--[ความสุขของกะทิ ดูหนังแต่ขายหนังสือ (สปอยล์)]--
เพิ่งมีโอกาสได้ลากสังขารไปดูภาพยนต์เรื่องนี้มาครับ ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรง
สารภาพตามตรงว่า ไม่ได้อยากไปดูเพราะตัวหนังสือ เพราะส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อย Happy กับหนังสือเล่มนี้ซักเท่าไหร่

ทั้ง ความสุขของกะทิ เล่ม 1




และ ความสุขของกะทิ ตอนตามหาพระจันทร์ เล่ม 2




ตอนงานหนังสือแห่งชาติ ผมทำเอาพนักงานที่ขายหนังสือ 2 เล่มนี้มองตาขวางไปทีนึงแล้ว
เพราะเพื่อนผมสนใจที่จะซื้อเพราะมันเป็นหนังสือรางวัลซีไรท์ แต่ก่อนที่มันจะตัดสินใจซื้อ
มันก็หันมาถามผม ซึ่งอ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้แล้วว่า มันเกี่ยวกับอะไร

ด้วยความที่ไม่ชอบส่วนตัวเลยสปอยล์มันไปแบบออกทะเลว่า

เล่มแรก

ก็เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงแก่แดดโดนสปอยล์มาตั้งแต่เด็กคนนึง ที่ครอบครัวเค้าร่ำรวยกว่าเราเยอะ
ชอบกินน้ำกะทิแตงไทยเป็นชีวิตจิตใจ และมีความฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ!!
และ อยากเอาน้ำกะทิแตงไทย ไปนั่งกินบนดวงจันทร์!!!


ส่วนเล่มสอง

ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เด็กผู้หญิงคนเดิม ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย
ขึ้นยานอวกาศไปเยือนดวงจันทร์เป็นคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย
แต่น่าเสียดายที่เมื่อไปถึง ดวงจันทร์ดันหนีออกจากบ้าน เธอจึงต้องตามหาพระจันทร์
และที่สำคัญเธอลืมเอาน้ำกะทิแตงไทยติดมือขึ้นไปด้วย!!


แทนที่เพื่อนผมจะได้หนังสือของเค้ากลับมา มันก็เลยไม่ซื้อ เพราะดันเชื่อที่ผมสปอยล์ไปซะแล้ว
ไอ้เพื่อนบ้าของผมก็เชื่อคนง่ายจริง ๆ ยังมีการย้อนกลับมาถามอีกว่า แล้วตกลงเจอพระจันทร์หรือเปล่า??

แสรดดดดดด เมิงยังเชื่อกุอีกเน๊อะ พระจันทร์บ้าอะไรหนีออกจากบ้าน
แล้วใครจะบ้าเอาน้ำกะทิแตงไท ขึ้นไปกินบนดวงจันทร์ฟระ!!!


คนขายได้ยินเธอแทบจะเอาหนังสือเขวี้ยงกระบาลผมแหกอยูตรงนั้น
โทษฐานทำวรรณกรรมซีไร้ท์กลายเป็นนิยายแฟนตาซีปัญญาอ่อนไปได้ T_T

ผมเห็นท่าไม่ได้การ จากรังสีอำมะหิตที่เปล่งออกมาจากสายตาน้องคนขาย
จากการสปอยล์บ้าบอของผมอันนั้น มันอาจจะทำให้ผมตายเพราะปากตัวเองได้
เลยต้องแก้โมโหของเธอด้วยการซื้อหนังสือที่บูธนั้นกลับมาซะ 4 เล่ม!!
ทั้งที่ไปเป็นเพื่อนของเพื่อนแท้ ๆ T_T

เพื่อนไม่ได้อะไรกลับมาเลย แต่ผมได้หนังสือมา 4 เล่มซะงั้น

อย่างนี้แถวบ้านผมเรียกว่า ปากพาจนจริง ๆ T_T

ครับก็อย่างที่บอก ว่าผมไม่ค่อยปลื้มกับบทประพันธ์ชุดนี้ซักเท่าไหร่
แต่ที่อยากไปดูก็เพราะตัวอย่างหนังเรื่องนี้ล้วน ๆ!!
ตัวอย่างหนังตัดออกมาได้ดีมาก บวกกับเพลงที่โดนใจ ทำให้ผมไม่ลังเลเลยที่จะไปดู


