยสะคารญ
ผิดจากแม่ที่ระทมทุกข์ที่เธอเคยเห็น รอยยิ้มของแม่แม้ในยามหลับนั้นงามนุ่มนวลนัก
แต่ก็อันตรธานไปทันทีเมื่อมีเสียงรัวทุบประตูปลุกให้ตื่นจากนิทราแห่งสุข

“ใคร” เธอเห็นมารดาส่งเสียงถามอย่างหงุดหงิด

“แล้วนั่นล่ะใคร เข้าไปอยู่ในห้องของคนอื่นได้ยังไง” เสียงทุ้มของผู้ชายตอบกลับอย่าง
ห้วนๆ และน่าจะหงุดหงิดยิ่งกว่า

“ห้องคนอื่นที่ไหน ห้องข้า” แม่กระโจนจากเตียงไปกระชากประตูเปิด และ
ระเบิดถ้อยคำใส่หน้าผู้มารบกวนยามวิกาลทันที

ผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าห้อง ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่มาเปิดประตู
แล้วจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหรี่ตามองไปทั่วตัวของแม่ที่ใส่เพียงชุดนอนบางเบา เห็นลึก
ไปถึงไหนต่อไหน

“นี่ ลุง”

“ลุง! ใครเป็นลุง”

“ก็ท่านนั่นแหละ ท่านลุง”

“ข้า...ไม่ใช่ลุงเจ้า”
   
“ก็ได้ ไม่เรียกลุงก็ได้ เรียกอาก็แล้วกัน”

ม่านเห็นสีหน้าระอาของชายคนนั้น เขาเป็นชายวัยฉกรรจ์ที่หล่อเหล่ามาก และอ่อนวัย
เกินกว่าที่จะเป็นลุง หรือเป็นอาของผู้หญิงที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเริ่มเป็นสาวแล้ว

“ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้น ออกไปจากห้องข้าได้แล้ว”

โดยไม่ทันตั้งตัว มารดาของเธอโดนกระชากจนตัวปลิวออกมานอกห้อง แล้วผู้ชายคนนั้น
ก็ก้าวเข้าไปแทนพร้อมกับปิดประตูดังปังใส่หน้าแม่ที่มัวแต่ยืนตื่นตะลึงตาค้างอยู่หน้าห้อง
ใช้เวลาหลายชั่วอึดใจกว่าจะรู้ตัว แล้วอาการโมโหจนเลือดขึ้นหน้าที่แม่ไม่เคยแสดงให้
ลูกเห็นก็ปรากฎให้เห็นเต็มตา

แม่กรีดร้อง กระทืบเท้าเร่า ๆ แล้วก็กระหน่ำทุบประตูไม้หนาหนักข้างหน้าอย่างไม่กลัว
เจ็บมือ

“ไอ้บ้า ออกมาจากห้องข้าน่ะ”

เงียบ ไร้เสียงตอบ

“คนแก่บ้า เปิดประตูเดี๋ยวนี้”   

คราวนี้วิธีของแม่ได้ผล ประตูถูกเปิดออกอย่างเร็วพร้อมกับร่างบางของแม่ที่โดนรวบเอว
ดึงเข้าไปปะทะอกกว้างที่บัดนี้เปล่าเปลือยเนื่องจากเจ้าตัวคงถอดเสื้อออกเพื่อเตรียมตัว
เข้านอน ประตูถูกปิดอีกครั้ง แล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินลากแม่ไปล้มตัวนอนบนเตียงด้วยกัน

“ปล่อย”

“ข้าเหนื่อย อยากพัก”

“ก็ไปนอนที่ห้องเจ้าซิ มานอนกอดข้าทำไม”

“ไม่อยากทำอย่างนี้หรอก แต่เสียงเจ้ามันกวนประสาทข้า ถ้าไม่ให้เข้าห้องที่จริง ๆ แล้ว
เป็นห้องของข้า เจ้าก็คงไม่เงียบ ให้เข้ามาแล้วก็เงียบซะ ข้าง่วงเหลือเกิน”

“ปล่อย”

แม่ยังคงส่งเสียงร้องดังลั่น ทั้งทุบ ทั้งเตะ ดิ้นรนให้พ้นจากการกกกอดของผู้ชายคนนั้น
แต่ร่างแข็งแกร่งปานหินผาเช่นนั้นมิได้กระเทือนสักนิด มีแต่ความรำคาญมากกว่า ม่านคิด
ว่าเขาคงเพลียและอยากนอนมากจริง ๆ แต่สิ่งที่เขาทำให้มารดาเธอหยุดการดิ้นรนนั้น
ก็ทำเอาเธออดจะเคืองไม่ได้ ผู้ชายฉวยโอกาส อยากเข้าไปช่วย แต่ก็เหมือนเธอถูก
กำหนดให้เป็นแค่ผู้ชมเท่านั้น

