มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
ดอยลังกา.. ผาโง้ม (3)

.................................................................................................นกพเนจร




“ติ ด ปี ก ใ น หั ว ใ จ แ ล้ ว โ บ ย บิ น ไ ป ด้ ว ย กั น”




(3)

อากาศยามเช้าหนาวเย็นเยียบจนควันออกปาก หมอกลงทึบไปทั้งหมู่บ้าน วิชาญลุกขึ้นมานึ่งข้าว ทอดไข่ ตั้งแต่หัวรุ่ง พวกเราหลายคนยังซุกตัวอยู่ในถุงนอน มีแต่ไอ้เอกนี่แหละตื่นขึ้นมาช่วยวิชาญ แถมยังต้มน้ำชงกาแฟไว้ให้พวกเราอีก

“ไปอาบน้ำกันได้แล้วโว้ย” เสียงพี่แดงร้องบอกพรรคพวกเป็นคนแรก

“กูอาบคนสุดท้าย ใครเสร็จแล้วเรียกกูด้วย” เสียงอู้อี้ของไอ้รัญดังออกมาจากถุงนอน

“เออ! ตามใจข้าวหมดก่อนก็อดนะมึง” ได้เรื่อง ไอ้รัญตาสว่างแทบจะกระโดดออกมาจากถุงนอน

ที่อาบน้ำของพวกเราคือบ่อน้ำหลังบ้าน เป็นบ่อกลางแจ้งที่วิชาญขุดเอาไว้ แล้วเทซีเมนต์รอบปากบ่ออีกหน่อย ไว้เป็นลานสำหรับซักล้าง น้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อไม่เย็นซักเท่าไหร่ ด้วยเป็นน้ำใต้ดิน แต่พอราดตัวเข้าไปแล้วนี่ซิ ควันโชยออกจากตัวเลยทีเดียว จนแทบจะยืนแข็งอยู่ตรงนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกเราถึงใช้น้ำกันประหยัด

อาหารเช้า เราได้ข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ กับไข่เจียว และอาหารกระป๋องที่แบกกันมาจากกรุงเทพฯ เพราะตั้งใจกันไว้ว่าจะไม่แบกเอาเข้าป่ากันเลย นอกจากหนักแล้วยังเพิ่มขยะให้กับป่าอีกด้วย

ก่อนออกเดินทางพวกเราเอาสัมภาระส่วนกลางทั้งหมด มากองรวมกันตามสูตรของพวกเรา เพื่อเฉลี่ยน้ำหนักและช่วยกันแบก ทั้งข้าวสาร ของแห้ง เครื่องครัวเครื่องใช้ที่จำเป็นและน้ำดื่ม

ต่างคนก็ต่างแบ่งเอาใส่เป้ของตัวเองไว้ จะเป็นอะไรก็ได้หยิบไป แต่ต้องเอาเท่าที่คิดว่าตัวเองจะแบกได้ไหวเท่านั้น มากน้อยไม่เป็นไรพวกเราไม่เคยว่ากัน เพราะเที่ยวนี้เราไม่มีลูกหาบไปด้วยเลยซักคน

จัดข้าวของกันเสร็จสรรพ เห็นเบี้ยวเด็กหนุ่มลูกชายลุงไพรมานั่งคุยกับวิชาญที่ลานหน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว

ไอ้เจ้าเบี้ยวมีเพียงย่ามใบเดียวกับพร้าหัวตัดขัดหลังอีกเล่มเดียวเท่านั้น ส่วนวิชาญใส่ขาก๊วยกับม่อฮ่อม รองเท้าแตะเหมือนเดิม สะพายเป้ผ้าใบสีเขียวซีดๆ เหน็บพร้าอย่างเดียวกับของเจ้าเบี้ยว และยังสะพายปืนแก๊ปไว้ที่ไหล่ซ้ายอีกกระบอกหนึ่ง

มีดติดตัวที่ใช้สำหรับเดินป่าของพวกเราทุกคนก็เป็นพร้าธรรมดาอย่างที่ชาวบ้านใช้กันทั่วไป ราคาเล่มละไม่กี่สิบบาทแต่คุณภาพสุดๆ สารพัดใช้ทั้งฟันทั้งขุด จะบิ่นหรือจะหายก็ไม่เสียดาย หาซื้อใหม่ได้ทั่วไป