และเมื่อดูจบแล้วก็ต้องสารภาพตามตรงอีกเหมือนกันว่า
ผมค่อนข้างที่จะชอบ และ รักหนังเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว
แม้จะสามารถคิดไปได้ว่า นี่เป็นแผนอีกอย่างหนึ่งให้หนังสือเล่มนี้กลับมาขายดีอีกครั้ง
เพราะคนที่ดูแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ จะต้องออกมาหาหนังสือเล่มนี้อ่านเพราะดูหนังไม่รู้เรื่อง!! T_T

เป็นแผนการตลาดที่แยบยลมาก!!!

แต่ผมไม่สนครับ เพราะผมอ่านแล้ว ไม่ได้ซื้อด้วย ยืมเค้ามาอ่านแล้วยึด!! (เลวกว่ากันเยอะ)

ด้วยงานด้านภาพที่สดใส ถ่ายภาพสวย บรรยากาศสดชื่น เพลงเพราะ
และที่สำคัญ ดารานำ (น้องพลอย) น่ารัก!!
เธอน่ารักมาก น่ารักเสียจนผมคิดว่า

จริง ๆ แล้ว กะทิเธอเป็นลูกของแม่เธอกับใครกันแน่ สงสัยไอ้ชาวมัณฑะเลย์ (พม่า) นั่นคนนั้นคงไม่ใช่พ่อเธอแหง ๆ
เพราะหน้ากะทิ ออกหมวยแต้จิ๋วเหลือเกิน นี่อาจจะเป็นความลับในเก๊ะสุดท้ายที่แม่เธอได้เตรียมไว้ให้ก็ได้ ใครจะรู้ T_T



การดำเนินเรื่องต่าง ๆ ในหนัง ลอกหนังสือมาแทบจะเป๊ะ ๆ แทบจะไม่ดัดแปลงไปเลย

ซึ่งข้อดีของมันก็คือ

สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นภาพยนต์ที่อบอุ่นเอาเรื่อง
และสามารถที่จะเข้าใจตามภาพที่สื่อออกมาได้ดีกว่าคนที่ยังไม่ได้อ่าน
มันทำให้เราได้เต็มอิ่มมากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากที่ได้อ่านหนังสือมาแล้ว
เพราะมีจินตนาการตามหนังสือที่ได้อ่านช่วยเสริมอยู่ และแน่นอน ในหนังสือ มันอธิบายในหลาย ๆ สิ่ง
ที่ตัวภาพยนต์เองไม่ได้ใส่เข้ามา เนื่องจากความยาวของหนัง หรืออะไรก็แล้วแต่





แต่ข้อเสีย ที่ถือว่า เป็นข้อเสียอย่างมหันต์ นั่นก็คือ

สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ (กว่า 90 เปอร์เซนต์) หนังเรื่องนี้จัดเป็นหนังชวนหลับ
เรื่องราวไม่ปะติดปะต่อ เกิดอะไรขึ้น ทำไมกะทิต้องวิ่ง ม้าขาวตัวนั้นมันคืออะไร

ซึ่งในช่วงไคลแมกซ์นี้เอง ที่ตัวหนัง ตัดสลับไปมาชวนเวียนหัวเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งที่ แม่ตายตอนไหนก็ไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็มาโผล่ที่คอนโดเลย ??

สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว ก็คงจะรู้ว่า เออ แม่เธอตายไปแล้ว
แต่คนที่ยังไม่ได้อ่านล่ะ จะรู้ได้อย่างไร ก็คงมีคำถามในใจว่า แล้วแม่เธอล่ะ ไปอยู่ไหน
ไปสิงอยู่ในเก๊ะเหรอ เพราะอยู่ดี ๆ มาโผล่ที่คอนโดเลย??

