Group Blog All Blog
|
สารภาพความผิด บันทึกไม่ประจำวันของฉันมีหลายเล่ม แต่ละเล่มไม่ได้ต่อเนื่องหรือเรียงตามเหตุการณ์ เมื่อฉันนึกอยากเขียนอะไรที่สะดุดความคิด จะรีบจดบันทึกทันที ที่ต้องการให้เรื่องราวเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำ เพราะว่าสมองของฉันไม่อาจจดจำเรื่องต่าง ๆ ได้หมด ครั้นจะเก็บข้อมูลไว้ในเซลสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วนำมาประมวลผลในภายหลัง รื้อความจำมาเขียนบันทึกในช่วงเวลาว่าง ๆ หลังพระอาทิตย์ตกดิน อาจมีบางเหตุการณ์ตกหล่น เลือนหายระหว่างทางของกาลเวลาไปบ้าง แต่ฉันพยายามนึกทบทวน และค่อย ๆ ตั้งสมาธิ รื้อความทรงจำย้อนรอยให้มากที่สุด จนบางครั้งมีอาการเบลอ ๆ บ๊อง ๆ ชอบกล เมื่อไรที่หัวใจปลอดโปร่ง โล่งสบาย โดยเฉพาะตอนอาบน้ำ ความรู้สึกนึกคิดโลดแล่นปรู๊ดปร๊าด เรื่องนั้นก็จำได้ เรื่องนี้ก็โผล่เป็นฉาก ๆ เรื่องโน้นผุดพรายออกมาจนล้นสมอง หลายครั้งเคยตั้งข้อสังเกต ฉันจะเขียนเรื่องราวเล่าความคิดได้ดี หลังจากอาบน้ำเสร็จ เมื่อเช็ดตัวให้แห้ง ปะแป้งและใส่ชุดนอน หยิบปากกาสมุดบันทึกมานั่งเขียนที่โต๊ะกลม ร่ายคำเขียนทันที แต่ใช่ว่า ฉันจะหาเรื่องต่าง ๆ ออกมาจากความทรงจำได้หมดจด บางเรื่องราวยังคิดไม่ออก คงหลบซ่อนอยู่ตามรอยหยักของเซลสมองอยู่บ้าง มีคำแนะนำจากนักเขียนอาชีพและคุณครูภาษาไทย ณ เมืองน่าน (รู้จักกันตั้งแต่ปี 2544) บอกว่าการจะเป็นนักเขียนที่ดี ต้องอ่านเรื่องที่เขียนโดยทบทวนอย่างน้อย 2-3 ครั้ง (เน้น) แล้วเราจะพบสิ่งที่ควรเพิ่ม เติม ลด ละเลิก อบายมุขทุกชนิด เอ้ย! ไปเรื่อยเปื่อยลงข้างทางอีกแล้วนะ (อะคึ่ ๆ) แม้ว่าจะเป็นนักเขียนอาชีพ มีความชำนาญเชี่ยวชาญประมาณว่า เขียนอะไรก็ได้เรื่อง ยังต้องทบทวนซ้ำ ก่อนจะนำเสนอต่อสาธารณะชน เพราะการนำความคิด คำเขียนที่สร้างสรรค์นั้น มีคุณค่าที่ประมาณค่าไม่ได้ ทำให้ฉันนึกถึงบทสวดมนต์ นมัสการพระรัตนตรัย ท่อง 3 จบ บทสวดไตรสรณคมน์ ท่อง 3 จบ ฉันไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบลึกซึ้ง แต่พยายามเรียนรู้ตามแบบฉบับของตัวเอง คือ ปฏิบัติตามคำสอนของพระสงฆ์และคำสอนของแม่ มาตั้งแต่จำความได้ แม้ปัจจุบันความรู้ที่ได้นั้นเป็นเพียงเปลือก ยังไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ ฉันเริ่มเรื่องการเขียนบันทึก แล้วโยงมาถึงคำสอนในพระธรรม เพราะมีเรื่อง สารภาพความผิด ที่เคยทำมาก่อน ซึ่งจะเล่าให้อ่านตามลำดับ (ย่อ ๆ) ดังนี้ เรื่องแรก ขโมยขนม ขณะนั้นฉันใส่ชุดนักเรียนชั้นเด็กเล็ก (หนูน้อยเสื้อขาว-กระโปรงแดง) ด้วยความอยากกินขนมที่ขายอยู่หน้ารั้วโรงเรียน หลังจากตื่นนอนตอนบ่าย หลังเลิกเรียน รอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ฉันเดินวนอยู่หน้าร้านขนม (หลอกเด็ก) ด้วยความกล้าเลวที่ท้าทาย (กล้าดีคงไม่ทำแบบนี้) ฉันหันซ้ายหันขวา