กันยายน 2550

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
13 กันยายน 2550
All Blog
สารภาพความผิด

ห้องสมุดเยาวชน ณ ริมบึงแก่นนครขอนแก่น


บันทึกไม่ประจำวันของฉันมีหลายเล่ม
แต่ละเล่มไม่ได้ต่อเนื่องหรือเรียงตามเหตุการณ์
เมื่อฉันนึกอยากเขียนอะไรที่สะดุดความคิด
จะรีบจดบันทึกทันที ที่ต้องการให้เรื่องราวเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำ
เพราะว่าสมองของฉันไม่อาจจดจำเรื่องต่าง ๆ ได้หมด
ครั้นจะเก็บข้อมูลไว้ในเซลสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง
แล้วนำมาประมวลผลในภายหลัง
รื้อความจำมาเขียนบันทึกในช่วงเวลาว่าง ๆ หลังพระอาทิตย์ตกดิน
อาจมีบางเหตุการณ์ตกหล่น เลือนหายระหว่างทางของกาลเวลาไปบ้าง
แต่ฉันพยายามนึกทบทวน และค่อย ๆ ตั้งสมาธิ
รื้อความทรงจำย้อนรอยให้มากที่สุด
จนบางครั้งมีอาการเบลอ ๆ บ๊อง ๆ ชอบกล

เมื่อไรที่หัวใจปลอดโปร่ง โล่งสบาย โดยเฉพาะตอนอาบน้ำ
ความรู้สึกนึกคิดโลดแล่นปรู๊ดปร๊าด
เรื่องนั้นก็จำได้ เรื่องนี้ก็โผล่เป็นฉาก ๆ เรื่องโน้นผุดพรายออกมาจนล้นสมอง
หลายครั้งเคยตั้งข้อสังเกต ฉันจะเขียนเรื่องราวเล่าความคิดได้ดี
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เมื่อเช็ดตัวให้แห้ง ปะแป้งและใส่ชุดนอน
หยิบปากกาสมุดบันทึกมานั่งเขียนที่โต๊ะกลม ร่ายคำเขียนทันที
แต่ใช่ว่า ฉันจะหาเรื่องต่าง ๆ ออกมาจากความทรงจำได้หมดจด
บางเรื่องราวยังคิดไม่ออก คงหลบซ่อนอยู่ตามรอยหยักของเซลสมองอยู่บ้าง

มีคำแนะนำจากนักเขียนอาชีพและคุณครูภาษาไทย ณ เมืองน่าน (รู้จักกันตั้งแต่ปี 2544)
บอกว่าการจะเป็นนักเขียนที่ดี ต้องอ่านเรื่องที่เขียนโดยทบทวนอย่างน้อย 2-3 ครั้ง (เน้น)
แล้วเราจะพบสิ่งที่ควรเพิ่ม เติม ลด ละเลิก อบายมุขทุกชนิด เอ้ย!
ไปเรื่อยเปื่อยลงข้างทางอีกแล้วนะ (อะคึ่ ๆ)

แม้ว่าจะเป็นนักเขียนอาชีพ มีความชำนาญเชี่ยวชาญประมาณว่า “เขียนอะไรก็ได้เรื่อง”
ยังต้องทบทวนซ้ำ ก่อนจะนำเสนอต่อสาธารณะชน
เพราะการนำความคิด คำเขียนที่สร้างสรรค์นั้น “มีคุณค่าที่ประมาณค่าไม่ได้”

ทำให้ฉันนึกถึงบทสวดมนต์ “นมัสการพระรัตนตรัย” ท่อง 3 จบ
“บทสวดไตรสรณคมน์” ท่อง 3 จบ
ฉันไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบลึกซึ้ง
แต่พยายามเรียนรู้ตามแบบฉบับของตัวเอง คือ
ปฏิบัติตามคำสอนของพระสงฆ์และคำสอนของแม่ มาตั้งแต่จำความได้
แม้ปัจจุบันความรู้ที่ได้นั้นเป็นเพียงเปลือก ยังไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้