เนื่องจาก การแสดงของแม่เธอตอนท้ายนั้น ไม่ได้แสดงออกเลยว่า เป็นคนที่กำลังจะตาย
แม้ท่าทางจะใช่ แต่น้ำเสียงสดใสเกินกว่าเหตุ และ สำนวนชวนอ้วกอย่างแรง
มนุษย์ปกติ ผมว่า ไม่มีใครพูดอย่างนี้หรอกครับ เล่นลอกบทพูดจากหนังสือมา
โดยลืมคิดไปว่า เราอ่านตัวหนังสือ กับ เห็นภาพจริงมันต่างกัน!!!

ที่หนังสือต้องเขียนให้ไม่ปกติ หรือ แถวบ้านเรียกสำนวนน้ำเน่าอย่างนี้ก็เพราะว่า
มันไม่มีภาพปรากฎให้เห็น มีเพียงแต่จินตนาการที่เราสร้างขึ้นมาเท่านั้น
ผู้เขียนจึงจำเป็นอย่างมากที่จะทำอย่างไรก็ได้ ให้ตัวหนังสือของเขา สามารถดึงอารมณ์ร่วมจากผู้อ่านได้

ซึ่งในหนังสือนั้น ประโยคต่าง ๆ ที่แม่ของกะทิพูดในหนัง มันสามารถดึงอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี

แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อบทพูดตรงนั้นกลายมาเป็นภาพยนต์ มันกลับกลายเป็นเหมือนกับ
บทสวด หรือ ตำราอะไรซักอย่างที่มันแข็ง ๆ มันไม่จริง ๆ มันแต่งเติมและสร้างภาพกันสุด ๆ

ดูฉากที่แม่ของกะทิพูดแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่า ตายไปเลยยังดีซะกว่า
เพราะสิ่งที่เธอแสดงออกมาตั้งแต่แรก เธอเล่นไม่พูดเลย จนคนดูนึกว่า
แม่ของกะทิเป็นใบ้ อ๊ะ พูดไม่ได้หรอกเหรอ น่าสงสารจัง ขยับตัวก็ไม่ได้

โอว น่าสงสารสุด ๆ อะไรจะมีกรรมปานนั้น

แต่ที่ไหนได้ ไป ๆ มา ๆ ดันพูดได้ซะงั้น แล้วน้ำเสียงก็ช่างรื่นเริงเสียเหลือเกิน
จนอดคิดไม่ได้ว่า ตกลงใกล้ตายจริงหรือเปล่า หรือแค่อัมพาตตั้งแต่คอเฉย ๆ T_T


แต่อยากแจ้งให้กับผู้ที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือทราบครับว่า


"หลังจากที่แม่ของกะทิ พูดกับกะทิบนเตียงนั้นแล้ว เธอตายครับ~!!!!"

พูดจนตายยยยยยยยยยยยยยยยย T_T

นี่ถือเป็นข้อเสียอย่างใหญ่หลวงในภาพยนต์เรื่องนี้ ที่แทบจะไม่ดัดแปลงบทภาพยนต์เลย
ใครที่ไปดูมาแล้วก็คงจะจินตนาการเห็นภาพผู้กำกับ เปิดหนังสือเรื่อง "ความสุขของกะทิ"
นั่งอยู่หน้ากล้อง แล้วสั่ง แอ็คชั่น!!! นักแสดงก็วางหนังสือความสุขของกะทิหน้าที่ตัวเองต้องแสดงลง แล้วก็แอ็คติ้ง!! T_T

หนังเรื่องนี้ไม่มีบทภาพยนต์ มีแต่หนังสือเรื่องความสุขของกะทิเต็มกองถ่ายไปหมด!!


