มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
ดอยลังกา.. ผาโง้ม (2)

......................................................................................นกพเนจร




“ติ ด ปี ก ใ น หั ว ใ จ แ ล้ ว โ บ ย บิ น ไ ป ด้ ว ย กั น”




(2)

ปลายธันวาคม สองทุ่มเศษๆ พวกเราห้าคนพร้อมสัมภาระประจำตัวอยู่บนรถทัวร์สายกรุงเทพ – เชียงใหม่ ที่กำลังฝ่าสายลมหนาวมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ ด้วยหัวใจทั้งห้าดวงที่พร้อมจะผจญภัยและเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นในการเริ่มต้นของการดั้นด้น เพื่อค้นหาดอยสูงเสียดฟ้าที่รอคอยพวกเราอยู่ที่ใดแห่งหนึ่ง ณ ปลายทาง

พวกเราบางคนหลับเอาแรง บางคนพูดคุยกันเบาๆ ถึงเรื่องต่างๆ มากมาย ผมเองในทุกครั้งของการเดินทางระยะยาวๆ ชอบที่จะมองออกไปในความมืดนอกหน้าต่างและนึกถึงการเดินทางในหลายๆ ครั้งที่ผ่านเลย แต่ละครั้งล้วนมีเรื่องแปลกใหม่น่าสนใจอยู่เสมอจนอดคิดไม่ได้ว่า

ที่จริงแล้วในหัวใจของคนเดินทาง..เรื่องราวต่างๆ ที่เราได้เก็บเกี่ยวได้สัมผัสและประสบพบเจอในระหว่างการแรมทาง ไม่ว่าจะพบกับความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การจดจำ ซ้ำบางครั้งยังสำคัญกว่าจุดหมายปลายทางเสียอีก

เช้านี้..เมืองเชียงใหม่ต้อนรับพวกเราด้วยอากาศที่หนาวเย็นของเดือนธันวาคม และหมอกจางๆ ที่ลงเต็มดูขมุกขมัวไปทั้งเมือง พวกเรามาถึงหน้าสถานีรถทัวร์ที่เป็นตึกแถวใกล้ๆ กับตลาดไนท์บาซาร์ ในเวลาหกโมงเช้ากับอีกสิบห้านาที

ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคใดๆ เพราะสภาพอากาศและบรรยากาศแบบนี้แหละที่พวกเราดั้นด้นมา หากไม่หนาวออกจะผิดหวังซะด้วยซ้ำ

ภาคเหนือของบ้านเราในฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ เชียงรายหรือแม่ฮ่องสอนก็ตาม จะมีผู้คนมากมายจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ มาท่องเที่ยวกันตลอดฤดูกาล ส่วนใหญ่แล้วต้องการมาพบกับอากาศหนาว อย่างน้อยก็ขอให้หนาวกว่าที่พวกเขาจากมา

มีไม่น้อยที่ผิดหวังกลับไป ด้วยมาถึงแล้วไม่เจออากาศหนาวเย็นอย่างที่ต้องการ และเมื่อสอบถามผู้คนในท้องถิ่นแล้วได้รับคำตอบว่า “เมื่อวานยังหนาวอยู่เลย” ซ้ำพอกลับบ้านไป แล้วฟังข่าวก็กลับมาหนาวใหม่อีก

ฤดูกาลทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ เอาแน่อะไรไม่ค่อยได้ ยิ่งเจอกับปัญหามลพิษ การทำลายป่า โลกร้อนและปัญหาสภาพแวดล้อมอีกร้อยแปด ดีไม่ดีอีกไม่กี่ปีคนไทยอาจไม่รู้จักกับหน้าหนาวเลยก็เป็นได้ คิดแล้วก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

“ล้างหน้าแปรงฟัน กินข้าว หารถ” พี่แดงบอกพวกเราก่อนที่จะนั่งลงรื้อเป้เอาของใช้ส่วนตัวออกมา พวกเราใช้เวลากันไม่นานนักกับภารกิจส่วนตัวที่ห้องน้ำของบริษัทรถทัวร์นั่นเอง แล้วพากันแบกเป้เดินเข้าไปในตลาดที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อหากาแฟกับอาหารเช้ารองท้องกัน

ไม่ผิดหวัง พวกเราได้ทั้งกาแฟทั้งโจ๊กรถเข็นที่อยู่ติดกัน เติมพลังสำหรับมื้อเช้า ไอ้รัญยังเบิ้ลไข่ลวกอีกสอง นัยว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับทั้งคืนกลัวว่าวันนี้จะไปไม่รอด

“เฮ้ยงู อิ่มยัง? ไปหารถกับพี่หน่อยวะ” พี่ใหญ่แดงร้องบอกไอ้งูโดยไม่รอคำตอบ พร้อมทั้งลุกขึ้นเดินนำลิ่วไปที่ท่าจอดรถสองแถวหน้าตลาดที่เราเดินผ่านมา เล่นเอาไอ้งูวิ่งตามแทบไม่ทัน

พวกเราที่เหลืออีกสามคนยังนั่งจิบกาแฟร้อนๆ คุยกันอยู่เบาๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เพื่อเป็นการรอเวลา

ครู่ใหญ่ๆ พี่แดงกับไอ้งูกลับมาพร้อมกับรถสองแถวมาสด้าแฟมมิเลียสีแดงคาดเหลืองคันเล็กๆ ที่เห็นสภาพแล้วบอกไม่ถูก ทั้งเก่าทั้งโทรมจนสุดบรรยาย

“โหพี่..คันนี้ไปถึงแน่นะ” ไอ้เอกถามพี่แดงเมื่อเห็นสภาพรถ

“เออ..ทั้งวินมีคันนี้คันเดียวแหละที่ยอมไป..หรือมึงจะเดิน” พี่แดงพูดยิ้มๆ ย้อนกลับมา ไอ้เอกเงียบสนิท พวกเราพลอยหัวเราะกันร่วน

“กูบอกพี่แดงแล้วว่าใจเย็นๆไม่มีก็ไปหาที่ท่าอื่น คันนี้น่ากลัวแก่กว่าพ่อกูอีก แกก็บอกกลัวเสียเวลากูก็เลยตามเลย” ไอ้งูบ่นให้พรรคพวกฟังตอนช่วยกันขนของขึ้นรถ

“เออ..เอาวะคงไม่ถึงกับเดี้ยงซะกลางทางหรอกน่า คนขับยังกล้าไป แล้วมึงจะห่วงอะไร” ผมตอบไอ้งู ด้วยความไว้วางใจหัวขบวนของเรา

หลายๆ ทริปของการเดินทางที่ผ่านมา พวกเรารู้และเข้าใจดีกันอยู่ว่า พี่แดงเป็นผู้นำที่ดีมากคิดและตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่างด้วยเหตุผลและรวดเร็วเสมอ นอกเสียจากว่าเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราต้องทำความตกลงร่วมกัน หรือช่วยกันออกความคิดเห็น แกก็ไม่เคยที่จะคิดและตัดสินใจโดยลำพังเลย

ทุกเส้นทางที่ผมร่วมเดินทางกับผองเพื่อนก๊วนนี้ จะเป็นการเดินทางที่สนุกมาก ด้วยแต่ละคนมีจิตใจเป็นนักเดินทางอาชีพ มีน้ำใจ อดทนต่อทุกสภาวะ มีความรับผิดชอบสูง ที่สำคัญไม่ว่าจะพบกับเหตุการณ์ที่ยากลำบากและสุ่มเสี่ยงอย่างไร.. ไม่เคยทิ้งกัน

อย่างครั้งหนึ่งเมื่อสองปีมานี้เอง พวกเราก๊วนนี้นี่แหละไปเดินป่าแม่สามแลบ ล่องแม่น้ำสาละวินที่แม่ฮ่องสอน แล้วไปเจอกับพวกตัดไม้ทำโรงเลื่อยเถื่อนที่กลางป่าสบเมย ทริปนั้นเกิดเรื่องตื่นเต้นน่าหวาดเสียวจนแทบไม่ได้กลับบ้าน แต่พวกเราก็ช่วยกันแก้ไขสถานการณ์จนผ่านพ้นมาด้วยดี โดยที่ไม่มีใครถอดใจคิดจะทิ้งกันเอาตัวรอดแต่ลำพังเลยสักคน

เรื่องราวในวันนั้นผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนจำได้ดีแบบไม่มีวันลืม เอาไว้มีโอกาสผมจะเล่าให้ฟังละกัน

