มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
ดอยลังกา.. ผาโง้ม (จบ)

................................................................................................. นกพเนจร



“ติ ด ปี ก ใ น หั ว ใ จ แ ล้ ว โ บ ย บิ น ไ ป ด้ ว ย กั น”




(5)

จู่ๆ ฟ้าสีครามที่สูงลิบใสกิ๊ง ด้วยแดดที่แผดแสงกล้าอยู่ ก็หายวับเหมือนกับมีเมฆฝนก้อนใหญ่มาบังดวงอาทิตย์ไว้ ลมที่พัดโชยอยู่เบาๆ กลายเป็นลมกระโชกแรงอู้ ไม้ใหญ่ใบสูงแกว่งไกวซู่ซ่า กิ่งไม้ที่แห้งอยู่คาต้นร่วงกราว ทั้งใบไม้แห้งที่หล่นเกลื่อนอยู่ตามพื้นและฝุ่นดินปลิวฟุ้งกระจัดกระจาย จนแสบตากันไปหมด

“อะไรกันวะ” ไอ้รัญพูดขึ้นก่อนที่จะเอาผ้าขาวม้าที่คาดเอวไว้มาปิดหน้าปิดจมูก แต่ไม่มีคำตอบจากใครเพราะแต่ละคนก็งงไม่แพ้กัน

เพียงครู่เดียวไม่เกินสองสามนาที ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปรกติ ลมสงบ แสงแดดกลับมาส่องจ้าเหมือนเดิม

“เรื่องปรกติน่ะ คงเป็นอากาศเย็นที่ไหลเข้ามาในหุบแทนที่อากาศร้อนที่ลอยขึ้นสูง เพียงแต่มันเร็วและแรงเท่านั้นแหละ” พี่แดงพยายามอธิบายให้พรรคพวกฟังโดยอ้างเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

ทุกคนในคณะไม่มีใครตอบคำ มีแต่เสียงตบปัดฝุ่นผงออกจากหมวก และเสื้อผ้าอยู่พึ่บพั่บ ซึ่งเหตุผลของพี่แดงดูเหมือนว่าจะเป็นแค่เรื่องปลอบใจ แต่จริงๆ แล้ว ผมว่าหลายคนคงคิดไปในทางอื่นเพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น

“ไปเอาน้ำแล้วรีบขึ้นดอยกันเหอะ” พรานนำของเราทั้งไม่ค้านและไม่บอกความเห็นอะไร แต่สีหน้ามีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ดูท่าจะหนักใจไม่น้อยกว่าตอนที่ไอ้งูหายตัวไปด้วยซ้ำ

ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ต่างคนขึ้นเป้หลังแล้วออกเดินงุดๆ ตามวิชาญไปที่แหล่งน้ำซับที่อยู่ไม่ไกลนัก แหล่งน้ำซับที่ว่านี้ อยู่ห่างออกไปจากจุดที่พวกเราพักกินข้าวกันประมาณเจ็ด-แปดร้อยเมตรเท่านั้น ทางเดินไปแหล่งน้ำซับ อยู่ในร่องเขาทางด้านทิศใต้แต่อยู่ลงต่ำลงไปอีกนิดหน่อย สภาพป่าบริเวณน้ำซับเป็นป่าเขียวครึ้มๆ เต็มไปด้วยไม้ใหญ่ที่มีเถาวัลย์พันระโยงระยางเต็มไปหมด

“ใต้โขดข้างล่างนั่นแหละครับ” วิชาญบออกขณะขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่แล้วชี้ลงไปข้างล่าง

พวกเราทยอยกันไต่โขดหินใหญ่ที่ซ้อนกันอยู่สองก้อนตามวิชาญลงไป พอถึงข้างล่างเห็นเป็นแอ่งน้ำใสกว้างขนาดพอเอากะละมังใบใหญ่ลงไปลอยได้ แต่น้ำตื้นมากลึกไม่เกินสองคืบ ที่ก้นบ่อยังเห็นเศษใบไม้ที่จมอยู่ใต้บ่อชัดแจ๋ว รอบๆ บ่อเป็นก้อนหินใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีตะไคร่ขึ้นเขียวเต็มไปหมด