ไหนจะความต่อเนื่องอีกล่ะ ก็อย่างที่บอก ว่า หนังเรื่องนี้สร้างตามนิยายเป๊ะ ๆ
มันเป็นไปไม่ได้ที่หนังยาวชั่วโมงกว่า ๆ จะเอาทุกอย่างในหนังสือมาได้หมด
เมื่อมันเอามาได้ไม่หมด ก็เป็นหน้าที่ของผู้กำกับ ผู้ตัดต่อ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะทำยังไงก็ได้
ให้คนดูที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจ

แต่ปรากฎว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ เหมือนถูกจงใจสร้างมาเพื่อให้แฟนหนังสือ
ให้คนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้วได้ดูเท่านั้น เพราะเมื่อผมดูจบ และมาคิด ๆ ดูแล้ว
คิดในมุมมองของคนยังไม่ได้อ่าน ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าได้ดู

คิด ๆ ไปแล้ว ถ้าเรายังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน มีหวัง หนังเรื่องนี้เข้าทำเนียบหนังกล่อมเด็กหลับแหง ๆ
เพราะมันช่างเนิบนาบ แถมยังตัดต่อได้ไม่ต่อเนื่องอย่างที่สุด

ป้อมยักษ์มีบทบาทอะไร โผล่มาแค่นั้นเองหรือ??

พี่ทองโผล่มาที่ทะเลได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่??

แม่ตายตอนไหน ตายยังไง เป็นโรคอะไรตาย??

ลุงตอง น้ากัณฑ์ น้าฎา เป็นใคร อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา เป็นบุรุษพยาบาล กับนางพยาบาลเหรอ??

แม่เธออายุเท่าไหร่กันแน่ เพราะลิ้นชักด้านหลังมีเยอะเกินเหตุ!!

ตาเป็นทนาย แล้วยายเป็นอะไร ทำไมมีบ้านหลังเบ่อเร่อขนาดนั้น บ้านทรงไทยอย่างนั้น
หลังละไม่ใช่หมื่นสองหมื่น แถมที่ติดริมน้ำอีกต่างหาก

ม้าตัวนั้นมันคือเชี่ยอะไร โผล่มาทำไม เป็นม้าเทวดาเหรอ กะทิเห็นแล้วหยุดร้องไห้
ไม่เห็นมันทำอะไร มันมาแล้วก็ไป ตกลงมันคืออะไร??

กะทิส่งจดหมายถึงพ่อฉบับนั้นไปหาใคร??
สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว รู้แน่ครับว่าส่งไปให้พี่ทอง แทนที่จะส่งไปหาพ่อ แต่คนที่ยังไม่ได้อ่านล่ะ
จะรู้หรือเปล่าว่าตกลง จดหมายถึงมือพ่อหรือเปล่า เพราะอยู่ดี ๆ ไอ้พี่ทองก็โผล่มา
แล้วบอกว่าเป็นความลับกันสองคน ถามหน่อย เมิงจะลับไปไหน บอกกันมั่งก็ได้ ไหน ๆ ก็งงจะแย่อยู่แล้ว T_T

ไอ้ตัวหนังสือที่โผล่ขึ้นมาตอนสลับฉากนั่นมันหมายความว่าอย่างไร "ไม่มีใครพูดถึงแม่" "ไม่มีใครเล่าเรื่องแม่ให้ฟัง"
มันคืออะไร คนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาไม่รู้หรอกครับ ว่าในหนังสือมันอธิบายอะไรไว้บ้าง
เล่นลอกหนังสือมาอย่างนี้ คนที่ยังไม่ได้อ่าน ก็มีแต่คิดว่า เออ เล่นง่ายเน๊อะ
นักแสดงไม่ต้องออกแอ็คติ้งอะไรเลย แค่เอาตัวหนังสือแปะไว้ให้รู้ว่ากะทิคิดอะไรอยู่ เท่านั้นก็พอแล้ว

ฯลฯ

ก็อย่างที่บอกมาทั้งหมด ว่า หนังเรื่องนี้ ตามความคิดผมแล้ว มันเหมาะมากสำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว
แต่ไม่เหมาะเลย สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน

ซึ่งในกลุ่มหลังก็ต้องมาลุ้นกันว่า จะรู้สึกอย่างไรกับหนัง
เพราะมันเปรียบเสมือนดาบสองคมจริง ๆ ไม่มีตรงกลาง
มีแต่ ชอบ เออ หนังเรื่อย ๆ ดี สดใส ภาพสวย นักแสดงน่ารัก บทดี (สำหรับคนที่ตามทัน)
แต่ถ้าคนที่ตามไม่ทันแล้วก็โน่นเลยครับ เหมือนถูกหลอกมาปล่อยอยู่กลางมหาสมุทรแอนตาร์กติก
กุเข้ามาดูอะไรวะเนี่ย เข้ามาดูหุ่นยนต์แสดงกันใช่ไหม และหนังเรื่องนี้มันอะไร
ใช้ทากกำกับเหรอ ทำไมมันเนือย ๆ เรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ อย่างนี้ล่ะ


เนื้อเรื่องมันก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ประมาณว่า เมิงรีบก็รีบไป แต่กุไม่รีบ อะไรประมาณนี้อยู่แล้ว
ยังจะมาเจอมุมกล้องชวนหลับเข้าไปอีก เลื่อนจังเลย หน้าต่างมีกี่บาน พี่แกเลื่อนกล้องผ่านหมด
โชคดีที่เป็นหน้าต่าง และ ประตูบ้าน ซึ่งมันมีอยู่ไม่เยอะ แต่ถ้าเมื่อไหรที่ถ่ายฉากวัด
มีหวังพี่แกเลื่อนครบทุกหน้าต่างในโบสถ์แหง ๆ T_T

คือดูเหมือนจะโปร แต่หารู้ไม่ว่ามันชวนมึนเป็นอย่างยิ่ง ไอ้วิธีการเหล่านี้มันดีก็จริงครับ
แต่เล่นเอามาใช่ซะทั้งเรื่อง มันก็ชวนอ้วกได้เหมือนกัน


ก็แทนที่จะไม่ชอบเฉย ๆ มันเลยพาลเป็นเกลียดไปโน่นเลย!!!


เพราะฉะนั้น ผมจึงบอกเพื่อน ๆ ผมที่มาถามว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือเปล่า น่าดูหรือเปล่าทุกคนว่า
ถ้ายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็อย่าเข้าไปดูเลย มันจะหลับเสียเปล่า ๆ
แต่ถ้าอ่านแล้ว ก็ไปดูเหอะ หนังดีจริง ๆ ดูออกมาแล้วยิ้มได้


หากถามว่า หนังเรื่องนี้ให้อะไรแก่คนดู พูดตรง ๆ ว่าผมตอบไม่ได้หรอกครับ
เพราะตัวหนังสือเอง สำหรับผม (เน้นว่าสำหรับผมนะครับ)
ก็ไม่ได้ให้อะไรแก่ผมเช่นเดียวกัน อ่านได้เพลิน ๆ จบแล้วก็จบกันไม่ได้อยากจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอีก

แต่ถ้าถามว่า หนังสือเล่มนี้ควรค่าแก่รางวัลซีไร้ท์หรือเปล่า ผมตอบได้ง่าย ๆ ว่า ไม่ควร
เพราะตามความคิดเห็นของผม ที่ไม่ใช่ผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ได้จบอักษรศาสตร์บัณฑิต
ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับวงการวรรณกรรมเลย ผมว่า ถ้าเอานิยายเรื่อง

"ความสุขของกะทิ" กับ "824" ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ มาเทียบกันแล้ว

ผมว่า เรื่อง "824" น่าจะได้รางวัลกว่าเยอะ!!!


แต่ถ้าถามผมว่า หนังเรื่องนี้ดีไหม ก็ต้องบอกว่า "ดีทีเดียวครับ"
ดูแล้วต้องกลับมานั่งฟังเพลงประกอบหนังเรื่อง "ความสุขของกะทิ" อยู่ที่บ้านซ้ำอีก
มันรู้สึกมีความสุขจริง ๆ ^_^



แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ มันก็เป็นเพียงความคิดของผมคนเดียว คนอื่นเค้าอาจจะไม่ได้คิดเหมือนผมก็ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากไปดูก็ไปดูเหอะครับ แต่ถ้าไม่อยากไป รอซื้อตอนมันออกมาเป็นแผ่นก็ไม่เสียหายอะไร