ฉันเริ่มเรื่องการเขียนบันทึก แล้วโยงมาถึงคำสอนในพระธรรม
เพราะมีเรื่อง “สารภาพความผิด” ที่เคยทำมาก่อน ซึ่งจะเล่าให้อ่านตามลำดับ (ย่อ ๆ) ดังนี้

เรื่องแรก “ขโมยขนม”
ขณะนั้นฉันใส่ชุดนักเรียนชั้นเด็กเล็ก (หนูน้อยเสื้อขาว-กระโปรงแดง)
ด้วยความอยากกินขนมที่ขายอยู่หน้ารั้วโรงเรียน
หลังจากตื่นนอนตอนบ่าย หลังเลิกเรียน รอผู้ปกครองมารับกลับบ้าน
ฉันเดินวนอยู่หน้าร้านขนม (หลอกเด็ก)
ด้วยความกล้าเลวที่ท้าทาย (กล้าดีคงไม่ทำแบบนี้)
ฉันหันซ้ายหันขวา เอามือไปหยิบถุงขนม (มีลูกอมกลม ๆ ในซองพลาสติก)
ใส่กระเป๋ากระโปรง เดินเบียดเพื่อนๆ ออกจากร้านขนม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
แบบไม่มียางอายเลย ร้ายกาจเชียวนะตัวแค่นี้

เรื่องที่สอง “ขโมยหนังสือ”
ตอนนั้นเรียนอยู่ ป.4 ฉันกับเพื่อน ๆ
ชวนกันไปร้านขายเครื่องเขียน สมุด หนังสือ ปากกา
ซึ่งจะมีนิตยสารรายวัน รายปักษ์ รายเดือน วางบนแผงหน้าร้าน

ขณะเพื่อน ๆ เดินดูหนังสือ ดินสอ ตามความสนใจแต่ละคน
ฉันชำเลืองตาไปที่หนังสือการ์ตูนเล่มบาง ๆ
อยากอ่านมากก็ไม่ใช่ อยากได้ก็ไม่เชิง แต่...ความคิดชั่ววูบ (เผอิญไม่ได้คิดดีวูบ)
กระเป๋าสะพายหลังเบี่ยงมาข้างหน้า ความคิดร้ายเพราะใจสั่ง
มือคว้าการ์ตูนเล่มนั้นมาแนบหลังกระเป๋า
ทำหน้าซื่อ ๆ แล้วเดินไปหาเพื่อนชวนกันกลับบ้าน ยิ้มเยาะอย่างพอใจ

พี่สาว (คนที่ 2) มีหน้าที่สอนการบ้านให้น้อง
เธอจะบอกให้ฉันเอาการบ้านมาทำให้เสร็จ ก่อนกินข้าวมื้อค่ำ
ฉันบอกว่า วันนี้ไม่มีการบ้านแล้วเอาหนังสือการ์ตูนมานั่งอ่าน
พี่สาวเห็นจึงถามว่า
“หนูเอาหนังสือการ์ตูนมาจากไหน” (เพราะไม่มีหนังสือการ์ตูนแบบนี้ในห้องสมุดประชาชนแน่นอน)
“หนูซื้อมาจ๊ะ” ฉันบอกพี่สาวแบบหน้าตาเฉย
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ หนูเอามาจากไหน” เธอพูดเสียงดังและเค้นคำตอบจากฉัน
เพราะรู้ว่า ฉันไม่มีทางซื้อหนังสือการ์ตูนได้แน่นอน
ฉันนิ่งเงียบ เธอเอามือมาจับแขนแล้วบีบกระชับจนฉันรู้สึกเจ็บ
เธอถามย้ำซ้ำ ๆ จนฉันร้องไห้ด้วยความกลัว จึงบอกไปว่า
“หนูขโมยมาจ๊ะ” เสียงสะอื้น
“หนูขโมยมาจากไหน”
“จากร้าน......” ฉันบอกชื่อร้าน ซึ่งเป็นร้านพ่อของเพื่อนพี่สาวคนโตของฉัน
“จำไว้นะ อย่าขโมยของใคร ทำไมหนูดื้อแบบนี้ อยากอ่านการ์ตูน บอกพี่สิ จะยืมหนังสือที่ห้องสมุดมาให้”
(รร.มัยธยม จะมีห้องสมุดและห้องสมุดประชาชน อยู่ใกล้ รร.ประถม)
“หนูไม่ขโมยแล้วจ๊ะ” ฉันพูดซ้ำ ๆ สลับกับเสียงร้องไห้น้ำตาไหลพราก
เพราะพี่สาวลงโทษ ด้วยการใช้ไม้บรรทัดตีขาฉันหลายครั้ง ติด ๆ กัน
ไม่แน่ใจว่า พี่สาวได้ฟ้องพ่อกับแม่หรือเปล่า ในเหตุการณ์ครั้งนั้น