เก้าโมงสิบนาที
มาสด้าแฟมมิเลียสีแดงรุ่นปู่พาพวกเราฝ่าลมเย็นๆ เลาะเลียบสายน้ำปิงที่ยังมีไอหมอกจางๆลอยเป็นควันอยู่เหนือน้ำ แล้วเลี้ยวขวาข้ามสะพานนวรัตน์มุ่งหน้าออกนอกเมือง โดยจับเส้นทางสาย 118 ดอยสะเก็ด – เวียงป่าเป้า เชียงรายเป็นทางหลัก

ตั้งแต่เริ่มออกนอกเมืองตลอดเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสองข้างทางมีบ้านเรือน ชุมชนเป็นหย่อมๆ ไม่มากนัก กระจายตัวกันอยู่ หลายหมู่บ้านยังเป็นบ้านที่มุงหลังคาด้วยแป้นเกล็ดสักที่โบ๊ะด้วยขวาน ที่สมัยนี้หาดูยากเต็มทน นอกนั้นมีแต่ป่าเขียวๆ ที่ดอยไกลตายังมองเห็นป่าใหญ่ไม้สูงที่ยืนเบียดกันอยู่แน่น บางแห่งยังมีสีเขียว บางแห่งเปลี่ยนสีผลัดใบเป็นสีน้ำตาลทองไปทั้งลูกเขา

ลมหนาวๆ กับทิวทัศน์สองข้างทางทำให้พวกเราเพลินกันไปจนลืมบ่น และไม่รู้สึกเบื่อในความช้าของเจ้ามาสด้ารุ่นปู่นี่เลย

“เอ้าถึงซะที” พี่แดงที่นั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับคนขับ หันมาเคาะกระจก ร้องบอกพวกเราพร้อมกับชะลอความเร็วลง ผมมองดูนาฬิกาจึงรู้ว่าเราใช้เวลาไปชั่วโมงเศษๆ

มาสด้ารุ่นลายคราม ลดความเร็วเข้าชิดซ้ายหยุดอยู่ที่ข้างทาง ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 50-51 พี่แดงหันไปคุยกับคนขับเหมือนปรึกษาหารืออะไรกันอยู่สักครู่ ก่อนที่รถจะเคลื่อนที่ต่อ โดยเลี้ยวซ้ายเข้าไปตรงทางแยกที่มีซุ้มประตูทำด้วยไม้ไผ่เป็นกอๆ มีตัวหนังสือเขียนไว้
“ทางเข้าวัดปางอั้น”

“เออ กูว่าเนี่ยแหละถูกแล้ว มีวัดที่ไหนมีหมู่บ้านที่นั่น” ไอ้เอกบอก ซึ่งตรงกับความคิดของผมและพวกเราทุกคน

พาหนะของพวกเราแล่นไปบนทางลูกรังอัดแน่น วิ่งอย่างช้าๆ เมื่อเริ่มเข้าสู่หมู่บ้าน มองเห็นบ้านหลายหลังกระจายกันอยู่บ้าง จับอยู่ติดๆ กันบ้าง มีทั้งบ้านที่มุงหลังคาด้วยสังกะสี แป้นเกล็ดไม้และตองตึงสีน้ำตาลคล้ำๆ ส่งเสียงอยู่แกรบๆ ด้วยแรงลม ตามแบบฉบับของบ้านในชนบทล้านนา

บ้านทุกหลังจะมีป้ายไม้เล็กๆ ทาสีเขียวเขียนชื่อเจ้าของบ้านและบ้านเลขที่ ด้วยสีขาวเรียงลำดับเลขกันไป แล้วต่อท้ายด้วยคำว่า หมู่ 1 บ้านปางอั้น

รถมาจอดเอาที่บ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านชั้นเดียวมุงสังกะสีใหม่เอี่ยม เปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวและของชำเล็กๆ น้อยๆ ที่หน้าร้านมีตู้ก๋วยเตี๋ยวและตู้ใส่บุหรี่กับยาแก้ปวดแบบซองตราคนหัวยาวอีกตู้หนึ่ง ขนมซองสีๆ ใส่ถุงพลาสติกห้อยแขวนอยู่สามสี่ถุง หน้าบ้านเป็นลานดินที่อัดจนเรียบแน่น สะอาดตา มีโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าๆ วางอยู่สองชุด