เมื่อก่อนตอนเริ่มเข้าป่ากันใหม่ๆ ต้องใช้มีดเดินป่าแบบพวกโบวี่ หรือมีดสวยๆ ราคาแพง ยิ่งเป็นโบวี่เขากวางยิ่งเท่ใหญ่ จะเป็นของในของนอกก็ไม่เป็นไร ขอให้สวยไว้ก่อน แต่พอใช้งานกันจริงๆ แล้วไม่ไหว หนักก็หนักใช้ได้ไม่ครบทุกรูปแบบ จะฟันกิ่งไม้เปลือกแข็งๆ หรือขุดดินก็เสียดาย ทำไปทำมากลายเป็นภาระเข้าไปอีก

จากประสบการณ์ของผม พบว่าพร้าชาวบ้านนี่แหละดีที่สุดเหมาะกับทุกสถานการณ์ ส่วนของแพงๆ นั้นน่าจะจัดอยู่ในข่ายของเครื่องประดับมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่ามีดพวกนั้นจะไม่ดีนะ เพียงแต่ผมคิดว่ามันไม่เหมาะกับสภาพการใช้งาน และแพงเกินไปเท่านั้นเอง

“พร้อมมั้ย ? ถ้าพร้อมแล้วออกกันเลยครับ” วิชาญเอ่ยนำขึ้นแบบไม่ต้องรอคำตอบ แล้วออกเดินช้าๆ นำพวกเราไปตามทางลูกรังสีแดงของหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่ปากทางที่จะเลี้ยวเข้าบ้าน

พวกเราออกเดินกันด้วยความกระปรี้กระเปร่า ด้วยนอนกันมาเต็มอิ่ม และท่ามกลางอากาศหนาวๆ ของเช้านี้ทำให้รู้สึกว่าอยากจะออกเดินให้ตัวอุ่นขึ้นบ้าง หมอกจางลงมากแต่ยังดูเป็นม่านบางๆ คลี่ห่มคลุมอยู่ทั่วหมู่บ้าน
ชาวบ้านหลายหลังคงทนนอนหนาวกันอยู่ไม่ไหว ลุกจากที่นอนมานั่งกันอยู่รอบๆ กองไฟที่หน้าลานบ้านตัวเองเพื่อสู้กับความหนาว หน้าหนาวอย่างนี้ทรมานเป็นที่สุดโดยเฉพาะพ่ออุ๊ย แม่อุ๊ยที่อายุมากๆ น่าเห็นใจเป็นที่สุด

นกสารพัดชนิดเริ่มส่งเสียงออกหากินกันเจื้อยแจ้ว เสียงไก่ในหมู่บ้านตีปีกดังพึ่บพั่บ แล้วขันดังขึ้นเป็นระยะๆ นี่แหละคือเสียงของความมีชีวิตชีวาของชาวบ้านป่าโดยแท้ สุดที่คนอย่างพวกเราจะหาได้ในเมืองใหญ่

เพียงครู่เดียวพวกเราที่เดินตามกันเป็นหาง เมื่อพ้นออกนอกเขตหมู่บ้าน วิชาญพาพวกเราตัดเข้าแนวป่าโปร่งๆ ที่เชิงเขาตรงข้ามทางเลี้ยวเข้าบ้านนี่เอง ตลอดทางเป็นทางราบเชิงเขา สลับกับเนินลูกย่อมๆ เต็มไปด้วยเมี่ยงป่าและไม้ขนาดเล็กอื่นๆ อีกหลายชนิด พวกเราเดินเรียงเดี่ยว แต่ต้องทอดระยะให้ห่างกันพอสมควรเพื่อเลี่ยงจากการโดนกิ่งไม้ที่คนข้างหน้าโน้มแหวกทางไว้ดีดเข้าใส่

ในเวลาไม่นานนัก หมู่บ้านที่เราจากมาก็พร่าเลือนอยู่ในม่านหมอกและลับตาไปในที่สุด
“ไปกันเรื่อยๆ นะ อีกซักพักต้องข้ามห้วยกันหลายครั้ง แต่พอห้วยสุดท้ายแล้วผมจะบอกให้เติมน้ำกันไว้” วิชาญบอกกับพี่แดง ซึ่งตามติดอยู่ข้างหลังโดยไม่ได้หันกลับมามอง

