สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๑๙ : ผลัดแผ่นดิน-สำเร็จการแผ่นดิน
กระบวนเสด็จพระราชกุมาร จากเวสสันดรชาดก ภาพจากสมุดภาพไตรภูมิกรุงศรีอยุธยา หมายเลข ๖
สมเด็จพระเชษฐาธิราชถูกสำเร็จโทษ ใต้เศวตรฉัตรกรุงศรีอยุทธยาจึงว่างลง เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์กับข้าราชการเสนาบดีที่ร่วมกันก่อการครั้งนี้กลายเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของกรุงศรีอยุทธยา่
อาทิตย์ดวงใหม่ ตามพระราชพงศาวดาร เมื่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์หรือสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทำการสำเร็จโทษสมเด็จพระเชษฐาธิราชแล้ว เหล่าขุนนางเสนาบดีปุโรหิตได้พากันนำเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ไปถวายแต่เจ้าพระยากลาโหมปฏิเสธไม่รับ กล่าวว่า"เราทำการทั้งนี้จะชิงเอาราชสมบัตินั้นหามิได้ เพราะภัยมาถึงตัวแล้วก็จำเป็น"
ในกรณีที่เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ต้องการชิงราชสมบัติ หากตนเองขึ้นครองราชย์ต่อทันทีย่อมไม่พ้นคำครหานินทาไปได้ว่าเป็น'กบฏแย่งชิงราชสมบัติ' นอกจากนี้ยังมีขั้วอำนาจที่แข็งเกร่งอย่างออกญากำแพงกับออกญาเสนาภิมุข(ยามาดะ นิซาเอมอง นางามาสะ) ที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะยับยั้งไม่ให้ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ได้ครองบัลลังก์แน่นอน อีกทั้งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมยังมีพระโอรสอีก ๘ พระองค์เหลืออยู่ทำให้ออกญากลาโหมถึงจะกุมอำนาจทหารสูงสุดและเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ยังไม่มีความชอบธรรมที่เพียงพอ
พระราชวงศ์ที่ฐานันดรศักดิ์ใกล้กับราชบัลลังก์มากที่สุดคือพระโอรสองค์รองของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และพระอนุชาต่างพระมารดา(อ้างจากฟาน ฟลีตกับสังคีติยวงศ์)ของสมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงพระนามว่า พระอาทิตยวงศ์หรือที่เยเรเมียส ฟาน ฟลีตออกพระนามว่าพระองค์อาทิตย์สุรวงศ์(Praongh Athit Soerawangh) ซึ่งตอนนั้นมีพระชันษาเพียง ๙ ปีตามพระราชพงศาวดาร หรือ ๑๐ ปีตามหลักฐานของฟาน ฟลีต ซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่
ด้วยเหตุนี้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงกล่าวว่า "พระอาทิตยวงศ์ซึ่งเป็นพระราชบุตรพระมหากษัตริย์นั้นยังมีอยู่ ควรจะยกพระอาทิตยวงศ์ขึ้นผ่านสมบัติโดยราชประเพณีจึงจะชอบ"
สนทนากับชาวญี่ปุ่น ฟาน ฟลีตกล่าวว่า กลางดึกคืนหนึ่งเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์กับออกญาพระคลังขุนนางคนสนิท ได้นั่งเรือไปกันแค่ ๒ คน เพื่อไปพบกับออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นที่บ้าน เพื่อถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะเกิดหลังและเพื่อหยั่งดูท่าทีด้วย จากเหตุการณ์ตอนที่บุกพระราชวังหลวงมีทหารญี่ปุ่นเข้าร่วมอยู่ด้วยจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ออกญาเสนาภิมุขก็รู้เห็นเป็นใจในการนี้ด้วย แต่สัณนิษฐานว่าอาจไม่เต็มใจหรือไม่มีทางเลือก เพราะดูจากหลักฐานฟาน ฟลีตค่อนข้างให้ภาพว่าออกญาเสนาภิมุขเป็นคนที่ภักดีต่อราชวงศ์
น่าแปลกที่การพบปะน่าจะเป็นความลับ แต่ฟาน ฟลีตซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์(ยังไม่ได้เข้ามาอยุทธยาเลย)รู้ละเอียดนัก อาจเป็นไปได้ว่ามีการแต่งเติมเสริมแต่ง หรือฟาน ฟลีตนั่งเทียนเขียนเองก็เป็นได้
เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์กล่าวกับออกญาเสนาภิมุขว่าแผ่นดินไม่ควรว่างกษัตริย์แต่พระโอรสของพระเจ้าทรงธรรมล้วนแต่ยังทรงพระเยาว์ การจะปล่อยให้การปกครองบ้านเมืองอยู่ในมือเด็กเป็นเรื่องที่อันตราย และขอให้ออกญาเสนาภิมุขพิจารณาถึงการนี้ แล้วจึงเสนอว่าสมควรให้ขุนนางคนสำคัญสักคนขึ้นมารับตำแหน่ง'กษัตริย์' รอให้พระโอรสทั้งหลายเจริญพระชันษาจึงถวายอำนาจบริหารคืนให้