เรื่องที่สาม “ขโมยลำใย”
ฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น (ม.1) แต่ยังชอบปีนต้นไม้
ว่ายน้ำในลำคลอง วิ่งไล่จับกับเพื่อน ๆ ในแก๊งเดียวกันเสมอ
เพียงแต่ความทโมนลดน้อยลง

ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่ใช่ฤดูทำนา
ฉันจะอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง (ห่างจากตัวอำเภอ 4 กม.)
บ้านนอกไม่มีอะไรดึงดูดใจให้เด็ก ๆ ไปซุกซนไกลบ้านนัก
พวกเราจะชวนกันเล่นในสวนหลังบ้าน มีต้นหมากปลูกไว้เป็นแถว
บริเวณลานดินสะอาดสะอ้าน ไม่มีใบไม้ร่วงหล่นระหว่างต้นมะม่วง
ซึ่งน้าสาวเธอจะกวาดทุกเช้า เพื่อให้เด็ก ๆ มาวิ่งเล่นเป็นลิงจับหลัก
พอเล่นจนเหนื่อยได้เวลาหิว แต่ละคนจะแยกย้ายไปกินข้าวบ้านใครบ้านมัน

ตอนบ่ายแดดจาง ๆ นัดเจอกันใหม่ บางวันเล่นตีจับ
เล่นโป้งแปะ ปิดตาซ่อนหา กิ่งก่องแก้ว (กระโดดยาง)
แล้วแต่ว่าใครจะเสนอความคิด เด็ก ๆ ยังไม่รู้จักหรอกเสียงส่วนใหญ่
เพียงแค่ใครในแก๊งมีอิทธิพล (เสียงดัง) มาก
การละเล่นจึงเป็นไปตามเสียงคนนั้นเสมอ

ฤกษ์ไม่งามยามร้ายในบ่ายวันหนึ่ง
ฉันไม่ได้ไปเจอเพื่อน ๆ เล่นอยู่บ้านเพียงลำพัง
หลังจากปีนต้นฝรั่ง (บักสีดา) ไปตามกิ่งที่โค้งโน้มเอียงตามแนวคลอง
นั่งรำพึงรำพันคนเดียวบ่อย ๆ บางอารมณ์พูดคุยกับปลาตัวน้อย ๆ ที่ว่ายอยู่ในแอ่งน้ำใส ๆ
เมื่อเริ่มมีอาการเบื่อที่ต้องอยู่เฉย ๆ รู้สึกอยากกินผลไม้
ที่ไม่ใช่มะม่วง ไม่ใช่ฝรั่งลูกเล็ก ๆ แบบนี้

“ลำใยบ้านพี่เบิ้มไง” แผนก่อการร้ายผุดขึ้นทันใด
รั้วลวดหนามแค่นี้ ลอดได้สบายมาก
ความคิดผิดตื้น ๆ มันออกมาจากไหนในสมองฉันนะ

ฉันย่องช้า ๆ มาที่ต้นมะพร้าวฝั่งบ้านตัวเอง เอาตัวผอม ๆ บังต้นไม้
รอดูสถานการณ์สักครู่ คงไม่มีใครในบ้านพี่เบิ้ม เดินมาหลังบ้านหรอกนะ
อืม! เงียบสงบ ปลอดคนแน่แล้ว
ฉันมุดรั้วลวดหนาม มองไปยังเป้าหมาย
จ้องดูกิ่งลำใยที่ย้อยต่ำลงขนาดเอื้อมมือถึง