ผ่านไปชั่วโมงเศษดวงอาทิตย์สูงขึ้นเรื่อยๆ หมอกหายไปหมดตั้งแต่ตอนไหนไม่ทันได้สังเกต อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเป็นลำดับ ทางที่ทอดไปข้างหน้าเริ่มลาดสูงชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าจะสูงแค่ไหนด้วยทางที่เลี้ยวไป-มา ทำให้มองไม่เห็นวิชาญกับพี่แดงที่นำอยู่ข้างหน้าเลย ไม้ไร่ก็กิ่งใหญ่ใบสูงท่วมหัว แต่รู้สึกได้โดยที่ขาต้องออกกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไปอีกพักใหญ่ทางเดินเริ่มโปร่งขึ้น เป็นไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้างพวกตาเสือ มะค่า ตะเคียนขึ้นอยู่ปะปนกระจายกัน อยู่ห่างๆ สองข้างทางเป็นพงหญ้ารกแห้งกรอบสีน้ำตาลอมแดง จากตรงนี้เองที่ทางเริ่มทอดสูงชันขึ้นมากเห็นกลุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้าอยู่สูงสิบ แต่ยังไปกันได้เรื่อยๆ เพียงแต่ช้าลงบ้างเท่านั้น

ผมเป็นคนที่ตีนอ่อนที่สุดเมื่อเทียบกับพรรคพวกเดินป่าในคณะนี้ แต่ไหนแต่ไรผมมักจะเดินปิดท้ายทุกครั้ง เพราะนอกจากจะเดินช้าแล้วยังแวะถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ เป็นการพักไปในตัวอีกด้วย โดยเที่ยวนี้มีไอ้รัญเดินปิดท้ายเป็นเพื่อนอย่างรู้ใจ(ไม่ขัดขา)

พอขึ้นไปทันกลุ่มหน้าที่นั่งพักกันอยู่ที่ปลายเนิน ก็หอบแฮ่กพอดี พักได้เพียงครู่เดียวเหงื่อยังไม่ทันแห้ง วิชาญพากลุ่มแรกออกเดินตัดลงเนินที่ชันไม่แพ้ขาขึ้น แต่สภาพป่าเปลี่ยนไปเป็นป่าชื้นร่มครึ้มที่ลาดลงในหุบทึบๆ

“ข้างล่างหลังดงไผ่เป็นลำห้วยครับ ต้องย่ำน้ำกันหน่อย” วิชาญร้องบอก รวมทั้งให้ระวังหนามไผ่ด้วย เพราะขึ้นอยู่หนาแน่นมาก แต่ก็ไปกันได้ไม่ลำบากนัก ด้วยวิชาญฟันเบิกทางไว้ให้ก่อนแล้ว จะมีแค่คันยุบๆ ยิบๆ ตามแขนตามคอเมื่อเวลาโดนใบไผ่สากๆ คายๆ เท่านั้น

พอข้ามลำห้วยไปแล้วเป็นทางราบเชิงเขา เต็มไปด้วยต้นกล้วยป่าที่กระจัดกระจายกันอยู่สลับกับหญ้าคาสูงท่วมหัว ต้องเดินวก-เวียนข้ามลำห้วยอยู่อีกสองครั้ง จนพวกเราจับทิศทางกันไม่ถูกได้แต่เดินตามกันไป

จากนั้นพรานนำพาพวกเราตัดขึ้นเนินชันกันอีกครั้ง แต่ไม่สูงชันเท่ากับเนินแรก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พวกเราก็ช้าลงไปเยอะเพราะโดนเนินแรกตัดกำลังไปก่อนแล้ว กว่าจะถึงยอดเนินต้องพักกันไม่รู้กี่ครั้ง แข้งขามันไม่ค่อยจะยอมก้าวเอาซะเลย

ผมนึกอยู่ในใจว่าเดี๋ยวก็ลงเนินอีก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

“วิ้ว .. ตอนขึ้นมานิดเดียว ทำไมทางลงมันลึกอย่างนี้วะ” ไอ้งูเป่าปากเมื่อมองเห็นทางลงเนินข้างหน้า

“มันเป็นทางลงกลางหุบครับ ข้างล่างจะเป็นห้วยสุดท้ายที่เราจะเจอในวันนี้แล้วครับ” วิชาญบอกแล้วให้สัญญาณว่าให้เดินห่างๆ กันหน่อยเพราะความชันและความลื่นของทางลง โดยมีเบี้ยวเด็กหนุ่มลูกลุงไพรตามมาห่างๆ อยู่ข้างหลัง