“แอ่งนี้ไม่เคยแห้งเลยครับ ผมขึ้นมาเดือนไหนก็มีน้ำอยู่ตลอด” วิชาญบอกเล่าขณะกรอกน้ำใส่แกลลอนพลาสติกอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วพวกเราก็ผลัดกันลงไปนั่งกรอกใส่กระติกกันบ้าง แต่ต้องทำอย่างเบามือที่สุด เพราะกลัวว่าจะทำให้น้ำขุ่น

“เฮ้ยค่อยๆ นะโว้ย กูอยู่สุดท้ายเดี๋ยวขุ่นหมดกินไม่ได้” ไอ้งูโวยห่วงน้ำจะขุ่นขณะก้าวลงไปกรอกน้ำเป็นคนสุดท้ายต่อจากไอ้เอก

คนที่กรอกน้ำเสร็จแล้วก็ปีนกลับขึ้นไปรอเพื่อนๆ อยู่บนโขดหิน โดยมีพรานนำกับพี่แดงยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“เฮ้ยงู! เสร็จรึยังวะจะได้รีบไป” ไอ้รัญก้มลงตะโกนบอกไอ้งูที่กำลังกรอกน้ำง่วนอยู่ ไอ้งูไม่ตอบคำ เพียงเงยหน้าขึ้นมองแล้วโบกมือให้ทำนองว่าเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะปีนตามขึ้นมา

“ไม่ต้องกลับไปที่เก่า จากตรงนี้ผ่านดอยย่อมๆ อีกสองลูกแล้วตัดขึ้นสันดอยลังกาหลวงได้เลยครับ” วิชาญบอกพร้อมทั้งกระชับเป้หลังให้เข้าที่ก่อนออกเดินนำไป

เส้นทางขึ้นสู่ยอดดอยลังกาหลวงยาวพอสมควร เป็นทางขึ้นสันดอยขึ้นๆ ลง ๆ มีหลายช่วงที่ชันเอาการ พวกเราเดินกันไปพูดคุยกันไปบ้าง แต่ค่อยๆ เงียบเสียงลง เมื่อระยะทางทอดยาวออกไป ซ้ำแดดหน้าหนาวยังแผดแสงกล้าอยู่ตลอดบ่าย จนหลายคนอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด

เป็นที่เข้าใจกันเลยว่าทุกครั้งที่ทางทอดยาวขึ้นที่สูง อีกไม่นานนักก็ต้องไต่ลงกันอีก ลูกดอยแถบนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือจะเต็มไปด้วยหญ้าคา สลับกับป่าก่อเตี้ยๆ สูงไม่เกินหน้าอกจึงไม่สามารถให้ร่มเงาหลบร้อนกันได้เลย ยกเว้นเมื่อลงหุบเท่านั้นถึงจะมีไม้ใหญ่ครึ้มพอให้ได้อาศัยร่มเงานั่งพักผ่อนกัน

ผ่านไปสามชั่วโมงเศษ กลุ่มหน้าที่มีวิชาญเป็นคนนำหยุดรอกลุ่มหลัง อยู่ที่บริเวณทางขึ้นสันดอยมหึมา

“พอไหวมั๊ยครับ” วิชาญเอ่ยถามผม ขณะพวกที่มาถึงก่อนนอนแผ่กันกระจัดกระจาย

“ไม่เป็นไรพอได้ ถึงจะยาวหน่อย แต่ก็ไม่ชัน” ผมตอบพรานนำของเราไปตามจริง

“ลูกที่เรากำลังจะเดินขึ้นไปนี่ดอยลังกาหลวงแล้วครับ” วิชาญพูดพร้อมกับชี้ขึ้นไปบนยอดดอย ก่อนที่จะบอกอีกครั้งว่าถ้าพักกันพอแล้วก็ออกเดินกันเลย

คณะของพวกเรายังคงเดินเรียงหนึ่งขึ้นดอยเหมือนอย่างเคย นำด้วยวิชาญ พี่แดง ไอ้เอก ตามด้วยไอ้งู แล้วก็ผมกับไอ้รัญโดยมีเจ้าเบี้ยวปิดท้ายเช่นเคย แต่อาจจะเป็นด้วยความเหนื่อยล้าและยาวไกลของเส้นทางในบ่ายนี้ ไม่นานนักขบวนก็เริ่มจะทิ้งกันห่างขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ผมเองคอยมองหลังไอ้งูอยู่ตลอดเวลา เพราะเป้หลังของไอ้งูสีส้มแปร๊ดเห็นชัด โดยพยายามไม่ให้ทิ้งกันไกลนัก ยังไงก็ขอให้เห็นหลังเพื่อนไว้ก่อน