พี่แดงลงจากรถเดินหายเข้าไปซักครู่ก็ออกมาบอกพวกเราว่า ให้พวกเราเอาสัมภาระลงจากรถได้ พักกินน้ำกินท่ากันที่นี่ก่อน

ผมกับพี่แดงจ่ายค่ารถพร้อมกับขอบคุณคนขับที่พาเรามาจนถึง ก่อนที่จะสั่งน้ำ สั่งก๋วยเตี๋ยวมากินกันอีกรอบ ทั้งๆ ที่ยังไม่เที่ยงเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะต่างอดนอนมากันทั้งคืนเลยทำให้หิวเร็วเป็นพิเศษ

พี่แดงกับไอ้รัญเดินเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านอีกครั้ง นานจนพวกผมสามคนกินก๋วยเตี๋ยวเกือบหมด ถึงค่อยเดินออกมาพร้อมกับเจ้าของร้าน เป็นชายร่างท้วมๆ วัยเกือบห้าสิบ และเด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ดปีอีกคน ที่ออกมาปั๊บก็ผลุนผลันขี่จักรยานออกไป

“ได้การละโว้ย มาๆ กินมั่งก๋วยเตี๋ยวกูเย็นหมดแล้ว” ไอ้รัญบอกพร้อมกับนั่งลงกินก๋วยเตี๋ยวเป็นการใหญ่ราวกับว่าไม่เคยกินมาก่อนอย่างงั้นแหละ

“ไม่นานหรอก นั่งพักกันก่อน ผมให้ไอ้เบี้ยวไปตามแล้วจะได้คุยกันเองเลย” เจ้าของร้านท่าทางใจดีบอกกล่าว พร้อมทั้งถามพวกเราว่าอยากได้อะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า ก่อนที่จะเดินกลับเข้าร้านไป

ไอ้รัญกินก๋วยเตี๋ยวพลางก็พูดไปว่า เป็นเรื่องโชคดีของพวกเราจริงๆ การจะขึ้นดอยลังกาต้องมาตั้งต้นกันที่นี่แหละถูกแล้ว ซ้ำยังได้คนนำทางอีกด้วยชื่อวิชาญ เป็นน้องคนเล็กของลุงไพรเจ้าของร้านนี้เอง บ้านอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ แกให้ลูกชายแกไปตามแล้วถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวก็คงมา

ประมาณยี่สิบกว่านาทีไอ้เจ้าเบี้ยวลูกชายลุงไพรก็ขี่จักรยานกลับมาพร้อมด้วยคนนั่งซ้อนท้ายอีกหนึ่งคน

พอมาถึงคนนั่งซ้อนท้ายยกมือไหว้สวัสดีพี่แดงกับพวกเรา พวกเรารับไหว้ตอบแทบไม่ทัน ไอ้เอกลากเก้าอี้อีกตัวมาให้แกนั่ง แล้วแกแนะนำตัวเองว่าชื่อวิชาญ เป็นน้องลุงไพร เท่านั้นแหละพวกเราทั้งห้าคนยิงคำถามเกี่ยวกับการจะขึ้นดอยลังกาใส่แกแบบไม่ยั้งจนแกไม่รู้ว่าจะตอบใครก่อนดี

พวกเราได้รายละเอียดเกี่ยวกับดอยลังกา และเส้นทางรวมทั้งจุดหมายที่สำคัญๆ อีกมาก จากนั้นก็พูดคุยกันต่อถึงการวางแผนการเดินทาง ทั้งเรื่องของเวลา และค่าตอบแทนของแกด้วย ซึ่งคำตอบของแก เป็นเรื่องที่น่ารักและประทับใจพวกเรามาก
“แล้วแต่จะให้ครับ”

วิชาญ ต๊ะวงศ์ใจ คนหนุ่มบ้านปางอั้นโดยกำเนิด อายุประมาณสามสิบต้นๆ ร่างผอมๆ แต่ดูแกร่ง สูงไม่เกินร้อยหกสิบห้า ผิวคล้ำแบบลูกป่า ยิ้มง่ายพูดจาเรียบร้อยมาก ใส่กางเกงขายาวสีดำ เสื้อม่อฮ่อมซีดๆ กับหมวกปีกสีเขียวอีกใบ

