มกราคม 2552

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
7 มกราคม 2552
All Blog
อกใหญ่ใจโต
อ ก ใ ห ญ่ ใ จ โ ต




ต้นสัปดาห์ของเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ฉันรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับอาการเจ็บบริเวณอกซ้าย จึงโทรศัพท์ขอคำแนะนำจากพยาบาล (พี่สาวของเพื่อนสนิท) ซึ่งเธอทำงานที่โรงพยาบาลในจังหวัด ด้วยประสบการณ์เชี่ยวชาญการดูแลพยาบาลคนไข้ด้วยหัวใจของเธอ ทำให้ฉันสนิทใจที่จะบอกเล่าถึงอาการเจ็บป่วยในครั้งนี้อย่างเปิดอก

“ไปพบหมอให้เร็วที่สุดนะ” เป็นคำแนะนำที่เธอเน้นย้ำทันที เมื่อฉันอธิบายถึงอาการเจ็บป่วย ผ่านโทรศัพท์ไปปรึกษาเธอในวันนั้น

15 ธันวาคม 2551

ฉันตั้งใจและเตรียมตัวไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด หลังจากทำบัตรแฟ้มประวัติและตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลเรียบร้อย ชั่งน้ำหนัก วัดความดันระบบดิจิตอล (ด้วยตัวเอง) เจ้าหน้าที่ซักประวัติการเจ็บป่วยเบื้องต้น ในขั้นตอนต่อไปพยาบาลแนะนำฉันให้ไป “คลินิกเต้านม”

ฉันเดินมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย เพื่อพบพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งนั่งอยู่ในห้องมีม่านบังตามิดชิด ขณะนั้นมีคนไข้เป็นหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง กำลังนั่งฟังคำอธิบาย
ฉันสวัสดีและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ยื่นแฟ้มประวัติให้พยาบาล

“มาฟังคำแนะนำพร้อมกันเลยดีกว่านะคะ จะได้รู้ขั้นตอนและวิธีตรวจเต้านมที่ถูกต้องค่ะ” พยาบาลหยิบแฟ้มประวัติจากฉัน

“เช้านี้มีคนไข้มาที่คลินิกเต้านม 4 รายแล้วค่ะ วัยใกล้เคียงกันด้วยนะ” เธอเอ่ยขณะเปิดดูประวัติเบื้องต้น

ฉันยิ้มและรับฟังด้วยอาการปกติ ไม่ได้วิตกกังวลอะไร ถึงแม้ว่าอาการของโรคที่ตรวจรักษาในครั้งนี้ จากข้อมูลมีสถิติสูงเป็นอันดับสองสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะกลุ่มในวัยเดียวกับฉันมีโอกาสพบสาเหตุของ
“อ ก ใ ห ญ่ ใ จ โ ต” ในอัตราที่สูงเช่นเดียวกัน

แผ่นพับ “การตรวจเต้านมด้วยตนเอง” (Breast Self Examination) ถูกแจกให้คนไข้อ่านเองและไว้ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ฉันเปิดอ่านและได้รับรู้ข้อมูลบ้างแล้ว เมื่อครั้งเคยทำงาน ณ โรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งในภาคอีสาน (ตอนบน) จึงพอเข้าใจถึงขั้นตอนในการตรวจรักษา และไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร

(โปรดใช้วิจารณญาณในการชม เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด)










กาลครั้งหนึ่ง....
เมื่อ 8-9 ปี ที่ผ่านมา ฉันพบก้อนเนื้อเล็ก ๆ (ประมาณ 2 ซม.) ที่คลำเจอบริเวณเนินอกข้างซ้าย จึงได้ปรึกษาหัวหน้า (เป็นพยาบาลและเป็นโสดเช่นกัน) เธอจึงให้คำแนะนำเบื้องต้นแล้วยังเป็นธุระพาฉัน (ในฐานะลูกน้องที่น่ารัก) ไปพบแพทย์ศัลยกรรม ซึ่งเป็นแพทย์ที่ฉันให้ความเคารพและศรัทธากับการทำงานด้วยวิชาชีพของท่านมาก

นับเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเปิดเผยเนื้อหนังมังสาให้ผู้ชายเห็นตั้งแต่โตเป็นสาว ซึ่งเมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยเราอาจต้องการกำลังใจ แต่การเจ็บป่วยของฉันในครั้งนี้ไม่ต้องการให้ใครมา “เห็นอกเห็นใจกันจะจะแบบนี้” (มีอาการหน้าแดงเล็กน้อย) แน่นอนฉันรู้สึกอาย แต่เมื่อต้องให้แพทย์ตรวจและมีพยาบาลคอยแนะนำ จึงยอมเปิดใจที่จะยอมรับวิธีการตรวจรักษาเบื้องต้นในวันนั้น

“เปิดกระดุมเสื้อและถอดชุดชั้นในออกด้วยค่ะ พี่จะตรวจและคลำหาจุดก้อนเนื้อนะคะ”
พยาบาลปิดผ้าม่านแล้วเอาผ้ามาคลุมตัวบริเวณหน้าอกไว้ เมื่อฉันนอนลงที่เตียงด้วยความเรียบร้อย
เธออธิบายเหมือนคำแนะนำในแผ่นพับ (ท่าที่ 2 ท่านอน) เธอใช้นิ้วมือขวา 3 นิ้ว ชี้ กลาง นาง กดลงบริเวณเนื้อหน้าอกซ้ายของฉัน กดเบา ๆ กดแรงขึ้น และกดหนักขึ้นเป็นระดับ วนตามเข็มนาฬิกา

“ก้อนเนื้อโตประมาณ 6 ซม. นะค่ะ รู้สึกเจ็บใช่ไหม” เธอถามขณะที่กดแรงขึ้น
“เจ็บค่ะ” ฉันยืนยันชัดเจน
“รู้สึกจะมีอีกก้อนอยู่ด้านล่างถัดลงมา แต่ก้อนเล็กค่ะ ประมาณ 0.5 ซม. น้องเคยคลำเจอไหมคะ”
ฉันส่ายหน้า เพราะเคยคลำด้วยมือตัวเองเจอแต่ก้อนใหญ่ ซึ่งมันได้เคลื่อนตัวจากบริเวณเนินอกลงมาที่เต้านม (ตามแรงโน้มถ่วงของโลก) จนเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมามีอาการปวดและเจ็บ ทำให้รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น
“ตอนนี้พี่คลำพบ 2 ก้อน จะเขียนผลการตรวจให้คุณหมอวินิจฉัยอีกครั้งค่ะ หลังจากนี้น้องไปรอพบหมอที่ห้องตรวจศัลยกรรมนะคะ หมออาจจะสั่งเข้าห้องผ่าตัดเล็กค่ะ”
“พี่ค่ะ ถ้าก้อนโตขนาดนี้ต้องเอาออก จะต้องได้ Admit (นอนพัก) หรือเปล่าคะ”
“ถ้าผ่าตัดเล็กคงไม่ได้นอนค่ะ หลังจากผ่าตัดเสร็จ นอนพัก 3 ชม. ก็กลับบ้านได้ค่ะ”

ฉันยิ้มรับคำแนะนำด้วยความสบายใจ เพราะไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการนอนพักรักษาในครั้งนี้เลย แต่เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมสำหรับการผ่าตัดเล็ก ๆ ตามที่คาดการณ์ไว้ในใจล่วงหน้าเท่านั้นเอง


ณ หน้าห้องตรวจศัลยกรรม (ทั่วไป)

“คิวที่ 32 เชิญค่ะ” เจ้าหน้าที่เรียกฉันให้นั่งรอหน้าห้องตรวจ
“สวัสดีค่ะ” ฉันไหว้คุณหมอด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจไม่เขอะเขินเมื่อพบหน้า ท่านเป็นผู้ใหญ่เลยวัยกลางคน เป็นแพทย์ศัลยกรรมทั่วไปแต่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเรื่องนี้ (ตามคำบอกเล่าของพยาบาลที่แนะนำไว้) คุณหมอเปิดอ่านประวัติสาเหตุเบื้องต้นการเจ็บป่วยและผลการตรวจจากคลินิกเต้านม