ทางที่ทอดยาวขึ้นไปยังคงเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ สลับกับป่าก่อเช่นเคย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ดอกว่านไก่แดง หรือเอื้องหงอนไก่ ที่หลงฤดูออกดอกสีแดงสดชูช่ออยู่ตามกิ่งก้านของต้นก่อเกือบตลอดรายทาง

ว่านไก่แดง อยู่ในกลุ่มของพืชอิงอาศัย มีทั้งอยู่แบบเดี่ยวๆ และเป็นกลุ่ม ใบแหลมมีขอบหยักๆ ออกดอกช่วงสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ชอบอยู่ตามไม้ใหญ่ริมหน้าผา ที่ผมเคยพบมากหน่อยก็ที่ภูหินร่องกล้า พิษณุโลก และที่ภูสอยดาว อุตรดิตถ์ แต่พอเปรียบเทียบกันดูแล้ว ดูเหมือนว่าที่ดอยลังกาหลวงจะมากที่สุด และดูจะออกดอกล่าช้ากว่าด้วย

ผมกับไอ้รัญมัวเพลินถ่ายรูปว่านไก่แดงกันอยู่ พอนึกขึ้นได้ว่าไม่อยากให้ขบวนทิ้งห่างกันมากนักก็รีบจ้ำกันอ้าว จนทันเห็นเป้สีส้มของไอ้งูอยู่ไวๆ พอตะโกนกันได้ยิน แต่เรียกจนคอแหบไอ้งูไม่มีการหยุดรอ ยังคงเดินท่อมๆ ขึ้นดอยเหมือนไม่ได้ยิน

ไม่นานนัก เส้นทางเดินป่าก็พาเราตัดเข้าป่าสนเขาต้นใหญ่ แต่ขึ้นอยู่ห่างๆ กัน หญ้าไม่รกพอเดินกันได้สบายๆ แต่กลุ่มก็ยังไม่ได้รวมตัวกัน ด้วยชุดหน้าทะลุป่าสนไปได้ครู่ใหญ่แล้ว

เมื่อพ้นป่าสนออกมา เป็นป่าหญ้าคาสูงท่วมหัว แต่เป็นที่ราบกว้างๆ เมื่อเดินไปได้อีกหน่อยเดียวก็พบกับกลุ่มหน้าที่หยุดรอผมกับไอ้รัญและเจ้าเบี้ยวอยู่

“สัมภาระกองรวมไว้ที่นี่แหละ เดินขึ้นยอดดอยกันเลยดีกว่า ไปชมวิวกัน” วิชาญบอกพร้อมทั้งออกเดินนำขึ้นสู่ยอดสูงสุด ดอยลังกาหลวงที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า ถึงแม้ว่าจะสูงชันขนาดว่าบางช่วงถึงกับต้องปีนกันเลย แต่ก็ไม่ไกลมากนัก ค่อยๆ เดินตามกันขึ้นไป

บนยอดดอยลังกาหลวงเป็นเนินเล็กๆ มีแต่ทุ่งหญ้าคาเอนลู่อยู่ในสายลมที่พัดกระหน่ำอยู่ตลอดเวลา พวกเราแยกย้ายกันชมวิวถ่ายรูปตามมุมที่ชอบ บ้างก็นั่งลงสูดอากาศอย่างชื่นใจด้วยหัวใจที่เป็นสุข หลังจากที่เหนื่อยยากกันมาทั้งวัน เพื่อพิชิตดอยสูง 1,031 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ถึงแม้ว่าแดดยังคงกล้าแข็งอยู่ แต่ไม่รู้สึกว่าร้อนเลยด้วยลมที่พัดพรูอยู่ตลอดเวลา ออกจะถึงหนาวเสียด้วยซ้ำ พวกเรายังจับกลุ่มชมทิวทัศน์ที่แสนจะงดงามด้วยขุนเขาที่สลับซับซ้อนอยู่รอบตัว ทุกคนต่างโม้กันไม่หยุด ด้วยความดีใจที่ขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุด คงมีแต่ไอ้งูคนเดียวที่แยกไปนั่งซึมกะทืออยู่คนเดียว ด้วยคงจะเหนื่อยมากหรือไม่ก็เจ็บแผลที่โดนมาตั้งแต่เมื่อวาน