ผู้ชายคนนั้นใช้วิธีจูบปิดปาก ยิ่งดิ้นก็เหมือนจะยิ่งจูบรุนแรงขึ้นทุกที จนร่างบางของ
มารดาจำต้องหยุดนอนนิ่งแข็งเป็นท่อนไม้

“นอนเฉย ๆ ไม่อย่างนั้นจะทำมากกว่าจูบ”

เขากระซิบขู่ และม่านรู้ดีว่ามันต้องได้ผล ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะเสี่ยงเมื่ออยู่ในอ้อม
กอดของชายแปลกหน้า ท่าทางหื่นจัดเช่นนี้

เธอเห็นเขายิ้มนิดหนึ่ง แต่ก็แทบทำให้ทั่วทั้งห้องสุกสว่างในความรู้สึกของเธอ เป็นรอยยิ้ม
ที่แสนอบอุ่นที่สามารถละลายความขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ได้ทั้งสิ้น

“ปล่อยซิ นอนเฉย ๆ แล้ว”

“จุ ๆ ไม่ต้องพูดอะไรอีก อยู่อย่างนี้แหละ” 

เขาก่ายกอดมารดาของเธอราวหมอนข้างอยู่เพียงครู่ก็หลับไป เป็นการหลับลึกจนถึงกับมี
เสียงกรนเบา ๆ ดังลอดออกมา ม่านสงสารมารดานัก โดนกอดกักไว้จนแทบหายใจไม่ออก
อย่างนั้น ยังต้องทนนอนฟังเสียงกรนที่แม้นจะดังเบา ๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้เธอกลับไม่เคือง
ไม่โกรธคนนอนไม่รู้เรื่องคนนั้นแล้ว กลับรู้สึกเห็นใจเขามาก รู้ว่าเขาเหน็ดเหนื่อยมาจริง ๆ

‘ทนหน่อยนะแม่ เขาเหนื่อยจริง ๆ’ กระซิบเบา ๆ บอก
ทั้งที่ไม่มีใครได้ยิน
   
ภาพตรงหน้าทำให้ม่านอดยิ้มไม่ได้ เหมือนกับแม่ไก่กำลังนอนกกลูกเจี๊ยบที่ได้แต่นอนนิ่ง
กลอกตาไปมา และก็เผลอหลับไปในท่านั้นจนใกล้สว่าง

“ท่านหญิงตื่นหรือยัง”

เสียงเคาะประตู และร้องเรียกอยู่หน้าห้องข้าง ๆ ปลุกคนสองคนที่กำลังกอดกระชับหา
ไออุ่นซึ่งกันและกันในยามเช้าที่หนาวเย็น แม่พยายามลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายไม่ยอม ยังคงกอด
และกระชับร่างบางแนบชิดเนื้อตัวที่เกือบเปล่าเปลือยของเขาเข้าไปอีก

“เป็นท่านหญิงหรือ”

“ใช่ รู้แล้วก็รีบปล่อยข้า”

“ยิ่งรู้ ยิ่งปล่อยไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็ถ้ามีใครเห็นท่านหญิงออกจากห้องข้าตอนนี้ ข้าจะเดือดร้อนมาก”

“นี่ ห้องข้า”

“ยังจะเถียงอีกหนูน้อย ฟังให้ดีซิว่าคนเคาะเรียกเจ้าห้องไหน”

เสียงเคาะเรียกเบา ๆ อีกหลายครั้งจากข้าง ๆ ห้อง เป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่ามารดาเข้ามา
นอนผิดห้องตั้งแต่เมื่อคืน

“ทีนี้ยังอยากนอนอยู่ห้องนี้อีกคืนไหม ท่านหญิง”

“บ้า คนบ้า”

ไม่รู้ว่ามารดาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงสามารถผลักร่างหนาหนักอย่างนั้นให้หงาย
หลังพ้นออกไปจากตัวได้ เธอเห็นผู้เป็นแม่วิ่งจี๋ไปที่ประตูทันที ร่างใหญ่บนเตียงไม่ได้
ตามไป คงนอนมองอาการเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงข้างนอกอย่างขบขัน เขาหลับตา
ลงนอนอีกอย่างสบายอารมณ์ คราวนี้กางแขนขาเต็มเตียง แลเห็นขนหนาดกดำบนหน้า
อกชัดจนม่านต้องเบือนหน้านี้ และมารดาก็คงรู้สึกเช่นนี้เหมือนกันเพราะไม่หันหลังกลับ
มามองคนบนเตียงอีกเลย