“นี่แค่เริ่มต้นนะเนี่ย กูว่าสาหัสกว่าเชียงดาวอีกว่ะ” ไอ้เอกเริ่มเดาสถานการณ์ เพราะทางลงหุบที่เรายืนมองกันอยู่ ลึกลิ่วกว่าที่พวกเราเคยผ่านกันมา เมื่อตอนลงจากดอยหลวงเชียงดาวในเส้นทางบ้านถ้ำ

“เออ กูเชื่อมึง” ผมรับคำไอ้เอกสั้นๆ เพราะเห็นด้วย และไม่มีคำพูดอะไรที่จะเปรียบเทียบได้ดีไปกว่านี้แล้ว

พวกเรากึ่งเดินกึ่งไถลลงเนินดินร่วนๆ เกาะเหนี่ยวต้นไม้ลงไปเรื่อยๆ เพราะก้อนหินแต่ละก้อนที่เอาเท้ายันไว้มันไว้ใจไม่ค่อยได้ อาจหลุดกลิ้งหลุนๆ ไปเมื่อไหร่ก็ได้ ที่สำคัญจะเป็นอันตรายกับคนที่อยู่ข้างหน้าอีกด้วย

ทุกครั้งที่จะจับคว้ากิ่งไม้หรือต้นไม้ก็ต้องดูให้ดี ต้นไม้บางชนิดมีหนามคมๆ ที่กิ่งก้าน บางอย่างก็มีที่ลำต้นหรือใบ หากไม่ดูให้ดีมีหวังได้แผลกันตั้งแต่วันแรก

ทางลงเนินลูกนี้ลึก-ยาวจนพวกเราต้องพักกันหลายครั้ง เพราะปวดหัวเข่าที่ถูกกระแทกและปลายเท้าที่จิกไปที่หัวรองเท้าตลอดเวลา ผมยังนึกอยู่เลยว่าพวกพรานอาชีพที่เจอมา ถึงได้ใส่แต่รองเท้าแตะ ขึ้นเขาลงดอยสะดวก ลุยน้ำก็ไม่กลัวเปียก แต่พวกเราไม่กล้าใส่กันเลยซักคน ถ้าเตะเอาหินหรือรากไม้เข้าไปซักทีละก็สงสัยจะได้เลือด เที่ยวนี้วิชาญกับเบี้ยวก็ใส่รองเท้าแตะ ที่ดูแล้วน่าจะเดินยากด้วยความลื่นที่ไหนได้ไวเป็นลิงทั้งคู่เลย

ในที่สุดพวกเราก็ทยอยกันตามลงมาถึงกลางหุบจนครบทุกคน โดยมีผมกับไอ้รัญตามหลังมาเป็นสองคนสุดท้าย

บรรยากาศในก้นหุบออกจะอับๆ เพราะลมสามารถพัดเข้ามาในหุบได้น้อยเต็มทน ถึงแม้จะดูร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ๆ อย่างพวกมะค่า ตะแบก และพวกเฟิร์นต่างๆ อีกหลายชนิดที่ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่ริมห้วย แต่อากาศค่อนข้างอึดอัดและอับชื้นชอบกล บอกตรงๆ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย

“นี่ห้วยสุดท้ายใช่มั๊ยวิชาญ” พี่แดงถามขึ้นอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งพักนวดแข้งนวดขากัน

“ครับ .. ผมว่าเราพักกินข้าวกันเลยดีกว่า ผมจะหุงข้าวไว้สำหรับเย็นนี้ขึ้นไปเลย จะได้ประหยัดน้ำ เพราะบนผาโง้มไม่มีน้ำแล้ว” วิชาญบอกพร้อมทั้งชี้ไปบริเวณลานเล็กๆ ที่ให้เจ้าเบี้ยวไปปัดกวาดเอาไว้ แล้วเลี่ยงเดินไปเก็บไม้หาฟืนมาก่อไฟหุงข้าว

ก่อนกินข้าวพี่แดงแบ่งเอาข้าวนึ่งกับปลาแห้งชิ้นเล็กๆ ใส่ใบไม้วางไว้ที่โคนมะค่าใหญ่ตามธรรมเนียมของพวกเราที่ทำกันจนเคยชิน พอวิชาญเห็นก็หันมายิ้มกับพวกเราแล้วบอกว่าเขาเองก็กำลังจะทำอยู่เหมือนกัน