“ขึ้นนอนที่เตียงนะ เดี๋ยวหมอจะขอตรวจอีกครั้ง”
เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยฯ อำนวยความสะดวกให้คนไข้ ฉันเตรียมตัวสำหรับการตรวจเหมือนที่คลินิกเต้านม คุณหมอมาคลำบริเวณอกซ้ายแค่รอบเดียว แล้วกลับมาที่โต๊ะตรวจโรค ฉันตามมานั่งเพื่อฟังคำแนะนำ
“ทำไมปล่อยให้โตขนาดนี้ละ” คุณหมอเอ่ยถาม
“เคยตรวจกับแพทย์ศัลยกรรม เมื่อ 9 ปี ท่านบอกว่าเป็นเพียงก้อนแป้ง ไม่มีอาการปวดค่ะ จึงไม่ได้สังเกตว่ามันโตขึ้นค่ะ แต่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน คลำดูรู้สึกมันโตขึ้นกว่าเดิมมากและรู้สึกปวดเมื่อกดแรงขึ้นค่ะ”
“จะผ่าตัดวันนี้เลยไหม”
“วันนี้เลยเหรอคะ”
“ครับ มีภารกิจอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ว่างค่ะ แล้วจะผ่าตัดตอนไหนคะ”
“ถ้าก้อนโตขนาดนี้ หมอไม่อยากฉีดยาชาผ่าตัดเล็ก คงต้องวางยาสลบนะ”
“ได้ค่ะ แล้วต้องนอนพักใช่ไหมคะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะเช็คห้องผ่าตัดก่อนนะ” คุณหมอลุกไปโทรศัพท์เช็คห้องผ่าตัด 2 นาทีจึงเดินกลับมาบอกฉันอีก
“เตรียมตัวงดน้ำ งดอาหารตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ แล้วเจ้าหน้าที่พยาบาลจะแนะนำการเตรียมตัว เวลาผ่าตัด 16 นาฬิกาครับ” (ขณะนั้นเวลา 11.00 น.)
“ค่ะคุณหมอ” ฉันยกมือไหว้แล้วรับแฟ้มประวัติมาให้พยาบาลที่หน้าห้องตรวจ
“เดี๋ยวคนไข้ไปกับเจ้าหน้าที่ (ผู้ช่วยเหลือคนไข้) นะค่ะ” เธอแนะนำหลังจากอ่านคำสั่งจากแพทย์ในแฟ้มฯ
“ค่ะ”
ฉันเดินตามเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยฯ ไปที่ห้อง X-Ray เตรียมตัวสำหรับการฉายรังสีตามคำสั่งแพทย์ แม้เป็นวันจันทร์วันที่เริ่มต้นทำงานในสัปดาห์ก็ตาม ซึ่งปริมาณคนไข้มาใช้บริการมีจำนวน แต่ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ (โทร. แจ้งพี่สาวคนโตให้ทราบ ว.2 ว.8)

ฉันเดินตามเจ้าหน้าที่ฯ เพื่อไปยังหอผู้ป่วยใน ตึกศัลยกรรมหญิง แฟ้มประวัติถึงมือหัวหน้าหอผู้ป่วย ไม่นานฉันได้เตียงสำหรับนอนรอขึ้นเขียง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ฉันโทร. แจ้งพี่สาวคนโตและเพื่อนพยาบาล(อีกคน) ให้ทราบในหอผู้ป่วย (11.40 น. Admit ศัลยกรรมหญิง อาคาร 2 ชั้น 2 เตียง 21) แล้วรอญาติกับเพื่อนที่จะมาเยี่ยมและให้กำลังใจก่อนเข้าห้องผ่าตัด