“เฮ้ยงู! ไม่เป็นไรนะ” พวกเราหันไปมอง ตอนพี่แดงตะโกนถามไอ้งูที่นั่งซึมอยู่ห่างๆ

ไอ้งูนั่งหน้าดำไม่ตอบคำ ทั้งไม่เงยหน้ามองพวกเรา ได้แต่ยกมือโบกเบาๆ เป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร

วิชาญชี้ให้พวกเราดูดอยผาโง้มที่ไกลตา รู้สึกกันอยู่ว่าทำไมผาโง้มที่ขึ้นแสนยากลำบากถึงได้ดูเล็กนิดเดียว ทั้งที่ตอนพวกเราอยู่บนยอดผาโง้มรู้สึกว่าสูงใหญ่เสียเต็มประดา แต่เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของดอยลังกาหลวงที่พวกเรากำลังยืนอยู่นี่แล้วเทียบกันไม่ได้เลย

พวกเราชมทิวทัศน์อันตระการตา และถ่ายรูปกันอย่างจุใจ วิชาญก็ชวนเดินลงเขา โดยคืนนี้จะพักกันบริเวณทุ่งหญ้าที่เราปลดเป้ไว้ เพราะนอนบนยอดดอยคงไม่ไหวแน่ ลมจัดเกินไปและมีเนื้อที่เพียงนิดเดียว ส่วนตรงทุ่งหญ้าที่ฐานดอยนั้นเป็นที่ราบกว้างขวาง น่าจะนอนกันได้เป็นสิบๆคน ถึงจะไม่มีไม้ใหญ่ให้ผูกเปลก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะพวกเราได้วิชาทำซุ้มนอนแบบพรานจากวิชาญมาแล้ว

“ไอ้งูหายไปแล้ว” ไอ้เอกตะโกนลั่นแข่งกับเสียงลม เมื่อพวกเราหันหลังกลับ เพื่อจะปีนลงจากยอดดอย

“ลงไปดูข้างล่างเร็ว” พรานนำของเราพูดเร็วปรื๋อ ก่อนที่จะก้าวสวบสาบดิ่งลงไปก่อน

พวกเรางงไปหมด ด้วยตั้งหลักไม่ทันแต่ก็รีบตามติดกันลงไป ยังคิดกันอยู่ว่าไอ้งูอาจจะไม่สบายเลยไม่อยากตากลมแรงๆ คงจะลงไปรออยู่ที่กองสัมภาระเอาไว้

อึดใจเดียวพวกเราลงมารวมกันอยู่ที่กองสัมภาระ แต่ไม่มีวี่แววไอ้งูเลยซักนิด

“เป้ก็หายไปด้วย” พี่แดงพูดขึ้น ทำให้พวกเราเพิ่งสังเกตว่าเป้หลังสีส้มแป๊ดของไอ้งูไม่อยู่ตรงที่มันเคยวางเอาไว้จริงๆ แล้วพวกเราต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

สำหรับผมเองบอกตรงๆ ว่ารู้สึกตกใจและสับสนมาก เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา และปรากฏการณ์ประหลาดที่เชิงดอย ผนวกเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ นอกจากกลัวแล้วยังไม่รู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป

“ออกตาม” วิชาญพูดสั้นๆ หลังจากเดินสำรวจโดยรอบบริเวณที่พวกเรากองสัมภาระไว้ แล้วบอกว่าไม่มีร่องรอยออกจากตรงนี้ไปเลย เพราะโดยรอบบริเวณเป็นป่าหญ้าที่ขึ้นอยู่แน่นขนัด ถ้ามีคนบุกเดินไปไม่ว่าทางไหนยังไงก็ต้องมีร่องรอยแหวกหญ้า เดินเหยียบทิ้งเอาไว้บ้าง

คงเหลือเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น คือเส้นทางเก่าที่เราเดินกันขึ้นมา พวกเราใช้เวลาปรึกษากันเพียงสั้นๆ โดยสรุปว่าให้เจ้าเบี้ยวกับไอ้เอกรออยู่ที่กองสัมภาระเผื่อว่าไอ้งูกลับมาจะได้ไม่เตลิดไปไหนอีก ส่วนที่เหลือออกเดินลงดอยย้อนกลับทางเก่า เพื่อช่วยกันค้นหาร่องรอยของเพื่อนงูผู้โชคร้าย