มื้อเที่ยงของพวกเราที่ข้างกองไฟริมห้วย เป็นข้าวนึ่งกับปลาเค็มแห้ง และยังมีน้ำพริกตาแดงฝีมือวิชาญ ที่อุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำแล้วห่อใบตองกล้วยเอาไว้แต่หัวรุ่ง ตอนแรกที่วิชาญเอาข้าวนึ่งมาแจกให้พวกเรา ยังคุยกันอยู่ว่าห่อใหญ่มากอย่างนี้จะกินกันเข้าไปหมดเหรอ ที่ไหนได้ เม็ดเดียวยังแทบไม่เหลือติดก้นห่อ

“พักเอาแรงกันอีกซักครู่นะครับ รอข้าวสุกด้วย ทางขึ้นผาโง้มอยู่ไม่ไกลข้างหน้านี้แล้ว แต่มันก็ชันเอาเรื่องอยู่” วิชาญพูดเสร็จก็อัดควันยาเส้นเข้าปอดอีกอึกใหญ่

“ยังชันกว่าไอ้สองลูกที่ผ่านมานี้อีกเหรอ” ไอ้รัญเอ่ยถาม เหมือนอย่างใจที่พวกเราทุกคนอยากจะรู้

“ถ้าเทียบกันแล้วสองลูกที่ผ่านมาเรียกว่ายังไม่ชันครับ” วิชาญยิ้มแล้วตอบเรียบๆ ทำเอาพวกเราหลายคนต้องนั่งนวดขากันอีกครั้งเพราะกลัวว่าตะคริวจะถามหา

ผ่านไปพักใหญ่ๆ วิชาญเปิดดูข้าวในหม้อสนามทั้งสามหม้อแล้วบอกว่าข้าวสุกดีแล้ว ให้พวกเราออกเดินทางกันต่อได้ โดยวิชาญจะให้เบี้ยวเป็นคนเอาข้าวใส่ย่ามขึ้นไปเอง ส่วนตัวแกเองก็ดับไฟจนสนิท แล้วคว้าแกลลอนน้ำขนาดห้าลิตรสองใบเดินไปเติมน้ำที่ลำห้วย

“เติมน้ำกันให้เต็มเลยนะครับ” วิชาญบอกขณะกำลังกรอกน้ำใส่แกลลอน พวกเราต่างก็เอากระติกสนามที่ติดเอวมาคนละใบกรอกน้ำกันด้วย

ตลอดช่วงเช้าที่พวกเราเดินกันมา ถึงจะไกลและสูงชันพอสมควร แต่น้ำในกระติกของพวกเราแต่ละคนก็พร่องลงไปไม่มากนัก เพราะจากประสบการณ์การเดินทางในป่าสอนเราไว้ ไม่ให้ดื่มน้ำในขณะที่เหนื่อยและกระหายมากๆ โดยจะหยุดพักกันซักครู่พอหายเหนื่อยก็จะดื่มกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งถ้าถ้าดื่มตอนอากาศร้อนๆ และกระหายมากๆ จะดื่มกันเยอะนอกจากจะเปลืองน้ำแล้วอาจมีอาการจุกแน่นอีกด้วย

“เสร็จแล้วไปกันเลยครับ” วิชาญร้องบอกพร้อมทั้งเอาแกลลอนน้ำที่ผูกหูด้วยผ้าขาวม้าขึ้นสะพายไหล่ทั้งสองข้าง แล้วออกเดินนำข้ามลำห้วยไปเป็นคนแรก

พวกเราหันมามองหน้ากันประมาณว่า..อึ้ง! ลำพังพวกเราถ้าให้แบกน้ำแค่แกลลอนเดียวก็ไม่น่าจะรอดแล้ว นี่วิชาญมีทั้งย่ามและปืนแก๊ปอีกกระบอกยังเดินฉิว หนุ่มเบี้ยวกับพี่แดงตามหลังวิชาญข้ามไป ถัดมาก็เป็นไอ้เอกไอ้งู ส่วนผมกับไอ้รัญตามปิดท้ายเหมือนเคย

“เฮ้ยงู! บอกข้างหน้าไม่ต้องรีบจ้ำก็ได้โว้ย กินอิ่มๆ เดินไม่ค่อยออก” ไอ้รัญพูดยิ้มๆ

“เออ..พวกมึงตามกูมาเถอะ ไม่มีหลง” ไอ้งูหันมาตอบ ผมกับไอ้รัญพยักหน้าให้กันแล้วบอกว่าไอ้งูมันขี้โม้ แล้วก็หัวเราะกันครืน