และแน่นอน บทความด้านบนทั้งหมดนี่ เป็นความคิดเห็นของผมแต่ผู้เดียว
ผมบอกว่า ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า หนังมันดีสำหรับทุกคน เพื่อน ๆ ไปดูมาแล้วอาจจะบอกว่ามันห่วยแตกก็ได้

เพราะฉะนั้น ดูหนังให้สนุกครับ
มีความสุขกับการดูหนังตลอดปี 2552

มาเจอหนังสนุกก็ถือว่าโชคดี มาไม่เสียเที่ยว
แต่ถ้ามาเจอหนังห่วย ก็ถือซะว่า เสียเงินมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ก็แล้วกันครับ!! (ทั้งที่หนาวจนไข่แข็งไปหมดแล้วนี่แหล่ะ)



สมันน้อย เบอร์ 14



ฉันดีใจที่มีเธอ (Im GLAD) - แมรี่ อึ้งรังสี



Create Date : 14 มกราคม 2552
Last Update : 14 มกราคม 2552 22:17:28 น.
Counter : 1513 Pageviews.

12 comments
  
วิจารณ์ได้สนุกยอดเยี่ยมค่ะ

บล๊อกคุณหมัน สวยจัง
โดย: walnutsoda วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:3:38:12 น.
  
ตั้งแต่ซื้อหนังสือมาและอ่านไปสองสามรอบเมื่อตอนนั้น

ก็วางมันไว้และไม่ได้กลับไปแตะมันอีกเลยอะน้า

จนตอนนี้ลืมเรื่องราวมันไปหมดแล้ว...^^"

คงต้องไปค้นมาอ่านซะละ




แต่ที่น้าสปอยล์หนังสือให้เพื่อนฟังเนี่ย...สุดยอดๆ

วันหลังไปสปอยล์อะไรประมาณนี้ให้เพื่อนฟังมี่งดีก่า เข้าท่า ๆ 55+
โดย: แม่นู๋มี่ วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:13:28:07 น.
  
ยังไม่เคยอ่านและจะไม่ไปดู ไม่ชอบตั้งแต่เห็นว่าห้องคุณแม่ที่บ้านริมทะเลมีสีขาวมากไปอย่างจงใจ...
อีกอย่าง หลังๆมานี่ทนดูหนังเศร้าในโรงไม่ได้ เพราะว่าร้องไห้ทุกครั้ง..แบบว่าขี้เกียจซัมน้ำตาที่หยดไม่หยุดในโรงหนังวุ้ย มันอาย
รอดูที่บ้านดีกว่า ยังไงก็เข้ามาที่นี่แล้วได้ยิ้มนะ เพราะเห็นเจ้าเหมียวที่มุมขวาบนนั่นเอง เหอๆๆๆ สวัสดีปีใหม่น้าหมัน.
โดย: ด้วง (podduang-pk ) วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:15:39:25 น.
  
พี่ค่ะ

ใช่พี่รึป่าวพี่รุ้เรื่องเกี่ยวกับ บาสเกตบอล ทีมชาติไรพวกนั้นอ่ะ

อยากรุ้ง่ะ ไงก็ติดต่อมาที่

tanitarlovely@hotmail.com นะคะ
โดย: 523 IP: 222.123.168.134 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:0:57:48 น.
  
ชอบดูหนังจริงๆ เลยเนอะ ไม่รู้ว่าจะมีวิธีดูยังไงเนอะว่าตอนนี้มีblog ไหนเขียนมาใหม่บ้างเนอะ เข้ามาดูทุกวันแหละ แต่ต้องเปิดดูทีละ blog ๆ เมื่อวานก็เข้ามาดูนะแต่ไม่เห็นสงสัยตาฝ้าฟางมองไม่เห็นเรื่องใหม่อะ
โดย: keng IP: 203.144.198.246 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:10:44:50 น.
  