แกร๊ก ๆ ๆ เสียงสังกะสีดังขึ้น
เป็นเสียงจากประตูห้องน้ำที่อยู่หลังบ้านพี่เบิ้ม
มีบางอย่างหล่นตุ๊บดังอั๊ก ไม่ใช่เสียงคนตกต้นไม้
แต่เป็นเสียงหัวใจของฉันที่หล่นมาอยู่ที่ตาตุ่ม

ทันทีที่เห็นพี่เบิ้มเปิดประตูห้องน้ำ
ฉันอยากแปลงร่างเป็นนินจาหายตัวแว๊บ ๆ
แต่ทำได้เพียงนินจาเต่าหลังค่อม ก้มตัวหลบหาที่กำบังหลังต้นมะพร้าว
เมื่อพี่เบิ้มเดินเข้าบ้าน ฉันจึงมุดรั้วกลับทันที
“อาการใจหาย-ใจคว่ำ เป็นแบบนี้เอง”

แผนร้ายคิดทำผิดครั้งนี้ ไม่ประสบผลสำเร็จ
ฉันรู้สึกอายมาก อายแบบไม่กล้ามองหน้าพี่เบิ้ม
เมื่อเจอกันตอนนั่งรถโดยสารไปโรงเรียน
แม้พี่เบิ้มไม่เคยรู้และไม่คิดว่า ยัยเบื๊อกแสนซนคนนี้ บังอาจข้ามรั้วไปขโมยลำใย

เมื่อลำใยผลโตเต็มที่ แม่พี่เบิ้มจะแบ่งปันให้ครอบครัวของฉันเสมอ
แต่แบบว่า...มันไม่สนุก ไม่ตื่นเต้นเร้าใจไงละ

ความผิดครั้งนั้น ฉันไม่ถูกลงโทษทัณฑ์
เพราะไม่มีใครเห็น และเป็นความผิดที่พลาดท่าเสียเอง
ฉันรู้สึกสำนึกผิดทันทีในวันนั้น
อาจเป็นเพราะฉันเรียนรู้และเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าในภาษาบาลีสันสกฤต
“หิริ โอตตัปปะ”

ฉันคิดว่าทุกคนที่เกิดมา ต้องเคยทำผิดบ้าง ผิดมาก ผิดน้อย ผิดบ่อย ผิดแบบตั้งใจ ผิดโดยไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกความผิดที่เกิดขึ้น
"ถ้าคนนั้นรู้สำนึกได้
ฉันคิดว่า ความผิดนั้นจะได้รับการยกโทษ
แต่ถ้าทำผิดอย่างตั้งใจ แม้จะรู้สำนึกในภายหลัง
เหตุของโทษนั้น มีผลต่อจิตใจของผู้กระทำผิดแน่นอน”

ปล. ไม่น่าแปลกใจ ที่ฉันไม่ชอบกินลูกอม ไม่ชอบอ่านการ์ตูน เพราะความผิดครั้งนั้น จำฝั่งใจ
แต่.. กินลำใยครั้งใด คิดถึงพี่เบิ้มเสมอ อะคึ่ ๆ




Create Date : 13 กันยายน 2550
Last Update : 15 กันยายน 2550 13:06:36 น.
Counter : 1065 Pageviews.

14 comments
  
ดีจังเลย บรรยากาศน่านอนมากกว่าอ่านหนังสืออ่ะค่ะ
ตอนที่เราอยู่ไม่เห็นมีเลย เราไม่ได้ไปแค่ปีเดียว มีอะไรขึ้นมาใหม่เยอะจัง

ที่ขอนแก่นมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างค่ะ เขียนให้อ่านบ้างนะค่ะ

คิดถึงขอนแก่นมากๆๆๆๆ
โดย: ตำซั่ว IP: 86.204.230.66 วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:13:32:45 น.
  
แวะเข้ามาฟังคำสารภาพค่ะ
ห้องสมุดบรรยากาศดีมากๆ
โดย: แมงหวี่@93 (แมงหวี่@93 ) วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:15:02:31 น.
  