พวกเรานั่งคุยกันสนุกจนโอเลี้ยงหมดไปสองรอบ โดยลุงไพรกับไอ้เบี้ยวลูกชายก็เข้ามานั่งร่วมวงอยู่ด้วย

วิชาญ เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวที่เข้าป่าตามพ่อขึ้นไปล่าสัตว์บนดอยลังกามาตั้งแต่สิบเอ็ดขวบ โดยที่ลูกคนอื่นๆไม่เอาเลยเพราะกลัวลำบาก ทุกวันนี้ก็ยังเดินขึ้นๆ ลงๆ อยู่เพื่อหาของป่าเป็นระยะๆ แล้วแต่โอกาส ส่วนเรื่องล่าสัตว์เลิกไปนานกว่าหกเจ็ดปีแล้ว ตั้งแต่พ่อเสียไปด้วยโรคประจำตัวหลายอย่าง และจำนวนสัตว์ป่าก็ลดลงมาก สิ่งสำคัญที่วิชาญบอกอีกอย่างน่าสนใจมาก

“เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าจะล่าไปทำไม ทั้งหมูทั้งไก่เลี้ยงกินกันเองแทบทุกบ้าน ล่าสัตว์ลำบากจะตายบางทีเฝ้ากันเป็นอาทิตย์ๆ ยังไม่ได้เรื่องเลย และยังบาปอีกด้วย”

พวกเราหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย โดยเฉพาะไอ้งูเพื่อนเรา ที่เป็นโรคอุดมการณ์ของคน รักธรรมชาติขึ้นสมอง

“ดอยลังกานี่มีคนมาขึ้นกันเยอะมั๊ย” ไอ้เอกซักต่อ

“ไม่ค่อยมีหรอกครับสามสี่ปีมานี่ ผมเคยพาขึ้นอยู่สองสามคณะเอง เป็นคนกรุงเทพฯมาเที่ยวสองคณะ และพวกป่าไม้มาสำรวจป่าเมื่อปีก่อนนี้เอง”

“เดินโหดกว่าดอยเชียงดาวมั๊ย” ไอ้รัญถามบ้างเผื่อจะได้ประเมินสถานการณ์ไว้ก่อน

“เอ..ไม่รู้สิครับ เชียงดาวผมไม่เคยไป แต่ที่นี่หลายช่วงทั้งชันทั้งยาว ถ้าจะเอาครบแบบที่คุยกันน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 วัน”

ผมฟังแล้วเป่าลมออกจากปากดังพรืด.. แต่แล้วก็เสนอพรรคพวกว่าไหนๆ มาจนถึงนี่แล้วไม่เอาแบบสุดๆ น่าจะเป็นการเสียเที่ยว หนำซ้ำถ้าไม่ครบอาจต้องหาโอกาสมาซ้ำอีกจนได้ และในที่สุดความคิดนี้ ผ่านการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี(ว่าการท่องเที่ยวทั่วแดนไทย)

เส้นทางเทือกดอยลังกามีจุดที่น่าสนใจหลายแห่งด้วยกัน แต่มีหมายหลักอยู่สามแห่งคือ ผาโง้ม - ดอยลังกาหลวง – ดอยลังกาน้อย ซึ่งทั้งสามแห่งล้วนเป็นเส้นทางป่าที่สูงชันทั้งสิ้น มีทั้งป่าโปร่งและดงดิบ หลายช่วงเป็นเส้นทางที่ต้องเดินบนสันดอยแคบๆ ที่อันตรายมาก

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ตลอดเส้นทางกันดารน้ำมาก จะพบน้ำซับได้เป็นบางจุดเท่านั้น ดังนั้นให้พวกเราประหยัดกันเต็มที่ในระหว่างเดินทาง และช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่หนาวเย็นที่สุดของปี

สิ่งหนึ่งที่วิชาญรับรองกับพวกเราได้ก็คือ ความสมบูรณ์ของป่าบริสุทธิ์ผืนนี้ และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากบนยอดดอยทั้งสาม