“รอให้เสียงเงียบก่อน ค่อยออกไป ข้าจะนอนต่ออีกหน่อย”

แม่ค้อนให้ประตูแทนหันกลับไปค้อนคนที่มีแก่ใจนอนต่ออีก คงไม่อยากมองภาพชวนให้
กระอักกระอ่วนใจของผู้ชายคนนั้น แต่ก็ทำตามคำแนะนำ รอจนเงียบเสียงแล้วจึงค่อย ๆ
เปิดประตูย่องออกไป แม่รีบกลับเข้าห้องตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ทำท่าทาง
ครุ่นคิดอะไรบ้างอย่างซึ่งเธอคาดเดาว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ สำหรับคนที่อยู่ข้างห้อง

“ท่านหญิงจันทรา”

ร่างบอบบางของมารดาหันกลับไปดูผู้เรียก แล้วก็ตรงเข้าไปกอดทันที แต่สำหรับม่าน
อย่าว่าแต่กอดเลยแค่เข้ามาอยู่ในห้องเดียวกันเช่นนี้ เธอก็รู้สึกราวกับจะโดนไฟร้อนลวกตัว
ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตนเห็น

‘อาคิราห์’
   
“น้าคิราขา”

เสียงที่แม่เรียกผู้หญิงคนนั้นแสนออดอ้อน แสดงความสนิทชิดเชื้อ เช่นเดียวกับผู้มาใหม่
ที่ส่งยิ้มหวาน อ้าแขนรับร่างดรุณน้อยที่โผหาเข้ามากอดไว้แนบอก

“ท่านหญิง หายไปไหนมาตั้งแต่เช้า น้าคิราตามหาจนทั่ว”

อาคิราห์คนนี้อ่อนหวานนุ่มนวล เป็นสาวใหญ่ที่มีรูปร่างงดงามหมดจดจนสาวน้อยบางคน
ไม่อาจเทียบได้ แววตาที่ทอดมองเด็กสาวในอ้อมกอดเต็มไปด้วยความรักใคร่ แต่ทำไม
มันถึงแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่รุนแรง ทำไมอาคิราห์ถึงทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนี้
ถ้านางรักแม่ของเธออย่างที่แสดงออกมาตรงหน้า

“หนูจัน...ไปเดินเล่นมาจ้ะ”

“แน่นะ ไม่ใช่ไปซนก่อเรื่องที่ไหนมาอีก”

“เปล่าจริง ๆ หนูจันจะมาซนต่างบ้านต่างเมืองเราอย่างนี้ได้ยังไง น้าคิราคนสวย”

“ดีมากจ้ะ หนูจันเป็นท่านหญิง เป็นธิดาคนโตของพระธิดา พระน้องนาง เป็นสตรีชั้นสูง
ในราชวงศ์คนหนึ่ง ดังนั้นต้องระวังกิริยาให้ดี”

“แต่ที่จริงหนูจันก็เป็นคนธรรมดาไม่ใช่หรือ เพราะทั้งท่านตา ท่านพ่อ ก็เป็นทหารหมด”

“แต่ทั้งสองท่านก็เป็นทหารระดับสูง มาจากครอบครัวมีเชื้อสาย ท่านตาเป็นจอมพล
ท่านพ่อเป็นนายพล หนูจันจะเป็นคนธรรมดาไปได้อย่างไร”

“ถ้าอย่างนั้นน้าคิราก็ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกันซิ น้าคิราเป็นน้องสาวของท่านแม่”

“น้าคิราเป็นใครไม่สำคัญ แค่มีหนูจันอยู่ข้าง ๆ น้าก็มีความสุขที่สุดแล้ว”

“หนูจันก็เหมือนกัน หนูจันรักน้าคิรามาก รักเหมือนแม่เลย”

“หนูจันก็เรียกน้าว่าแม่ซิ เวลาอยู่กันตามลำพัง”

“แม่จ๋า แม่คิรา”

ม่านเห็นน้ำตาหยดหนึ่งไหลรินจากดวงตาเข้มของอาคิราห์ เจ้าชีวิตแห่งคามินรัฐที่มีแต่
ความเหี้ยมโหดมีซอกมุมของชีวิตที่เคยร้องไห้ตื่นตันกับคำว่า ‘แม่’ จากปากสาวน้อยที่
นางจะทำลายชีวิตอันสดใสในไม่ช้านี้