ทางที่เราย่ำกันต่อไปเป็นลักษณะของป่าโปร่งแบบป่าเบญจพรรณ เวลาเดินก็พอจะเห็นหลังกันไวๆ แต่เป็นระยะทางที่ค่อนข้างยาวและชันขึ้นทีละน้อยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ประมาณสี่สิบนาทีผ่านไป วิชาญกับกลุ่มหน้าก็หยุดรอเราอยู่ข้างหน้า ด้วยไม่รู้ว่าหยุดเพื่อจะให้ดูอะไรหรือเปล่า พอผมกับไอ้รัญเดินมาถึง พี่แดงก็ชี้ให้ดูบนต้นพะยอมใหญ่ ที่ยังคงมีดอกสีขาวหอมๆ หลงเหลืออยู่ โดยธรรมชาติของพะยอมแล้วจะออกดอกช่วงเดือน ตุลาคม ถึงพฤศจิกายนเท่านั้น

ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองเห็นเป็นห้างที่ขัดเอาไว้ น่าจะเป็นของคนที่เข้ามาดักยิงสัตว์ในป่า ห้างที่เห็นอยู่นี้ไม่น่าจะเก่ามาก อย่างมากก็คงจะเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้เอง ลูกห้างไม้คานที่ขัดเอาไว้ยังอยู่ดีอยู่เลย แต่ก็แปลกทำไมมาขัดเอาไว้ตรงนี้ ในบริเวณใกล้ๆ นี่ก็ไม่เห็นจะมีส้มสูกลูกไม้หรือมีโป่งอะไรเลย

“ไม่ใช่ของคนในหมู่บ้านผมหรอกครับ เพราะเท่าที่รู้คนในหมู่ผมเข้าป่านี้มีไม่กี่คน และก็เลิกล่าสัตว์กันไปตั้งนานแล้วด้วย” วิชาญออกความคิดเห็น

“แล้วมาขัดเอาไว้ตรงนี้จะมีอะไรให้ยิงเหรอ?” ไอ้เอกถาม

“ก็พอมีครับ มันเป็นทางผ่าน เป็นพวกชะมด หมูป่าหรือเก้งพวกนี้แหละครับ แต่คงต้องเฝ้ากันนานหน่อย” วิชาญอธิบายให้พวกเราหายสงสัย และยังสันนิษฐานต่อไปอีกว่า “น่าจะเป็นพวกพรานจากแถวๆ บ้านแม่ตอนหลวง เพราะพื้นที่มันต่อเนื่องกัน แต่คงไม่ได้เข้ามาล่าเองตามธรรมดา คงเป็นพวกพรานเมืองกรุงว่าจ้าง ให้เข้ามาเพื่อยิงสัตว์เพื่อความสนุกสนานเสียมากกว่า”

“ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ” พี่แดงถามต่อ

“โดยธรรมดาแล้วผมขึ้น-ลงอยู่หลายครั้ง ยังไม่เคยเจอห้างยิงสัตว์แบบนี้เลยครับ สร้างซะมั่นคงถาวร” วิชาญให้เหตุผลของการคาดเดา

แต่แล้วจู่ๆไอ้งูที่เงียบมาตลอด พอเจอห้างก็ปลดเป้วางของเอาพร้าขัดหลัง แล้วปีนขึ้นต้นพะยอมลิ่วไป ก่อนที่ใครจะทันร้องถาม

“เฮ้ยงู! มึงจะปีนขึ้นไปทำไมวะ” ไอ้เอกตะโกนถาม
“”กูจะรื้อทิ้งให้หมด” ไอ้งูนักอนุรักษ์สุดโต่งตอบแบบไม่หันมามองเพื่อน

พะยอมต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่มากสูงร่วมๆ ยี่สิบเมตร มีเปลือกหนาสีน้ำตาลอมเทาๆ แตกเป็นร่องยาว เรือนยอดเป็นพุ่มกลมๆ ถึงจะเป็นไม้ทิ้งใบ แต่ช่วงนี้ก็ยังคงมีใบหนาแน่นอยู่มาก

พอไอ้งูขึ้นไปถึงบนห้างก็เอาพร้าที่เหน็บหลังขึ้นไปด้วย ฟันเชือกมัดลูกห้างที่ขวั้นด้วยเปลือกไม้จนขาดหมด แล้วรื้อโยนทิ้งลงมาจนเกลี้ยง พวกเราต้องกระโดดหลบกันจ้าละหวั่น เสร็จแล้วก็ปีนลงมาหน้าบอกบุญไม่รับด้วยยังอยู่ในอารมณ์โกรธ