ห้องสมุดบรรยากาศดีจริงๆ ค่ะ น่าไปนั่งอ่านหนังสือ

เรื่องที่สาวขอนแก่นมาสารภาพนี่
อ่านแล้วได้แต่อมยิ้ม อิอิ

โดย: filmgus วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:22:31:06 น.
  
สวัสดีค่ะมิตรรักนักเขียน (บล๊อก) ทุกท่าน
----------------------------------------------------
ตำซั่ว
-----ดีใจนะที่อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึง "ขอนแก่น"
-----ดีนะไม่คิดถึง "ไม้บรรทัด" อะคึ่ ๆ

แมงหวี่@93
-----ขอบคุณค่ะ ที่แวะมาอ่าน (ฟัง) คำสารภาพผิด
-----ห้องสมุดเยาวชน มีมุมที่น่านั่งอ่านหนังสือ จริง ๆ
-----มีหนังสือเก่า ๆ น่าอ่านเยอะเลยนะค๊า

พี่ lilmgas
------ใช่ค่ะ บรรยากาศห้องสมุดฯ "ริมบึงแก่นนคร" น่านั่ง น่านอน (หลับฝันดี) มั่กม๊ากกกก อะคึ่ ๆ
ขอบอก....ถ้า "เด็กคนนี้" เป็นน้องของสาวฯ
ซนเซี้ยวและร้ายแบบนี้ จะตีให้มือหักเชียวค่ะ

ปล. ขอบคุณพี่สาว ที่ลงโทษด้วยการตี ไม่สั่งสอนอย่างเดียวค่ะ
......"รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" คิดว่าใช้ได้ดีในสังคมไทยเราค่ะ
โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:11:05:26 น.
  



ไม่ได้หวังให้ตอบแท็คทันที แต่ขอให้ตอบชาตินี้ค๊าพี่ขา น๊าค๊า จุ๊บบบบ
โดย: นางน่อยน้อย วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:20:18:50 น.
  

สวัสดีค่ะ พี่สาวบ้านนอกฯ

เหมือนหลวงพ่อในโบสถ์ที่นั่งฟังคำสารภาพบาปเลยค่ะ นกก็เคยทำลักษณะเดียวกันนี้นะคะ จำได้ว่าอยู่ ป.2 เพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ เค้ามียางลบดินสอรูปการ์ตูนสวยเชียวมีตั้งหลายก้อน เป็นการ์ตูนหลากหลายแบบ ด้วยความอยากได้นะคะ เลยหยิบมา 1 อัน พอกลับมาบ้าน เอาออกมาดู พ่อเห็น พอซักได้ความว่า หยิบของเพื่อนมา โดนตีซะ รุ่งขึ้นต้องเอาไปคืนเพื่อนและขอโทษเค้า อายอยู่หลายวันเลยค่ะ

บรรยากาศห้องสมุดน่านั่งอ่านหนังสือจังค่ะ

โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 14 กันยายน 2550 เวลา:20:40:27 น.
  
โดย: นางน่อยน้อย วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:11:31:22 น.
  
เอ๊ ยังไงมีแต่ขโมย เดี๋ยวเถอะๆ
จะถูกลงโทษถูกขโมยคนรักไป อิอิ
อ่านบันทึกสาวฯ แล้ว ก็คงเหมือนกันแหละค่ะ
บางทีเราก็มีเรื่องราววัยเด็กที่เหลือเชื่อ และน่าจดจำ
อ้อ เด็กๆเคยขโมยตังค์ในเชี่ยนหมากแม่เหมือนกัน
ตั้ง 5 บาทแน่ะ ไปเลี่ยงเพื่อนได้ทั้งห้องเลย
ยังรู้สึกผิดๆอยู่เลยค่ะ
โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 15 กันยายน 2550 เวลา:12:51:46 น.
  
บรรยากาศห้องสมุดยอดเยี่ยมครับ
โดย: โฟล์คเหน่อ วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:2:23:29 น.
  