“เบี้ยว..หาฟืนก่อไฟไว้ด้วยนะ” พรานนำของเราบอกกับหลานชายสั้นๆ ก่อนที่จะส่งสัญญาณให้พวกเรารีบออกเดินเพื่อแข่งกับเวลา

ถึงแม้ว่าจะเป็นทางที่ตัดดิ่งลง แต่ก็ไม่หนักหนาไปกว่าที่ผ่านมา อีกทั้งเดินกันตัวเปล่ามีเพียงกระติกน้ำติดเอว ไฟฉายและพร้าอีกคนละเล่มเท่านั้น เลยทำให้เดินกันสะดวกและทำเวลากันได้เร็วขึ้นอีกมาก

วิชาญเองถึงแม้จะเดินเร็วแต่ก็หยุดพิจารณาร่องรอยต่างๆ เกือบตลอดทาง ทั้งร่องรอยที่พื้น และกิ่งไม้ใบหญ้าข้างทาง และทุกครั้งก็หันมาส่ายหน้าด้วยไม่พบร่องรอยอะไรที่พอจะบอกได้ว่าเป็นรอยของไอ้งูเลย

พวกเราเองก็ช่วยกันพินิจพิจารณาด้วยประสบการณ์ทั้งหมดที่มีอยู่ โดยเฉพาะตรงจุดที่เป็นป่ารกทึบหน่อย ช่วยกันตะโกนเรียกจนเสียงแหบแห้งไปตามๆ กัน

ห้าโมงยี่สิบนาที
ผมเองก็เพิ่งสังเกตว่าขาลงเที่ยวนี้พวกเราใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นเกือบเท่าตัว แต่ก็อดที่จะเหลือบมองดูนาฬิกาบ่อยๆ ไม่ได้ ด้วยกลัวว่าฟ้าจะมืดค่ำอันเป็นอุปสรรคใหญ่เฉพาะหน้าของพวกเรา ตะวันรอนแสงจนเกือบจะเข้าโพล้เพล้เต็มที อากาศเย็นเริ่มคลี่คลุมห่มลูกดอยที่พวกเรากำลังย่ำเดินกันอยู่ แต่ในใจพวกเราทุกคนร้อนจนแทบระเบิด

“ลงสันนี้ไปก็เป็นแหล่งน้ำซับที่เราหยุดเติมน้ำกันแล้วครับ แต่คงมืดซะก่อน พวกเราลงไปหารือกันข้างล่างดีกว่า” วิชาญออกความเห็น แต่ยังไม่แสดงทีท่าหมดหวังให้เสียกำลังใจกัน พวกเราได้แต่พยักหน้ากันอยู่หงึกหงัก แล้วก้าวตามกันลงไปเป็นหาง ในขณะที่ฟ้าเริ่มหมดแสงจนต้องใช้ไฟฉายส่องทางเดินกัน

“ผมเห็นแสงไฟ” พรานนำชี้มือลงไปที่หินใหญ่ที่อยู่เหนือบ่อน้ำซับแล้วหันมาบอกกับพวกเราด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นตะโกน

ไอ้รัญกับผมที่เดินรั้งท้ายอยู่รีบก้าวฉับขึ้นมาข้างหน้า และเมื่อหยุดเพ่งมองดูแล้วเห็นเป็นจุดแดงๆ ของกองไฟอย่างที่วิชาญว่าจริงๆ

“เพี้ยง! ขอให้เป็นไอ้งูทีเถอะ” ไอ้รัญยกมือพนมท่วมหัว

“หรือไม่ก็เป็นพรานถิ่นอื่นขึ้นมาหาของป่า แต่อย่างไรก็ตาม เราอาจจะได้ร่องรอยอะไรเพิ่มเติมกันบ้าง” วิชาญพูดจบก็รีบชักชวนพวกเราให้จ้ำเดินเข้าหาแสงไฟที่วูบวับอยู่ท่ามกลางความมืด

ครู่เดียวพวกเราทั้งสี่คนก็ลงมาถึงหินใหญ่ที่ซ้อนกันอยู่เหนือบ่อน้ำซับ โดยวิชาญบอกว่าอย่าเพิ่งฉายไฟลงไปเพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างล่างเป็นใครและมีกันกี่คน พาลจะไม่พอใจเอาก็เป็นได้ ซึ่งพวกเราก็เห็นดีด้วย

“วู้..วู้...ใครอยู่ข้างล่างน่ะ พวกเราออกตามคนหาย” ไอ้รัญป้องปากตะโกนลงไป

“โว้ย...กูเอง กูเอง...”