“หนูจันไม่ชอบเลยเวลาเข้าไปในวัง ชอบอยู่บ้านเราที่นอกวังมากกว่า แต่เสด็จตาทรงบังคับ”

“เสด็จตาของหนูจันทรงบังคับใครที่นี่ไม่ได้”

“ทำไมหรือจ้ะ”

“บุณยภูเป็นดินแดนกันชนที่นักโทษการเมืองสามารถขอลี้ภัยอยู่ได้”

“นักโทษการเมือง เราหรือ”

“ไม่ใช่ลูก แต่เป็นแม่ แม่เป็นนักโทษการเมืองของคามินรัฐ”

“แม่คิรา!”

“หนูจันจะอยู่กับแม่คิราไหมลูก”

“อยู่ซิจ้ะ หนูจันจะอยู่ข้าง ๆ แม่ตลอดไป”

“ไป เราไปหาท่านลุงที่เป็นเพื่อนแม่ด้วยกัน คนหนึ่งเป็นสังฆราชของที่นี่ ส่วนอีกคนก็เป็น
นายพลที่หนุ่มที่สุดของพิชญะ ทั้งสองคนจะช่วยให้เราอยู่ด้วยกันได้”

แม่โดนจับจูงให้เดินไปในเส้นทางที่เธอจำได้อย่างติดตา ทางที่นำไปสู่ห้องที่ทำพิธี
แต่งงานของเธอ หัวใจเริ่มปวดร้าวขึ้นมาอีก เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่คิดถึงความรัก แต่ครั้งนี้
มันไม่ทรมานเท่าที่ผ่านมา

“อาคิราห์ เจ้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ”

เสียงทักทายจากผู้ชายคนเมื่อคืน เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของอาคิราห์หรือนี่

“ท่านก็เช่นกันกุลิสร์ ยังดูหนุ่มแน่นเหมือนเดิม”

ม่านเห็นมารดาแอบย่นจมูก และเธอก็เห็นว่าท่านนายพลหนุ่มคนนั้นเหลือบไปเจอพอดี
เขามองแม่เขม็งด้วยสายตาอย่างที่ธรรศชอบมองเธอ

“แม่หนูคนนี้เป็นใครกัน”

เขาถามทันควันที่อาคิราห์พูดจบ ไม่ปิดบังความสนใจจนผู้หญิงต่างวัยทั้งสองอึดอัด

“นี่ ท่านนายพลกุลิสร์ ระวังกิริยาหน่อยเป็นไร แก่แล้วนะเจ้าน่ะ”

ท่านสังฆราชยังเหมือนที่ท่านเป็นในปัจจุบัน พูดเสียงดังก้องด้วยคำพูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม
ผิดแต่ท่านยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ที่คงเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งประมุขแห่งบุณยภู

“นักบวชอะไรปากจัดเช่นนี้”

“พอแล้วท่านทั้งสอง จนตำแหน่งใหญ่โตกันหมดแล้วยังทะเลาะกันไม่อายเด็ก ดูซิหัวเราะ
ใหญ่เลย ไม่เอาลูกเสียมารยาท”

“ลูกเจ้าหรืออาคิราห์”

“ช...ไม่ใช่หรอกกุลิสร์ เธอคือท่านหญิงจันทรา  ธิดาคนโตของพระธิดาพระน้องนาง”

“แล้วเจ้าพามาด้วยทำไม บุณยภูรับคุ้มครองได้แค่เจ้าเท่านั้น”

“เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องรบกวนให้เจ้ามาที่นี่”

“เพื่ออะไร และขอเป็นเหตุผลที่สมควรกับการขี่ม้ามาตลอดสองวันเต็มของข้าด้วยนะ”

“ช่วยพาท่านหญิงไปอยู่พิชญะกับเจ้าด้วย”

“อาคิราห์”

“แม่คิรา”
   
“ฟังก่อน ท่านหญิงก็เหมือนกับเป็นลูกสาวข้า ข้ารักนางมาก และทางโน้นก็ใช้นางบีบ
บังคับข้าเสมอ ข้าจะไม่มีทางหนีไปไหนได้เลยถ้าตราบใดที่หัวใจของข้ายังอยู่ที่นั่น”   