“ช่างมันเถอะวะงู รื้อทิ้งแล้วก็แล้วกัน จะใส่อารมณ์ไปทำไม พวกเราก็ทำกันได้เพียงแค่นี้ ที่เหลือก็ต้องเป็นจิตสำนึกของคนแล้ว” พี่แดงออกแนวเตือนสติให้ไอ้งูเย็นลง

“ครับพี่” ไอ้งูตอบพี่ใหญ่สั้นๆ แต่ดูท่ายังไม่เย็นลงซักเท่าไหร่เพราะยังสบถคำหยาบต่ออีกยาวเหยียด แถมยังพูดเชิงท้าทายอีกด้วยว่า เจ้าป่าเจ้าเขาไม่แน่จริง ทำไมไม่หักคอไอ้พวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อความสนุกสนานพวกนี้ให้หมดไปเสียที

“ไอ้งูกูเคยบอกมึงแล้ว ป่ามีเจ้า เขามีเทพ อย่าพูดท้าทายแบบนี้โว้ยเดี๋ยวโดนกันหมด” ไอ้รัญเตือนด้วยเสียงขุ่นๆ

“เออ เออ ขอโทษกูลืม” ไอ้งูเสียงอ่อยลงจนได้

วิชาญหันมาพยักหน้าให้ผมแล้วยิ้มให้ด้วยรู้สึกดีใจที่พวกเราเข้าใจและรู้ธรรมเนียมป่ากันดีพอสมควร

เสียเวลากันอยู่ที่ห้างกลางป่ากันพักใหญ่ถึงได้ออกเดินทางกันต่อ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวขึ้นเป็นลำดับด้วยไม่มีลมพัดมาเลยแม้แต่น้อย พอเดินไปอีกครู่เดียวก็ตัดทะลุออกพ้นป่าโปร่ง เป็นดอยสูงใหญ่เหมือนกำแพงยักษ์ขวางหน้าเราไว้

“โอ้ว.. คงเป็นดอยลูกนี้นี่เองบังลมเอาไว้จนอับไปหมด” พี่แดงหันมาบอกพรรคพวก

“ลูกนี้แหละทางขึ้นดอยสันยาวไปผาโง้ม” วิชาญบอกพร้อมทั้งชี้ขึ้นไปที่ยอดดอยที่สูงชนิดที่เรียกว่าต้องแหงนคอตั้งบ่า

“อะไรนะพวกเราต้องเดินขึ้นลูกนี้เหรอ” ไอ้เอกพูดพร้อมทั้งทำหน้าเหยเก

“ครับ ไม่มีทางอื่นอีก ขึ้นไปจะเป็นดอยสันยาว” วิชาญตอบพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือให้เริ่มต้นเดินแล้วตัดตรงขึ้นสันดอยเป็นคนแรก

ทางขึ้นสันดอยยาวลูกนี้ทั้งชันทั้งยาวจริงๆ ถ้าเทียบกับสองลูกแรกที่ผ่านมาเมื่อเช้านี้แล้ว สองลูกนั้นเป็นขนมไปเลย ทางบางช่วงชันมากถึงกับต้องปีนกันเลยทีเดียว

ตลอดทั้งลูกดอยเป็นป่าหญ้าสูงๆ สลับกับดงกล้วยป่าและไม้ขนาดกลางกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ยังดีที่ยังพอมีลมโชยมาปะทะลูกเขาบ้างเป็นระยะๆ

เพียงไม่นานนักขบวนของพวกเราเริ่มแตกกลุ่มทิ้งกันไกลขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกู่กันไม่ได้ยิน สุดที่จะรู้ได้เลยว่าใครอยู่ตรงไหนของลูกดอยกันแล้ว แม้กระทั่งผมที่ตามหลังไอ้รัญอยู่เมื่อครู่ก็พลัดกันไปแล้ว ตอนนี้รู้อยู่อย่างเดียวว่าต้องขึ้นไปให้ถึงเท่านั้น และอย่าให้ขาเป็นตะคริวโดยเด็ดขาด เพราะว่าถ้าเกิดเป็นขึ้นมาแล้ว มันจะเป็นอีกบ่อยๆ จนเดินไม่ได้เลย


นี่เป็นเพียงวันแรกของการเดินทางเท่านั้น






ดอยลังกา.. ผาโง้ม (2) ย้อนรอยไปอ่านได้ที่นี่... V
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=saowbannok&month=07-03-2011&group=7&gblog=6





Create Date : 11 มีนาคม 2554
Last Update : 11 มีนาคม 2554 11:12:29 น.
Counter : 660 Pageviews.