“ไอ้งู” พวกเราตะโกนพร้อมกันสุดเสียง พี่แดงไวกว่าวิชาญเสียอีก ชิงไต่นำลงไปก่อนใคร ตามด้วยวิชาญและไอ้รัญกับผม

ภาพที่พวกเราเห็นอยู่คือ ไอ้งูนั่งเหยียดขา อยู่ข้างกองไฟใกล้ๆ บ่อน้ำซับ มีเป้สีส้มของมันวางอยู่ข้างๆ ถุงนอนผ้าขาวม้าและของใช้จุกจิกถูกรื้ออกมาวางไว้เหมือนเตรียมจะค้างแรมที่ตรงนี้

“เป็นไงวะงู” พี่แดงเอ่ยถามเป็นคนแรกด้วยความเป็นห่วง เมื่อพวกเราลงมาถึงข้างล่างพร้อมกันหมดแล้ว

“ไม่ต้องมาพูดเลย.. พวกมึงใจดำฉิบเป๋งทิ้งกูไว้ได้ยังไง ถึงกูจะป่วยแต่ก็ไม่ได้เป็นภาระใคร โคตรใจร้ายกันทุกคนเลย...กลับบ้านได้กูเลิกคบแม่งหมดเลย..ไอ้พวกเฮงซวย” ไอ้งูชี้หน้าพวกเราด่ากราดเป็นชุดแบบลืมหายใจ

“เฮ้ย..เฮ้ย งูเบาๆ ก่อน เรื่องมันยังไงกันแน่วะ” พี่ใหญ่แดงพูดเบาๆ ก่อนที่จะนั่งลง แล้วจับบ่าไอ้งูเหมือนจะปลอบใจ ขณะที่ไอ้งูมีน้ำตารื้นอยู่เต็มเบ้า

พวกเราเองทั้งวิชาญก็งงจับต้นชนปลายไม่ถูก ไอ้รัญเลยเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาพอคร่าวๆ ให้ไอ้งูฟัง

“ไม่ต้องมาตอแหลเลยมึง ทิ้งกูแล้วยังมาพูดอย่างโน้นอย่างนี้อีก” ไอ้งูสะบัดหัวไหล่เอามือพี่แดงออกทั้งๆ ที่ตายังแดงๆ อยู่

“เฮ้ย! จะร้องไห้ทำไม มึงก็เคยหลงไม่เห็นกลัวอย่างนี้เลยนี่หว่า” ไอ้รัญพูดขึ้นบ้าง

“กูไม่ได้กลัว แล้วก็ไม่ได้หลง .. แต่กูเสียใจที่เพื่อนมันทิ้ง” ไอ้งูสวนกลับทันควัน พี่แดงเองชักเอะใจ ที่ไอ้งูหาว่าพวกเราทิ้งมัน เลยขอร้องให้มันลองเล่าให้พวกเราฟังดู

ไอ้งูยังสะอื้นอยู่เบาๆ ก่อนจะเล่าขึ้นว่า เมื่อบ่ายที่ผ่านมา ตอนที่ลงมาเอาน้ำที่นี่กัน มันเองเป็นคนที่กรอกน้ำเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่ไอ้รัญปีนกลับขึ้นไปแล้ว พอเสร็จมันก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะปีนตามพวกเราขึ้นไป แต่เกิดลื่นล้มอย่างแรงจนขาแพลงอยู่ตรงนั้นเอง ว่าพลางก็ฉายไฟให้เราดูที่เท้าข้างขวาที่เหยียดยาวอยู่ ซึ่งบวมแดงเปล่งจนน่ากลัวทั้งหลังเท้าและข้อเท้า

มันบอกว่าปวดมากจนแทบขยับไม่ได้เลย ร้องให้พวกเราช่วยก็ไม่มีใครสนใจ ไม่ว่าจะร้องเรียกดังยังไง พวกเราก็ยังนิ่งเฉยไม่มองดูเลยด้วยซ้ำ แล้วพากันเดินจากไป โดยทิ้งมันไว้ที่นี่เพียงลำพัง