เอามือไปหยิบถุงขนม (มีลูกอมกลม ๆ ในซองพลาสติก) ใส่กระเป๋ากระโปรง เดินเบียดเพื่อนๆ ออกจากร้านขนม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แบบไม่มียางอายเลย ร้ายกาจเชียวนะตัวแค่นี้ เรื่องที่สอง ขโมยหนังสือ ตอนนั้นเรียนอยู่ ป.4 ฉันกับเพื่อน ๆ ชวนกันไปร้านขายเครื่องเขียน สมุด หนังสือ ปากกา ซึ่งจะมีนิตยสารรายวัน รายปักษ์ รายเดือน วางบนแผงหน้าร้าน ขณะเพื่อน ๆ เดินดูหนังสือ ดินสอ ตามความสนใจแต่ละคน ฉันชำเลืองตาไปที่หนังสือการ์ตูนเล่มบาง ๆ อยากอ่านมากก็ไม่ใช่ อยากได้ก็ไม่เชิง แต่...ความคิดชั่ววูบ (เผอิญไม่ได้คิดดีวูบ) กระเป๋าสะพายหลังเบี่ยงมาข้างหน้า ความคิดร้ายเพราะใจสั่ง มือคว้าการ์ตูนเล่มนั้นมาแนบหลังกระเป๋า ทำหน้าซื่อ ๆ แล้วเดินไปหาเพื่อนชวนกันกลับบ้าน ยิ้มเยาะอย่างพอใจ พี่สาว (คนที่ 2) มีหน้าที่สอนการบ้านให้น้อง เธอจะบอกให้ฉันเอาการบ้านมาทำให้เสร็จ ก่อนกินข้าวมื้อค่ำ ฉันบอกว่า วันนี้ไม่มีการบ้านแล้วเอาหนังสือการ์ตูนมานั่งอ่าน พี่สาวเห็นจึงถามว่า หนูเอาหนังสือการ์ตูนมาจากไหน (เพราะไม่มีหนังสือการ์ตูนแบบนี้ในห้องสมุดประชาชนแน่นอน) หนูซื้อมาจ๊ะ ฉันบอกพี่สาวแบบหน้าตาเฉย บอกมาเดี๋ยวนี้นะ หนูเอามาจากไหน เธอพูดเสียงดังและเค้นคำตอบจากฉัน เพราะรู้ว่า ฉันไม่มีทางซื้อหนังสือการ์ตูนได้แน่นอน ฉันนิ่งเงียบ เธอเอามือมาจับแขนแล้วบีบกระชับจนฉันรู้สึกเจ็บ เธอถามย้ำซ้ำ ๆ จนฉันร้องไห้ด้วยความกลัว จึงบอกไปว่า หนูขโมยมาจ๊ะ เสียงสะอื้น หนูขโมยมาจากไหน จากร้าน...... ฉันบอกชื่อร้าน ซึ่งเป็นร้านพ่อของเพื่อนพี่สาวคนโตของฉัน จำไว้นะ อย่าขโมยของใคร ทำไมหนูดื้อแบบนี้ อยากอ่านการ์ตูน บอกพี่สิ จะยืมหนังสือที่ห้องสมุดมาให้ (รร.มัยธยม จะมีห้องสมุดและห้องสมุดประชาชน อยู่ใกล้ รร.ประถม) หนูไม่ขโมยแล้วจ๊ะ ฉันพูดซ้ำ ๆ สลับกับเสียงร้องไห้น้ำตาไหลพราก เพราะพี่สาวลงโทษ ด้วยการใช้ไม้บรรทัดตีขาฉันหลายครั้ง ติด ๆ กัน ไม่แน่ใจว่า พี่สาวได้ฟ้องพ่อกับแม่หรือเปล่า ในเหตุการณ์ครั้งนั้น เรื่องที่สาม ขโมยลำใย ฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น (ม.1) แต่ยังชอบปีนต้นไม้ ว่ายน้ำในลำคลอง วิ่งไล่จับกับเพื่อน ๆ ในแก๊งเดียวกันเสมอ เพียงแต่ความทโมนลดน้อยลง ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่ใช่ฤดูทำนา ฉันจะอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง (ห่างจากตัวอำเภอ 4 กม.) บ้านนอกไม่มีอะไรดึงดูดใจให้เด็ก ๆ ไปซุกซนไกลบ้านนัก พวกเราจะชวนกันเล่นในสวนหลังบ้าน มีต้นหมากปลูกไว้เป็นแถว บริเวณลานดินสะอาดสะอ้าน ไม่มีใบไม้ร่วงหล่นระหว่างต้นมะม่วง ซึ่งน้าสาวเธอจะกวาดทุกเช้า เพื่อให้เด็ก ๆ มาวิ่งเล่นเป็นลิงจับหลัก พอเล่นจนเหนื่อยได้เวลาหิว แต่ละคนจะแยกย้ายไปกินข้าวบ้านใครบ้านมัน ตอนบ่ายแดดจาง ๆ นัดเจอกันใหม่ บางวันเล่นตีจับ เล่นโป้งแปะ ปิดตาซ่อนหา กิ่งก่องแก้ว (กระโดดยาง) แล้วแต่ว่าใครจะเสนอความคิด เด็ก ๆ ยังไม่รู้จักหรอกเสียงส่วนใหญ่ เพียงแค่ใครในแก๊งมีอิทธิพล (เสียงดัง) มาก การละเล่นจึงเป็นไปตามเสียงคนนั้นเสมอ ฤกษ์ไม่งามยามร้ายในบ่ายวันหนึ่ง ฉันไม่ได้ไปเจอเพื่อน ๆ เล่นอยู่บ้านเพียงลำพัง หลังจากปีนต้นฝรั่ง (บักสีดา) ไปตามกิ่งที่โค้งโน้มเอียงตามแนวคลอง นั่งรำพึงรำพันคนเดียวบ่อย ๆ บางอารมณ์พูดคุยกับปลาตัวน้อย ๆ ที่ว่ายอยู่ในแอ่งน้ำใส ๆ เมื่อเริ่มมีอาการเบื่อที่ต้องอยู่เฉย ๆ รู้สึกอยากกินผลไม้ ที่ไม่ใช่มะม่วง ไม่ใช่ฝรั่งลูกเล็ก ๆ แบบนี้ ลำใยบ้านพี่เบิ้มไง แผนก่อการร้ายผุดขึ้นทันใด รั้วลวดหนามแค่นี้ ลอดได้สบายมาก ความคิดผิดตื้น ๆ มันออกมาจากไหนในสมองฉันนะ ฉันย่องช้า ๆ มาที่ต้นมะพร้าวฝั่งบ้านตัวเอง เอาตัวผอม ๆ บังต้นไม้ รอดูสถานการณ์สักครู่ คงไม่มีใครในบ้านพี่เบิ้ม เดินมาหลังบ้านหรอกนะ อืม! เงียบสงบ ปลอดคนแน่แล้ว ฉันมุดรั้วลวดหนาม มองไปยังเป้าหมาย จ้องดูกิ่งลำใยที่ย้อยต่ำลงขนาดเอื้อมมือถึง แกร๊ก ๆ ๆ เสียงสังกะสีดังขึ้น เป็นเสียงจากประตูห้องน้ำที่อยู่หลังบ้านพี่เบิ้ม มีบางอย่างหล่นตุ๊บดังอั๊ก ไม่ใช่เสียงคนตกต้นไม้ แต่เป็นเสียงหัวใจของฉันที่หล่นมาอยู่ที่ตาตุ่ม ทันทีที่เห็นพี่เบิ้มเปิดประตูห้องน้ำ ฉันอยากแปลงร่างเป็นนินจาหายตัวแว๊บ ๆ แต่ทำได้เพียงนินจาเต่าหลังค่อม ก้มตัวหลบหาที่กำบังหลังต้นมะพร้าว เมื่อพี่เบิ้มเดินเข้าบ้าน ฉันจึงมุดรั้วกลับทันที อาการใจหาย-ใจคว่ำ เป็นแบบนี้เอง แผนร้ายคิดทำผิดครั้งนี้ ไม่ประสบผลสำเร็จ ฉันรู้สึกอายมาก อายแบบไม่กล้ามองหน้าพี่เบิ้ม เมื่อเจอกันตอนนั่งรถโดยสารไปโรงเรียน แม้พี่เบิ้มไม่เคยรู้และไม่คิดว่า ยัยเบื๊อกแสนซนคนนี้ บังอาจข้ามรั้วไปขโมยลำใย เมื่อลำใยผลโตเต็มที่ แม่พี่เบิ้มจะแบ่งปันให้ครอบครัวของฉันเสมอ แต่แบบว่า...มันไม่สนุก ไม่ตื่นเต้นเร้าใจไงละ ความผิดครั้งนั้น ฉันไม่ถูกลงโทษทัณฑ์ เพราะไม่มีใครเห็น และเป็นความผิดที่พลาดท่าเสียเอง ฉันรู้สึกสำนึกผิดทันทีในวันนั้น อาจเป็นเพราะฉันเรียนรู้และเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าในภาษาบาลีสันสกฤต หิริ โอตตัปปะ ฉันคิดว่าทุกคนที่เกิดมา ต้องเคยทำผิดบ้าง ผิดมาก ผิดน้อย ผิดบ่อย ผิดแบบตั้งใจ ผิดโดยไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกความผิดที่เกิดขึ้น ฉันคิดว่า ความผิดนั้นจะได้รับการยกโทษ แต่ถ้าทำผิดอย่างตั้งใจ แม้จะรู้สำนึกในภายหลัง เหตุของโทษนั้น มีผลต่อจิตใจของผู้กระทำผิดแน่นอน ปล. ไม่น่าแปลกใจ ที่ฉันไม่ชอบกินลูกอม ไม่ชอบอ่านการ์ตูน เพราะความผิดครั้งนั้น จำฝั่งใจ แต่.. กินลำใยครั้งใด คิดถึงพี่เบิ้มเสมอ อะคึ่ ๆ แวะเข้ามาฟังคำสารภาพค่ะ
ห้องสมุดบรรยากาศดีมากๆ โดย: แมงหวี่@93 (แมงหวี่@93 ) วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:15:02:31 น.