การตรวจพบก้อนเนื้อที่อกซ้ายในครั้งนี้ (ก้อนโต 5 ซม. ก้อนเล็ก 0.5 ซม. จากการวินิจฉัยแพทย์เชี่ยวชาญ) แม้จะถูกคุณหมอตำหนิที่ปล่อยให้ก้อนเนื้อโตมานานหลายปี ฉันยิ้มรับโดยดุษฎีไม่มีเหตุผลใดมาอ้าง ทั้งเตรียมใจและเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดไว้ก่อนแล้ว จึงไม่กังวลอะไรนัก และคิดว่าเป็นวิธีการรักษาตามหลักวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันที่ดีที่สุด

เกือบบ่ายโมง พยาบาลเอาอุปกรณ์มาเจาะเลือดไปตรวจ 2 หลอด แล้วแทงเข็มน้ำเกลือเข้าที่แขนขวา (หลังจากถามคนไข้จะต้องผ่าตัดเต้าฯ ข้างซ้าย) ญาติคนแรก (น้องจิน) แวะมาเยี่ยมพอดี พูดคุยเรื่องอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เธอก็เล่าเรื่องไปเที่ยวเมืองลาว (ปากเซ) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาให้ฟังเป็นที่สนุกสนานเพื่อผ่อนคลายความกังวล “อาหารเมืองลาวแพงม๊ากกกกก” เธอเน้นเรื่องกินเป็นใหญ่

บ่ายสามโมงเย็น พี่สาวคนโตและสามีแวะมาเยี่ยมให้กำลังใจคนไข้ พวกเราพูดคุยกันเล็กน้อย เจ้าหน้าที่เวรเปลเข็นรถมารับคนไข้ ฉันต้องถอดชุดชั้นในออกหมด เหลือไว้แต่ชุดของโรงพยาบาล

ระหว่างเจ้าหน้าที่เวรเปลเข็นไปยังห้องผ่าตัด พี่น้องเดินตามไปส่งที่หน้าห้องผ่าตัด ฉันหลับตาฝึกการหายใจเข้าออกช้า ๆ และทำสมาธิไม่ให้ตื่นเต้น แม้จะเป็น “การผ่าตัดเล็ก” แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉัน เจ้าหน้าที่พยาบาลประจำห้องผ่าตัด มาให้คำแนะนำเพื่อคนไข้จะได้ผ่อนคลายไม่ให้รู้สึกกังวล

15.45 น. ฉันมองนาฬิกาที่แขวนไว้ในห้องผ่าตัด เจ้าหน้าที่ฯ ให้ฉันถอดแขนเสื้อข้างซ้ายออก มีผ้ามาปิดบริเวณจะผ่าตัด (หน้าอกซ้าย) บอกให้กางแขนออกทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้ผ้ามัดมือมัดเท้า (แปลกใจที่ถูกมัดแบบหลวม ๆ แต่ไม่กล้าถามใคร มารู้เหตุผลภายหลังจากหลานสาวที่เป็นสัตวแพทย์ บอกว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกระตุกของเส้นประสาท แม้จะไม่รู้สึกตัวจากฤทธิ์ยาสลบ) ในช่วงเวลานั้นฉันยังรับรู้ว่า “แพทย์เจ้าของไข้” ใส่เสื้อคลุมเดินเข้าห้องฯ มานั่งรอเวลาเพื่อลงมีดกรีดอก (ควักหัวใจออกมา เอาออกมาพิสูจน์ อะคึ่ ๆ)

พยาบาลวิสัญญี เดินมาที่เหนือศีรษะฉัน “จะวางยาสลบนะคะ” ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินและสิ้นสุดการรับรู้เหตุการณ์ในห้องผ่าตัด ด้วยความรู้สึกเพียง “วูบเดียว” ฉันหลับใหลไม่รู้อะไรเลย