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุทธยา ในอดีตท้าวศรีสุดาจันทร์ก็เคยยกขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองราชสมบัติโดยอ้างว่าสมเด็จพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์ ไว้รอเจริญพระชันษาค่อยถวายราชสมบัติคืน
จิตรกรรมพระมหากษัตริย์สมัยอยุทธยาตอนปลาย วัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ
แน่นอนว่าหากเรื่องนี้สัมฤทธิ์ผล คนที่จะได้เป็น 'กษัตริย์' ก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เพราะตอนนั้นเป็นหัวหน้าก่อการล้มบัลลังก์ เป็นสมุหพระกลาโหม มีขุนนางเกือบทั้งราชสำนักสนับสนุนอยู่ ทั้งยังมีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์โดยเป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมด้วย
ออกญาเสนาภิมุขเหมือนจะเข้าใจเจตนาของออกญากลาโหมสุริยวงศ์ว่าที่พูดมาทั้งหมดคือการเสนอให้ตนเองเป็น'กษัตริย์' ออกญาเสนาภิมุขจึงตอบออกญากลาโหมไปว่า หากจะเลือกขุนนางขึ้นเป็นกษัตริย์ก็คงจะไม่พ้นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์และมีความชอบต่อแผ่นดินไม่มีผู้ใดเสมอได้ แต่หากทำเช่นนั้นผู้คนก็จะครหาว่าออกญากลาโหมสุริยวงศ์โค่นล้มสมเด็จพระเชษฐาธิราชเพื่อจะแย่งชิงราชสมบัติเสียเอง แต่ถ้าเลือกขุนนางคนอื่น เมื่อพระโอรสเจริญพระชันษาอาจจะไม่ยอมถวายอำนาจคืนแล้วจะทำการสำเร็จโทษพระราชวงศ์ได้เพื่อครองอำนาจถาวร
ดังนั้นเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองจึงควรสถาปนาพระโอรสของพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อไป และนอกจากนี้ยังกล่าวว่าควรแต่งตั้งเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นเป็นผู้ถวายอภิบาล(guardian)ของพระเจ้าแผ่นดินและเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน(Regent) เพื่อให้คอยช่วยเหลือพระองค์
แต่ออกญาเสนาภิมุขยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ตราบใดที่สายพระโลหิตของสมเด็จพระุเจ้าทรงธรรมยังคงอยู่ ตนเองจะไม่ยอมให้มงกุฏไปตกอยู่กับคนอื่นเลย เท่ากับเป็นการประกาศจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจนว่า ลองออกญากลาโหมครองราชย์ตนจะไม่อยู่เฉยแน่
ออกญากลาโหมสุริยวงศ์รับข้อเสนอเรื่องตั้งพระโอรสครองราชสมบัิติ แต่ตนเองปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งผู้ถวายอภิบาลกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
สถาปนายุวกษัตริย์-ผู้สำเร็จราชการ วันรุ่งขึ้นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงเรียกประชุมขุนนางเรื่องการสถาปนาสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ขึ้นครองราชสมบัติซึ่งเป็นไปตามนั้น ขุนนางทั้งหลายต่างสนับสนุนโดยเฉพาะออกญาเสนาภิมุข
สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ขึ้นราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุทธยาด้วยพระชันษาเพียง ๙-๑๐ ปี ในปีมะเส็ง พ.ศ.๒๑๗๒
ในที่ประชุมเสนาบดีเดียวกันนี้ พร้อมทั้งความเห็นชอบจากพระราชวงศ์ทั้งหมด ได้แต่งตั้งให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวง์ขึ้นเป็นผู้ถวายอภิบาลและผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์แสดงออกให้เห็นเลยว่าไม่ต้องการที่จะรับตำแหน่ง แต่หลังจากถูกขอร้องอยู่เป็นเวลานานในที่สุดเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็ยอมรับตำแหน่ง
มีผู้วิจารณ์ว่าการกระทำของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เฉาเชา(曹操-โจโฉ)ปฏิเสธไม่รับตำแหน่งเป็นเว่ยหวาง(魏王-วุยอ๋อง)อยู่ ๓ ครั้ง สุดท้ายก็ยอมรับตำแหน่ง
ด้วยวัยประมาณ ๓๐ ปี ตำแหน่งราชการของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์อาจนับได้ว่าทรงอิทธิพลสูงสุดในราชสำนักแล้ว
Create Date : 24 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2556 10:45:32 น. |
|
1 comments
|
Counter : 7077 Pageviews. |
|
|
|
แล้วประวัติศาสตร์ก็ฉายซ้ำอีกครั้งในคราวพระเพทราชา