ห้องสมุดบรรยากาศดีจริงๆ ค่ะ น่าไปนั่งอ่านหนังสือ
เรื่องที่สาวขอนแก่นมาสารภาพนี่ อ่านแล้วได้แต่อมยิ้ม อิอิ โดย: filmgus วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:22:31:06 น.
สวัสดีค่ะมิตรรักนักเขียน (บล๊อก) ทุกท่าน
---------------------------------------------------- ตำซั่ว -----ดีใจนะที่อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึง "ขอนแก่น" -----ดีนะไม่คิดถึง "ไม้บรรทัด" อะคึ่ ๆ แมงหวี่@93 -----ขอบคุณค่ะ ที่แวะมาอ่าน (ฟัง) คำสารภาพผิด -----ห้องสมุดเยาวชน มีมุมที่น่านั่งอ่านหนังสือ จริง ๆ -----มีหนังสือเก่า ๆ น่าอ่านเยอะเลยนะค๊า พี่ lilmgas ------ใช่ค่ะ บรรยากาศห้องสมุดฯ "ริมบึงแก่นนคร" น่านั่ง น่านอน (หลับฝันดี) มั่กม๊ากกกก อะคึ่ ๆ ขอบอก....ถ้า "เด็กคนนี้" เป็นน้องของสาวฯ ซนเซี้ยวและร้ายแบบนี้ จะตีให้มือหักเชียวค่ะ ปล. ขอบคุณพี่สาว ที่ลงโทษด้วยการตี ไม่สั่งสอนอย่างเดียวค่ะ ......"รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" คิดว่าใช้ได้ดีในสังคมไทยเราค่ะ โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:11:05:26 น.
ไม่ได้หวังให้ตอบแท็คทันที แต่ขอให้ตอบชาตินี้ค๊าพี่ขา น๊าค๊า จุ๊บบบบ โดย: นางน่อยน้อย วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:20:18:50 น.
สวัสดีค่ะ พี่สาวบ้านนอกฯ เหมือนหลวงพ่อในโบสถ์ที่นั่งฟังคำสารภาพบาปเลยค่ะ นกก็เคยทำลักษณะเดียวกันนี้นะคะ จำได้ว่าอยู่ ป.2 เพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ เค้ามียางลบดินสอรูปการ์ตูนสวยเชียวมีตั้งหลายก้อน เป็นการ์ตูนหลากหลายแบบ ด้วยความอยากได้นะคะ เลยหยิบมา 1 อัน พอกลับมาบ้าน เอาออกมาดู พ่อเห็น พอซักได้ความว่า หยิบของเพื่อนมา โดนตีซะ รุ่งขึ้นต้องเอาไปคืนเพื่อนและขอโทษเค้า อายอยู่หลายวันเลยค่ะ บรรยากาศห้องสมุดน่านั่งอ่านหนังสือจังค่ะ โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:20:40:27 น.
คลิ๊ก แท็คเมื่อคืนจากพี่ใบไม้ค่ะ ตามมาโล๊ดค๊าเอื้อย
โดย: นางน่อยน้อย วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:11:31:22 น.