8 comments
  
สีอคริลิกเป็นสีสมัยหลัง ลุงไม่เคยใช้วาดรูปเลย

เห็นแต่ลูก ๆ ใช้วาดกันประจำ สีอคริลิกเพิ่งเข้ามาในสมัยที่ลุงเรียนจบแล้ว

แต่ว่าสีนี้ผสมน้ำ แห้งแล้วกลายเป็นพลาสติกล้างไม่ออก การใช้คืออย่าให้สีแห้งรีบล้างด้วยน้ำตอนสียังไม่แห้ง หรือพูดง่าย ๆ คือพยายามล้างในทันทีที่วางมือ

ถ้าทิ้งไว้ให้สีแห้งแล้วจบเลย
โดย: pantamuang วันที่: 13 มีนาคม 2554 เวลา:8:59:20 น.
  
มาติดตามต่อครับ

พลพรรคตะลุยป่าชุดนี้ติดดินดีครับ สำนึกในธรรมชาติ

น่าชมเชยและเป็นแบบอย่างของเยาวชนคนรุ่นหลัง

อย่างเช่น การไม่เพิ่มขยะในที่ที่เราไปนั่นเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวครับ
โดย: Insignia_Museum วันที่: 13 มีนาคม 2554 เวลา:10:43:23 น.
  
วันแรกก็เดินกันขาลากเลยนะเนี่ย

อ่านแล้วนักล่าฯเกิดอาการสองอย่าง

หนึ่ง คันไม้คันมืออยากเขียนนิยายป่าสักเรื่อง

(ตั้งแต่ อุ่นรักป่าฝนแล้ว ก็งอมืองอเท้า)

สอง..อยากออกไปเดินป่าอีกสักครั้ง

แต่ก็กลัวว่าไหวแค่ใจจริงๆ สังขารนั้น มันไปได้สองร้อยเมตรก็ทรุดแว้ว
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 58.8.86.63 วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:11:33:23 น.
  
หวัดดีจ้า นู๋สาว
มาอ่านเรื่องสั้นตลุยป่าจ้ะ
สาวเขียนเรื่องสั้นด้วย แล้วได้ส่งไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ หรือเปล่าจ้ะ พักนี้อางานยุ่งนะ คงไม่ค่อยได้เข้ามาทักกันบ่อย ๆ แต่อยากจะบอกว่า คิดถึงเสมอจ้ะ
โดย: kapeak วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:8:57:02 น.
  
หวัดดีวันฟ้าฉ่ำฝนจ้ะสาว

ไงก็ รออ่านต่อตอน 4 อยู่นะ
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 16 มีนาคม 2554 เวลา:8:24:42 น.
  

เขียนเก่งจังเลยล่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 16 มีนาคม 2554 เวลา:8:33:33 น.
  
หวัดดีจ้าสาวฯ

แถวบ้านสาวฝนตกมั้ยเนี่ย กทม.แฉะทั้งวัน

นึกว่าหน้าฝนปนหนาวง่ะ

ป.ล.มีเรื่องสั้นนะค้าบ
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 183.89.92.111 วันที่: 16 มีนาคม 2554 เวลา:18:47:10 น.
  
ถูกต้องเลี้ยว

ทำอย่างนี้เสียแต่ทีแรก ก็ไม่เสียแปรงไป(กี่อัน)ล่ะ

อากาศชุมพรเย็นจัง ผลพวงญี่ปุ่นหรือเปล่า

ชอบกันนักไอ้นิวเคลียร์นี่ สมน้ำมะหน้าพวกอยากได้ ตอนนี้ค้านกันเป็นแถว ข่าวว่าฟิลิปปินส์รอรับผลพวงเต็ม ๆ

ว่าแต่คนไทยอยากไปอยู่ญี่ปุ่นตอนนี้ก็ได้อกุศลเต็ม ๆ เหมือนกัน อยู่บ้านเราไม่เอา บอกว่าไม่รวย
โดย: pantamuang วันที่: 17 มีนาคม 2554 เวลา:19:54:35 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ลูกคนสุดท้องน้องสาวคนเล็ก
เด็ก ๆ ชอบเอาตัวไปปลายนา
เอาขาไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า
โตเป็นสาว..ชอบอยู่บ้านนอก
อนาคต..ได้ไปที่ชอบ..ที่ชอบ
อะคึ่ ๆ


Friends Blog
[Add สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น's blog to your weblog]