หลังจากที่พวกเราไปแล้ว มันก็เที่ยวคลานเก็บเศษกิ่งไม้ใบหญ้าที่หักหล่นอยู่แถวนี้มาก่อไฟกันหนาวและป้องกันสัตว์ร้าย เพราะอาการแบบนี้ไปไหนไม่รอดแน่ คงต้องอยู่อย่างนี้ทั้งคืน ปวดขาก็ปวด ยาที่ให้ไว้ก็หมดแล้ว แต่ก็ต้องทนได้แต่นั่งๆ นอนๆ คิดหาทางแก้ไขอยู่ จนกระทั่งพวกเรามาถึงนี่แหละ

ผมเองทีแรกก็ยังมึนๆ กับเรื่องของไอ้งู เพราะกำลังพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ แต่แล้วก็ต้องขนลุกซู่ มือตีนเย็นเหมือนจะเป็นลม เมื่อได้ยินพี่ใหญ่แดงพูดขึ้นว่า


“อ้าว.. แล้วไอ้ที่ตามพวกเราขึ้นดอยไปน่ะ มันใคร!”
.................................................................................








Create Date : 25 มีนาคม 2554
Last Update : 25 มีนาคม 2554 19:41:15 น.
Counter : 1927 Pageviews.

7 comments
  
ตอนห้ามาแล้ว ว้าว

ขอมาเจิมก่อน เด๋วมาอ่านอีกรอบ

ป.ล1 พื้นหลัง บีจี.มันลาย ทำให้อ่านยากนินึง

ป.ล. 2 มีเรื่องสั้นมาใหม่ (เรื่องที่แล้ว ตะเองก็พลาดนะจ๊ะคนสวย)
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:8:26:32 น.
  
หวัดดียามค่ำๆ จ้า
เห็นด้วยกับความเห็นข้างบนเรื่องบีจีนะ ตาลายจริงๆ จ้ะ
โดย: kapeak วันที่: 27 มีนาคม 2554 เวลา:20:50:06 น.
  
สายัณห์สวัสดีค่ะมิตรรักนักเขียน (บล๊อก)
+===============================+

ขออภัยในความไม่สะดวก สำหรับบีจี(เก่า) ชวนให้ตาลาย อะคึ่ ๆ

จขบ. จึงทำการปรับเปลี่ยนบีจีใหม่
วาดหวังว่า.. ดูสบายตาน่าอ่านมากขึ้นนะค๊า
โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:19:41:04 น.
  
สนุกอ่า

คนชอบเดินป่า ไม่อ่านไม่ได้เลย

ตอนนี้ท่าทางจะเจออาถรรพ์ป่าเข้าแล้ว บรื๋อว...

ป.ล.ขอบคุณบีจี.สว่างไสวจ้า คนแก่อ่านแล้วสบายตาขึ้นเย้อ
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 58.8.238.176 วันที่: 30 มีนาคม 2554 เวลา:12:22:11 น.
  
เข้ากทม.หรือยังจ๊ะ

มีรีวิวหนังสือพนมเทียนที่บ้านนักล่าจ้ะ
โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 31 มีนาคม 2554 เวลา:7:12:14 น.
  
บีจี ใหม่ ทำให้อ่านสบายตาขึ้นเยอะเลยจ้ะ
โดย: kapeak วันที่: 1 เมษายน 2554 เวลา:13:47:28 น.
  
ขอต้อนรับกลับสู่บล็อกนะจ๊า

แหม..ไปกรุงเทพด้วยภารกิจที่น่าอิจฉาจัง

ว่าแต่หอบมากี่เล่มเอ่ย

อย่าลืมเอามาโชว์กันนะ


แร้วก็...หายเหนื่อยเมื่อไหร่ไปอ่านเรื่องสั้นละกัน
โดย: นักล่าน้ำตก IP: 183.89.243.185 วันที่: 2 เมษายน 2554 เวลา:18:52:56 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ลูกคนสุดท้องน้องสาวคนเล็ก
เด็ก ๆ ชอบเอาตัวไปปลายนา
เอาขาไปวิ่งเล่นที่ทุ่งหญ้า
โตเป็นสาว..ชอบอยู่บ้านนอก
อนาคต..ได้ไปที่ชอบ..ที่ชอบ
อะคึ่ ๆ


Friends Blog
[Add สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น's blog to your weblog]