เอ๊ ยังไงมีแต่ขโมย เดี๋ยวเถอะๆ
จะถูกลงโทษถูกขโมยคนรักไป อิอิ อ่านบันทึกสาวฯ แล้ว ก็คงเหมือนกันแหละค่ะ บางทีเราก็มีเรื่องราววัยเด็กที่เหลือเชื่อ และน่าจดจำ อ้อ เด็กๆเคยขโมยตังค์ในเชี่ยนหมากแม่เหมือนกัน ตั้ง 5 บาทแน่ะ ไปเลี่ยงเพื่อนได้ทั้งห้องเลย ยังรู้สึกผิดๆอยู่เลยค่ะ โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:12:51:46 น.
อ้อ พี่เบิ้มให้มาจับ คนขโมยลำไยด้วย....มอบตัวซะดี ๆ
โดย: โฟล์คเหน่อ วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:2:26:40 น.
สวัสดีค่ะ มิตรรักนักเขียน (บล๊อก) ทุกท่าน
---------------------------------------------- หนูนีล ------พี่นาง แวะไปรับแท๊คแล้วนะ แล่วมันเป็นจั่งได๋ละ อะคึ่ ๆ หนูนกน้อย ------ดีแล้วค่ะ ที่คุณพ่อลงโทษ แล้วรับกล้ารับผิดโดยดี รู้ผิด รู้รับโทษ เราย่อมได้รับการอภัยค่ะ ยิปซีฯ -------ขโมยสิ่งไม่มีชีวิต มีบทลงโทษ โดยกฎ กติกาของสังคม แต่...ขโมยสิ่งมีชีวิตและมีจิตใจ มีบทลงโทษกฎหมาย และกฎแห่งกรรม (ด้วย) ค่ะ ถ้า "ถูกขโมยคนรัก" ด้วยเจตนา...ยินดีให้ไปดี ขออย่างเดียวเท่านั้นคือ "ขออโหสิกรรม" ต่อกันจ๊ะ แหม! ไม่เคยถูกขโมยด้วยซิ อธิบายลำบากเนาะ อะคึ่ ๆ พี่โฟล์คหล่อ เอ้ย! โฟล์คเหน่อ ------ขอเรียกพี่ (สาวฯ เป็นน้อง 2 ปี อิอิ) ขอบคุณค่ะที่ชมห้องสมุดฯ แวะมารอบ 2 นึกว่าอะไร..... เอ่อ! พี่โฟล์คเหล่อ รู้จักมักจี่กับพี่เบิ้มเมื่อไรคะ (อยู่คนละทวีป) ให้มอบตัวดีดี.....ง่ายไปมั๊งคะ ไล่จับให้ได้ก่อนซิ อะคึ่ ๆ ปล. ขอเชิญทุกท่านตามตูด เอ้ย! ตามข้าพเจ้ามา เข้า "วัดพระธาตขามแก่น" ณ ททท. (เที่ยวทั่วทีป) เด้อค๊า โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:12:00:51 น.
สวัสดีจ้ะสาวนางบ้านนอก
ห่างเหินกันไปเสียนานนะ แต่ก็รู้สึกดีใจที่เห็นนางยังเขียนบล็อกอัพบล็อกสม่ำเสมอ มีเพื่อนบล็อกเพิ่มขึ้น บางทีมาอ่านผ่านๆไม่ได้คอมเม้นท์อะไร ก็ไม่ว่ากันนะ เพราะเขียนบล็อกเราก็ตามสบายๆ เห็นอารมณ์ขัน ได้ยินเสียงหัวเราะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ก็รื่นรมย์แล้ว ขอให้มีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน มีความสุขไปทีละวันก็พอแล้วน่า นะ นะ โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.28.95 วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:21:01:13 น.
มีความผิดแต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ปัญหาคือกลัวโดนดุทำอย่างไงดีคับ ควรบอกหรือไม่บอกดีคับ ช่วยบอกหน่อยคับ
โดย: คนมีความทุกข์ IP: 202.44.4.20 วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:13:58:29 น.
มีความผิดแต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ปัญหาคือกลัวโดนดุทำอย่างไงดีคับ ควรบอกหรือไม่บอกดีคับ ช่วยบอกหน่อยคับ
โดย: คนมีความทุกข์ IP: 202.44.4.20 วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:14:00:00 น.
|
สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] เด็ก ๆ ชอบเอาตัวไปปลายนา เอาขาไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า โตเป็นสาว..ชอบอยู่บ้านนอก อนาคต..ได้ไปที่ชอบ..ที่ชอบ อะคึ่ ๆ Friends Blog
|
ตอนที่เราอยู่ไม่เห็นมีเลย เราไม่ได้ไปแค่ปีเดียว มีอะไรขึ้นมาใหม่เยอะจัง
ที่ขอนแก่นมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างค่ะ เขียนให้อ่านบ้างนะค่ะ
คิดถึงขอนแก่นมากๆๆๆๆ