“ข้าขอร้องกุลิสร์ พานางไปหลบที่พิชญะชั่วคราวเท่านั้น ข้ากำลังทวงสิทธิ์ของข้าบน
แผ่นดินคามินรัฐกลับคืน ในฐานะสายเลือดของกษัตริย์พระองค์ก่อน”

“ทำไมเจ้าห่วงแม่หนูนี่มากขนาดนี้ แม่หนูคนนี้คือท่านหญิงจันทราจริง ๆ หรือ”
ท่านสังฆราชตั้งคำถามขึ้นมาบ้าง

“ตอนนี้หนูจันคือท่านหญิงจันทราจริง ๆ”

“แล้วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง”

“หนูจันจะเป็นลูกสาวของข้าอย่างสมบูรณ์”

“แต่ข้ามีข้อเสนอเป็นอย่างอื่น” นายพลกุลิสร์เอ่ยกับอาคิราห์ แต่สายตากลับมาจับจ้อง
อยู่ที่แม่ตลอด

“ข้อเสนออะไร”

“ยกหนูจันคนนี้ให้ข้า”

“อะไรนะ”

คราวนี้ทุกคนยกเว้นคนเสนอแทบจะร้องออกมาพร้อมกัน

“กุลิสร์เจ้าไม่ชอบมีพันธะไม่ใช่หรือไง แล้วแม่หนูนี่ก็ยังเด็กมาก” ท่านสังฆราชรีบพูด
ไกล่เกลี่ย

“ไม่เด็กแล้ว” ทั้งน้ำเสียงและสายตาบอกให้รู้ว่านายพลหนุ่มคงกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่
เป็นแน่

“อายุนางเพิ่งสิบหก แต่งไม่ได้โว้ยไอ้เฒ่าหัวงู” ท่านสังฆราชชักเดือดเพื่อน และคงสงสาร
แม่ที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่ตอนนี้

“ถ้าไม่อยากให้ใครตามตัวกลับไปได้ ก็ให้แต่งกับข้าเดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะพานางกลับพิชญะ”

“นางต้องมีญาติผู้ใหญ่อนุญาต” ประมุขแห่งบุณยภูพยายามหาข้ออ้างอื่นมาอีก

“อาคิราห์อนุญาตให้นางแต่งได้มิใช่หรือ”

“กุลิสร์ทำไมเจ้าเลือกทำเช่นนี้ เจ้าไม่เคยชมชอบการแต่งงาน ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหน”

“ไม่เกี่ยวกับความรัก ข้าทำเพราะเจ้าขอให้ช่วย ข้าก็ช่วยเจ้าแล้วไง แต่ช่วยตามวิธีของข้า”

ทุกคนนิ่งเงียบ แล้วในที่สุดอาคิราห์ก็เป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้นมา

“ข้าไม่ตกลง”

“ถ้าเราไม่ทำตามวิธีของข้า เจ้าคิดหรือว่าคามินรัฐจะยอมปล่อยนาง คิดดี ๆ นะ ถ้านาง
ไม่เป็นเมียข้าจะมีเหตุผลอะไรที่จะอ้างให้นางอยู่ที่พิชญะ โดยไม่เป็นประเด็นขัดแย้งทาง
การเมือง”

“ไม่! อย่างไรข้าก็ไม่ยอม หนูจันยังเด็ก”

“ลองถามเจ้าตัวเองดีกว่า ว่าอย่างไรหนูน้อย เจ้าอยากให้ข้าช่วยแม่คิราของเจ้าหรือไม่”

“ไม่ต้องลูก แม่จะหาทางอื่น”

“ถ้ามันมีทางอื่น ข้าคงไม่มาอยู่ที่นี่ ว่าไงหนูจัน”

ม่านเห็นมารดาเม้มปากแน่น ดวงตาที่จ้องกลับคนที่ทำให้ต้องอยู่ในสภาพเหมือนจนตรอก
เช่นนี้วาวโรจน์ แสดงออกทั้งความเกลียดชัง ความไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่คำตอบที่ให้กลับ
เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามความรู้สึกทั้งหมด

เป็นคำตอบที่ม่านไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของมารดา

“ข้ายอมแต่ง”





Free TextEditor




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2553
2 comments
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 9:54:41 น.
Counter : 414 Pageviews.

 

ตื่นเต้นน่าติดตามมาก สนุกจิงๆๆ อัพๆไวๆๆๆนะ

 

โดย: sakeena IP: 124.120.215.93 11 กรกฎาคม 2553 11:47:06 น.  

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ จัดให้จ้า

 

โดย: นิรีย์ IP: 58.11.78.47 18 กรกฎาคม 2553 21:13:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.