Z z z z z z z z z z z z z z Z


รู้สึกตัวอีกครั้ง เอ่ยปากขอน้ำดื่มเพราะคอแห้งผาก แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไป รู้เพียงว่ามีญาติคนใดคนหนึ่งเอาหลอดดูดน้ำมาจ่อที่ปาก แต่หยดน้ำจากหลอดดูดเข้าปากไม่ทันใจอยาก จึงพยายามเปล่งเสียงให้ดังขึ้น “ขอน้ำอุ่น ๆ” (เรียกร้องความต้องการ) สักพักจึงได้ดูดน้ำอุ่นจากแก้ว ทำให้ชุ่มคอกว่าเดิม ฉันรับรู้ว่าพวกเขาพูดคุยกันแต่จับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไรกันบ้าง แม้จะรู้สึกตัวดีแต่ลืมตาไม่ขึ้น จำได้ว่าขอดื่มน้ำหลายครั้ง พี่สาวคนโตบอกให้ฉันกินยา (ตามที่แพทย์สั่ง) ฉันรับรู้และทำตามที่บอก เหมือนเวลาผ่านไปแวบ ๆ ได้ยินว่าจะพากันกลับบ้าน แล้วฝากญาติเตียงคนไข้ตรงกันข้ามช่วยดูแล บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบฉันหลับสนิทจนเช้า


ฉันตื่นตอนตี 5 กว่า (ดูนาฬิกาตลอดเลย) มีอาการเจ็บแผลที่ผ่าตัด (อกซ้าย) เล็กน้อย ปวดฉิ่งฉ่องอยากเข้าห้องน้ำ พยายามลุกนั่งและดูแลความเรียบร้อยส่วนตัว ญาติคนไข้เตียงตรงข้าม เดินมาช่วยพยุงพาไปห้องน้ำ ฉันหอบเสื้อผ้าชุดใหม่ไปเปลี่ยนด้วย คนไข้และญาติยืนรอที่หน้าห้องน้ำเต็ม (2 ห้อง) มีห้องอาบน้ำว่างพอดี ฉันจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ทำให้เข้าใจถึงความยากลำบากในความไม่สะดวกของคนไข้ คนไข้อย่างฉันที่พอช่วยเหลือตัวเองได้ขนาดนี้ ยังรู้สึกอึดอัดกายลำบากใจ แล้วคนไข้อาการหนักที่รู้สึกตัวอยู่ แต่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้สักอย่าง (ประเภทใส่ท่อหายใจ) จะอึดอัดทรมานมากขนาดไหน นี่คือ “ความทุกข์ที่ฉันได้เรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเอง”

เกือบ 6 โมงเช้า ญาติ(น้อง)สองคน แวะมาเยี่ยมพร้อมถือถุงโอวัลตินและโจ๊กมาฝาก (สินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์สุดฮิตสำหรับคนไข้ในโรงพยาบาล) ฉันจึงรบกวนให้ญาติเอาน้ำใส่กาละมังสำหรับแปรงฟันและล้างหน้า เพราะรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยจึงไม่อยากลุกเดินไปเอง ไม่ขอเสี่ยงกับอาการหน้ามืดแล้วหกล้ม

ญาติ(ผู้น้อง) ขอตัวกลับไปเตรียมตัวขายก๋วยเตี๋ยวที่บ้าน ฉันนอนพักหลังจากพยาบาลเอายาก่อนอาหารมาให้ คำแนะนำในซองยาต้องกินก่อนอาหาร 1 ชม. ญาติคนไข้เตียง 28 (ซึ่งพี่สาวฝากให้ช่วยดูแล) แวะมาถามไถ่ จึงรบกวนให้เธอเอาถาดข้าวของโรงพยาบาลมาให้ ฉันกล่าวขอบคุณเธอ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ได้รับจากญาติคนไข้แม้เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เป็นความเอื้ออาทรด้วยหัวใจมนุษย์ เป็นความประทับใจในทรงจำไม่รู้ลืมไปตลอดชีวิต ญาติคนไข้เตียงตรงข้าม ฉันเรียกเธอว่า “น้า” เข้ามาพูดคุยและถามไถ่อาการเจ็บป่วยของฉัน เธอคงอยากรู้ว่า ผ่าตัดก้อนเนื้อเป็นอย่างไรบ้าง เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนไข้กับญาติ (คนอื่น) จากประสบการณ์ครั้งนี้