พวกเราปรึกษาหารือกันอีกครู่ใหญ่จนเลยเที่ยงไปแล้ว จึงสรุปได้ว่าเราจะขึ้นกันพรุ่งนี้แต่เช้า วันนี้ยังไงก็ไม่ทันเพราะจากสภาพเส้นทางที่วิชาญให้รายละเอียดมาแล้ว ทำให้พวกเราต้องจัดเรื่องสัมภาระกันใหม่หมด พวกเครื่องกระป๋องต่างๆ คงเอาไปไม่ไหว ลูกหาบก็ไม่มี ต้องจัดเป็นของแห้งที่น้ำหนักเบาและเก็บได้หลายวัน อีกทั้งถ้าออกกันวันนี้ก็คงจะบ่ายมาก คงจะมืดค่ำซะก่อนที่จะเดินถึงแหล่งน้ำที่สามารถแค้มป์ได้

พอตกลงกันได้อย่างนี้แล้ว วิชาญก็ชวนให้พวกเราไปนอนกันที่บ้านของแก เพราะจุดที่พวกเราจะเริ่มเดินกันอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าบ้านแกนี่เอง

พูดคุยกันเสร็จ เจ้าเบี้ยวเด็กหนุ่มลูกลุงไพร ก็เอ่ยปากขอตามไปเที่ยวด้วยคนแล้วหันหน้าไปมองทางผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เป็นเชิงขออนุญาต
“ เออ” ลุงไพรตอบสั้นๆ พร้อมทั้งพยักหน้าเบาๆ ไอ้เบี้ยวยิ้มแก้มแทบปริ

ช่วงบ่ายหลังจากที่เรานำเอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่บ้านของวิชาญเรียบร้อยแล้ว วิชาญชักชวนพวกเราออกเดินเล่นสำรวจรอบๆ บ้านปางอั้น โดยพาเดินออกทางแปลงผักสวนครัวที่ปลูกไว้กินเอง หลังบ้านมีทั้งพริกขี้หนู โหรพา บวบและอีกหลายอย่าง แล้วตัดขึ้นเนินย่อมๆ อีกสองเนินทางท้ายหมู่บ้าน

พอพ้นเนินท้ายหมู่บ้านมา ก็เต็มพรืดไปด้วยป่าเมี่ยง ตั้งแต่แนวหมู่บ้าไปจนจรดที่ลาดเชิงดอย คงด้วยเหตุนี้เองที่ตำบลนี้เลยได้ชื่อว่าป่าเมี่ยง

“เมี่ยงป่าทั้งนั้นครับ” วิชาญบอกสั้นๆ ขณะชี้ไปที่ป่าเมี่ยงข้างหน้า

“เมี่ยง” หรือเหมี้ยง คือต้นชาประเภทหนึ่ง เป็นไม้ทรงพุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นเกลี้ยง ใบสีเขียวยาวออกรีๆ ปลายแหลมคล้ายๆ กับใบลำไย ชอบขึ้นตามพื้นที่เป็นป่าเขาสูง อากาศเย็น มีดอกสีขาว

เมี่ยงเป็นพืชสร้างรายได้ให้กับคนล้านนามาตั้งแต่โบราณแล้ว ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังๆ ยังรู้จักกันอยู่หรือเปล่า ต้นเมี่ยงจะเริ่มเก็บใบได้เมื่ออายุได้สี่ปี โดยเก็บใบอ่อนของต้นเมี่ยงมานึ่ง แล้วหมักต่ออีกสองหรือสามเดือน รสชาติจะออกเปรี้ยวๆมันๆ ใช้อมหรือเคี้ยวกินได้เลย โดยมากจะห่อเป็นคำๆ ใส่เกลือนิดหน่อยเพิ่มรสเค็ม มีบ้างที่ใส่มะพร้าวคั่ว หรือขิงดองเพื่อเพิ่มรสชาติ ในสมัย ก่อนนิยมมากใช้เป็นอาหารว่างหรือของกินเล่นทั่วไป

เมื่อก่อนนี้ลำปางเป็นศูนย์กลางของการค้าเมี่ยงของภาคเหนือที่ใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย ก็ต้องมาซื้อขายกันที่นี่ก่อนที่จะกระจายไปยังภาคอื่นอีกทอดหนึ่ง