ถ้าเข้ามาดูทุกวันก็เห็นอยู่แล้วครับคุณเก่ง
เพราะถ้าผมเขียน blog ใหม่ มันจะถูกตั้งเป็นหน้าแรกเสมอครับ
ไม่ต้องกลัวพลาดไม่ได้อ่านนะครับ ^_^
โดย: สมันน้อย เบอร์ 14 IP: 124.121.99.149 วันที่: 16 มกราคม 2552 เวลา:11:21:37 น.
  
คุณนี่ตลกดีเนอะ
โดย: :-D IP: 125.203.152.109 วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:8:11:39 น.
  
อ่านบทวิจารณ์ของน้าหมันอย่างตั้งใจ

เพราะน้าหมันอาร์ตตัวพ่ออยู่แล้ว ทั้งเสพ ทั้งเขียน
นึกภาพออกเลย ว่าหนังมันเรื่อย ๆ เมิงรีบๆไป กุไม่รีบ
ในความเรื่อย มันคงขาดความน่าติดตาม เลยพาลจะหลับ

แก่นที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ได้ซีไรท์
คงเป็นอีกโจทย์หนึ่งที่หลายๆคนอยากพิสูจน์ด้วยตัวเองค่ะ
โดย: MARON CREAM วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:9:54:53 น.
  
ยังไม่ได้อ่าน และคงไม่ไปดูขอรับ

...ยังไม่ได้อ่าน...เพราะคิดว่า หนังสือที่ได้รางวัล บางทีมันก็อาจจะไม่สนุกสำหรับคนธรรมดาบ้านๆอย่างพุทราก็ได้ที่สมองไม่ค่อยจะถึง ^ ^"

... คงไม่ไปดู... เพราะ ไม่ชอบไอ้หน้าม้าเต่อมากกกกกกกของน้องคนนั้นน่ะ ... น้องคนนั้นใช่กะทิมั้ย ... เด็กธรรมดาสามัญ ปั่นจักรยานไปโรงเรียน ที่ไหนจะตัดหน้าม้าเต่อขนาดนั้น ตัดผมแบบนี้มันน่าจะเรียนนานาชาติ เดินสยามพารากอนมากกว่า -_-a หรือมันมีเขียนในหนังสือด้วยก็ไม่รู้ให้หน้าม้าเต่อออออออออออออออออออ -_-"

แต่พุทรามีเรื่องสงสัยมากกกกกกกกกกเลยน้าหมัน ไอ้โฆษณาโดย Google แล้วมีหนังโป้ หนัง R ด้วย นี่มัน... ^ ^a หน้าตกแต่ง Blog ใหม่รึ ^ ^
โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 17 มกราคม 2552 เวลา:20:22:13 น.
  
น้าหมันยังยอดเยี่ยมเสมอ....เม้นท์ได้สะใจมาก.....ภาษาแบบนี้ มีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น คือน้าหมัน.....ใครยังไม่เคยอ่าน แนะนำให้ไปอ่านที่เม้นท์...รักแห่งสยาม...เมื่อปีก่อน ...ยังก่ะ คนทำหนังมืออาชีพ ละเอียดมั่กๆ...ขอชมเชย...จริงๆนะ
โดย: รักแห่งสยอง IP: 203.157.30.1 วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:16:58:14 น.
  
เพราะน้องกะทิ ทำให้เราอยากตัดหน้าม้า เป็นครั้งแรก
โดย: ^Antz^ วันที่: 22 มกราคม 2552 เวลา:20:04:49 น.
  
thank you Khun Saman noi very much....sorry for using Eng comment 'cause my thai typing is awefully baaaaad..... ur story abt chicken and chicken in Pantip is really making my day turning my down and low into a bearable and worth living....thxs again
โดย: Pam IP: 203.144.144.165 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:36:30 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมันน้อย เบอร์ 14
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]






สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำ ภาพถ่าย,รูปภาพ, บทความ,งานเขียน รวมถึงข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ ไปใช้เผยแพร่ .ไม่ว่าส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ โดยไม่ได้ รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด

:: หลังไมค์หาผมได้ครับ ::


Custom Search



มกราคม 2552

 
 
 
 
1
2
3
5
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
MY VIP Friend