ฉันตักข้าวต้มเข้าปากได้คำสองคำ รสชาติจืดสนิทใจ จึงเอาโจ๊กที่น้องซื้อมาเทใส่ถ้วย ชิมหนึ่งคำ อืม! อร่อยลิ้นพอประมาณ อิ่มอุ่นท้องสบายพุงแล้วก็นอนพักหลับตาอย่างง่ายดาย

9 โมงเช้า (กว่า) นพ.อนันตโชค แพทย์ประจำไข้แวะมา Round Ward (เยี่ยม) ฉันรู้สึกตัวพอดีจึงลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้
“ปวดแผลไหม” คุณหมอถามขณะเปิดดูแฟ้มประวัติและการบันทึกข้อมูลของพยาบาล
“ปวดเล็กน้อยค่ะ”
“ปิดแผลไว้ก่อนนะไม่ให้โดนน้ำ แล้วมาพบหมอวันเสาร์นี้ เพื่อดูแผลและผลข้างเคียง ส่วนผลการตรวจชิ้นเนื้อ จะบอกให้รู้อีกครั้งนะครับ”
“วันนี้ขอกลับบ้านได้ไหมคะ”
“กลับได้นะถ้าอยากกลับ”
“ขอกลับวันนี้ค่ะ”
“งั้นหมอจะสั่ง D/C (จำหน่าย) วันนี้เลยนะ แล้วเช้าวันเสาร์มาพบหมอตามนัดนะ”
“ค่ะ” บทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างหมอกับคนไข้

คุณหมอเขียนคำสั่งในแฟ้มประวัติแล้วก็เดินไปดูคนไข้รายอื่นต่อ ฉันอยากรู้เรื่องก้อนเนื้อและเย็บแผลกี่เข็ม แต่ไม่ได้เอ่ยถามเรื่องนี้เลย คิดว่ารอถามวันเสาร์ที่คุณหมอนัดดูแผลอีกครั้ง

ฉันเอนตัวลงนอนห่มผ้าอุ่นกายได้ไม่นาน รู้สึกว่ามีคนเดินมาที่ข้างเตียงจึงลืมตามอง เธอมาในชุดเสื้อคลุม (ห้องคลอดโรงพยาบาลเอกชน) มีกล่องนมพร้อมดื่มมาฝากด้วย เธอเป็นเพื่อนพยาบาลที่ฉันโทร.เล่าให้ฟังเมื่อวานนี้ ฉันยิ้มรับและลุกนั่งพุดคุยเล่าเรื่องให้เธอฟัง แล้วถามเพื่อน
“ทำไมเข็มที่แทงแขนใส่น้ำเกลือจึงรู้สึกปวดตลอดเวลา”
“อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของยาฆ่าเชื้อทำให้รู้สึกปวดแขน ถ้าไม่มีรอยฟกช้ำบริเวณที่แทงเข็มน้ำเกลือ ไม่เป็นไรหรอกนะ” เธอจึงแนะนำการดูแลตัวเองระหว่างพักฟื้น ไม่ให้ใช้แรงหรือทำงานหนักโดยเฉพาะแขนซ้าย ก่อนที่เพื่อนจะกลับไปทำงานตามปกติ ฉันโทร.บอกพี่สาวคนโต
“คุณหมอให้กลับบ้านได้แล้ว”
“อ้าว! เหรอ แม่เตรียมตัวไปนอนเฝ้า พากันออกไปแล้วนะคงใกล้ถึงแล้ว”