“ชาวบ้านที่นี่ก็ได้เมี่ยงนี่แหละครับเป็นแหล่งรายได้ ถ้านอกฤดูก็รับจ้างกับหาของป่า พวกหน่อไม้ ลูกก่อ รังผึ้งไปตามเรื่องนั่นและครับ” วิชาญให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชาวบ้านเพิ่มเติมกับเราอีก

ชายป่าหลังหมู่บ้านน่าจะเป็นแหล่งดูนกที่ดีอีกด้วย เพราะเท่าที่ดูๆ มีนกอยู่มากมายหลายชนิดน่าสนใจมาก แต่เสียดายที่ไม่มีใครติดเอากล้องส่องทางไกลมาด้วย

พวกเราใช้เวลาเดินสำรวจกันไม่นานนักจึงชวนกันกลับ เพราะว่าไหนจะต้องจัดสัมภาระกันใหม่ทั้งหมด และยังต้องหาซื้อเสบียงแห้งเพิ่มเติมกันอีก ที่สำคัญที่สุดคือการนอนพักเอาแรง ด้วยเมื่อคืนบนรถไม่มีใครหลับได้เต็มตื่นเลยซักคน ดีที่วันนี้มีโอกาสได้พัก หากให้เดินขึ้นดอยในวันนี้ก็คงจะพอได้


แต่อาจจะถึงขั้นอ้วก






ดอยลังกา.. ผาโง้ม (1) ย้อนรอยไปอ่านได้ที่นี่... V
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=saowbannok&month=04-03-2011&group=7&gblog=5



Create Date : 07 มีนาคม 2554
Last Update : 8 มีนาคม 2554 8:18:43 น.
Counter : 758 Pageviews.

8 comments
  
หวัดดีจ้าสาว

ตอนสองมาเร็วแฮะเที่ยวนี้

อ่านแล้วอยากออกไปผจญภัยกะพวกเค้าด้วยเลย แต่วัยกะหุ่นไม่ค่อยให้แนะ

ว่าแต่...จากบล็อก

สรุปว่าเป็นตะแบกแน่นะ ?

ขนาดเห็นหลักฐานแล้ว นักล่าฯยังมะค่อยมั่นใจเลย

ส่วนลิงค์ที่สาวให้ ก็เปิดไม่ได้อะจ้า
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 58.8.111.77 วันที่: 7 มีนาคม 2554 เวลา:18:04:53 น.
  
แวะมาอ่านบ้างนะสาว
โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 7 มีนาคม 2554 เวลา:22:16:13 น.
  
ตามมาเที่ยวด้วยครับ
โดย: Kavanich96 วันที่: 8 มีนาคม 2554 เวลา:9:42:18 น.
  
ดีจ้ะสาวฯ

มีเรื่องสั้นนะจ๊า แว้บไปน้า
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 8 มีนาคม 2554 เวลา:14:04:58 น.
  
ขอใช้เวลาอ่านหน่อยนะครับ

เดี๋ยวนี้อ่านช้าลงยิ่งกว่าเต่าคลาน จะกลับไปอ่านย้อนหลังตั้งแต่ตอนต้นเลยครับ

โดย: Insignia_Museum วันที่: 8 มีนาคม 2554 เวลา:22:24:38 น.
  
เรื่องสั้นมาใหม่

ไม่มาบอกสาว มะได้เรย ขาดเสียงหัวเราะ อะคิๆๆ
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 115.87.221.177 วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:16:24:12 น.
  
แวะมาอิจฉาคนไปดอยซะงั้นล่ะค่ะ
โดย: สเลเต IP: 124.121.120.105 วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:21:29:42 น.
  
แหม...สาวนะสาวฯ

อ่านเมนต์เรื่องสั้นของสาวซะขำกลิ้งเลย

ไม่รู้จัก " สุดๆ " เหมือนกันว่ามันยังไง ฮ่าๆ เขียนไปงั้นแหระ

วันนี้มีเรื่องใหม่นะ
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 10 มีนาคม 2554 เวลา:17:13:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ลูกคนสุดท้องน้องสาวคนเล็ก
เด็ก ๆ ชอบเอาตัวไปปลายนา
เอาขาไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า
โตเป็นสาว..ชอบอยู่บ้านนอก
อนาคต..ได้ไปที่ชอบ..ที่ชอบ
อะคึ่ ๆ


Friends Blog
[Add สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น's blog to your weblog]