อ้อ พี่เบิ้มให้มาจับ คนขโมยลำไยด้วย....มอบตัวซะดี ๆ
โดย: โฟล์คเหน่อ วันที่: 16 กันยายน 2550 เวลา:2:26:40 น.
  
สวัสดีค่ะ มิตรรักนักเขียน (บล๊อก) ทุกท่าน
----------------------------------------------
หนูนีล
------พี่นาง แวะไปรับแท๊คแล้วนะ แล่วมันเป็นจั่งได๋ละ อะคึ่ ๆ

หนูนกน้อย
------ดีแล้วค่ะ ที่คุณพ่อลงโทษ แล้วรับกล้ารับผิดโดยดี รู้ผิด รู้รับโทษ เราย่อมได้รับการอภัยค่ะ

ยิปซีฯ
-------ขโมยสิ่งไม่มีชีวิต มีบทลงโทษ โดยกฎ กติกาของสังคม
แต่...ขโมยสิ่งมีชีวิตและมีจิตใจ มีบทลงโทษกฎหมาย และกฎแห่งกรรม (ด้วย) ค่ะ
ถ้า "ถูกขโมยคนรัก" ด้วยเจตนา...ยินดีให้ไปดี
ขออย่างเดียวเท่านั้นคือ "ขออโหสิกรรม" ต่อกันจ๊ะ
แหม! ไม่เคยถูกขโมยด้วยซิ อธิบายลำบากเนาะ อะคึ่ ๆ

พี่โฟล์คหล่อ เอ้ย! โฟล์คเหน่อ
------ขอเรียกพี่ (สาวฯ เป็นน้อง 2 ปี อิอิ) ขอบคุณค่ะที่ชมห้องสมุดฯ
แวะมารอบ 2 นึกว่าอะไร.....
เอ่อ! พี่โฟล์คเหล่อ รู้จักมักจี่กับพี่เบิ้มเมื่อไรคะ (อยู่คนละทวีป)
ให้มอบตัวดีดี.....ง่ายไปมั๊งคะ
ไล่จับให้ได้ก่อนซิ อะคึ่ ๆ

ปล. ขอเชิญทุกท่านตามตูด เอ้ย! ตามข้าพเจ้ามา
เข้า "วัดพระธาตขามแก่น" ณ ททท. (เที่ยวทั่วทีป) เด้อค๊า
โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:12:00:51 น.
  
สวัสดีจ้ะสาวนางบ้านนอก


ห่างเหินกันไปเสียนานนะ

แต่ก็รู้สึกดีใจที่เห็นนางยังเขียนบล็อกอัพบล็อกสม่ำเสมอ

มีเพื่อนบล็อกเพิ่มขึ้น

บางทีมาอ่านผ่านๆไม่ได้คอมเม้นท์อะไร

ก็ไม่ว่ากันนะ เพราะเขียนบล็อกเราก็ตามสบายๆ


เห็นอารมณ์ขัน ได้ยินเสียงหัวเราะซึ่งเป็นเอกลักษณ์

ก็รื่นรมย์แล้ว


ขอให้มีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน มีความสุขไปทีละวันก็พอแล้วน่า นะ นะ
โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.28.95 วันที่: 17 กันยายน 2550 เวลา:21:01:13 น.
  
มีความผิดแต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ปัญหาคือกลัวโดนดุทำอย่างไงดีคับ ควรบอกหรือไม่บอกดีคับ ช่วยบอกหน่อยคับ
โดย: คนมีความทุกข์ IP: 202.44.4.20 วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:13:58:29 น.
  
มีความผิดแต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ปัญหาคือกลัวโดนดุทำอย่างไงดีคับ ควรบอกหรือไม่บอกดีคับ ช่วยบอกหน่อยคับ
โดย: คนมีความทุกข์ IP: 202.44.4.20 วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:14:00:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ลูกคนสุดท้องน้องสาวคนเล็ก
เด็ก ๆ ชอบเอาตัวไปปลายนา
เอาขาไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า
โตเป็นสาว..ชอบอยู่บ้านนอก
อนาคต..ได้ไปที่ชอบ..ที่ชอบ
อะคึ่ ๆ


Friends Blog
[Add สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น's blog to your weblog]