10 โมงเช้า พี่ชายกับแม่ก็มาถึง รอพยาบาลสรุปแฟ้มประวัติ (ชาร์จคนไข้) ให้เรียบร้อย หลังจากถอดสายน้ำเกลือ เปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดเดิม (ของเมื่อวาน) เพราะไม่คิดว่าจะได้กลับบ้านวันนี้ จึงไม่ได้เอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน พยาบาลให้ใบนัดและซองยา (ฆ่าเชื้อและแก้ปวด) กลับบ้านไปด้วย

ระหว่างนั่งรถยนต์ (ปิกอัพ Cap) ฉันนั่งเบาะหลัง เวลารถปีนขึ้นเนินหรือเบรก รู้สึกปวดแผลตุ๊บ ๆ ฉันต้องเอาหมอนอิงที่อยู่ในรถมาประคองบริเวณหน้าอกไว้ ไม่ให้กระทบกระเทือนเกินไป พวกเรากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพและปลอดภัย ฉันลืมถามหมอว่า
“ผ้าปิดแผลกันน้ำเข้า แล้วมีผ้าปิดแผล กันกระเทือนหรือเปล่า” อะคึ่ ๆ

ฉันต้องกินยา(ฆ่าเชื้อ) ก่อนอาหาร ประมาณ 1 ชั่วโมง
อ้อ! ก่อนกินข้าวฉันขอไปอาบน้ำอุ่น (แบบครึ่งท่อน) ให้สะอาดสดชื่นสบายตัวนะ เพราะไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวานนี้





ปล. โปรดติดตามฟัง (อ่าน) ผลชิ้นเนื้อในภายภาคหน้าค่ะ ในวันนัดพบแพทย์ค่ะ



Create Date : 07 มกราคม 2552
Last Update : 19 กรกฎาคม 2552 20:53:25 น.
Counter : 1265 Pageviews.

8 comments
  
คงไม่นานเกินรอนะครับ
โดย: pee-tee (bondsp ) วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:12:36:15 น.
  
โดย: pet.sp วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:12:36:24 น.
  
เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอให้การรักษาผ่านพ้นไปได้ด้วยดีและหายจากอาการป่วยไวๆนะคะ
โดย: smile family วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:13:13:51 น.
  
ขอให้สุขภาพแข็งแรงในเร็ววันนะครับ
โดย: p_pyai วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:14:12:14 น.
  
เจอมีดหมอไปอีกรายเนอะ ไม่เป็นไรหรอก ยังไกลหัวใจเยอะ
เอ๊ะหรือว่าใกล้หว่า อิ อิ
เป็นอีกแรงเชียร์หนึ่ง หายไวๆเด้อพี่
โดย: ธารดาว IP: 202.149.25.235 วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:14:45:02 น.
  
มิน่าหายไปนะครับ
โรคภัยของผู้หญิงมีสองโรคที่น่ากลัว
คือที่เต้านมและที่มดลูกนะครับ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงเร็วๆนะครับ





โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:16:50:18 น.
  
อกเล็กใจแป่ว...ฮี่ฮี่

พี่จำหนูได้ไหมเอ่ยยย
โดย: น้าหนูนีล_น้องขวัญ วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:17:02:56 น.
  
เป็นห่วงค่ะน้องสาวฯ
เข้าสิบห้าผลน่าจะออกมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้วเนอะ...
ไม่ว่าจะอย่างไร
รักษาทั้งกายทั้งใจนะคะ
พร้อมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกับกาลเวลาด้วยสติที่ให้ใจอยู่กับกาย ตลอดเวลานะคะ
รักและระลึกถึงเสมอค่ะ
พี่พี
โดย: kangsadal วันที่: 10 มกราคม 2552 เวลา:7:20:46 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ลูกคนสุดท้องน้องสาวคนเล็ก
เด็ก ๆ ชอบเอาตัวไปปลายนา
เอาขาไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า
โตเป็นสาว..ชอบอยู่บ้านนอก
อนาคต..ได้ไปที่ชอบ..ที่ชอบ
อะคึ่ ๆ


Friends Blog
[Add สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น's blog to your weblog]